คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ว่าด้วยปฏิสัมพันธ์แห่งความบังเอิญ
28 ธ.ค. 2550 -- ว่าด้วยปฏิสัมพันธ์แห่งความบังเอิญ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือความบังเอิญ ฝนตก รถสองคันชนกัน เสียงดังโครม คนบนทางเท้าตกใจ โทรศัพท์มือถือหล่นจากมือ โทรศัพท์ตกกระทบพื้น คนอีกคนพยายามกางร่ม ร่มถูกกาง เท้าเหยียบลงบนโทรศัพท์ คนลื่นหงายหลังบนทางเท้า คนเดินผ่านเข้ามาช่วย คนเปียกโชกสามคนกับรถสองคันมีปฏิสัมพันธ์ แม่ทัพผู้เกรี้ยวโกรธสองนายต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีเหนือพาหนะของตน อัศวินรูปงามช่วยชีวิตเจ้าหญิงผู้อ่อนแอ พยานสามัญชนโวยวายกับความโชคร้ายที่ต้องสูญเสียทรัพย์สิน ทุกอย่างคือความบังเอิญ ทุกคนต่างพยายามระวังทางข้างหน้าของตัวเองให้ดีที่สุดตามที่ความกว้างของกรอบสายตาและความสามารถในการมองเห็นของตนจะพึงอำนวย แต่เหตุการณ์เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นทุกวัน หากเป็นเรื่องร้าย นั่นคือความซวย หากเป็นเรื่องดี นั่นคือบุญพาวาสนาส่ง โชคชะตาคือสิ่งที่มนุษย์เลือกที่จะเชื่อเพราะทนไม่ได้กับความเป็นไปได้ที่ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือความบังเอิญ
บ่ายวันศุกร์สุดท้ายของปี 2550 เป็นบ่ายที่อากาศแจ่มใส ไม่ร้อนอบอ้าว ผู้คนเดินขวักไขว่สวนไปมาบนทางเท้า ขณะที่บรรยากาศร้านค้าต่างๆคึกคักตามวิถีปกติของช่วงปลายปี ลมเบื้องบนพัดผ่านเสียดสีใบไม้บนต้นไม้ตามข้างทาง ลมเบื้องล่างจากความเร็วของรถบนถนนถามาพร้อมเสียงเครื่องยนต์และควันสีเทาๆ ไม่มีอะไรพิเศษแต่อย่างใด โลกแห่งความจริงคล้ายจะน่าเบื่อ จำเจ และไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยภาพที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คงยากที่จิตใจจะสร้างสรรค์จินตนาการให้ชีวิตรื่นเริงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน สามสิบวันต่อเดือน สิบสองเดือนต่อปี ผู้คนไขว่คว้าหาจินตนาการที่กำลังเหือดแห้งลงเรื่อยๆตามชั่วโมงบินที่มากขึ้นบนดาวเคราะห์ดวงนี้ จินตนาการและแรงบันดาลใจที่จะทำให้ชีวิตเป็นมากกว่าการเดินไปข้างหน้าบนถนนที่พลุกพล่าน แต่อ้างว้าง ปฏิสัมพันธ์คือคำตอบ ไม่มีใครเคยโกหกว่าตัวเองเหงา ปฏิสัมพันธ์คือคำตอบ
