คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ว่าด้วยทางแยก
30 ธันวาคม 2550 -- ว่าด้วยทางแยก
ในโลกนี้มีถนนอยู่นับไม่ถ้วน เมื่อมีถนน ก็ย่อมมีทางแยก เมื่อมีทางแยก ก็ย่อมมีทางเลือกและทางที่ไม่ได้เลือก คนทุกคนเดินไปข้างหน้า ประเมินทางเลือกของตน แม้แต่ละคนจะมีทางให้เลือกมากน้อยต่างกันไป แต่อย่างน้อยที่สุด ทุกคนต้องเลือก บางคนมั่นใจในการตัดสินใจของตน บางคนลังเลชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียของทางเลือกแต่ละทางที่ตนมี บางคนเลือกตามสัญชาตญาณ บางคนเลือกตามเหตุและผล และบางคนใช้ยุทธวิธีโยนเหรียญเสี่ยงดวง แต่ไม่ว่าพวกเขาจะตัดสินใจเช่นใด สิ่งเดียวที่สำคัญหลังจากนั้นคือ ผลของการตัดสินใจ คุณคาดเดาผลลัพธ์ได้กว้างไกลและชัดเจนเท่าที่สายตาของคุณจะเอื้ออำนวยเท่านั้น ส่วนที่อยู่เหนือขอบเขตการมองเห็นของคุณคืออาณาจักรลึกลับแห่งความบังเอิญ ถ้าคุณยังมีอารมณ์ขันกับชีวิตมากพอ คุณก็คงมุ่งมั่นมากพอเมื่อถึงเวลาให้มุ่งมั่น และปล่อยวางได้ง่ายพอเมื่อถึงเวลาให้ปล่อยวาง คาดหวังสิ่งที่ไม่คาดคิด และยิ้มรับความเฮงซวยของชีวิตได้อย่างไม่เคอะเขิน
คงจะง่ายเกินไปที่จะพูดว่าการตัดสินใจเป็นเรื่องง่าย สิ่งนี้เป็นมากกว่าข้อสอบปรนัยที่คุณคำนวนความน่าจะเป็นออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้ ความสลับซับซ้อนของเจ้าโจทย์ทางแยกนี้คือ เมื่อเราเลือกถนนสายหนึ่งแล้วบังเอิญพบว่าไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง เราอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวโดยเดินวกกลับมาหาทางแยกเดิมเพื่อเลือกถนนอีกสายอีกแล้วก็ได้ เพราะทางแยกหนึ่งมักนำไปสู่อีกแยก และอีกแยก และอีกแยกนับไม่ถ้วน สุดท้ายก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะวกกลับมาหาทางแยกดั้งเดิม
ค่ำของวันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2550 อากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิทไร้จุดดาว การจราจรเริ่มเบาบาง ไฟสีเหลืองจ้าบนเสาสองข้างทางส่องนำทางเป็นเส้นตรงสองเส้นลู่เข้าหากัน แสงทองระยิบระยับที่ปกคลุมตัวตึกกลายเป็นเครื่องประดับหรูหราเคียงฟ้าสีมืดผืนใหญ่ เธอนั่งอยู่ในรถฝั่งข้างคนขับ ชื่นชมภาพบนท้องถนนตอนกลางคืนในเทศกาลส่งท้ายปี เธอนั่งรถผ่านถนนสายนี้เป็นประจำ ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ไม่เคยเลยสักหนที่จะใส่ใจกรองรายละเอียดที่แตกต่าง