คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ว่าด้วยบทเรียนของตาอยู่
5 ม.ค. 51 -- ว่าด้วยบทเรียนของตาอยู่
อิสระคือคำสาป เธอมีอิสระที่จะเดินหน้าหรือถอยหลัง วิ่งหรือหยุด ขับรถในเลน เปลี่ยนเลน หรือแวะจอดข้างทาง เอามือถือไปซ่อมหรือซื้อมือถือใหม่ ตั้งชื่อหมาว่าแมวหรือตั้งชื่อแมวว่าหมา กินข้าวคลุกน้ำปลา หรือกินข้าวคลุกน้ำตาล เธอมีอิสระที่จะลองหรือเลือก ตอบรับหรือปฏิเสธ โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ และทางเลือกรออยู่มากมายนับไม่ถ้วนบนทางข้างหน้า ขณะที่สิ่งที่เลือกบนถนนเบื้องหลังยังเป็นเงาตามติดตัวในรูปแบบต่างๆกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นความเสียดายกับสิ่งที่ไม่ได้เลือก ความรับผิดชอบกับสิ่งที่เลือกแล้ว หรือความกล้ำกลืนกับสิ่งที่เลือกผิดไป สรุปง่ายๆคือ อิสระที่เธอครอบครองบังคับให้เธอต้องเลือก หรือเลือกที่จะไม่เลือก และการเลือกทุกครั้งย่อมมีผลตามมา ผลที่ตามมาคือภาระความรับผิดชอบ และภาระความรับผิดชอบคือคำสาป สรุปง่ายๆอีกครั้งคือ อิสระคือคำสาป
อิสระคือคำสาป อิสระที่มากเกินไปทำให้เธอเห็นทางเลือกมากเกินไป บางครั้งเธอยืนอยู่ท่ามกลางทางเลือกมากมายที่รุมล้อม และพยายามหมุนรอบตัวเพื่อสำรวจทางเลือกให้ครอบคลุมที่สุด เธอลังเลและหมุนตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆจนตาลาย และทางเลือกทั้งหลายพลันอันตรธานไปในพริบตา เหลือเพียงตัวเธอที่เสียศูนย์ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ทัศนียภาพแสนโรแมนติกของผืนแผ่นดินที่จรดขอบฟ้าคือภาพลวงแห่งอิสระ และแม้เธอจะเลือกได้แล้วก็ตาม อิสระที่เธอเป็นเจ้าของก็ต้องนำพาเธอไปสู่ทางเลือกข้ออื่นๆต่อไปไม่สิ้นสุดบนทางแสนยาวไกล อิสระคือคำสาปในคราบของความโรแมนติกแห่งการใช้ชีวิตที่แนบเนียนที่สุด
วันเสาร์ที่ 5 มกราคม 2551 บรรยากาศอึมครึมเล็กน้อยในช่วงเช้า อากาศอบอ้าวคล้ายฝนจะตก กระนั้น ท้องฟ้าสีอมเทาก็ยังคงแผ่ครอบคลุมทุกตารางเมตรบนโลก แสงอาทิตย์รำไรยังปรากฎ ณ จุดหนึ่งบนขอบฟ้าไกลแสนไกล เธอนั่งอยู่บนเครื่องบินที่นั่งชิดหน้าต่าง เหม่อมองออกนอกช่องกระจกสี่เหลี่ยมโค้งมนเล็กๆ สายตาร่อนเร่จากเมฆสีเทาอ่อนกลุ่มหนึ่งสู่กลุ่มหนึ่ง และสู่อีกกลุ่มหนึ่งไปเรื่อยๆ ขณะที่ความกดอากาศและแรงสั่นสะเทือนเป็นพักๆยังทำพิษให้หูอื้อ และศีรษะมึนงง กระนั้น เธอไม่เคยมองเห็นผืนฟ้าได้กระจ่างชัดแจ้งเทียบเท่าที่เห็นในวันนี้เลย ความสวยงามอันน่าพิศวงของแผ่นฟ้าที่โอบกอดแผ่นดิน ความอิสระอันเศร้าสร้อยของสีเทาที่แซมอยู่ตามปุยเมฆ โลกทั้งใบกำลังรอเธออยู่ หากเพียงเธอกล้าที่จะตัดสินใจทำอะไรต่อจากนี้ โลกทั้งใบรอเธออยู่
“รับน้ำผลไม้หรือแซนวิสทานเล่นมั้ยคะ” เสียงหวานของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินปลุกเธอตื่นจากอารมณ์โรแมนติกแสนเดียวดาย
“เอาอะไรมั้ยเจ๊” ชายที่นั่งข้างๆหันมาถาม เธอส่ายหน้าแล้วหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง “ไม่ล่ะคับ ขอบคุณคับ” เขาหันไปบอกสาวสวยในชุดแดงหลังรถเข็น
“ขนมขบเคี้ยวทานเล่นก็มีนะคะ”
“ผมเก็บท้องไว้กินข้าวซอยมื้อเที่ยงคับ เก็บมาตั้งแต่กรุงเทพหลายเดือนแล้ว” เขายิ้มหยีตา แล้วส่งยิ้มให้พนักงานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะหันมาสะกิดเธอ “ไง เจ๊...” เขายักคิ้ว “ได้ยินแล้วปวดใจป่ะ คุณครับ คุณคะ...”
เธอเหล่ตาแสร้งไม่พอใจ “เออ.... ได้ทีก็ซ้ำเติมเข้าไปสิ”
เขาระเบิดหัวเราะ โชคดีที่เสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบินค่อนข้างดังจึงพอกลบเสียงเขาได้บ้าง “โอ๋... กวนตีนเล่นค้าบ”
เธอเหลียวมองแอร์โฮสเตสคนเดิมที่เดินคู่ไปกับสจ็วต เข็นรถเข็นผ่านไป “ไม่ต้องถามนะว่าเสียดายมั้ย” เธอหันไปพูดกับเขาชั่วครู่ แล้วหันกลับไปมองหน้าต่างเหมือนเดิม
“เบิร์ดถามจริงๆเหอะ” เขาใช้ศอกสะกิดแขนเธอ “อะไรดลใจ...”