และปฏิสัมพันธ์คือความบังเอิญ คุณอาจเลือกซื้อบ้านได้ แต่คุณเลือกครอบครัวที่คุณเกิดมาด้วยไม่ได้ คุณอาจเลือกงานได้ แต่คุณเลือกเจ้านายและเพื่อนร่วมงานไม่ได้ คุณอาจเลือกแฟนได้ แต่คุณเลือกคนที่จะตกหลุมรักด้วยไม่ได้ ปฏิสัมพันธ์ที่สร้างแรงบันดาลใจมักเป็นปฏิสัมพันธ์แห่งความบังเอิญ สำหรับคนที่มองโลกในแง่ดี นี่คือความโรแมนติกของชีวิต เมื่อคุณต้องปล่อยให้สิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมตกเป็นหน้าที่ของโชคชะตา สำหรับคนที่มองโลกในแง่ร้าย นี่คือความมืดมนที่ไม่มีทางรู้ได้ว่าความเฮงซวยจะมาเยือนเมื่อใด และสิ่งที่พอทำได้คือใช้ชีวิตส่วนที่อยู่นอกเหนือจากเงื้อมมือของชะตากรรมให้รอบคอบที่สุด
ครั้งสุดท้ายที่ความบังเอิญเข้าข้างเธอคือเมื่อห้าเดือนกับอีกเจ็ดวันที่แล้ว เธอตามใจสัญชาตญาณตัวเองเสมอมา และในคราวนี้เจ้าสัญชาตญาณตัวดีก็ใช้เวลาเพียงเจ็ดวันทำให้เจ้านายเชื่อใจมันได้อย่างไม่มีข้อแม้ ไม่ใช่สัญชาตญาณของเธอที่เชื่อถือไม่ได้ แต่เป็นความบังเอิญที่เข้าข้างผู้ชายคนนั้นต่างหากที่บังเอิญไม่เข้าข้างสัญชาตญาณของเธอ สำหรับผู้หญิงที่ไขว่คว้าหาแรงบันดาลใจเช่นเธอ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นโศกนาฏกรรมแห่งความบังเอิญในชีวิตเล็กๆชีวิตนี้ทีเดียว สัญชาตญาณสูญความน่าเชื่อถือไปมากโข เมื่อเจ้านายของมันตั้งปฏิณญากับตัวเองว่า เวลาและเหตุผลคือเครื่องพิสูจน์ที่น่าไว้ใจที่สุด และเวลาก็กระซิบย้ำข้างหูวันแล้ววันเล่าว่า เจ็ดวันมันเร็วไป เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีกแล้วกัน
บ่ายวันศุกร์แสนธรรมดา ณ ร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่ง เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ผิวเนียนทรงกลมตัวเล็กติดหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่ แดดส่องลอดผ่านซอกตึกด้านข้าง สาดลำแสงแคบๆพาดโต๊ะอีกตัวตรงหน้า หักมุมลำแสงลงสู่ใต้โต๊ะ แล้วทอดยาวเป็นเส้นสีเหลืองละมุนแนบพื้นกระเบื้องอิฐผิวหยาบ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นสะกิดลมหายใจ เสียงดนตรีฟุ้งมากับอากาศเย็นฉ่ำในร้าน ตัวโน้ตจากสายกีตาร์แจ้สร่ายเรียงตามกันมาอย่างไม่รีบร้อนโดยมีเสียงกลองเบาๆคลอเป็นจังหวะ บรรยากาศโดยรวมเป็นสีน้ำตาลอบอุ่น ผู้คนนั่งกระจัดกระจายอยู่ภายใน จิบกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ตัวยาวที่มีแจกันดอกกุหลาบเล็กๆวางอยู่ นั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในมุมเล็กๆ นั่งพิงไหล่คนรักอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม ชีวิตหยุดพัก ณ ที่ว่างแห่งนี้ได้ชั่วขณะ เท้าที่ก้าวสามารถหยุดนิ่ง เปิดโอกาสให้ประสาทสัมผัสผ่อนคลาย และทัศนวิสัยของดวงตาไม่ต้องตื่นตัวระแวดระวัง ที่นี่ การครุ่นคิดสลายไปได้ และความรื่นรมย์เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่เธอตระหนักว่า ได้สร้างปฏิสัมพันธ์ขึ้นแล้ว เธอ กับที่ว่างแห่งหนึ่งและเวลาช่วงหนึ่ง ที่บังเอิญโคจรมาพบกัน
เสียงแก้วกาแฟเซรามิกกระทบกับพื้นไม้เนื้อเรียบเนียนของโต๊ะตรงหน้า ไอร้อนกรุ่นคลุ้งเหนือฟองนมสีขาวขุ่น สายตาเธอเหลือบขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ปฏิสัมพันธ์ครั้งใหม่คงต้องหยุดพักไว้แค่นี้ก่อนเสียแล้ว
“กอล์ฟยังไม่ได้ใส่อะไรให้นะ” เขาวางแก้วพลาสติกใส่กาแฟเย็นไว้บนโต๊ะ “เอาน้ำตาลหรือครีมอะไรมั้ยครับ เดี๋ยวไปหยิบให้”
เขายังเหมือนเดิมทุกอย่าง แบบที่เธอจำได้ ผมหยักศกสั้นๆสีดำ หน้าตาทะเล้นใต้แว่นเหลี่ยมไร้กรอบ ผิวคล้ำ หูกาง ยิ้มกว้าง เธอยิ้มให้เขา พลางคิดถึงความรู้สึกปั่นป่วนในท้องตอนที่ได้เจอกันครั้งแรก อาการลืมหายใจจนเกือบหน้ามืดตอนที่หัวเราะไปกับเขา แล้วเธอก็ยิ้มให้เขา
“คิดยังไงถึงโทรหาแอร์” เธอเอียงคอ แหงนหน้ามองเขา
เขาชะงัก ได้แต่มองเธอกลับด้วยรอยยิ้มเก้อๆ “ใจเย็นสิครับคุณ ขอผมนั่งก่อนนะ นะ แล้วค่อยคุยกันดีๆ” เขาขยับเก้าอี้ แล้วนั่งตรงข้ามเธอ มือพลางหยิบหลอดในห่อกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา แล้วฉีกออก
“น้ำตาลสองซอง”
“หา... อะไรนะครับ”
“เธอเอื้อมมือคว้าหูแก้วกาแฟ แล้วยกขึ้นมาใกล้จมูก “น้ำตาลสองซอง เอาไม้คนด้วยนะ”
“อ้อ” เขาพยักหน้างงๆ แล้วลุกขึ้นไป
“เดี๋ยวๆ” เขาหยุด หันกลับมามอง “หยิบกระดาษให้ด้วย”
“คร้าบผม”
เธอมองเขาเดินไป เบี่ยงตัวเดินเลี่ยงโต๊ะโน้นหลบโต๊ะนี้ แล้วยืนพูดกับบาริสต้าตรงเคาน์เตอร์ เธอกำลังจ้องข้างหลังของผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น คนแปลกหน้าในเสื้อโปโลสีดำกับกางเกงขาสั้นตัวใหญ่และรองเท้าแตะ คนแปลกหน้าที่เธอรู้จักยืนเป็นส่วนประกอบฉากอยู่กลางร้านกาแฟโทนสีน้ำตาลอบอุ่นแห่งนี้ เขาเดินกลับมาพร้อมน้ำตาลสองซอง ไม้คนหนึ่งอัน กระดาษทิชชู่หลายแผ่นในมือ และแก้วกระดาษเล็กๆอีกสองใบ
“เผื่อว่าจะขอน้ำเปล่าด้วย กอล์ฟจะได้เดินรอบเดียว” เขาวางทุกอย่างไว้บนโต๊ะ แล้วนั่งลง
“ขอบคุณ” เธอหยิบไม้คนขึ้นมาคนกาแฟในแก้ว แล้วหยิบซองน้ำตาลเก็บใส่กระเป๋าถือบนตัก
“อ้าว... ไม่ใส่น้ำตาล?”