ตึกสูงที่เคยดูเกลื่อนตาเริ่มแสดงรูปร่างเฉพาะตัวให้เห็น ต้นไม้ประปรายริมทางเริ่มกลายเป็นตัวประกอบที่มีความสำคัญ แสงไฟจากรถยนต์ร่วมผสมโรงทำให้ทางข้างหน้ามีสีสันยิ่งขึ้นไปอีก เพราะช่วงเวลาแห่งรอยต่อของปีนี่เองที่นำความรื่นรมย์มาสู่สิ่งสามัญธรรมดา บรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาพาให้ทุกสิ่งรายรอบดูเปล่งปลั่งสดใสไปเสียหมด
“แล้วไงเนี่ย วันนี้ไม่มีนัดกับหนุ่มคนไหนเลยเหรอ ถึงชวนเบิร์ดออกมาเปรี้ยว” คนขับรถเอ่ยขึ้น
เธอหันไปมองเขา แสงไฟจากถนนทำให้พอเห็นหน้าตาเขาได้บ้าง “เอ้า ก็พี่เบิร์ดชวนยิกๆตั้งแต่เมื่อวานว่าอยากออกมาขับรถดูไฟเล่น ใครชวนใครกันแน่”
“อ่าว ก็เห็นแอร์ยุ่งตลอด โทรไปทีไรก็เห็นอยู่กับคนโน้นคนนี้... ก็.... ไม่มีไร้.... ก็ถามเล่นไปงั้น”
“แอร์ต้องไปงานศพ” เธอตะโกนประชด “ไอ้ที่ยุ่งนี่เพราะต้องไปงานศพทุกเย็น”
“ค้าบ เข้าใจค้าบ” เขาขอโทษขอโพย ก้มหัวโค้งคำนับขณะที่มือยังประคองพวงมาลัย “ไม่กวนตีนแล้วค้าบ”
“แอร์ไปเจอกอล์ฟมาเมื่อวาน เลิกกันอย่างเป็นทางการแล้ว”
“ไอ้คนที่ไปออสเตรเลียน่ะเหรอ อ่าว ก็ว่าเลิกไปแล้วตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เค้ามาขอคืนดี แต่จบไปแล้ว รอบสอง”
“แน่ใจเหรอ” เขาเหลียวมองเธอ น้ำเสียงแสดงความไม่แน่ใจ
“แน่สิ!!!” เธอย้ำเสียงดัง
“ป่าว ... ก็ดี ก็ดี”
“ดีสิ แอร์เจอคนใหม่แล้ว ต้องดีสิ”
“ว่าไงนะ เจอคนใหม่แล้ว ...” เขาหันขวับมามอง “โหเจ๊ หาผู้ชายเหมือนหาร้านก๋วยเตี๋ยว”
“คนนี้มีแวว”
รถแล่นมาติดไฟแดง เขาเหยียบเบรคอย่างกระฉับกระเฉง ผลักเกียร์ไปที่เกียร์ว่าง แล้วหันมาจ้องเธอ เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาไม่ได้โดดเด่นอะไร ตาไม่โตไม่เล็ก จมูกไม่แบนไม่โด่ง ปากไม่แคบไม่กว้าง ผมไม่สั้นไม่ยาว ทุกอย่างเกี่ยวกับเขาล้วนก้ำกึ่ง
“อะไร” เธอเหลือบมองเขา แล้วเอ่ยคำตัดรำคาญ
“ป่าว ... ปีใหม่ ผู้ชายคนใหม่ ... งานใหม่ด้วย ... ก็ดี... ก็ดี”
“ดีสิ... ต้องดีสิ” เธอย้ำกับตัวเอง
“แล้วไง.... ไปเจอกันยังไง ชื่อเสียงเรียงนาม” เขาพักศีรษะกับพนักพิง ปล่อยมือจากพวงมาลัย แล้วหันมาคุยกับเธอ
“ลูกค้าที่ออฟฟิส ชื่อพี่เบน หน้าตาดี มีผมขาวอยู่กระจุกนึงข้างหน้า เพลย์บอย ชอบเที่ยวอ่าง ไม่ชอบผู้หญิงเที่ยว เป็นลูกคนเดียว ขับรถโฟว์วีลล์คันใหญ่มาก แต่ขับเรียบร้อยนะไม่เหมือนพี่เบิร์ด ... อะไรอีกล่ะ ...อายุยี่สิบเก้า เป็นแบดบอย จบวิดวะจุฬา ต่อโทที่เมกา ทำงานอยู่โตโยต้า บ้านอยู่แถวสุขุมวิท..”