“ก็บอกไปแล้ว” เธอรีบขัดขึ้นมาด้วยความรำคาญ “ว่าเจ้าพ่อเสือท่านบอกให้ลาออก ‘การงานทำตามใจดีที่สุด แต่เรื่องรักรีบรุดจะชิบหาย’ เซียมซียังอยู่ในกระเป๋าอยู่เลยเนี่ยๆ จะดูมั้ย”
“โว้วๆๆๆ อย่าหาเรื่องสิเจ๊” เขายกมือขึ้นยอมแพ้ “เบิร์ดแค่จะถามว่าอะไรดลใจให้กล้ามากับเบิร์ดสองต่อสอง ร้อนตัวไปได้”
“แล้วจะให้แอร์มากับใครล่ะ มาคนเดียวเดี๋ยวก็โดนหาว่ามาปลีกวิเวกหาที่ผูกคอตายอีก”
“อารมณ์ร้ายจริงวุ้ย ชีวิตมันไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกนะเจ๊ เฮียผมขาวของเจ๊ก็ยังมี ทีเงี้ยทำไมไม่ชวนเฮียมาสวีท”
“ปิดเครื่องหนีไปแล้ว ยังไม่อยากคุยด้วย อีกอย่างนะ ... รายนั้นก็มีแต่บานาน่าสเตทในหัว ชวนไปเป็นแต่บานาน่าสเตท คำก็บานาน่า สองคำก็บานาน่า ชวนมาด้วยก็มีแต่เสร็จกับเสร็จน่ะสิ”
เขาสำลักหัวเราะออกมา “ว่าไงนะ” แล้วลดเสียงเป็นกระซิบ “ยังไม่เลิกชวนอีกเรอะ ไม่ยอมแพ้วุ้ยเฮียคนนี้”
“ปิดเครื่องน่ะง่ายสุด”
“แล้วแอร์หนีเฮียผมขาวชวนเข้าม่านรูดมากับกระทิงเปลี่ยวอย่างเบิร์ดเนี่ยนะ”
“พักนี้คำว่ากระทิงเปลี่ยวมันอินเทรนนักเหรอไง” เธอเปิดกระเป๋าถือ พยายามความหาอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ชะงักคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “พี่เบิร์ด ขอยืมมือถือหน่อยสิ”
“อะไร เจ๊ก็เพิ่งซื้อใหม่.... เฮ่ย แต่เค้าไม่ให้ใช้บนเครื่อง”
“จะฟังเพลงเฉยๆ”
“ก็ใช้ของตัวเองสิ”
“ก็เปิดมือถือไม่ได้” น้ำเสียงเธอออกแนวไม่สบอารมณ์ “ไม่อยากคุยกะใคร ขอยืมมือถือหน่อย”
“ไม่ให้” เขาพิงหัวกับพนักเก้าอี้ แกล้งหลับตาพักผ่อน
“ตามใจ ไม่ฟังก็ได้” เธอเขยิบตัวออกห่างจากที่นั่งของเขาให้มากที่สุด แต่เบาะนั่งคับแคบทำให้ไปได้ห่างไม่เกินสองเซ็นติเมตร
“จะอารมณ์เสียอะไรมากมายห๊ะเจ๊” เขาเหล่มาทางเธอ “ผมมาเป็นเพื่อนเจ๊นะ ไม่ใช่พรมเช็ดเท้า”
เธอหันมา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แอร์ขอโทษ ต่อไปจะพยายามพูดดีๆ”
“น่านๆ... อายุสั้นไปอีกเกือบสิบวิแล้ว.....แล้วมานี่บอกใครไว้รึป่าว”
“บอกอีฟคนเดียว”
“แล้วบอกว่ามากะใคร” เขาถามต่อ
“ก็บอกความจริงสิ ทำไมล่ะ”
“แล้วอีฟก็ไม่ห้ามอะไรเลย?”
“ก็ไม่หนิ อีฟก็รู้จักพี่เบิร์ด ทำไมล่ะ”
“แปลกกันทั้งคู่นั่นแหละ พี่สาวมาเชียงใหม่กะผู้ชาย แทนที่น้องจะห้ามก็ไม่มี ไม่ห่วงกันเลยเหรอวะ”
“ก็มันไม่มีอะไรต้องห่วง” เธอเขยิบตัวนั่งพิงพนักให้สบายขึ้นบนเบาะแสนแคบอย่างยากลำบาก “พี่สาวมันบ้าขนาดลาออกวันแรกที่ไปทำงาน อย่างอื่นน้องมันก็ไม่ต้องห่วงแล้ว”
เขาหัวเราะ “พูดถึงก็โคตรแมนเลยว่ะ ว่าบ้ามั้ยเหรอ เจ๊น่ะไม่ได้บ้าบออะไรหรอก บ้าดีเดือดมากกว่า เป็นพวกคิดปุ๊บก็ทำปั๊บไม่มีปี่มีขลุ่ย.... ก็ดี... ก็ดี ทันใจดี”
เธอยังพยายามขยับตัวให้นั่งให้สบายขึ้น แต่ทุกอย่างดูขัดตาไปหมด “ไอ้เบาะนี่มันเอนยังไงเนี่ย” มือพยายามควานหาคันโยกข้างๆ
เขากดปุ่มสีดำตรงที่วางแขน จากนั้นเก้าอี้ของเธอก็ค่อยๆเอนลง “ลืมไปว่าไม่เคยขึ้น เป็นไงบ้าง ประสบการณ์ครั้งแรกบนเครื่องบิน ชอบมั้ยจ๊ะ”
เธอยิ้มขอบคุณ “แอร์คิดถูกแล้วที่ลาออก มึนหัวจะตาย”
“กลืนน้ำลายสิ ยังมึนอยู่รึป่าว ขอยาแก้เมาเค้ามั้ย”
เธอส่ายหน้า ขยับหลังพิงพนักในมุมที่เหมาะ แล้วหลับตา “แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ไม่ต้องหรอก”
“คำถามสุดท้าย” เขาหยิบโทรศัพท์มือถือพร้อมหูฟังออกมาจากกระเป๋ากางเกง “แล้วป๋าจะให้ฟังเพลง”
“อย่า...” เธอพูดทั้งๆที่หลับตา “ถามขึ้นมาอีกเชียวนะ”
“เบิร์ดแค่จะถามว่า...” เขาลากเสียง รอให้เธอสนใจ ซึ่งก็ได้ผล
เธอเหลือบตามอง “แอร์ไม่มีอารมณ์เล่นแม้แต่มุกถอยหลัง ดังนั้นอย่าถามเชียวนะ”
“แค่จะถามว่า” เขาพูดทั้งยิ้ม “ไอ้บานาน่าสเตทนี่มันที่เดียวกับที่อยู่บางใหญ่ใช่ป่ะ” แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะ
เครื่องบินลงจอดที่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่เมื่อเวลาประมาณ 12:30 นาฬิกา หลังจากเดินแบกสัมภาระด้วยความวิงเวียนมาขึ้นรถสองแถวเพื่อเข้าที่พัก ของเหลวในศีรษะของเธอก็ยิ่งกรรโชกหนักเข้าขั้นวิกฤตจนต้องลากสังขารขึ้นไปล้มพับในห้องเตียงคู่ของเกสท์เฮ้าส์เล็กๆแห่งหนึ่งในตัวเมือง มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อเขาหยิบหมอนที่ทับหน้าเธอออก แล้วใช้มือทาบหน้าผาก ตามมาด้วยผ้าชุบน้ำเย็นๆที่ทำให้อาการคลื่นเหียนบรรเทาลงได้โดยฉับพลัน
