คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ว่าด้วยเค้กช็อกโกแลต
27 ก.ค. 2550 (ห้าเดือนกับอีกเกือบเจ็ดวันที่แล้ว) -- ว่าด้วยเค้กช็อกโกแลต
ช่วงเวลาแห่งการตกหลุมรักคือความงี่เง่าเมื่อมองย้อนกลับด้วยสติสัมปชัญญะจากอนาคต คือความสุนทรีย์ของชีวิตเมื่อมองไปข้างหน้าด้วยความคาดหวังจากอดีต และคือภวังค์เมื่อมองไปรอบๆด้วยสายตาที่ต้องมนตร์ในบัดดลนั้น วุฒิภาวะอันภาคภูมิพลันถูกสะกดให้กลายร่างเป็นเด็กงอแงอยากได้ของเล่น ทัศนคติเป็นกลางถูกเสกให้แปรเป็นความเอาแต่ใจที่ไม่รู้จักกาละเทศะ ความสามารถในการมองเห็นถูกสาปให้ถดถอยจบเกือบเหลือศูนย์ และความสมดุลย์ของสารเคมีในร่างถูกร่ายคาถาให้ปั่นป่วนจนไม่เป็นอันกินอันนอน เจ้าช่วงเวลาแห่งการตกหลุมรักนั้นร้ายกาจกระทั่งสามารถยั่วยวนให้คุณกระโดดหน้าผาโดยคิดว่ากำลังเหินฟ้าทั้งๆที่ตกเหว ล่อลวงให้คุณคิดว่ากำลังตะโกนกึกก้องหุบเขาทั้งๆที่อยู่กลางสี่แยกในเมือง เยินยอให้คุณคิดว่าเป็นอัศวินกับเจ้าหญิงบนหลังม้าตะลุยโลกกว้างทั้งๆที่เป็นแค่สามัญชนเมายาอยู่ในคุกซอมซ่อ สรุปง่ายๆว่ามันคือพ่อมดชั้นเซียนที่หากคุณตกเป็นเหยื่อก็คงไม่มีทางต่อกรได้เลย
แต่ก็ใช่ว่าการตกหลุมรักจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ภาพลวงสีชมพูบางครั้งก็ทำให้คนสดชื่นมากกว่าภาพแห่งความจริงสีขาวดำ ความเป็นเด็กเจ้าอารมณ์บางครั้งก็ให้กำเนิดจินตนาการที่สวยงามมากกว่าความเป็นผู้ใหญ่ที่เย็นชา สารเคมีที่ปรวนแปรก็ทำให้หัวใจได้ออกกำลังกายมากกว่าความสมดุลย์ที่เอื่อยเฉื่อย และที่สำคัญที่สุด การตกหลุมรักทำให้คนมองโลกในแง่ดีขึ้นมาถนัดตา และคนที่มองโลกในแง่ดีเท่านั้นที่จะมีความสุขบนดาวดวงนี้ได้
และเห็นได้ชัดว่าอาการตกหลุมรักมักทำให้คนพร่ำเพ้อเกินจริงและเกินเหตุ (ดังตัวอย่างของสองย่อหน้าข้างต้นที่ผู้เขียนพรรณาไว้ยืดยาว) แน่นอนว่าเธอได้ฟังเรื่องทำนองนี้มานับครั้งไม่ถ้วนจากผู้มีประสบการณ์ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้จนได้เจอเข้ากับตัว เธอนั่งอยู่ในร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่งกลางกรุง เล่นหลบสายตาสลับยิ้มเขินๆกับผู้ชายตรงหน้าบนโต๊ะไม้ทรงกลมเล็กๆ แสงจากโคมไฟด้านบนทอสีเปลวเทียนสลัวๆปกคลุมที่ว่าง กลิ่นหอมละมุนจางๆโชยมาพร้อมไอเย็นฉ่ำที่แตะเฉียดผิวกายให้พอชื่นใจ เสียงกีตาร์แจ้สเล่นหยอกล้อกับเสียงกลองนุ่มๆ ผิวเนียนลื่นบางเบาของผ้าพันคอคลอเคลียเนินไหล่และลำคอของเธออย่างอบอุ่น เธอถูกดึงดูดเข้าสู่ช่วงเวลาและจมลึกลงเรื่อยๆจนถึงจุดหนึ่งที่หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ศีรษะวิงเวียน หายใจผิดปกติ ค่ำคืนนี้สมบูรณ์แบบเกินไปจนทำให้เธอหน้ามืด สถานที่เหมาะๆ กับอาหารถูกปาก และกับคนที่ใช่ เท่านี้เองที่เธอต้องการในชีวิต เพียงช่วงเวลาเช่นนี้ก็เพียงพอ เธอเลิกคิดเรื่องมารยาทมารยาการวางตัวไปตั้งนานแล้ว และใช้สติและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่ในการประคองให้ตัวเองนั่งอยู่ได้ตรงบนเก้าอี้ไม้ตัวนี้