“พอๆ ... พอแล้ว เบิร์ดถามเฉยๆ ไม่ได้จะแคสต์ตัว”
เธอชี้ไปข้างหน้าเพื่อให้เขามองไฟเขียวข้างหน้า เขารีบเปลี่ยนเกียร์แล้วเร่งเครื่องตรงไป
“ก็คุยกันเมื่อวาน แล้วก็วันนี้ เมื่อวานก็ขับไปส่งแอร์ที่วัด แล้วก็ไม่กลัวแอร์ ดังนั้นก็ถือว่าผ่าน”
“กลัวนี่หมายถึงยังไง” เขาถาม เท้ายังเหยียบคันเร่งต่อไปเรื่อยๆ
“ขับช้าๆก็ได้” เธอขมวดคิ้วเหล่มองเขา “ไหนว่าจะ ดู ไฟ เล่น”
“ค้าบ โทดค้าบ มันชิน” รถค่อยๆลดความเร็วลง ถนนข้างหน้าทอดยาวตรงไปอีกไกลกว่าจะถึงสี่แยก
“ก็แอร์โพล่งบอกพี่แกไปว่า แอร์เพิ่งเลิกกะแฟน พี่เค้าก็ไม่เห็นจะวิ่งหนีหรือนึกว่าแอร์เป็นคนบ้าอะไร”
“อ้อ...เหรอ...โพล่งไปอย่างนั้นเลย... ก็ดี ... ก็ดี”
“แอร์อยากจูบพี่เบน” เขาหันขวับ ทำหน้าราวกับเห็นหมาที่มีหัวเป็นแมว แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไรด้วยวาจา “เห็นมั้ย พี่เบิร์ดก็ไม่ได้กลัวแอร์ พี่เบนก็ทำหน้าแบบนี้แหละ แบบนี้เป๊ะเลย แปลก แต่ไม่ได้กลัว”
“เบิร์ดกลัวจนชินแล้วต่างหาก ผู้หญิงอะไรพูดไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วแต่ละเรื่องที่พูดออกมานี่ธรรมดาๆทั้งน้าน”
“ก็อยากพูดอะไรก็พูดไป จะอ้อมค้อมทำไม”
“สติสิคับพี่น้อง สติ ทำอะไรต้องมีสติ”
“ก็มี แต่ไม่อ้อมค้อมไง”
“ก็ตามใจสิ จูบเลย เบิร์ดห้ามอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ไปจูบเค้าเลย” เขาเหยียบเบรคกระทันหันจนเธอเกือบหน้าคะมำ รถของเขาจอดเป็นคันแรกตรงสี่แยกเพื่อรอสัญญาณไฟ
“แอร์ไม่ได้จะจูบ แอร์แค่พูดยกตัวอย่าง เอ้ะ... ทำไมวันนี้คุยกันดีๆไม่ได้นะ”
“ค้าบ ไม่คุยแล้วก็ได้ อ่ะ... เปลี่ยนเรื่อง .. เปลื่ยนเรื่อง” เขาผลักเกียร์ขึ้นเป็นเกียร์ว่าง ผละมือจากพวงมาลัย แล้วกอดอก “อยากคุยเรื่องอะไรคับ เบิร์ดจัดให้”
“แอร์จะทำรอดมั้ยอ่ะกลุ้มอยู่เนี่ย”
“ผมขาวนี่มันเท่ตรงไหนวะ นี่ถ้าเบิร์ดไปทำไฮไลท์สีขาวสาวๆจะมาติดบ้างมั้ย” เธอค้อนขวับ “อ่ะค้าบ เลิกค้าบ ... แต่ว่าชักอยากเห็นหน้าพี่ผมขาวคนนี้แล้วสิ”
เธอยิ้มอย่างฝืนทน “นอกจากอยากจูบแล้ว ยังอยากชกพี่เบิร์ดด้วย”
เขาระเบิดหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ “ค้าบ ไม่อ้อมค้อมค้าบ ... แล้วไงนะ รอดสิ กลุ้มทำไม นางฟ้านี่มันจะยากอะไรนักหนา ก็ คุณครับ คุณคะ เดี๋ยวเบิร์ดซื้อปีกให้คู่นึงก็บินรอดแล้ว”
เธอชี้มือไปทางสัญญาณไฟ เขารีบผลักเกียร์ลงมา แล้วเหยียบคันเร่ง
“ไม่รู้สิ มันรู้สึกตะหงิดตะหงิด คือทำน่ะมันก็ต้องทำ แต่ไม่สบายใจ เครื่องบินก็ยังไม่เคยขึ้นด้วยซ้ำ แล้วมันจะรอดมั้ย”
“เรื่องขึ้นเครื่องบินเนี่ยไม่ยาก ก็ลองบินไปเชียงใหม่ดูก็ได้ แอบไปเที่ยวซักวันสองวันก่อนเริ่มงาน จริงๆตอนนี้ก็น่าไปนะ ยังหนาวอยู่ เป็นไอเดียที่ดี”
เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นกระทันหัน เขาหยิบโทรศัพท์ข้างตัวอย่างรวดเร็ว กวาดสายตามองหน้าจอ แล้วรีบหันกลับมองถนน มือซ้ายถือโทรศัพท์ค้างไว้สักพักคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ขณะที่มือขวาใช้ประคองพวงมาลัยไปเรื่อยๆ “แป๊บนึงนะแอร์” เขากดกดปุ่มรับแล้ววางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมข้างตัว
“หวัดดีคับ” เขาคุยผ่านบลูทูธ
“.... เบิร์ดขับรถอยู่” เขาตอบเนิบๆ น้ำเสียงเรียบร้อย “ก็เบื่อๆตามประสาตัวคนเดียว ก็เลยมาขับรถเล่นดูไฟ”
เธอมองออกไปนอกกระจกข้างอย่างไร้จุดหมาย ได้ยินเสียงเขาคุยกับคนในโทรศัพท์ แต่ไม่ได้ใส่ใจ
“ใช่แล้ว... เปล่าๆ ก็ไม่มีไรทำก็เลยออกมาขับรถเล่น” เขาพูดไปหัวเราะไป สายตาเหลือบมามองเธอชั่วครู่ แล้วยิ้มให้
“คงดึกๆแหละ... ค้าบ... ไว้คุยกันคับ หวัดดีคับ”
เขากดวางแล้วหันมาถามเธอ “ไหนคุยถึงไหนแล้วนะ....”
“มีไรรึป่าว” เธอถาม
“ป่าวๆ พี่จิ๊บน่ะ พอดีทะเลาะกันนิดหน่อยเมื่ออาทิตย์ก่อน เบิร์ดก็เลยไม่ค่อยอยากคุยเท่าไหร่”
“ก็เห็นคุยกันดีนี่นา”
“พี่น้องบ้านเบิร์ดไม่รักกันเท่าของบ้านแอร์ร้อก ไง... รายนั้นน่ะเป็นไงแล้วมั่ง สบายดี? เบิร์ดไม่ได้เจอนานและ ว่าจะแวะเอาหนังสือลายเส้นไปให้ดูซะหน่อย”
“อีฟน่ะเหรอ....เหมือนเดิม” เธอพูดปนถอนใจ “เรียนหนัก ทำงานดึก กินเก่ง หาเรื่องพี่สาวเป็นกิจวัตร”
เขาหัวเราะ “เหรอ....”
“แล้วไง พี่เบิร์ดไปหาเรื่องอะไรกะพี่จิ๊บอีกล่ะ”
“ป่าว...” เขาปฏิเสธพร้อมกระแอมหัวเราะ สายตาที่มองถนนข้างหน้าเกือบเข้าขั้นสุขุม
“พี่สาวน่ะเค้ามีไว้ให้เคารพ รู้ป่าว พวกน้องๆนี่ยังไงกันนะ พี่สาวน่ะแสนดีกันทั้งนั้นแหละ เข้าใจมั้ยคะ น้องเบิร์ด”
“ค้าบ เจ๊” แล้วเขาก็เงียบไปอีกชั่วอึดใจ ก่อนจะกลับมาเปล่งเสียงทะเล้นประจำกายอีกครั้ง “เอ้ะ... เมื่อกี้คุยถึงไหนแล้วนะ.... ใช่ๆ เชียงใหม่ไง ไปดิไปดิ ไปลองขึ้นเครื่องก่อนเริ่มงานใหม่ แล้วเที่ยวซักสองสามวัน เหมือนเที่ยวสั่งลาไงเจ๊”
“เฮ่อ” เธอถอนใจ
“จริงๆ อย่าลืมไปเที่ยวไนท์ซาฟารีด้วยนะ อันนี้ห้ามลืม เจ๋งๆ เบิร์ดไปครั้งก่อนสนุกมาก ตระการตาอย่าบอกใคร อย่าลืมแวะไปเที่ยวนะ”
“เฮ่อ” เธอถอนใจอีกรอบ เสมือนไม่ได้ยินที่เขาพูดไปด้วยซ้ำ
“ถอนหายใจทามมาย” เขาถอนคันเร่งเมื่อรถเข้าโค้ง “ถอนหายใจหนึ่งที อายุจะสั้นลงหนึ่งวิ”
“เฮ่อ ใครบอก”
“ไม่มีใครบอก เป็นความจริง ลองคิดตามดู ถอนหายใจ... หนึ่งวิ” เขาใช้มือหนึ่งทำท่าโบกไปมาในอากาศพาให้คิดตาม
เธอหัวเราะ “เออ จริง” รถข้างหน้าแตะเบรคชะลอตัว เขาจึงรีบหักขวาเปลี่ยนเลน แต่ก็ต้องมาติดชะงักในอีกสิบเมตรต่อมา “พี่เบิร์ดว่าแอร์จะทำรอดมั้ย”