“ให้เจ้าหมา”
“หา?” เขาทำตาโต “หมา... หมาที่ไหน”
“แมวที่บ้าน มันชอบกินข้าวคลุกน้ำตาล”
“แมว... แล้วไหนบอกหมา”
“หมา ชื่อแมวที่บ้าน เจ้าหมาชอบกินข้าวคลุกน้ำตาล ซื้ออาหารแมวให้กินก็ไม่ยอมกิน”
เขาทำหน้าเหลือทน ยกมือเกาหัว แล้วตอบกลับ “คุณตั้งชื่อแมวว่าหมาเนี่ยนะ”
“อืม... ใช่” เธอพยักหน้ารับ พลางยกแก้วขึ้นจิบกาแฟ
เหมือนจะแน่นิ่งไปครู่ใหญ่ เขาเขยิบเข้ามาใกล้ ท้าวศอกไว้บนโต๊ะ แล้วทำตาโต “โอเค คุณตั้งชื่อแมวว่าหมา”
“ใช่”
“ทำไมคุณถึงตั้งชื่อแมวว่าหมา”
“แล้วทำไมจะไม่ล่ะ” เธอจิบกาแฟอีกนิดไม่รีบร้อน
“ไม่ ไม่ ถามจริงๆ อยากรู้... ทำไมตั้งชื่ออย่างนั้น แล้วไปได้แมวมาจากไหน”
“ก็.... เจอมันอยู่หน้าบ้านวันนึง เห็นหน้าตามันเหมือนหมา ก็เลยตั้งชื่อว่าหมา”
เขาหัวเราะเบาๆ พลางยกแก้วกาแฟขึ้น แต่เมื่อเห็นว่ายังไม่ได้ใส่หลอด จึงวางแก้วกาแฟลง แล้วหยิบหลอดในห่อที่ยังฉีกไม่เสร็จขึ้นมา “คุณนี่ยังพูดไม่รู้เรื่องไม่เปลี่ยนเลยเนอะ”
“คิดยังไงโทรหาแอร์วันนี้” เธอยังถือแก้วกาแฟไว้ในมือ
เขาชะงักอีกรอบ หลอดในมือยังไม่ได้สัมผัสกาแฟในแก้วเสียที “คุณนี่ ....” เขาพูดไม่ออก “... คะ....” ทำท่าเหมือนอัดอั้นถึงขีดสุด “คร้าบ... ใส่มาเลยคร้าบ ผมรู้ผมสมควรโดน เอ้า .. ใส่มาเลย ผมพร้อมแล้วครับ”
เธอจิบกาแฟอีกจิบไม่รีบร้อน สายตายังจดจ้องที่เขา พลางยิ้มในใจ
“กอล์ฟกะไว้แล้ว .. ว่ากลับมาคราวนี้ยังไงก็ต้องโดน เอ้า พร้อมแล้ว โลด” เขาทำท่ายอมจำนนโดยสิโรราบ “นี่สงสัยเผาผ้าพันคอทิ้งไปแล้วแหงๆเลยใช่มั้ย”
“แอร์ไม่ได้จะว่าอะไรเลยกอล์ฟ” เธอวางแก้วไว้บนโต๊ะ “กินกาแฟไปก่อนไป แล้วค่อยตอบ”
“ตอบอะไร”
“ตอบว่าทำไมถึงโทรหาแอร์วันนี้”
เขามองเธอกลับด้วยสีหน้าแน่นิ่ง ขณะที่เธอย่นหน้าผากนิดๆ แล้วยิ้มน้อยๆให้
“แอร์ว่ากอล์ฟกินกาแฟก่อนเหอะ กินกาแฟไปก่อน”
เขาใส่หลอดลงแก้ว และแล้วก็ได้ฤกษ์จัดการกาแฟตรงหน้าเป็นจิบแรก “กอล์ฟกะว่าวันนี้จะวันหยุดแอร์ป่าวน้า ก็เลยโทรไป เผื่อจะได้ออกมาเจอกัน ปรากฎว่าเดาถูก ก็เลย...”
“เพื่อนแอร์เพิ่งตาย”
“หา.. ว่าไงนะครับ”
“เพื่อนแอร์เพิ่งตาย”
“เป็นอะไรอ่ะครับ”
“ตายไง”
เขาก้มหน้าหัวเราะ แล้วส่ายหัว “ตายเพราะอะไรล่ะครับ”
“เส้นเลือดในสมองแตก”
“หา... เพื่อนแอร์อ่ะนะ อายุเท่าไหร่”
“ยี่สิบสอง เท่ากับพวกเราแหละ”
“เป็นไปได้ยังไง”
“ไม่รู้ เพิ่งรู้เมื่อเช้า เพื่อนโทรมาบอก”
“เสียใจด้วยนะ แล้วต้องไปงาน...”