เขาขับรถมารับเธอในเย็นวันนั้นด้วยรถสปอร์ตปราดเปรียว เซอร์ไพร์ซก่อนหน้าการขับขึ้นทางด่วนพามาเดทในร้านอาหารแสนโรแมนติกคือเมื่อเขาขอให้เธอช่วยหยิบกล่องกระดาษใบเล็กออกจากหน้าปัดหน้ารถ “แอร์ช่วยหยิบออกให้หน่อยสิครับ มันบังนาฬิกามองไม่เห็น” เธอพลิกดูกล่องสีเงินเนียนเรียบที่แทบจะไร้น้ำหนักไปมาสองสามรอบก่อนทำท่าจะโยนทิ้งเบาะหลัง และคงโยนทิ้งไปแล้วหากเขาไม่ทักเสียก่อนว่าจะยกกล่องให้เธอ หลังจากเถียงกันอยู่ไม่กี่ประโยคด้วยประเด็นที่ว่า ‘แล้วแอร์จะเอากล่องเปล่าไปทำไม’ เธอก็แกะกล่องออกดู และพบผ้าพันคอเนื้อบางโทนน้ำตาลอ่อนผืนยาว “เห็นแอร์บ่นว่าที่ทำงานหนาว จะได้เอาไว้ใช้ไง” และแล้วของขวัญก็มาลงเอยพันหลวมอยู่บนคอในอีกไม่กี่นาทีต่อมา
“สั่งเต็มที่เลยครับ กอล์ฟรู้ว่าแอร์หิว”
“กอล์ฟสั่งให้แอร์หน่อย แอร์กินได้หมดแหละ แต่ขออร่อยๆนะ”
เรื่องน่าขันอีกเรื่องของการตกหลุมรักคือการทำให้เธอกลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ หลังจากบอกให้เขาสั่งอาหารให้ เธอก็เดินไปเข้าห้องน้ำและใช้เวลาพักใหญ่เช็คความเรียบร้อยบนใบหน้าและทรงผม เธอลังเลขณะกำลังจะจับลูกบิดประตูเปิดออก และตัดสินใจเดินกลับไปที่หน้ากระจกอีกครั้งเพื่อเติมลิปกลอส สามก้าวหลังจากออกห่างจากกระจก เธอก็ต้องเดินถอยกลับไปใหม่เพื่อจัดผมหน้าให้เป็นทรง เธอลองมัดผมขึ้น แล้วก็ปล่อย แล้วก็มัดขึ้นไปใหม่ ครั้งสุดท้ายของสุดท้ายที่กลับเข้าหากระจกคือเพื่อยิงฟันดูความสะอาด (ก่อนกินอาหารด้วยซ้ำ)
เธอกลับไปที่โต๊ะและพบอาหารจานแรกวางรอไว้แล้ว ขนมปังกระเทียมชีสเสิร์ฟพร้อมหอยลายอบเครื่องเทศคือออเดิร์ฟรสเลิศในค่ำคืนนี้ เขาจัดการเตรียมชิ้นขนมปังกรอบนุ่ม ตักหอยลายวางไว้พอคำ แล้ววางไว้บนจานให้เธอ
“ขอบคุณค่า”
“กอล์ฟสั่งสปาเกตตี้แซลมอนรมควันให้นะ” เขาเปรย “ทีแรกว่าจะสั่งคาโบนาร่าให้ แต่กลัวแอร์จะว่าอ้วนไป ก็เลยเปลี่ยนเป็นปลา แอร์โอเคเปล่าครับ”
“น่าอร่อยดี แอร์ชอบปลา”
“ที่นี่เค้าขึ้นชื่อเรื่องอาหารฝรั่ง แต่อาหารไทยก็มีนะ แอร์อยากกินอาหารไทยด้วยมั้ย”
“ไม่ต้องหรอก เอาตามที่กอล์ฟสั่งแหละ” เธอหยิบชิ้นขนมปังขึ้นมา “ร้านเค้าน่ารักดีเนอะ บรรยากาศน่ารักดี”
“ครับ ก็อาหารอร่อย เค้กชอกโกแลตเค้าก็อร่อยนะ กอล์ฟชอบเค้กชอกโกแลตร้านนี้ เดี๋ยวเก็บไว้เป็นของหวานละกัน”
ระหว่างมื้อเย็นที่มีอาหารลื่นปากทยอยเข้ามาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ บทสนทนาก็ค่อยๆลื่นไหลไปเรื่อยๆโดยมีดนตรีแจ๊สเบาๆ และความขี้เล่นแบบเนิบๆของเขาช่วยปูทาง ทั้งสองแบ่งปันเรื่องราวตั้งแต่เรื่องครอบครัว แผนการในอนาคต ชีวิตรัก เพื่อนฝูง ไปจนถึงเรื่องงี่เง่าที่สุดที่เคยทำ เสียงหัวเราะเริ่มดังถี่ขึ้นทั้งจากเธอและเขา
“แอร์มีน้องสาวอีกคน ชื่ออีฟ” เธอตอบคำถาม “กอล์ฟล่ะ มีพี่น้องกี่คน”
“ลองเดาดูสิ” เขายักคิ้ว แล้วยิ้มเชิญชวน
“แอร์จะรู้ได้ไงเล่า”
“อ่ะ คิดว่ากอล์ฟเป็นลูกคนโต คนกลาง หรือคนเล็ก” เขาเสนอตัวเลือก
“คนเล็ก” เธอตอบอย่างมั่นใจ
“รู้ได้ไงครับ”
“ไม่รู้สิ แต่รู้อ่ะ สัญชาตญาณมั้ง แล้วเดาถูกมั้ย”
เขาพยักหน้ารับ “เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่รู้สิ รู้สึกเหมือนเป็นคนเอาแต่ใจ..” เธอเว้นไปพักหนึ่งก่อนจะต่อประโยคให้จบเพื่อเพิ่มความสุภาพ “นิดนึง”
เขาหัวเราะร่า “เกือบถูกครับ กอล์ฟเป็นลูกคนเดียว” เขาเว้นช่วงไปอีกพัก แล้วชวนคุยต่อ “จริงๆก็อยากมีน้องบ้างนะ น้องแอร์อ่อนกว่าแอร์กี่ปีอ่ะครับ”
“ห้าปี เนี่ย เมื่อวานเพิ่งวันเกิดอีฟเอง ครบสิบเจ็ดพอดี”
“จริงเหรอ” เขาจับช้อนส้อมในจานเล่น “วันนี้ก็วันเกิดกอล์ฟ”
“หา... จริงเหรอ”
“จริงๆ ก็กอล์ฟเลยชวนแอร์ออกมากินข้าวกันไง”
“แล้วทำไมไม่บอกแอร์ก่อน จะได้เตรียมของขวัญไว้ให้” เธอขึ้นเสียงจริงจัง