เขาปลดเกียร์ว่าง ผละเท้าจากเบรคเป็นเสียงดังกึก แล้วหันมาถาม “ตะหงิดๆ ทำไมถึงคิดว่าจะไม่รอด” สีหน้าในแสงสลัวดูจริงจังขึ้นมาในทันที
“ไม่รู้สิ พี่เบิร์ดว่าแอร์เหมาะมั้ยล่ะ”
“นอกจากเรื่องชื่อที่ไม่รู้จะบอกว่าเหมาะยังไงไปกว่านี้แล้วใช่มั้ย.. ขอคิดก่อน” เขาพินิจมองเธอ “แอร์รู้สึกยังไงดีกว่า อะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ”
“ก็ไม่รู้ ถึงถามพี่เบิร์ดไง”
“ทีเรื่องนี้ล่ะตอบตรงๆไม่เป็น”
เธออึ้งไปชั่วครู่ ได้แต่มองเขาตาปริบๆ บรรยากาศบนถนนเริ่มพลุกพล่าน แสงไฟฉูดฉาดทะลุผ่านกระจกข้าง เสียงเพลงคึกคักภายนอกเสียดแทรกผ่านความเงียบในรถ ทุกชีวิตรายรอบไม่หยุดนิ่ง แม้แต่เครื่องยนต์ของรถที่จอดนิ่งก็ยังไม่หยุดนิ่งและส่งเสียงขู่คำรามอยู่ในลำคอ เธอสบตาเขาอีกครั้ง เผชิญหน้ากับคำถามที่ธรรมดาที่สุดที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงมานาน แต่แล้วทุกอย่างในหัวพลันว่างเปล่า ในเสี้ยววินาทีนั้นเธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นคนแปลกหน้า เธอเหมือนจะจำได้ว่าเธอหน้าตาเป็นยังไง แต่เธอก็จำไม่ได้ เธอคล้ายจะรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง แต่เธอก็ไม่รู้ เธอคิดว่าเธอจำทางได้ แต่เธอก็จำไม่ได้ เธอเกือบจะรู้ว่าต้องเลี้ยวไปซ้าย หรือขวา บนทางแยกข้างหน้า แต่เธอก็ไม่รู้ ทุกอย่างพร่ามัวไปหมด แม้แต่ภาพของพี่เบน และกอล์ฟก็ค่อยๆหลุดโฟกัส ภาพเธอในเครื่องแบบพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกลายเป็นการเล่นแต่งตัวตุ๊กตากระดาษ ภาพงานศพที่เพิ่งเข้าร่วมไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนกลับจมหายไปกับหลุมดำ เธอคือใคร เธอมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ เธอกำลังเฝ้าคอยสิ่งใด และความบังเอิญประเภทไหนกำลังรอเธออยู่ ทุกอย่างดูวังเวงสับสนจนเธอคิดอะไรไม่ออก และไม่อยากจะคิดอีกแล้ว
“พี่เบิร์ดเคยเดินถอยหลังมั้ย”
“ฮ่า” เขาหัวเราะลั่น มือตบพวงมาลัยดังปั้ก “มุกเดิม มีคนอินเดียสร้างสถิติโลก เดินถอยหลังได้ไกลที่สุดในโลก มุกเก่าไปแล้วเจ๊”
“ไม่ใช่มุก แอร์ลองเดินถอยหลังมาแล้วจริงๆ เมื่อเช้า”
“คิดยังไงเดินถอยหลังล่ะคับพี่น้อง”
“แล้วทำไมจะไม่คิดล่ะ”
“เจ๊นี่เพี้ยนเข้าไปทุกวัน”
“แอร์ไม่ได้เพี้ยนมากขึ้นเลยนะ แอร์ว่าแอร์เสมอต้นเสมอปลาย”
“อ่ะ มาร่ายเรียงกัน...แอร์ตั้งชื่อแมวว่าหมา คนบ้าที่ไหนตั้งชื่อแมวว่าหมา นั่นข้อนึงล่ะ ... สอง... แอร์ทะเลาะกับนายเรื่องไม่ยอมใส่เสื้อสีส้ม แค่หนึ่งวันให้ตายสิ ใส่แค่วันเดียว!!! พระเจ้าจ๊อด แล้วใครล่ะต้องไปไกล่เกลี่ยให้..”