เธอตื่นขึ้นตอนบ่ายแก่ๆใต้ผ้าห่มสีขาว และพบเขานั่งหันหลังคุยโทรศัพท์เบาๆอยู่บนเตียงอีกเตียงด้านติดหน้าต่าง ข้างตัวมีสมุดสเก็ตภาพสีดำเปิดค้างไว้ ม่านสีทึบเปิดแง้มออกเล็กน้อยพอให้แสงภายนอกลอดเข้ามาส่องให้เห็นลายเส้นบนกระดาษ ขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของห้องยังสลัวๆ เธอลุกขึ้นเดินไปนั่งตรงขอบเตียงข้างๆเขา แล้วมองกระดาษสีขาวที่มีลายเส้นดินสอร่างเป็นโครงหน้าและลำคอของผู้หญิง เขากดวางสาย และหันมาถามไถ่อาการด้วยสำเนียงเฮฮาตามปกติวิสัย หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ทั้งคู่ก็เดินลงมาด้านหลังของเกสต์เฮ้าส์ และขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ที่เขาจัดการเช่าไว้ก่อนหน้านี้ เขาส่งหมวกกันน็อคให้เธอที่นั่งซ้อนท้าย และเมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็เร่งเครื่องออกถนนใหญ่รถพลุกพล่าน
เขาพาเธอมานั่งกินข้าวซอยในร้านตึกแถวสองห้องกว้างบนถนนสายเล็กๆแห่งหนึ่ง ทั้งคู่ต่างชมรสชาติว่าไร้เทียมทานไม่หยุดปากเนื่องด้วยร้านนี้มีป้ายเปิบพิศดารและกรอบประกาศนียบัตรเป็นรูปประดับเต็มผนัง และข้าวซอยชามนี้ถือเป็นอาหารมื้อแรกสุดของวัน หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อย (ซึ่งเขาตกลงเป็นคนเลี้ยง) เขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์อย่างไม่รีบเร่งเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ลัดเลาะซอยเล็กๆ เข้าสู่ถนนเล็กๆอีกสาย และสู่ถนนใหญ่ที่มุ่งหน้าขึ้นเขา แสงแดดที่เริ่มอ่อนลงกับลมที่พัดปะทะพาหนะเคลื่อนที่ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกเย็นเอาการอยู่เหมือนกัน
“กลับไปเอาเสื้อแจ็คเก็ตมั้ยแอร์” เขาตะโกนถามแข่งกับเสียงเครื่องยนต์จากที่นั่งคนขับ หน้ายังหันตรงมองถนนแถบตีนเขา
“ไม่ต้องหรอก” เธอตะโกนกลับ “มาไกลแล้ว... คงไม่หนาวเท่าไหร่หรอก”
“เคยขึ้นไปไหว้มั้ย”
“ไม่เคยเลยค่ะ”
“ดี ถือซะว่าขึ้นไปไหว้เอาฤกษ์เอาชัย ชีวิตจะได้เห็นทางสว่าง”
“เหมาะเลย ชีวิตกำลังบัดซบได้ที่” น้ำเสียงประชดเสียดสีถูกเสียงเครื่องยนต์กลบไปเสียครึ่งหนึ่ง
“ว่าไงนะ ชีวิตกำลังหิวโซได้ที่ ... ยังหิวอยู่อีกเหรอ”
“บัดซบ” เธอย้ำ
“เจ๊ว่าอะไรนะ”
“ช่างเหอะ” เธอยอมแพ้ แล้วนั่งกินลมชมทิวทัศน์ข้างทางภายใต้หมวกกันน็อคหนักหัวและสายรัดคางที่รัดตึง
ถนนสายยาวคดเคี้ยวอ้อมส่วนโค้งของเนินเขา เขาค่อยๆขับขึ้นทางลาด ชิดซ้ายด้านติดกับเชิงผาเพื่อหลบรถใหญ่ เธอนึกขำอยู่ในใจว่าตลอดเวลาที่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นเขาหลบรถให้ใครกระทั่งวันนี้ มอเตอร์ไซค์คันเล็กค่อยๆลดความเร็วลงอีกเมื่อทางชันนำสู่ที่ที่สูงขึ้น ซ้ายมือค่อยๆปรากฏภาพมุมบนของตัวเมืองเชียงใหม่ จากภาพบ้านไม่กี่หลัง ขยายเป็นภาพหมู่บ้าน ขยายเป็นหลังคาบ้านที่เกาะกลุ่มใหญ่ขึ้นภายในกรอบถนนสี่เหลี่ยม ขยายเป็นจุดมากมายภายในกรอบหลายเหลี่ยมหลายกรอบ และกลายเป็นเมืองที่มีพื้นที่สีเขียวรายรอบ แม้มองจากที่เสมือนแสนไกล เธอยังเห็นจุดเล็กๆของรถยนต์วิ่งสวนไปมาไม่หยุดหย่อนบนถนนเส้นบางๆเส้นยาว วิวอันสวยงามของตัวเมืองในเวลากลางวันถูกมองผ่านสายตาอันว้าเหว่คู่หนึ่ง คราบความวิงเวียนจากเมื่อตอนเที่ยงถูกลบจนเกลี้ยง เธอยิ้ม พลันทอดสายตาอันเปลือยเปล่าบนทางข้างหน้า ถนนลาดยางที่เธอเคยแต่มองผ่านกระจกใสในกรอบของรถยนต์ ความเร็วที่เธอเคยแต่รู้สึกผ่านตัวรถเหล็กกล้าแน่นหนา และลมปะทะที่เธอเคยแต่สัมผัสผ่านเครื่องปรับอากาศในรถ นี่เองอิสระ ความหอมหวนของใบหญ้าและไอดิน ความร่มรื่นของเงาไม้ ความสดชื่นจากสีเขียวและสีน้ำตาลที่โอบอุ้มถนนเส้นนี้ เธอไม่สนอีกแล้วว่าอิสระคือคำสาป ตราบใดที่เธอยังจำภาพและความรู้สึกในวินาทีนี้ได้ นี่แหละอิสระ อิสระก็คืออิสระ นี่เองความหมายของการมีชีวิตอยู่ และเธอเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก
“สวยเนอะ” เธอโน้มตัวเข้าใกล้คนขับเพื่อจะได้ไม่ต้องตะโกน
“สวยบ้าอะไรล่ะ หนาวชิบหาย” เขาตะโกนกลับ
เธอหัวเราะร่า “ไม่ไหว ไม่ไหว แอร์ไม่เห็นจะหนาวเลย ผู้ชายอาร้าย”
“ผู้ชายที่นั่งขับอยู่ข้างหน้าบังลมให้เจ๊น่ะสิคับ เจ๊ลองมาขับข้างหน้าดูมั้ยล่ะ หนาวสาดสาดคับพี่น้อง”
เธอหัวเราะแล้วตบไหล่เขา “เอาน่า สู้ๆนะ ใกล้ถึงแล้วมั้ง”
“ขึ้นเขาไม่ใส่เสื้อหนาว .... คิดได้ไง” เขาบ่นพึมพำ “คิดได้ไงเนี่ย!!”