“แฮะๆ ไม่เล่นต่อและ... เดี๋ยวโดนโกรธ” เขาวางช้อนส้อมในจาน แล้วยิ้มเป็นตาแป๊ะ “กอล์ฟล้อเล่น”
“อะไรเนี่ย” เธองง
“หลอกง่ายจริงๆด้วยเนอะแอร์เนี่ย” เธอขมวดคิ้วไม่พอใจ “ไม่หลอกแล้วคร้าบ อย่าโกรธจริงนะ”
“แล้วกอล์ฟเกิดจริงเมื่อไหร่”
“ยี่สิบแปดธันวาครับ... แอร์ล่ะเกิดเมื่อไหร่”
“แอร์ไม่ชอบคนโกหก” เธอพูดขึ้นด้วยหน้าตาเฉยเมย
เขาหน้าเจื่อนขึ้นถนัดตา “เออ... กอล์ฟขอโทษครับ กอล์ฟแค่ล้อเล่นจริงๆ”
แล้วเธอก็ยิ้มกว้าง “แอร์ล้อเล่น”
“อะไรเนี่ยคุณ” เขาถอนใจยกใหญ่ “ทำผมใจหายวาบเข้าจริงๆ ... เฮ่อ เนียนนะเนี่ย”
“อะไร” เธอแกล้งทำเสียงดุเล่น
“เนียนครับเนียน” เขายกนิ้วให้
“แต่แอร์ไม่ชอบคนโกหกจริงๆนะ มีอยู่สองประเภทที่ทนไม่ได้จริงๆคือคนโกหกกับคนยึกยัก”
เขาขำกึกกักในลำคอ “ยึกยักนี่ยังไงครับ”
“แอร์ใจร้อน มีอะไรก็พูดตรงๆดีกว่า คนยึกยักอ้อมค้อมนี่แอร์จะทนอยู่ได้ไม่นานเพราะจะรำคาญซะก่อน”
“กอล์ฟก็ใจร้อนนะ”
“แอร์รู้”
“เหรอครับ ชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”
เธอพยักหน้า “แค่วิธีขับรถก็รู้แล้ว”
เขาหัวเราะลั่น “ผมขับน่าหวาดเสียวขนาดนั้นเลยเหรอคุณ”
“ก็ไม่ได้อันตรายอะไร แอร์ไม่ได้กลัว แต่ก็ใจร้อนใช่มั้ยล่ะ”
“งั้นเราจะอยู่คุยกันได้นานมั้ยเนี่ย” เขายิ้มกว้างต่อไป “รู้มั้ยผู้ชายราศีไหนที่ชื่อเสียงแย่ที่สุด” เธอส่ายหัวแล้วรอคำตอบจากเขา “ราศีกอล์ฟเนี่ยแหละ คือ .... ไม่เล่ารายละเอียดดีกว่า แต่สรุปง่ายๆว่าแย่ทุกอย่างยกเว้นข้อดีข้อเดียว รู้มั้ยอะไร” เธอส่ายหัวอีกรอบ “มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ” เขาส่งสายตามาที่ผ้าพันคอบนตัวเธอ
เธอหัวเราะยกใหญ่ ปกติเธอไม่ได้อารมณ์ดีขนาดนี้ แต่การคุยกับเขาตัวต่อตัวทำให้ขากรรไกรของเธอเมื่อยไปหมดแล้ว “สร้างสรรค์เพราะซนสุดๆล่ะไม่ว่า”
“โห คุณนี่อ่านผมทะลุปรุโปร่ง” เธอหัวเราะหนักยิ่งขึ้นเพราะรู้ดีว่าประโยคเมื่อครู่เหลวไหลทั้งเพ เธอกำลังอ่านอะไรไม่ออกเลยล่ะสิไม่ว่า เพราะสติสตางค์ตกกระจายอยู่เกลื่อนพื้นไปหมดแล้ว
และนี่เองคือที่มาของโรคหัวใจกำเริบที่เธอกำลังเผชิญขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหารทรงกลมเล็กๆ ในร้านอาหารเล็กๆ ที่บรรเลงบทเพลงเล็กๆ และกับชีวิตเล็กๆสองชีวิตที่มีความสุขที่สุดในดาวดวงใหญ่ๆ เธอไม่รู้ว่าอาการบั่นทอนสุขภาพกายและจิตเหล่านี้เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ และเริ่มได้ยังไง เธอจนปัญญาหาคำอธิบายสาเหตุที่ฟังสมเหตุสมผลจริงๆ ทุกอย่างเป็นปริศนา เป็นมายากล เป็นความลึกลับ ตาของเธอเริ่มพร่ามัวหนักขึ้น หัวหมุน ในท้องปั่นป่วน เกิดอาการลืมหายใจ ใบหน้าร้อนผ่าว ใจเต้นไม่เป็นส่ำ และเกิดอาการสับสนในตัวเอง เธอคิดว่าเธอควบคุมตัวเองได้ แต่เอ๊ะ... เธอก็ควบคุมไม่ได้ เธออิ่มเอิบ แต่ก็เหมือนจะไม่มีวันพอ เธอบ้าบิ่น แต่ก็ปอดแหก เธออยากหยุดยิ้ม แต่เธอก็ไม่อยากหยุดยิ้ม เธออยากบอกเขาไปตรงๆเลยว่าชอบ แต่เธอก็ไม่อยาก เธอทั้งชอบเขาและเกลียดเขาที่ทำให้เธอชอบเขาได้อย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน เธอชอบที่ตัวเองได้สัมผัสความรู้สึกประหลาดนี้ แต่เธอก็เกลียดตัวเองเข้าไส้ที่ปล่อยให้รู้สึกมากไปจนแทบเป็นบ้า
“แอร์ชอบกอล์ฟแล้วว่ะ” ตายล่ะสิ สายเกินไปแล้ว นี่เธอพูดอะไรออกไป นิสัยขาดความยับยั้งชั่งใจกำเริบอีกแล้ว เขาอึ้งไปหลายวินาที จากนั้นค่อยๆคลายยิ้มออกมา แล้วอ้ำอึ้งอยู่ต่ออีกหลายสิบวินาที “แอร์ขอคืน ลืมที่พูดไปให้หมดนะ แอร์ชักกะตุก”