“อันนั้นไม่นะ...” เธอรีบขัด แต่ก็ไม่ทันการ
“นับสิ เรื่องทัณฑ์บนเพราะเสี้อสีส้มตัวเดียวเนี่ยนะ คนบ้าที่ไหนเค้าทำกัน”
“แต่...”
“สาม” เขาขึ้นเสียงกลบ “แอร์หนีไปอยู่หนองบัวลำภูตั้ง...”
“หนองคาย” เธอรีบแทรก
“สิบวัน โดยไม่บอกใครเล้ย อยู่ดีๆก็หายตัวไป อยากจะหายก็หายซะงั้น แถมดูที่ที่เลือกหายตัวซิ ชาวบ้านเค้าทำกันมั้ย เค้ามีแต่จะไปปายงี้ ไปกระบี่งี้ ไปภูกระดึงยังฟังเข้าท่า แล้วนี่ไปไหน... ไปหนองบัวลำภู”
“หนองคาย”
“โรแมนติกจริงๆ ไปปลีกวิเวกที่ หนอง-บัว-ลำ-ภู”
“หนองคาย ไม่ใช่หนอ..”
“สี่ แอร์โพล่งบอกพี่ผมขาวนั่นว่าไงนะ แอร์เพิ่งเลิกกะแฟน เยี่ยม” เธอยอมแพ้ แล้วปล่อยให้เขาร่ายต่อไป “แถมยังเปลี่ยนสเปคมาชอบคนผมขาวอีก ไม่ว่าเพี้ยนแล้วจะว่าไง”
“จบยัง”
“แล้ววันนี้ก็ทำอะไรนะ เดินถอยหลัง แล้วสนุกมั้ย ชนอะไรเข้ามั่งล่ะ”
“จบยัง”
“อ่ะ แล้วยังมีอีก อันนี้เด็ดสุด เจอเบิร์ดครั้งแรกพูดว่าอะไรยังจำได้มั้ย ... พี่ตัวเตี้ยจัง... พี่ตัวเตี้ยจัง... คิดได้ยัง..” แตรแผดเสียงจากด้านหลังทำเอาเขาสะดุ้ง เขาหันขวับมองรถด้านหน้าที่ทิ้งช่วงห่างไปกว่าสิบเมตร แล้วรีบเปลี่ยนเกียร์เหยียบคันเร่ง
“จบยัง” เธออดขำไม่ได้ “ไม่อยากขัดจังหวะ เลยไม่ได้บอกว่ารถไปแล้ว”
ไม่ว่าเขาจะกวนตีน หรือจริงจัง หรือพูดอะไรก็ตาม เธอเป็นต้องยิ้มตลอด อดยิ้มไม่ได้จริงๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้คุยกัน คงเป็นปฏิสัมพันธ์แห่งความบังเอิญอีกครั้งที่บังเอิญเข้าข้างเธอ และทำให้เธอได้เพื่อนคุยที่สนิทมากกว่าเพื่อนสนิทของเธอเสียอีก เขาเข้ามาในชีวิตในช่วงที่เธออกหักจากกอล์ฟได้ไม่นาน และหลังจากที่เขาแสดงเจตนาอยากขอใกล้ชิดเธอมากขึ้น เธอก็บอกเขาด้วยประโยคเดียวกับที่กอล์ฟใช้บอกเลิกเธอ “เป็นเพื่อนกันเถอะ” อารมณ์ขันของความบังเอิญอยู่ที่ว่า การบอกเลิกของเธอเป็นจุดเริ่มของความสัมพันธ์แบบปาท่องโก๋ระหว่างเธอกับเขา เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่มีใครเคียงข้าง และต้องการคนสนิทที่จะแบ่งปันเรื่องราวในชีวิตแต่ละวันให้ฟังได้ เขาเป็นคนเดียวที่เธออยากใช้เป็นโถส้วม และตัวตลกส่วนตัว