“พูดแล้วก็นึกขึ้นได้” เธอโพล่งขึ้นมา มือควานหาบางอย่างในกระเป๋าบนตัก จากนั้นก็หยิบกล่องแบนๆขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“อะไรอ่ะ” เขาถาม ขณะที่เธอเงียบ แล้วเริ่มควานหาของในกระเป๋าอีกรอบ จากนั้นก็หยิบกล่องลูกบาศก์เล็กๆขึ้นมาอีกกล่อง แล้วยื่นให้เขากับมือ “อะไรอ่ะ” เขาถามอีกรอบ
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์”
เขายิ้มร่า พลิกกล่องสีขาวไปมา แล้วหยิบดูใกล้ๆ “ของขวัญให้กอล์ฟจริงเหรอ”
“เห็นหน้าเหมือนกอล์ฟดี เลยซื้อให้”
“จำวันเกิดกอล์ฟได้ด้วยอ่ะ น่ารักจัง ... อะไรอ่ะ” เขาเขย่ากล่องเบาๆใกล้ๆหู
“ลิงตีฉิ่ง”
“เอ้า... บอกซะงั้น... ไม่ทิ้งไว้ให้เซอร์ไพรซ์เลยเรอะ”
“ลิงไขลานตีฉิ่งที่หน้าเหมือนกอล์ฟ ไว้แกะดูที่บ้านเถอะ”
“ขอบคุณมากนะครับ” เขาวางกล่องไว้ข้างแก้วกาแฟ แล้วหยิบกาแฟขึ้นมาดูดต่อ
“กอล์ฟโทรมาก่อนเพื่อนแอร์แป๊บเดียวเองเมื่อเช้า”
“หา...” เขากัดหลอดไว้ แล้วพูด “อะไรนะครับ”
“เมื่อเช้า... พอวางสายจากกอล์ฟปุ๊บ เพื่อนก็โทรมาบอกให้ไปงานศพ ชีวิตมันไม่แน่ไม่นอนจริงๆ จริงๆนะ กอล์ฟเกิด กุ๊กตาย อายุยี่สิบสองเท่ากันเลย”
เขาทำท่าแกล้งทำสำลักน้ำ และไอกระแอมอีกสามสี่ที “เออะ.. ครับ จริงครับ ผมก็ดันมาเกิดวันนี้จริงๆนั่นแหละ”
“สรุปคือ” เธอยืดตัวขึ้น เขยิบเข้ามาใกล้เขา แล้วถามต่อ “กอล์ฟโทรมาทำไมวันนี้”
เขาวางแก้วแล้วขำประชดตัวเอง “ผมว่าผมไม่กินกาแฟแล้ว ไม่งั้นต้องสำลักน้ำตายเพราะคุณแน่ๆ”
เธอนิ่งรอฟังคำตอบ สายตาจดจ้องที่ชายตรงหน้า เมื่อเขาเห็นอาการของเธอ ก็จำต้องเบี่ยงสายตาไปทางอื่น มือพลางหยิบซองกระดาษที่เคยใส่หลอดมาม้วนเล่น ม้วนเข้า แล้วก็ม้วนออก ม้วนเข้าใหม่ แล้วก็ม้วนออก “กอล์ฟก็ ...” เขาอ้ำอึ้ง “อยากเจอแอร์แหละ ก็มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังเยอะ ไม่ได้เจอกันนาน... แอร์สบายดีใช่มั้ย”
เธอยังมองเขาไม่ไหวติง และไม่ได้ปริปากแต่อย่างใด มือท้าวคาง แล้วรอฟังต่อไป
“ก็แอร์ก็รู้ว่าวันนี้วันเกิดกอล์ฟ ก็.... อยากเจอแอร์แหละ”
“กอล์ฟโทรมาทำไม”
“อย่าขึ้นเสียงดุสิคุณ ผม...”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกระทันหัน เธอหยิบโทรศัพท์ที่หน้าจอมืดสนิทขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วหันหน้าจอให้เขาดู “จอเสีย .. อนาถมั้ย” เขาขำพอเป็นพิธี ขณะที่เธอกดรับโทรศัพท์ “แป๊บนึงนะกอล์ฟ”
“สวัสดีค่ะ” เธอยิ้มขณะที่สายตายังมองไปข้างหน้า และมีภาพของเขาอยู่ในกรอบแบบลางๆ