“ชักกะตุก?” เขาขำหนักขึ้น “แถมขึ้นว่า ‘ว่ะ’ เชียวเรอะคุณ”
แล้วเธอก็อายแทบอยากซุกตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่มไปตลอดชีวิต ถ้าเพียงแต่นี่ไม่ใช่ร้านอาหาร “ลืมไปซะ ถือว่าแอร์ไม่ได้พูดอะไร”
“ทำไมล่ะครับ... ผมเชื่อแล้วว่าคุณไม่ยึกยัก ผมก็ชอบคนไม่ยึกยัก แต่ขึ้นคำว่า ‘ว่ะ’ เลยเหรอ”
“เออ” เธอขึ้นเสียง ตัดรำคาญ
เขายังหัวเราะต่อไปไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย มือทั้งสองยังเล่นพับกระดาษเช็ดปาก พลิกไปพลิกมาในมือ “ง่ายดีเนอะ อยู่กะแอร์แล้วทุกอย่างมันดูง่ายดี.... แหม ถ้ากอล์ฟไม่ชอบแอร์คงไม่แอบตะล่อมขอเบอร์จากพี่กบแล้วเนียนโทรไปคุยกับแอร์หรอก” เขาก้มหน้าหลบสายตา “สารภาพก็ได้ว่าเห็นแอร์ครั้งแรกก็แอบคิดแผนชั่วสารพัดว่าจะหาทางเอาเบอร์ให้ได้ยังไง แต่ลังเลเพราะคิดมุกไม่ออก เลยต้องเข้าทางพี่กบ รู้มั้ยว่ากว่าจะเกลี้ยกล่อมพี่กบให้ให้เบอร์แอร์ได้น่ะ เหนื่อยมาก”
“พี่กบโทรมาบอกแอร์แล้ว...” เธอแสร้งเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำมาจิบหนึ่งที “แอร์ก็บอกพี่เค้าไปว่าให้ไปเลย ตอนนั้นก็อยากรู้เหมือนกันว่ากอล์ฟจะมาไม้ไหน พี่กบก็ย้ำ ย้ำจัง ย้ำนักย้ำหนาว่า ไอ้ตี๋โจรใต้เนี่ยนะ”
เขาหัวเราะแบบไม่เชื่อตัวเอง มือนัวเนียกับกระดาษเช็ดปากบนโต๊ะ “กอล์ฟเป็นคนใต้นะ ไม่รู้เหรอ”
“จริงเหรอ จังหวัดไหนอ่ะ”
“ป่าวครับป่าว” เขาวางมือจากกระดาษเช็ดปาก “กอล์ฟล้อเล่น”
เธอค้อนใส่ “กอล์ฟ แอร์ไม่ชอบคนโกหก”
“ล้อเล่นคร้าบ ขอโทษคร้าบ แหมก็คุณน่ะชอบทำตัวอย่างเงี้ย ใครพูดอะไรก็เชื่อตลอดเลย” เธอเงียบใส่ มองอย่างเฉยเมย “อารายคร้าบเนี่ย... ผม... ล้อเล่นจริงๆ ผมไม่ได้โกหกนะ เค้าเรียกล้อเล่น ไม่ได้โกหก ผมเจตนาบริสุทธิ์จริงๆนะคุณ”
“ก็แค่นั้นแหละ.. แอร์ล้อเล่น” เธอเผยยิ้มออกมาเหมือนเดิม ขากรรไกรเริ่มล้าถึงขีดสุด ในใจไม่คิดไม่ฝันว่าจะสามารถทำตัวเล่นกุ๊กกิ๊กได้ปัญญาอ่อนขนาดนี้ทั้งๆที่อายุปูนนี้แล้ว
หลังจากมื้ออาหาร เขายืนกรานจะสั่งของหวานเสียให้ได้แม้เธอจะบ่นว่าอิ่มจนขึ้นมาถึงคอหอยแล้วก็ตาม สุดท้ายพวกเขาจึงลงเอยด้วยกาแฟร้อนหนึ่งถ้วยของเธอ กาแฟเย็นหนึ่งแก้วของเขา และเค้กช็อกโกแลตหวานหยดอีกชิ้น เธอมองเขาค่อยๆละเลียดเนื้อเค้กสีเข้มชุ่มฉ่ำเข้าปากทีละคำด้วยอากัปกริยานุ่มนวลเหมือนผู้หญิงและสีหน้าทะเล้นน่าเอ็นดูเหมือนเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ เธอส่ายหน้ากับตัวเอง ยิ้มให้กับความโง่ที่หลวมตัวชอบเขาเข้าให้จังเบ้อเร่อ
“เอาหน่อยสิคุณ ช่วยผมกินหน่อย” เขาเลื่อนจานเค้กให้เธอ “อร่อยจริงๆน้า แล้วจะติดใจ” เขาไม่รู้ตัวว่ามีช็อคโกแลตเลอะติดอยู่ที่มุมปาก
“ช็อกโกแลตเลอะปากแล้ว” เธอชี้ไปที่มุมปากของเธอเพื่อบอกตำแหน่ง “ตรงนี้น่ะ”
“เหรอ ตรงนี้เหรอ” เขาชี้ที่มุมปากด้านซ้ายของตน แล้วตักเค้กอีกคำเข้าปากให้เฉียดมุมปากด้านนั้นจนเนื้อช็อคโกแลตสีน้ำตาลไหม้เลอะเทอะบนหน้ามากขึ้นอีก “ตรงไหนอ่ะ” เขาเคี้ยวหมุบหมับ “คุณเช็ดให้ผมหน่อยสิ”
แล้วความหวานชื่นก็ทำให้เธอลืมตัวไปว่าไม่ใช่เด็กง้องแง้งม.ปลายอีกแล้ว “เช็ดเองสิ” เธอโยนกระดาษเช็ดปากของเธอให้เขา
“ผมมองไม่เห็นนี่คุณ คุณเช็ดให้หน่อยสิ” เขายิ้มหน้าแป้น ยื่นปากมาทางเธอ พร้อมยื่นกระดาษให้