ความยากลำบากของการขึ้นพระธาตุดอยสุเทพไม่ได้หยุดเพียงแค่ความหนาว เมื่อเขาจอดรถมอเตอร์ไซค์พร้อมถอนหายใจที่ลมเจ้ากรรมหยุดลงแล้ว และยืนเป็นตัวตลกผมหน้าชี้เด่บานออกเป็นเป็ดตามรอยขอบของหมวกกันน็อคให้เธอขำเล่น เขาก็พาเธอขึ้นฝ่าฟันขั้นบันไดต้านแรงโน้มถ่วงอย่างหฤหรร และทำแสบโดยการทิ้งเธอที่กำลังจะขาดใจตายไว้กลางทางเสียดื้อๆ แล้วเดินขึ้นดุ่มๆเงียบๆโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น เธอต้องพึ่งลำแข้งที่ก้าวไม่ออกของตัวเอง และเริ่มใช้มือเป็นตัวช่วยตะกายราวบันไดดึงตัวขึ้นไปอย่างช้าๆด้วยความกล้ำกลืนฝืนทน
เธอยืนอยู่หน้าชายที่นั่งไขว่ห้างรออย่างสบายใจอยู่บนขอบซีเมนต์กว้างที่ก่อรอบต้นไม้ใหญ่หน้าวัด อ้าปากพยายามจะเปล่งเสียงอะไรบางอย่าง แต่ก็มีแต่ลมหายใจหอบแฮกๆ
“ข้าว....” เธอคายแต่ละคำออกมาอย่างกระอักกระอ่วน “ซอย... ย่อย..... หมด.... เรียบร้อย”
“แล้วทำเก่ง ทีเงี้ยสารรูปดูไม่ได้” เขายิ้มแล้วเขยิบที่ให้เธอนั่งข้างๆ “ให้เวลาพักสองนาที แล้วจะได้ไปไหว้พระ”
เธอนั่งลงแล้วสูดหายใจลึกอยู่พักใหญ่ พลางคิดได้ว่าไม่เคยมีความสุขที่ได้สูดหายใจลึกๆแบบนี้มานานมากแล้ว ขณะที่เขานั่งมองด้วยตากลมๆ พลางยิ้มกวนตีนหน้าตาเฉยจนเธอต้องตวาดใส่ “มองอะไร”
“ป่าว ป่าว” เขาเมินหน้าหนี
“น่าเสียดายนะ” เธอหยุดพัก สูดลมเข้าปอดอีกเฮือกใหญ่ “ไม่ได้ติดกล้องมา”
“กล้องมือถือใหม่เจ๊ไง”
“ไม่ได้” เธอหันขวับขมวดคิ้ว “เปิดมือถือไม่ได้”
“โอ้ย... อะไรกันนักหนา เปิดถ่ายรูปแป๊บเดียวเฮียผมขาวกับหนุ่มออสซี่คงไม่โทรตามเจ๊ทุกวิหรอกให้ตายสิ”
“ถ่ายรูปมือถือพี่เบิร์ดแหละ ได้ป่าว” เธอพูดเสียงอ่อน
“ไม่ได้” เขาขึ้นเสียง “นี่หนีลูกค้าเพื่อมาเป็นเพื่อนเจ๊เลยนะ ห้ามมีหลักฐานเด็ดขาดว่าเบิร์ดมาเที่ยว”
“อ่าว ไม่ได้บอกใครไว้เหรอ”
“บอกได้ไงล่ะ งานก็รอจ่อก้นเต็มไปหมดแล้วยังกระแดะมาเที่ยว นี่ถ้าเค้ารู้ก็โดนด่ายับ”
“พี่จิ๊บก็ไม่บอกเหรอ”
“บอกก็โดนด่าสิ เค้านึกว่าเบิร์ดมาสัมมนากับลูกค้าที่อ่างทอง”
“อ่างทองเนี่ยนะ” เธอขึ้นเสียงดัง “ไม่มีจังหวัดที่ดีกว่านี้แล้วเรอะ”
“ก็ดีกว่าหนองบัวลำภูแหละวะ”
“หนองคาย” เธอรีบขัด “ก็บอกว่าหนองคาย... เอ๊ะ”
“ค้าบ” เขายิ้มกว้าง พูดกลั้วหัวเราะ “แล้วไง เชียงใหม่... ชอบมั้ย... สวยกว่าหนองบัวลำภูป่ะ” เธอหันขวับพลันเงื้อมือขึ้นเตรียมพร้อมโฟว์แฮนด์เข้ากลางหลัง “ค้าบ... ไม่กวนตีนแล้วค้าบ”
ขากลับลงจากดอยทำเอาคนสองคนบนมอเตอร์ไซค์ถึงกับสั่น ทันทีที่กลับถึงห้องพัก ทั้งคู่ก็รีบรุดคุ้ยหาเสื้อกันหนาวในกระเป๋าของตัว และทันทีที่เธอโพล่งขึ้นมาว่า ‘ลืมเอาเสื้อกันหนาวมา’ เขาก็โยนเสื้อแจ็กเก็ตผ้าร่มสีดำตัวใหญ่ใส่มือให้แทบจะทันที “เบิร์ดว่าแล้ว.... ว่าต้องลืม แล้วเจ๊ก็ลืมจริงๆ”
ทั้งคู่ขึ้นรถมอเตอร์ไซค์อีกครั้งในตอนเกือบพลบค่ำ ค่อยๆเคลื่อนที่ไหลไปตามการจราจรที่ค่อนข้างหนาแน่นตามสี่แยก ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีฟ้าหม่นอมม่วง แสงสีเหลืองจากดวงไฟข้างถนนส่องประกายเป็นแฉก ควันรถจางๆแทรกมากับกลิ่นลมหนาวในตอนเย็น เธอนั่งซ้อนท้ายอย่างผ่อนคลาย พลางมองผู้คนที่เดินไปมาริมทาง ขณะที่เขาใช้ขายันพื้นถนนประคองรถที่ติดขัดสลับลื่นไหลอย่างยากลำบาก เมื่อรถเลี้ยวซ้ายทะลุผ่านทางเล็กๆและออกสู่แถบชานเมือง เขาก็เริ่มเร่งเครื่องมุ่งหน้าสู่ร้านอาหารริมแม่น้ำด้วยความชำนาญทาง
“ร้านนี้เค้าขึ้นชื่อ” เขาพูดขณะยืนอยู่หน้าร้าน ถอดหมวกกันน็อคออก “เรื่องบรรยากาศ แต่ไม่รู้จะยังเหลือที่นั่งดีๆรึป่าวนะ”
ผมหน้ากึ่งสั้นกึ่งยาวที่ชี้โด่ชี้เด่เนื่องจากแรงลมทำเอาเธอสำลักหัวเราะออกมาอีกครั้ง “มานี่มา” เธอยื่นมือออกไปปัดผมหน้าของเขาให้เข้าที่เข้าทาง “นี่ถ้าเป็นเกย์นะก็สบายเลย ไม่ต้องเสียตังค์เซทผมสวอน”