“ค้าบ จบแล้ว จะตั้งใจขับรถล่ะ” เขาจับพวงมาลัยอย่างมาดมั่น แล้วเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ “น่านแหละที่จะบอก ว่าแอร์เพี้ยน และควรเลิกเพี้ยนได้แล้ว ... ไม่ใช่สิ ไม่ได้บอกให้เลิก แค่ควรจะเพี้ยนให้ถูกกาลเทศะ ไปอยู่บนเครื่องแล้วจะได้ไม่ทำป่วนผู้โดยสาร เข้าใจป่ะ”
“แอร์หมายความอย่างนั้นจริงๆนะเรื่องถอยหลัง พี่เบิร์ดต้องลองทำดูเองถึงจะรู้ แอร์เล่าให้ฟังไม่ถูก”
“เอา เอาอีกสิ ไม่เลิกโว้ยเรื่องถอยหลังเนี่ย”
“ตอนนี้แอร์ก็รู้สึกเหมือนเดินถอยหลัง พอได้ทำจริงๆเมื่อเช้าก็เข้าใจว่าเป็นยังไง เหมือนได้ระบายออกมาจริงๆ งง เสี่ยง แปลก สนุก มึน กลัว ไม่รู้อ่ะ พี่เบิร์ดต้องลองเอง”
“แอร์อยากทำอะไร”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“ถ้าเลือกอาชีพอะไรก็ได้ในโลก แอร์อยากทำอะไร”
“แอร์อยากเขียน”
“อืม เป็นนักเขียนนี่ลำบากอยู่ว่ะ ถ้าใจให้และไม่เกี่ยงเรื่องเงินก็คงโอเค แล้วแอร์อยากเป็นแอร์รึป่าว”
“เก็บตังค์ เที่ยวเล่น”
“ถามว่าแอร์เหมาะกับอาชีพแอร์มั้ย เบิร์ดก็ว่าไม่เหมาะหรอก แต่นี่จากที่เบิร์ดมองคนเดียวนะ แต่ถ้าถามว่าทำได้มั้ย ก็ต้องทำได้อยู่แล้ว ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว ทำงานเก็บเงินไปก่อน”
“เฮ่อ” เธอถอนหายใจครั้งที่ล้านในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา “อะไรๆมันไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดน่ะสิ เลือกปุ๊บ ก็ต้องมีผลตามมา ส่วนใหญ่เลือกแล้วก็ต้องเลือกเลย”
“กลัวไม่ได้กลับมาทำสิ่งที่อยากทำล่ะสิ” เขาถามเนิบๆ
“สิ่งที่อยากน่ะมี สิ่งที่ไม่อยากก็จ่อก้นอยู่ แต่สิ่งที่อยากกับสิ่งที่ควรทำมันคนละเรื่องกัน”
“สรุปนี่เลือกเป็นแอร์ แต่ไม่อยากเป็นแอร์?”