“งั้นก็ปล่อยให้เลอะไปอย่างนี้แหละ” เธอพยายามหุบยิ้มด้วยความยากลำบาก และค่อนข้างประสบความล้มเหลว
“คุณน่ะ ใจร้าย... น่า ... นะ ... เช็ดให้หน่อยสิ” เขายื่นกระดาษส่งให้ในมือเธอ เธอลังเลอยู่ชั่ววินาที ค้อนมองตาเขา แล้วก้มลงมองกระดาษตรงหน้า สลับกันไปมา ทันใดนั้นก็ฉวยกระดาษไว้ในมือแล้วตวัดปาดมุมปากของเขาด้วยแรงเขินทั้งหมดที่มี
“โอ้ยยย....” เขาแกล้งทำเจ็บ ใช้มือหนึ่งป้องมุมปากไว้ “ใจร้ายแล้วยังมือหนักอีก”
“อ่ะ... นี่” เธอโยนกระดาษคืนให้เขา ขากรรไกรเกร็งไปหมดจากการฝืนหุบยิ้ม “ถ้าเลอะอีกก็เช็ดเอง”
แล้วเขาก็ไม่เข็ด ตักเค้กเข้าปากอีกคำ คราวนี้พลาดจนทิ้งรอยสีน้ำตาลเยิ้มเป็นทางยาวจากมุมปากไปเกือบถึงคาง “เช็ดให้หน่อย”
“โว้ย ไม่เอาแล้ว เล่นอะไรเป็นเด็กไปได้” เธอกอดอก กล้ำกลืนฝืนปั้นหน้าบึ้ง
“เช็ดให้หน่อยสิครับ” เธอยืนกรานหลังพิงพนักไม่ไหวติงทั้งๆที่ข้างในอยากเล่นละครหวานซึ้งฉากนี้ต่อใจจะขาด “งั้น.... ผมให้คุณเลือก... คุณจะเช็ดปากให้ผม หรือคุณจะให้ผมป้อนให้กินซะดีๆ อ่ะเลือกเอา”
“แล้วแอร์จะเลือกทำไม” เธอส่ายหน้า
“อ่ะ ขี้โกงนี่คุณ ใจร้าย มือหนัก แล้วยังขี้โกงอีก”
“จัดการเอง แอร์ไม่เล่นด้วยแล้ว”
“น่า... นะ อ่ะ ผมเลือกให้ก็ได้” เขาตักเค้กขึ้นมาพอคำ ใช้มือหนึ่งถือช้อน และอีกมือประคองรองไว้ข้างล่าง
“แอร์ไม่กิน อิ่มแล้ว อิ่มสุดๆ ไม่กินแล้ว”
“เอาน่า คำนึง” เขายื่นมือข้ามโต๊ะมาใกล้เธอ
“เช็ดปากซะ” เธอหันไปรอบๆกลัวว่าใครจะเห็น “ไม่อายเค้าเหรอไง”
“กินก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
“ไม่อายเค้าเหรอ”
“ไม่อาย... เร็วสิคุณ คำเดียวเอง” เขาเคลื่อนช้อนเข้าใกล้เธออีก แล้วหยุดรออยู่ตรงริมฝีปาก “น่า.. นะ”
เธอเหลือบมองซ้ายขวา แล้วค่อยๆอ้าปาก เขาใช้มือหนึ่งประคองรองช้อนไว้กันเค้กหกเลอะ แล้วค่อยๆป้อนเค้กเจ้าปัญหาคำนั้นให้เธอ เธอไม่สนหรอกว่าเค้กเจ้ากรรมนี่มันจะอร่อยเหาะซักแค่ไหน แต่ความหวานที่สัมผัสลิ้น บวกกับไออุ่นจากมือของเขาที่เกือบสัมผัสใบหน้ากำลังทำให้เก้าอี้ที่เธอนั่งเริ่มโคลงเคลง
“ก็แค่นี่แหละ” เขาถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้ ยิ้มร่าทั้งๆรอยเปื้อนเขรอะบนแก้ม
“เช็ดปากได้แล้ว” เธอบ่นหมุบหมิบ พลางเคี้ยวเนื้อเค้กหวานนุ่มในปาก
“คร้าบ” เขาเช็ดปากให้เรียบร้อย แล้วตักเค้กเข้าปากตัวเองอีกคำ “อร่อยใช่ม้า”
เธอแสร้งมองตาขวาง “อืม อร่อย” แล้วกลืนเค้กลงไป “หวานเลี่ยนดี”
“อ่ะ” เขารีบตักเค้กอีกคำยื่นให้อีกอย่างรวดเร็ว “เอาอีกคำ”
“ไม่เอาแล้ว” เธอกลั้นหัวเราะไม่อยู่อีกต่อไป
“เอาน่า ... นะ”
“ไม่เอา”
“น่า.. อย่าดื้อสิคุณ”
“ไม่เอาแล้ว”
เธอลุกขึ้นฉับพลัน คว้ากระเป๋าถือ แล้วเดินผละจากโต๊ะอาหาร “กินเอง ไปเข้าห้องน้ำแล้ว” บางทีห้องเงียบๆคงช่วยสงบสติอารมณ์เธอได้บ้าง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ซื้อเวลาให้เธอได้สักพัก
ค่ำคืนนี้ยังไม่จบลงง่ายๆ หลังจากมื้อเย็นเคล้าเสียงกีตาร์แจ้ส กลั้วเค้กชอกโกแลตฉ่ำๆอีกชิ้น เขาบ่นไม่หยุดว่าอิ่มมากเกินจนต้องหาที่เดินเล่น และพาเธอมาที่ย่านการค้ากลางเมืองแห่งหนึ่ง เขาวนหาที่จอดรถอยู่พักใหญ่ ลงเอยด้วยการจอดซ้อนคันในช่องว่างแคบๆที่เขาถอยเข้าจอดอย่างกระฉับกระเฉง แล้วจบมุกจีบสาวมุกสุดท้ายอย่างสวยงาม เธอหัวเราะถี่มากเสียจนหูอื้อและจับความได้แค่ว่า “แอร์ลองถามผมสิว่าทำไมเปลี่ยนเป็นเลนโน้น เร็วกว่าตั้งเยอะ....แล้วแอร์จะรีบหนีกอล์ฟไปไหนล่ะคร้าบ”