“ค้าบ ทีเจ๊เล่นบ้างล่ะ”
“สงสัยต้องเอาน้ำลูบแล้วล่ะ ปัดไม่ไปแล้ว”
ทั้งคู่เดินเข้าเรือนไม้แสงสลัวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ โต๊ะอาหารแต่ละโต๊ะมีเชิงเทียนขนาดย่อมตั้งอยู่ข้างๆแจกันดอกไม้เล็กๆ จุดของแสงเทียนที่กระจายอยู่ทั่วร้านขยายรัศมีสะท้อนให้เห็นแม่น้ำสายยาวที่ขนาบเคียงระเบียงไม้ สีน้ำเงินเข้มเกือบดำบนผิวน้ำกระเพื่อมเป็นริ้วประกายเปลวสีเหลืองอ่อน สายลมพัดโชยมาพร้อมกลิ่นไอเย็นๆของฤดูหนาว เสียงกีตาร์และกลองเคล้าเสียงร้องเบาๆจากดนตรีสด ณ มุมหนึ่งของร้านบรรเลงทำนองบอสโนว่าที่แทบกลืนไปกับเสียงลมหวิวและภาพผิวน้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อย เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงแย่งกันจับจองที่นั่งริมแม่น้ำแห่งนี้ แม้แต่คนที่ใจแข็งที่สุดยังอาจเกิดอาการหวั่นไหวต้องปล่อยใจล่องลอยไปกับบรรยากาศแม้จะเพียงชั่วครู่ก็ตาม
“โต๊ะริมน้ำตรงโน้นยังว่างมั้ยคับ” เขาถามพนักงานสาว
“พอดีมีคนจองแล้วน่ะค่ะ รบกวนนั่งแถวนี้แทนได้มั้ยคะ”
“ผมนั่งกินแป๊บเดียวเองคับ เดี๋ยวก็ไปแล้ว”
พนักงานสาวอ้ำอึ้งอยู่ชั่วครู่ แล้วยิ้มเจื่อนๆให้
“พักเชียงใหม่คืนเดียวเอง... ผมกินเร็ว... จริงๆ.... ถ้าเกินชั่วโมงนะ มาไล่ได้เลยเอ้า”
พนักงานสาวยิ้มด้วยตา แล้วพยักหน้าน้อยๆ “ก็ได้ค่ะ”
“ขอบคุณมากคับ ไม่เกินชั่วโมงแน่นอน สัญญาด้วยเกียรติเนตรนารี” พนักงานขำเบาๆ เช่นเดียวกับเธอที่ยืนอยู่ข้างๆ และมองเขาที่แกล้งทำหน้าดุดันที่เหยาะแหยะที่สุด ริมฝีปากแทบจะเก็บยิ้มไว้ไม่อยู่
ทั้งคู่นั่งลงบนโต๊ะไม้ติดราวระเบียงเปิดโล่งสู่ริมแม่น้ำปิง มีชายคายื่นออกมาเหนือหัวพอกันหยดน้ำค้างได้บ้าง หลังจากกินขันโตกหนึ่งถาดเล็ก แกงจืดหนึ่งโถ และปลาทอดราดเปรี้ยวหวานหนึ่งจานหมดภายในระยะเวลาอันสั้น เธอก็นั่งซุกมือใต้กระเป๋าเสื้อผ้าร่มกันหนาวตัวใหญ่ หลังพิงพนักไม้ของเก้าอี้ตัวยาว และกินบรรยากาศเป็นของหวานพร้อมกันกับชายตรงหน้า เขากอดอกนั่งเอนหลังอย่างสบายอารมณ์ ตาเหลือบมองโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะ
“เหลืออีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะยอมให้เค้ามาไล่” เขายิ้ม “ทำเวลากันดีมาก”
“อิ่มอ่ะ อิ่มเกิน” เธอบ่น
“นั่งย่อยซักพักก่อนละกัน ไนท์ซาฟารีซักครึ่งชั่วโมงก็ถึง”
พวกเขานั่งฟังเพลงกันเงียบๆอีกพักใหญ่ ปล่อยให้ลมโกรกใบหน้า และเสียงกีตาร์และกลองเบาๆแว่วผ่านหู เธอพิจารณามองเขาเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ชายหน้ากลม แก้มอิ่ม กับดวงตากลมโตสดใส จมูกไม่เล็กไม่ใหญ่ ปากขนาดก้ำกึ่ง และผมไม่ตรงไม่หยิกสีดำสนิทไม่สั้นไม่ยาว เขาสวมเสื้อกันหนาวสีขาวตัวหนาทับเสื้อยืดพอดีตัวด้านใน
“เบิร์ดถามจริงๆเหอะ” เขาเอ่ยขึ้น เธอยิ้มรอฟังคำถาม “มากะเบิร์ดไม่กลัวถูกปล้ำเหรอ... คือ.... โทดนะที่พูดไม่เพราะ แต่... นั่นแหละ... ไม่กลัวโดนปล้ำเหรอ”
เธอหัวเราะเสียงดัง ความอัดอั้นและเคร่งเครียดนับตั้งแต่สองสามวันที่แล้วหายไปหมดสิ้น เหลือแค่ภาพความสุนทรีย์รายรอบในช่วงเวลาปัจจุบันที่ตัดขาดจากโลกปัจจุบัน “ไม่กลัว ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก”
“รู้ได้ไงวะ... คือ... แปลกใจนะที่ไม่ตอบว่า ‘เดินถอยหลังกันมั้ย’ อย่างเคย แต่...” เขาเขยิบตัวขึ้นมานั่งตรงๆ “คือ... เบิร์ดยังไม่รู้ตัวเองเลย แล้วแอร์จะมารู้ใจเบิร์ดได้ไง”
“ไม่รู้สิ แอร์เชื่อใจแหละ”
เขาเกาหัว “จะมาเชื่อใจได้ไง เบิร์ดยังไม่เชื่อใจตัวเองเลย เบิร์ดมันก็ผู้ชายนะ ไม่ใช่พระอิฐพระปูน”
เธอยังหัวเราะต่อไป “พี่เบิร์ดก็รู้ว่าแอร์เป็นยังไง แอร์มากับพี่ก็เพราะมาแล้วสบายใจ เหมือนมากับเพื่อนสาว”
“เพื่อนสาว?” เขาเขยิบตัวเข้าใกล้ แล้วท้าวแขนลงบนโต๊ะ “เพื่อนสาวของเจ๊นี่ก็ผู้ชายนะจ๊ะ ไม่กลัวคนอื่นเค้ามองเจ๊ว่าค้างห้องเดียวกับผู้ชายเรอะ”