“โธ่ นึกว่าที่ที่ทำงานใหม่โทรมา เลยต้องพูดเพราะ” เธอเหลียวมองไปนอกหน้าต่างขณะสนทนาผ่านลำโพง แต่หางตายังจับภาพเขาหยิบห่อเปล่าของหลอดดูดกาแฟขึ้นมาม้วนเล่นต่อ
“โว้ย ยังไม่ได้เป็น ขอกลุ้มทีละเรื่อง ตอนนี้กลุ้มเรื่องจอเสียอยู่”
เธอหันมองชายตรงหน้าชั่วครู่ แล้วยิ้มให้ เขามองกลับ แล้วก้มหน้าม้วนกระดาษในมือต่อไป “เคาะเท่าไหร่ไม่ยอมหาย”
เขาหันมายิ้มให้ เริ่มทิ้งกระดาษเปื่อยๆในมือ แล้วหันมาจับกล่องลูกบาศก์หมุนเล่น“แอร์อยู่กับเพื่อนอ่ะพี่เบิร์ด”
“เดี๋ยวๆ พี่ จะบอกว่าเย็นนี้อาจจะไปดูหนังด้วยไม่ได้ พอดีต้องไปงานศพเพื่อน” เขาเริ่มปฏิบัติการแกะกล่องออก แล้วหยิบของข้างในออกมาพิจารณา เธอเห็นท่าทางของเขาทุกกระเบียด
“ตายไง” เธอโพล่งขึ้นมา ทำให้เขาต้องผละจากกิจกรรมในมือแล้วเงยหน้ามองเธอ เธอยิ้มตอบให้เขา
“เส้นเลือดในสมองแตก” เขาพยักหน้าเออออไปกับเธอด้วย แม้จะเห็นว่าเธอไม่ได้คุยกับเขาอยู่ก็ตาม เธอเห็นเขากำลังเริ่มไขลานตุ๊กตาลิงพลาสติกตัวเล็กสีน้ำตาลในมือ
“ยี่สิบสอง เท่าแอร์” เขาค่อยๆวางตุ๊กตาไว้บนโต๊ะ เสียงลานเริ่มดังแข่งกับฉิ่งที่กระทบกันอยู่ในมือลิง
“เอาเหอะ” เธอขำไปพูดไป ขณะที่สมองอีกส่วนเล็กๆยังรับรู้คร่าวๆว่า เขาชอบของขวัญของชิ้นเล็กๆของเขา “ไว้โทรบอกอีกทีนะว่าจะไปดูหนังด้วยได้มั้ย ถ้าดูดึกหน่อยเป็นไรมั้ยคะ”
เธอยิ้ม “แถวศิริราช ไม่ต้องห่วงค่ะ แอร์เคยไป” สายตาชำเลืองมองชายที่นั่งตรงข้ามที่กำลังคว้าแก้วกาแฟมาดูดต่อขณะรับชมการแสดงลิงตีฉิ่ง
“ค่า ไว้คุยกันนะ บั้ยบายค่ะ” เธอกดวางสาย วาดภาพในใจเองว่าหน้าจอคงล็อกปุ่มกดให้อัติโนมัติ
ลานตุ๊กตาสีน้ำตาลยังหมุนต่อไป ฉิ่งในมือลิงยังตีกันเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาก้มลงมองมัน วางมือจากกาแฟ แล้วหยิบเจ้าลิงขึ้นมาไว้ในมือ “นี่ผมไปพรากคุณมาจากใครรึป่าวเนี่ย” เขาแอบมองหน้าเธอด้วยยิ้มแหยๆ แล้วพลันก้มลงมองของฉิ่งฉับในมือ
ลานใกล้หมด เสียงประกอบจังหวะในมือเขาค่อยแผ่วลง เขาค่อยๆเก็บตุ๊กตาลงกล่อง แล้วถือกล่องไว้ ทอยกล่องลงมือซ้ายขวาสลับไปมา ช่วงรอยต่อบทสนทนายาวนานขึ้นเรื่อยๆ เปิดโอกาสให้เธอได้ยินเสียงกีตาร์ที่ล่องลอยมากับอากาศอีกครั้ง ไม่นานเสียงที่ได้ยินก็แปรเป็นเพลงที่ได้ฟัง ผู้หญิงบนเคาน์เตอร์อมยิ้มขณะคุยโทรศัพท์ พลางใช้มือหนึ่งคลอเคลียดอกกุหลาบตรงหน้า ชายที่มุมห้องขยับท่านั่งเล็กน้อยคลายเมื่อย มือพลิกหน้าหนังสือพิมพ์หน้าใหม่ขึ้นอ่าน คู่รักบนโซฟาอิงไหล่กระซิบข้างหู สองมือสัมผัสกันและกัน นี่เองปฏิสัมพันธ์ที่สร้างแรงบันดาลใจ และความบังเอิญก็พาเธอมาที่นี่ พร้อมกับเขา และพร้อมกับดนตรีและผู้คนแปลกหน้า ในวันศุกร์สุดท้ายของปี เขานั่งอยู่ตรงหน้าเธอ ขอกลับเข้ามาในชีวิตเธอ และความบังเอิญคงต้องบังคับให้เธอตัดสินใจทำอะไรสักอย่างในเร็วๆนี้