คืนวันศุกร์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม อากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้มสุขุมตัดกับแสงฉูดฉาดจากป้ายร้านค้าและตึกสูงที่ฉายสีสันสว่างทั่วบริเวณ ผู้คนที่พลุกพล่านเริ่มบางตา เสียงจอแจรายรอบค่อยๆซาลง เสียงดนตรีเบาๆสบายๆแว่วมาจากจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่เหนือหัวใกล้ๆ เขาเดินเคียงเธอไปตามทางปูกระเบื้องอิฐ ก้าวผ่านเงาของเสาไฟที่ทอดเป็นเส้นลางๆบนพื้น กลิ่นไอชื้นจางๆในอากาศโชยมากับลมที่พัดเอื่อยๆไม่ขาดสาย
“กอล์ฟไปเรียนโน่นกี่เดือนนะ” เธอเอ่ยขึ้นขณะบังคับให้สายตามองตรงไปข้างหน้า เขาอยู่ข้างเธอมากพอให้ใกล้ชิด และห่างพอให้ไม่ถูกตัว
“ห้าเดือนครับ ก็เรียนคอร์สภาษาเฉยๆแหละ”
“ห้าเดือนเอง แป๊บเดียวก็กลับมาแล้ว”
“เฮ่อ... น่าเสียดายที่เจอแอร์ช้าไปหน่อย จังหวะไม่ดีเลย”
“อะไรกัน” เธอหัวเราะแก้เขิน หันข้างแล้วแหงนมองหน้าเขา “แค่ห้าเดือนเอง ก็กอล์ฟกลับมาแล้วค่อยคุยกันใหม่ก็ได้”
“โห” เขาอุทาน “จะไม่อยากเจอหน้ากันอีกแล้วจนกว่ากอล์ฟจะกลับมาเลยเหรอคร้าบ ใจร้ายจัง”
เธอหัวเราะดังขึ้นอีกนิดกลบความเขินอาย หลบสายตาเขา แล้วหันมองทางตรงหน้าต่อไป “ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าอยากเจอกันอีกก็โทรมาได้ ว่าแต่กอล์ฟไม่ยุ่งๆเหรอพักนี้ จัดการเตรียมตัวอะไรพวกนี้อ่ะ”
“ส่วนใหญ่ก็พร้อมหมดแล้วล่ะ”
พวกเขาเดินทอดน่องไปบนทางสายยาวอย่างเงียบๆอีกพัก เธอมองไปรอบๆดูโน่นดูนี่ทั้งที่แท้จริงแล้วสนใจอยู่แค่สิ่งเดียว ขณะที่เขาซุกมืออยู่ในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินก้าวสั้นๆช้าๆรอเธอ เมื่อถึงเวลาข้ามทางรถผ่าน เขารีบเดินไปอยู่ฝั่งใกล้หน้ารถ แล้วใช้มือจับกระเป๋าสะพายบนไหล่ของเธอเพื่อรั้งเธอไว้และเพื่อนำทาง
“ระวังครับ” เขาอ้อมมาด้านหน้ารถที่กำลังวิ่ง แล้วดึงกระเป๋าเธอไว้เบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆเดินพาเธอข้ามไปด้วยกัน
“กอล์ฟสุภาพแบบนี้ตลอดเหรอ”
เขาหัวเราะ “ยังไงครับ”
“ก็... ดึงกระเป๋างี้ พาข้ามถนนงี้”
“อ้าว.... ผู้ชายก็ควรทำอะไรประเภทนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ... แม่กอล์ฟก็สอนตลอดว่าต้องเทคแคร์ให้เกียรติผู้หญิง”
“ผู้หญิงทุกคนเลยเหรอ”
เขาหัวเราะอีก “คิดไปคิดมาก็ไม่ล่ะ อย่างเพื่อนในกลุ่มกอล์ฟที่เป็นผู้หญิงหลายคนก็สนิทจนไม่เห็นพวกมันเป็นผู้หญิงแล้ว ก็ เออะ.... จะข้ามถนนยังไงก็ตามใจแม่งเหอะ มันก็ชอบบ่นกะกอล์ฟนะว่า ‘กูเป็นผู้หญิงนะ มึง ช่วยเทคแคร์นิดนึง’ กอล์ฟก็ทำไม่ลงแล้วล่ะเลยบอกมันไปว่า ‘แล้วมึงทำตัวเป็นกุลสตรีมั้ยล่ะ’ โตจะตาย.... ไม่เอาและ กอล์ฟไม่เล่าต่อดีกว่า เล่าแล้วอารมณ์ขึ้น แล้วคำหยาบมันเยอะ เดี๋ยวแอร์จะรับไม่ได้”
“แอร์ก็ไม่ใช่กุลสตรีนะคะ”
“คร้าบ ผมรู้ คุณน่ะเก่ง คาดเดาก็ไม่ถูก ทำผมงงได้ตลอด ผมรู้”
“ไม่ต้องพาแอร์ข้ามถนนเหมือนเป็นเด็กก็ได้”
“อ้าวคุณ แล้วผู้หญิงเค้าไม่ชอบเหรอ ผู้ชายเจ๊นๆน่ะ ... แถมขืนผมไม่ทำคะแนนแล้วผมจะมีหวังเร้อ”
เธอหัวเราะ “อ๋อ... ที่ทำนี่หวังผลนี่เอง”
“ไม่ใช่ ... ปัดโธ่ ว่าไปโน่น ... ก็ จริงๆคร้าบ แม่สอนไว้ว่าต้องให้เกียรติผู้หญิงเค้า โดยเฉพาะเรื่องถูกเนื้อต้องตัวเนี่ยไม่ได้เลย ห้ามเด็ดขาด”
“หยั่งงี้สมมติถ้าเราคบกัน...”