“ก็มันไม่มีอะไร ใครมองยังไงก็เรื่องของเค้า พี่เบิร์ดกะแอร์ก็โสดทั้งคู่ ไม่ได้เป็นชู้อะไรซะหน่อย ไม่ได้ทำผิดกะใคร ยกเว้นลูกค้าที่พี่เบิร์ดโกหกนั่นแหละ แต่นั่นก็เรื่องของพี่ แอร์ไม่เกี่ยว”
“โอเค้... ไม่กลัวกระทิงเปลี่ยวก็ไม่เป็นไร.... ก็ดี ... ก็ดี แค่มาเที่ยว”
“ถือซะว่าไม่ปล่อยเด็กคนนึงมาปลีกวิเวกผูกคอตายที่เชียงใหม่ละกัน” เธอยักคิ้วให้
“แล้วสบายใจขึ้นยังล่ะ เปิดมือถือได้ยัง” เขาเอื้อมมือมาหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบ
“ไม่ล่ะ ยังไม่อยากคุยกะใคร”
“แล้วเฮียผมขาวเค้าจะไม่ห่วงเจ๊แย่เรอะ เบิร์ดล่ะรู้สึกเหมือนชู้กลายๆ”
“ยังไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย”
“อ้าวๆๆ ตกลงเจ๊ไม่ชอบเฮียเค้าแล้วเหรอ” เขายิ้ม เอนหลังพิงพนัก
“ชอบน่ะชอบ แต่ยังไม่อยากเจอ”
“กลัวห้ามใจไม่อยู่ล่ะเซ่ น้องสาว”
“เออ” เธอตอบตัดรำคาญ “ใช่... อยู่ด้วยก็เข้าอีแบบเดิม”
“อะไร” เขาขึ้นเสียง ทำหน้าเลิ่กลั่ก “หนุ่มออสซี่ชวนเจ๊เข้าม่านรูดด้วยเรอะ”
“ไม่ช่าย” เธอลากเสียง “หมายถึงเดี๋ยวก็ใจง่ายตอบรับเป็นแฟนเค้าอีก กอล์ฟน่ะเหรอ... รายนั้นน่ะง้องแง้งไปเรื่อย อยู่ด้วยกันก็พากันง้องแง้ง ปวดหัว... จริงๆอยู่กะทั้งคู่ก็ปวดหัวทั้งคู่นั่นแหละ คนนึงก็เด็ก อีกคนก็แก่โลก ปวดหัว.. หาความพอดีไม่มี.. เนี่ย เลยหนีมานี่ไง”
“เท่าที่เบิร์ดเห็นนะ” เขายิ้มน้อยๆ พลางร่นตัวลง หลังพิงพนัก “เจ้าออสซี่ก็ไม่ได้ง้องแง้งอะไร ถ้าไม่เสียแต่ว่าโลเลไปหน่อย ซึ่งผู้ชายก็มักจะเป็นแบบนี้ล่ะ แล้วเบิร์ดก็แอบเห็นใจนะว่าเจอคนน่ารักแล้วมีวูบไปบ้างเพราะเหงา แต่ก็ยังรักแฟนอยู่ ... เจ้าออสซี่มันก็เด็กระดับนึงล่ะ แต่แหมแอร์ก็โตกว่าเค้าซะที่ไหน จะคบกันมันก็คบได้ เพียงแต่แอร์จะเสียเหลี่ยมไปหน่อยเพราะยอมยกโทษให้เค้า กับเจ้านี่ก็คงประเภทโตไปด้วยกัน” เขาคว้าแก้วน้ำขึ้นจิบอีกครู่ ปล่อยให้นักเรียนนั่งรอฟังความคิดเห็นอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างใจจดใจจ่อ “ส่วนเฮียผมขาวนี่เบิร์ดไม่รู้ว่ะ คือ... หน้าบอกชัดล่ะว่าเจนโลก ผ่านอะไรมาเยอะ ซึ่งไม่ใช่ไม่ดี คือบางทีคนที่เห็นอะไรมาเยอะก็รู้เยอะว่าอะไรผิดแล้วก็มักทำตัวให้ถูกให้ควร ... แต่อีกแง่ก็คือ แอร์จะไม่ทันเค้า แต่แหม... ถ้าเค้าชอบจริงดูแลเราจริงเรื่องตามทันหรือไม่ทันนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถูกมั้ย .... เฮียเบนนี่เบิร์ดยังไม่กล้าฟันธง แต่อีกนั่นแหละ จะคบก็คบได้... แต่เบิร์ดแนะนำว่าน่าจะดูนานๆหน่อย”
“แอร์มันพวกใจร้อนไง พี่เบิร์ดก็รู้ ส่วนไอ้เรื่องบานาน่าสเตทเนี่ยแอร์ไม่เคยเจอผู้ชายประเภทนี้จริงๆ ทำตัวไม่ถูก”
“เจ๊ก็เล่นมุกถอยหลังไปสิ”
“นี่ๆๆ จริงๆมันมีความหมายนะ อย่ามาล้อเล่น” เธอทำเสียงเอาจริงเอาจัง “เพียงแต่คนไม่รู้ความหมายก็เท่านั้นเอง”
เขามองเธอเงียบๆอีกครู่ใหญ่จนเธอเริ่มทนไม่ได้ “อะไร”
“เบิร์ดรู้แล้วแหละว่าปัญหาของเจ๊คืออะไร” เขาเลื่อนตัวขึ้นนั่งตรง “เจ๊ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์เร้าทางเพศแบบเฉียบพลัน”
เธอหัวเราะ ไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยิน “อะไรนะ อารมณ์เร้าอะไรนะ”
“หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่าปิ๊ง เจ๊น่ะต้องรู้จักควบคุมและบริหารอารมณ์ปิ๊งไว้บ้าง ทำอะไรต้องมีสติหน่อย เข้าใจมั้ยจ๊ะน้องสาว” เขายักคิ้วหลิ่วตา
“อารมณ์เร้าทางเพศแบบเฉียบพลัน” เธอหัวเราะพลางย้ำกับตัวเอง “เออ จริง... อารมณ์เร้าทางเพศแบบเฉียบพลัน ไว้จะจำไปใช้บ้าง”
“ครั้งหน้าเวลารู้สึกอะไรกับใคร ก็จำไว้ว่าต้องควบคุมอารมณ์ปิ๊งไว้ ถ้าโดนขอเป็นแฟน ก็ตอบเค้าไปว่า แฟนนะไม่ใช่...”