“เลือกมั้ยเหรอ...” เธอครุ่นคิด ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เลือกผสมดวง ทำยังไงถึงมาลงเอยจุดนี้ได้ก็ไม่รู้”
“เบิร์ดว่าก็ลองทำดูก่อน ไม่ได้ก็ค่อยว่ากันอีกที”
“หนึ่งปีนะ ลองต้องลองยาวหนึ่งปี ไม่งั้นโดนปรับ”
“แล้วถ้าไม่เป็นแอร์ แอร์จะทำอะไรต่อ”
“ไม่รู้ เรียนต่อมั้ง”
“แล้วเรียนต่ออะไร”
“ไม่รู้”
“น่านไงล่ะ ระหว่างที่ไม่รู้เนี่ย ก็ลองไปทำนี่ดูก่อน เผื่อจะรู้อะไรบ้าง”
รถยนต์วิ่งมาถึงสี่แยก แล้วหยุดรอสัญญาณไฟเป็นคันแรก เธอมองดูทางแยกทั้งสามที่แทบทิ้งร้างว่างเปล่า ราวกับว่าถนนข้างหน้ากำลังรอเป็นทางเลือกให้เธอพิจารณาได้อย่างเต็มที่ แต่แสงประดับตระการตาบนต้นไม้และตึกระฟ้าไม่ได้ช่วยให้เธอมองเห็นอะไรได้ชัดขึ้นเลย ทางทุกทางต่างมุ่งสู่ทางแยกอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน และเธอยังไม่มีแผนที่ของตัวเองเสียด้วยซ้ำ
“ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ยากไปหมด เหนื่อยอ่ะพี่เบิร์ด”
“ชีวิตน่ะมันไม่ง่าย แต่เราก็ไม่เห็นต้องไปทำให้มันยากเกิน เข้าใจมั้ยคับพี่น้อง” เขาปลดเกียร์ว่าง แล้วหันมามองเธอ “ค่อยๆนั่งคิด ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย แรงกระทบกับตัวและกับคนรอบตัว ประเมินความเสี่ยง แล้วชั่งน้ำหนักดู”
“เฮ่อ.. ถ้ามันทำง่ายอย่างที่พูดก็คงไม่มานั่งอายุสั้นลงเป็นล้านวิอยู่นี่หรอก”
“กลุ้มอาราย นี่ปีใหม่นะจ๊ะ จะปีใหม่แล้ว สมควรต้องร่าเริงร่าเริงสิ คิดกลุ้มๆมันก็กลุ้ม ต้องออกไปหาแรงบันดาลใจข้างนอก นี่ เห็นมะ พามานั่งรถเล่นดูสีสันยามราตรี ต้องหาแรงดลใจ แล้วเดี๋ยวหัวก็เคลียร์ แล้วก็คิดออก”
ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่ผ่านมา ทุกคนล้วนต้องการก้าวไปข้างหน้าอย่างมีชีวิตชีวา ความรื่นรมย์ปกคลุมไปทั่วทุกที่ แสงไฟสีเหลืองทองระยับ เสียงเพลงคึกคักสดใส กลิ่นอายลมหนาวยังทิ้งรอยจางๆไว้แตะผิวกาย คำอวยพรและแรงปรารถนาฟุ้งอบอวลทั่วทุกทิศ ถูกอย่างที่เขาว่า เทศกาลปีใหม่คือเทศกาลแห่งความสุข หรือหากพูดในแง่เหตุผลที่ตัดขาดจากความโรแมนติกทั้งปวง ปีใหม่คือเทศกาลแห่งการฉาบความสุขให้บรรยากาศ และให้แก่กันและกัน เนื้อแท้แล้ว ทางแยกทั้งหลายที่เธอเผชิญยังคงดำมืดกระทั่งลำแสงความหวังแห่งการเริ่มต้นก็ส่องไปไม่ถึง แต่คงไม่ผิดอะไรหากเธอจะยอมปล่อยให้ตัวเองระเริงไปกับแสงสีเคลือบเปลือกนี่ไปสักพัก
“แล้วเจ๊ก็มีพี่ผมขาวอยู่อีกทั้งคน ยิ้มสิคับยิ้ม”
เสียงโทรศัพท์ของเธอส่งเสียงรับประโยคของเขาได้พอดิบพอดี เธอรีบควานหามือถือในกระเป๋า แล้วหยิบขึ้นมา พร้อมจ้องมองหน้าจอที่มืดสนิท “กับมือถือจอเสียอีกหนึ่งเครื่อง ยิ้มค่ะ ยิ้ม”
ความคิดเห็น