“จริงเหรอ” เขารีบขัดขึ้นมา หันขวับ ทำตาปริบๆใส่
“สมมติ สมมติ... กอล์ฟก็จะไม่แตะแอร์เลยใช่ป่ะ”
“ถ้าคุณไม่อนุญาตผมก็ไม่กล้าหรอกคร้าบ”
“จริงเหรอ” เธอเหล่มองเขา “ถ้าผ่านไปเป็นปีแล้วก็จะไม่ถูกตัวเลยเหรอ”
“ตกลงจะคบกันใช่ม้า” เขาชะลอฝีเท้า มือดึงกระเป๋ารั้งเธอไว้เบาๆ
เธอแหงนมองเขาอีกครั้ง ขมวดคิ้วแสดงความหวาดระแวง แต่เท้ายังก้าวไปช้าๆ “ไม่มีความอยากแตะตัวผู้หญิงเลยเหรอ”
“ตกลงผมมีหวังใช่มั้ยครับ” เขาเดินตามเธอไปข้างหน้า มองเธออย่างออดอ้อน
เธอหลบสายตาเขา “แอร์ว่าผู้ชายห้ามตัวเองไม่ได้หรอก”
“ตกลงผมมีหวังใช่มั้ยคุณ” เขาเซ้าซี้ตามมาติดๆ
“เป็นช่วงโปรโมชั่นเท่านั้นแหละ”
“คุณตอบผมก่อนสิ ตกลงผมมีหวังใช่ป่าว”
“ไม่ถูกตัวกันเลยเนี่ยนะ” เธอเหลียวมาถามเขาอีกรอบ “กับแฟนคนก่อนกอล์ฟก็ทำแบบนี้เหรอ”
“ผมก็ต้องขออนุญาตเค้าก่อนสิคร้าบ”
เธอหันกลับไป แล้วมองทางข้างหน้า “แล้วถ้าเค้าไม่ให้ล่ะ”
“ผมก็ไม่จับ.... คุณยังไม่ตอบผมเลย” เขากระตุกกระเป๋าเธอเบาๆ “ตกลงผมมีหวังใช่มั้ยครับ”
“เมื่อเช้าแอร์ไปแต่งหน้ามา”
“เหอ... แล้วปกติแอร์ไม่ได้แต่งเองอยู่แล้วเหรอ”
“แต่งหน้าใส่สูทไปถ่ายรูป” เธอพูดเหมือนหุ่นยนต์ เขาละมือจากกระเป๋าสะพาย แล้วเดินข้างเธอตามปกติ
“ถ่ายรูปทำอะไรอ่ะครับ”
“กะว่าจะลองสมัครแอร์ แต่แต่งแล้วเป็นตัวตลกมากกว่า ปากแดงแจ๊ด หัวเรียบแปร้ ตลกมากๆ”
“แอร์จะสมัครแอร์เหรอ”
“เพื่อนบอกให้ลองไปก่อน แอร์ก็ยังไม่รู้แผนการชีวิตเลย ก็ลองสมัครดูละกัน แต่เอกสารยังต้องเตรียมอีกเป็นล้าน แถมต้องทาเล็บ เอาเจลโปะหัว แถมใส่ถุงน่องด้วย เรื่องเยอะมาก... แถมแต่งออกมาก็เป็นตัวตลกอีก”
“สายการบินอะไรอ่ะครับ”
“ไม่รู้สิ แต่ต้องคิดก่อนว่าจะไปซื้อรองเท้าที่ไหน”
“ก็ดีออกกอล์ฟว่า ลองสมัครดูก็ดีแอร์ กอล์ฟว่าแอร์ได้อยู่แล้วน่ารักขนาดนี้”
เธอแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำว่า ‘น่ารัก’ ทั้งๆที่ใจวูบไปแวบหนึ่งเมื่อเขาเอ่ยมันขึ้นมา “เหมือนคัดตัวนางงามเลย แอร์ไปเป็นตัวตลกแหงๆ”
“ทำไมคิดไปอย่างนั้นล่ะคุณ แหม.... คุณก็มีดี สู้เค้าได้อยู่แล้ว แถมเป็นแอร์เงินดีจะตาย”
“อืม..ทำเพราะเงินแหละเนอะ” เธอยิ้มให้กับอากาศข้างหน้า สายตาที่มองตรงจริงๆแล้วเหม่อลอยไปสู่ความว่างเปล่า “เงินดีทุกอย่างก็ดีได้”
“เอาน่ะ กอล์ฟเอาใจช่วย”
พวกเขาเดินไปด้วยกันเงียบๆอีกพักใหญ่ สวนกับคนแปลกหน้าประปรายบนทางเท้า ช่องว่างของบทสนทนาทำให้เสียงเพลงที่แว่วจากจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่เริ่มชัดขึ้นและจับความได้ ตัวโน้ตเรียบง่ายกับจังหวะไม่รีบร้อนประสานกับเสียงร้องเย็นๆแทรกซึมเข้ากับบรรยากาศได้อย่างลงตัว
And then I go and spoil it all, by saying something stupid
Like: I love you
“คุณยังไม่ได้ตอบผมเลย” เขาโพล่งออกมา “แหม... ทำเนียนอีกแล้ว...” เขาหันมาส่งสายตาทะเล้นให้เธอ “ตกลงเราจะคบกันใช่ป่ะ”
“แอร์ไม่ชอบคนโกหก” เธอฝืนทำหน้าปกติแล้วหลบตาเขา
“อะไรอีกเนี่ยคุณ แล้วมันมาเกี่ยวอะไรด้วย ผมไม่ได้โกหกคุณซักกะหน่อย”
“แล้วแอร์ก็ไม่ชอบโกหกใคร”
“ตกลงผมมีหวังใช่มั้ยครับ คุณแอร์คนสวย”