“ตำแหน่ง” เธอพูดขึ้นแทบจะพร้อมกับเขา “ใช่ ใช้ตอบไปแล้ว... แต่ไม่ได้ผล”
“ชื่อมันก็แค่คำเรียกแทน แหม... เจ๊ยังตั้งชื่อแมวว่าหมาให้ชาวบ้านเค้างงเล่นเลย เห็นป่ะ ดังนั้นไอ้คำว่ากันและกันน่ะมันก็ไม่ได้มาแค่เพราะเริ่มเรียกกันว่าแฟนหรอก ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา สถานภาพมันซับซ้อนกว่านิยาม... ไง ฟังดูทรงภูมิมะ” เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ไม่เอาแล้ว” เธอส่ายหน้า “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ไม่อยากคิด ตอนนี้มีเรื่องอื่นให้กลุ้มมากกว่า”
“แล้วเจ๊กะทำอะไรต่อจากนี้”
“ไม่รู้” เธอหันไปมองริมน้ำครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมา “ยังไม่อยากคิด คิดไม่ออก ขอพัก หนีมาพักตั้งหลัก”
“ไม่ต้องเครียดหรอก เดี๋ยวก็เห็นทาง ไม่ต้องรีบ ทุกอย่างต้องใช้เวลา จะเจอคนที่รักมันก็ต้องใช้เวลา อยากรวยก็ต้องใช้เวลา อยากประสบความสำเร็จก็ต้องใช้เวลา มักง่ายไม่ได้ ชีวิตไม่มีทางลัด...” เขาเว้นวรรค ขณะที่เธอส่งยิ้มให้อย่างเศร้าๆ “นี่ไง อุตส่าห์พามาใช้เวลาในร้านอาหารริมปิงเชียวนะ เดี๋ยวก็หาแรงบันดาลใจเจอ แล้วเดี๋ยวก็คิดออก ไม่ต้องรีบร้อน”
เธอเหม่อมองผิวน้ำด้านข้าง พลางพูดขึ้นเบาๆ “แอร์ใจร้อนไปใช่มั้ย”
“จะว่าใช่ก็ใช่ แต่ทำไงได้” เขายิ้มปลอบใจ “ก็ทำไปแล้ว แต่มองอีกแง่นะ... ก็ดีแล้วที่อย่างน้อยก็รู้ว่าไม่ใช่ทางของเรา จะได้ไม่เสียเวลา”
เธอถอนใจ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน “แอร์จะเดินไปทางไหนต่อดีล่ะพี่เบิร์ด”
“อย่ารีบร้อนสิ หยุดพักบ้างก็ได้ ข้างหน้าเนี่ยก็สวย บางทีสวยกว่าจุดหมายอีก มองๆไปแอร์อาจจะเจอแรงบันดาลใจก็ได้”
เธอยิ้มน้อยๆ แล้วมองอย่างไร้จุดหมายเหนือผิวน้ำกว้างใหญ่ พลางคิดถึงความรู้สึกเมื่อตอนอยู่บนเชิงเขาใต้ผืนฟ้าสีคราม ภาพความสดชื่นและกลิ่นแห่งอิสระเสรี จากนั้นกลับมาเปรียบเทียบกับความรู้สึกตอนนี้ขณะท้องฟ้ามืดสนิทมีดาวแต้มประปราย ภาพความวังเวงแห่งความหวัง และกลิ่นอายหนาวยะเยือก เธอเตือนตัวเองไม่ให้ลืมเด็ดขาด อย่าบังอาจลืมเด็ดขาดว่าเมื่อตอนบ่ายได้เห็นและย้ำกับตัวเองไว้ว่าอย่างไร
“พูดถึงไอ้วันปีใหม่นี่ก็มันส์ว่ะเจ๊ เค้าเรียกอะไรนะ”
“อะไร” กลยุทธเปลี่ยนเรื่องอันแนบเนียนของเขาทำเธอหายเศร้าได้ชั่วคราว “นรกแตกน่ะเหรอ”
“ป่าวๆ... ใช่ๆ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าไง” ทั้งคู่หัวเราะเฮฮาไปด้วยกัน เขา...ด้วยความสะใจ และเธอ...ด้วยการประชดตัวเอง และเมื่อสิ้นเสียง เขาจึงถามต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เสียดายมั้ยที่มากับเบิร์ดแทนที่จะเป็นเฮียเบนหรือหนุ่มออสซี่”
เธออมยิ้ม ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เสียดาย” เธอคิดดีแล้ว และเธอไม่เสียดาย
หากทางขึ้นและลงพระธาตุดอยสุเทพเป็นตู้เย็นขนาดย่อม ทางไปและกลับไนท์ซาฟารีแห่งจังหวัดเชียงใหม่ก็เป็นช่องแช่แข็งขนาดใหญ่ที่มีพัดลมตัวมหึมาจ่อพัดกระหน่ำดีๆนี่เอง เขาจอดมอเตอร์ไซค์ทันทีที่เจอร้านกาแฟร้านแรกขณะกลับเข้าสู่ตัวเมือง เดินโทงๆด้วยทรงผมปัดสวอนพร้อมกับบ่นเป็นหมีกินผึ้งว่า ‘บอกว่าให้ไปเที่ยวไนท์ซาฟารีถ้ามาเชียงใหม่... ไม่ได้บอกซักกะคำว่าจะพาไป’
หลังจากสงบสติอารมณ์ด้วยนมร้อนที่เขาเน้นย้ำกับพนักงานเป็นพิเศษว่า ‘ขอร้อนสุดๆนะคับ’ เขาก็นั่งสงบเงียบบนเคาน์เตอร์ม้านั่งไม้ตัวยาว มือท้าวโต๊ะติดระเบียงที่หันออกสู่คูเมืองแคบๆทาบขนาบร้าน เธอนั่งข้างๆ ใช้สองมือกุมแก้วกาแฟอุ่นๆ สูดกลิ่นหอมของกาแฟสดที่เริ่มจางลงเรื่อยๆ สายตาร่อนเร่ท่ามกลางค่ำคืนดึกสงัด เสียงรถบนถนนขับผ่านแว่วมาเป็นระยะพร้อมแสงไฟลางๆวูปไปมาด้านหลัง ไอเย็นและน้ำค้างในอากาศพากลิ่นฤดูหนาวแทรกซึมทั่วบริเวณ ผิวน้ำพื้นผ้าแพรสีดำวาวในคูนิ่งสนิท และฉาบคราบสีขาวสว่างที่สะท้อนจากแสงไฟนีออนของร้าน เธอพิศมองความไม่ไหวติงของกระจกเงาดำสนิทที่ทอดขวางเบื้องหน้าอยู่เนิ่นนานด้วยสติที่ว่างเปล่า และความปรารถนาที่มืดมน
“แอร์จะทำอะไรต่อดี”
“ค่อยๆมองไป” เขาตอบเนิบๆ ตายังมองตรง “ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวก็เจอตัวเอง”
“แอร์เชื่อสัญชาตญาณแอร์นะ... รู้มั้ย..” เธอก้มมองในแก้วกาแฟที่เกือบว่างเปล่า ความอุ่นที่ยังเหลืออยู่บนกระเบื้องในมือพอบรรเทาหนาวลงได้บ้าง “แอร์มองเห็นภาพทุกคนที่เข้าไปเทรน แอร์เห็นครูฝึก เห็นวิถีปฏิบัติ เห็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบบนเครื่อง” เธอส่ายหน้า “แอร์ไม่เห็นตัวเอง... แอร์ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น ทางไปต่อก็ไม่มี” เธอเริ่มน้ำตาซึม เสียงพูดค่อยๆแหบแห้ง “แอร์ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ” เธอสะอื้น สูดลมเข้าปอดด้วยความสั่นเทา “รู้แต่ว่าแอร์ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้น... ไม่ใช่ทาง....” คำที่เหลือของประโยคออกมาเป็นเพียงเสียงลมแผ่วเบา
เขาเขยิบตัวเข้าใกล้กระทั่งไหล่ชนไหล่ แล้วใช้มือลูบผมของเด็กสาวที่โดดเดี่ยวข้างๆ คำปลอบโยนอันเงียบงันค่อยๆดังขึ้น ขณะที่สัมผัสแผ่วเบาค่อยๆส่งแรงกระตุ้นเป็นกำลังใจหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ เธอหันไปยิ้มทั้งน้ำตา เขายิ้มน้อยๆกลับด้วยมาดสุขุมที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“ถ้ามีผ้าเช็ดหน้าซะหน่อยน้า เฮียเบนก็เฮียเบนเฮอะ เฮียเบิร์ดจะแมนแข่งให้ดู”
เสียงหัวเราะพลับกลบเสียงสะอื้น เธอปาดน้ำตาแล้วพูดต่อ “ขอบคุณนะคะที่พามาเที่ยว”
เขาตบไหล่เธอเบาๆ แล้วผละมือออก “ไม่เป็นไร ซื้อยาแก้หวัดให้ด้วยละกัน” เขาตอบเสียงอู้อี้ “นี่ถ้าเผื่อคืนนี้กระทิงเปลี่ยวแผลงฤทธิ์ก็ไม่ต้องห่วงนะ เหนื่อยจนไม่มีแรงจะทำอะไรทั้งนั้นแล้ว... บ้าดีแท้... นั่งรถมอไซค์ไปไนท์ซาฟารี ... บ้าที่สุด... คิดได้ไงวะ”
เธอเหลือบไปยิ้มให้พร้อมใช้ศอกสะกิด “ก็จะได้ไม่ลืมทริปนี้กะแอร์ไงเล่า”
“จำไปจนตายแหละคับเจ๊” เขาทำเสียงซื้ดๆในจมูก
เสื้อหนาวสีขาวและดำแนบชิดติดกันอยู่บนม้านั่งไม่ขยับเขยื้อน แขนต่างใช้ท้าวบนโต๊ะ มือกุมแก้วที่ยังคงความอบอุ่นไว้ ทั้งคู่ถอนหายใจแทบจะพร้อมกัน
“พี่เบิร์ด” เธอเรียกเขาโดยไม่ได้หันไปมอง “ตกลงเราเป็นอะไรกัน”
“ไม่รู้สิ” เขายังเหม่อมองไปข้างหน้า เว้นช่วงอีกพักใหญ่ ก่อนจะพูดต่อ “รู้แต่ถ้าเป็นมากกว่านี้ก็ผัวเมียแล้วล่ะ” เขาเขยิบตัว หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อออกมาดู แล้วนิ่งไปชั่วครู่ “ไปกันเถอะ ดึกแล้ว”
เธอนั่งซ้อนท้ายคนขับที่เธอรู้สึกปลอดภัยและสบายใจที่สุดเมื่ออยู่ใกล้ ทั้งคู่มาถึงที่พักเมื่อเวลาเกือบเที่ยวคืน และค่อยๆเดินลงจากรถเข้าสู่เกสต์เฮ้าส์ให้ช้าที่สุดเพื่อลดแรงลมปะทะ เขาทักทายพนักงานต้อนรับกะดึกที่นั่งหง่าวดูทีวีอยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยใบหน้าอ่อนล้าอันอิ่มเอิบ ขณะที่เธอส่งยิ้มให้พนักงานคนนี้เป็นคนแรกและครั้งแรกนับตั้งแต่เดินทางมาถึงเมื่อบ่าย ชายหญิงสองคนเดินผ่านล็อบบี้ด้วยอารมณ์เบิกบาน ผ่านโซฟาตัวยาว โดยไม่ได้สังเกตว่ามีใครคนหนึ่งเฝ้ามองพวกเขาอยู่ตั้งแต่ตอนขับรถเข้ามาจอดหน้าที่พักด้วยซ้ำ
“เบิร์ด” เสียงผู้หญิงดังขึ้นจากด้านหลัง เขาและเธอหันกลับไปมองแทบจะพร้อมกัน เขา... ด้วยความตะลึงงัน และเธอ.... ด้วยความงงงวย
นี่เองอิสระ อิสระที่จะเดินหน้า ถอยหลัง วิ่ง หรือหยุด อิสระที่จะเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ลงใต้ ขึ้นเหนือ อิสระที่จะมุ่งไปในทิศใดก็ได้ครบสามร้อยหกสิบองศา อิสระที่จะตั้งชื่อหมาว่าแมว แมวว่าหมา กินข้าวคลุกน้ำปลา หรือข้าวคลุกน้ำตาล อิสระที่จะเปิดมือถือหรือปิดมือถือ รับสายหรือไม่รับสาย อิสระที่จะชอบหรือไม่ชอบ รักหรือเกลียด อิสระที่จะพูดความจริงหรือโกหก นิ่งเงียบหรือบิดเบือน อิสระที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง ตัดสินใจทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง แต่เมื่อคุณมีอิสระที่จะเลือกและได้เลือกแล้ว สิ่งที่ตามมาไม่ใช่อิสระ แต่เป็นข้อผูกมัด เป็นผลของการกระทำ เป็นภาระความรับผิดชอบ และบ่อยครั้งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม ขอบเขตที่อยู่นอกเหนือจากอิสระในการเลือกคืออาณาเขตของความบังเอิญที่ไม่เคยขาดอารมณ์ขัน คำถามสุดท้ายคือ คุณจะขำไปกับมุกฝืดๆของเจ้าความบังเอิญนี้ได้หรือไม่ หากคำตอบคือ ‘ได้’ อิสระก็ได้นำพาคุณมาหาโชคชะตา แต่หากคำตอบคือ ‘ไม่ได้’ อิสระก็แค่จูงคุณมาหาความเฮงซวยของชีวิต
“ใครเหรอ” เธอกระซิบถามเขา
คล้ายกับว่าจะได้ยิน ผู้หญิงที่โซฟายืนขึ้นแล้วยิ้มให้ “ชื่อจิ๊บค่ะ นี่แอร์ใช่มั้ย”
ความคิดเห็น