“แอร์ว่ากอล์ฟทำไม่ได้หรอก เรื่องไม่แตะตัวผู้หญิงเนี่ย”
“ตอบกอล์ฟก่อน” เขาคว้ากระเป๋าเธอ แล้วรั้งเธอไว้ “กอล์ฟมีหวังรึป่าวครับแอร์”
ทั้งคู่หยุดเดิน แล้วสบตากันและกันอยู่กลางทางเดิน มีคนเดินสวนไปมาประปราย แต่ไม่มีใครหันมาสนใจเป็นพิเศษ และที่สำคัญคือเธอไม่สนใจใครอื่นอีกแล้ว เธอยังแน่นิ่งและพยายามสุดชีวิตกลั่นกรองความคิดด้วยสติที่เตลิดเปิดเปิง ตรรกะทุกข้อในโลกตะโกนกรอกหูเธอให้เมินหน้าหนีไปเสียและทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามของเขา ขณะที่สัญชาตญาณกลับรบเร้าให้ปลดปล่อยความอัดอั้นในใจไปให้หมด นี่คือหนึ่งในช่วงเวลาอันหาได้ยากในชีวิตที่เธอทำตัวลังเลยึกยักเสียเอง และเธอก็รำคาญตัวเองจนสุดจะทนแล้ว
“ลอง...” เธอมุบมิบอยู่ในปาก “ขอ..อนุญาต” เธอคายแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก “จับมือ.. แอร์... สิ”
“ห๊ะ... ว่าไงนะครับ”
“แอร์...” เธอรำคาญตัวเองถึงขีดสุดแล้ว “โว้ย... บอกให้ขอแอร์จับมือดู” แล้วเธอก็ระเบิดมันออกมาด้วยโทนกลายๆจะหาเรื่อง “ขอจับมือแอร์น่ะ”
เขาสลัดสายตาอ้อนออดทิ้งไป แล้วยิ้มน้อยๆให้ จากนั้นจึงดึงกระเป๋าจูงเธอมายืนอยู่ชิดกำแพงเพื่อหลบผู้คน ต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่ในชั่ววินาทีที่ยาวนานกว่าชาติเศษ ลมเอื่อยๆโชยมาพร้อมเสียงร้องโทนต่ำของชายหญิงที่เรียบง่าย เสมือนไร้ความพยายามใดๆในการเปล่งเสียง แต่แล้วถ้อยคำธรรมดาก็ค่อยๆเติมเต็มดนตรีที่ไร้ความโดดเด่นจนทำให้วันศุกร์สุดท้ายของเดือนพลันน่าจดจำ “กอล์ฟขอจับมือแอร์นะ”
เธอยื่นมือขวาให้ ก้มลงมองมือของตัวเอง แล้วเงยขึ้นมองเขา เขายกมือซ้ายขึ้นมา แล้วค่อยๆสัมผัสมือตรงหน้า ใช้นิ้ววางประสานกันและกัน ความเย็นจากฝ่ามือและปลายนิ้วของเขาทำให้เธอร้อนวาบไปถึงข้างใน นี่คือวินาทีที่วิ่งหนีเธอไปในพริบตา แต่เธอรู้ดีว่าคุ้มค่าที่รอคอย และไม่เสียดายหากจะหายวับไปทั้งๆแบบนี้ เธอมองลงตรงมือที่สวมกอดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายตัวสูงผิวคล้ำหน้าตาไม่ดีที่ดูดีที่สุด แล้วเอ่ยเบาๆ “ใช่ กอล์ฟมีหวัง”
และนี่... คือเรื่องราวของช่วงเวลาแห่งการตกหลุมรัก ช่วงเวลาที่ยากเย็นและง่ายดายที่สุด แยบยลและโผงผาง เยิ่นเย้อและรวบรัด ซับซ้อนและเรียบง่าย ว้าวุ่นและอุ่นใจ จมดิ่งและล่องลอย และอัดอั้นและอิสระที่สุด อย่างที่กล่าวข้างต้น ช่วงเวลาแห่งการตกหลุมรักคือความงี่เง่าเมื่อมองย้อนกลับจากอนาคต คือความสุนทรีย์ของชีวิตเมื่อมองไปข้างหน้าจากอดีต และคือภวังค์เมื่อมองไปรอบๆด้วยสายตาที่ต้องมนตร์ในบัดดลนั้น และแม้คุณรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองโง่เง่าเพียงใดก็ตาม นั่นก็ไม่มีความหมาย เพราะคุณหนีมันไปไม่ได้อยู่ดี อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลาอันใกล้นี้
‘The time is right your perfume fills my head, the stars get red
And oh the nights so blue
And then I go and spoil it all, by saying something stupid
Like: I love you’
ชายหญิงคู่หนึ่งเดินจูงมือกันไปในค่ำคืนแสนสงบและหวานฉ่ำโดยมีเสียงเพลงเบาๆบรรเลงคลอตามไปไม่สิ้นสุด
ความคิดเห็น