และทีเด็ดของละครฉากนี้อยู่ตรงที่ว่า ความเหงากำลังทำให้เธอโอนเอียงไปเชื่อคำว่าโชคชะตามากกว่าคำว่าความบังเอิญ ... ตลกร้ายคลาสสิกส่งท้ายปีจริงๆ
“เสียมาอาทิตย์นึงแล้ว” เธอหันจอโทรศัพท์ให้เขาดูอีกรอบ “เคาะเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหาย แต่ก่อนเคาะสามจึ๊กภาพก็กลับมา”
“ก็เอาไปซ่อมสิ”
“ไม่รู้จะซ่อม หรือจะซื้อใหม่ดี”
ความน่าสนใจของช่วงเวลาส่งท้ายปีคือผู้คนมักเกิดอาการอยากมองย้อนหลัง และบังเอิญมีกำลังใจในการซ่อมแซมสิ่งต่างๆในชีวิตขึ้นมาอย่างประหลาด บ้างก็ลุกฮึดขึ้นมาเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างจริงจัง ช่วงเวลานี้ของทุกปี ผู้คนพากันสวมกอดความโรแมนติก และเชื่อมั่นว่าสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ทุกอย่างในวันแรกของปีถัดไป ทักษะในการประมาณความเสี่ยงจากอันตรายบนทางเดินข้างหน้าถดถอย อย่างที่ว่านั่นเอง ผู้คนชอบความโรแมนติกในช่วงรอยต่อของปี และคนโรแมนติกมองความเสี่ยงว่าเป็นโอกาส .... และความสุขดูจะเป็นโอกาสที่ทุกคนใฝ่หา
“คุณยังไม่ได้ตอบผมเลย” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ผมไปพรากคุณมาจากใครรึป่าว”
“แอร์ยังไม่มีแฟน”
“จริงเหรอ” เขาเติมท้ายเสียงออดอ้อน
“กอล์ฟโทรมาหาแอร์ทำไม” เธอถามเสียงแข็ง เน้นทุกคำให้ชัดเจน
“เรายังเป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่เหรอแอร์”
“กอล์ฟ... กอล์ฟก็รู้ว่าแอร์เป็นคนยังไง แอร์ถามครั้งสุดท้ายนะ กอล์ฟโทรมาหาแอร์ทำไม”
เขาก้มหน้า เขี่ยห่อกระดาษเปื่อยๆบนโต๊ะไปมา “เพราะแบบนี้แหละ กอล์ฟถึงลังเลไม่กล้ามาเจอหน้าแอร์อีก” เขายังคงหลบสายตาเธอ “เพราะกลัวจะเป็นแบบนี้ กอล์ฟแค่อยากให้อะไรๆมันเป็นเหมือนเดิม”
ใจหนึ่งของเธอรำคาญท่าทีอ้อมค้อมของเขาเสียเต็มแก่จนอยากจะลุกจากไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่อีกใจก็ทนรอให้เขาพูดประโยคนั้นขึ้นมาแทบไม่ไหว เธอไม่รู้หรอกว่าอยากได้ยินประโยคนั้นเพราะอะไร และจะตอบกลับประโยคดังกล่าวว่ายังไง เธอรู้แค่ว่าชีวิตสั้นเกินกว่าจะมานั่งลังเลและเล่นเกมส์ที่ไม่ได้ช่วยให้สื่อสารอะไรใหม่ๆแก่กันเลย
“กอล์ฟอยาก....” เสียงของเขาแหบไปชั่วครู่ สายตายังก้มลงมองกระดาษเปื่อยๆในมือ “อยาก... ขอโทษ... ขอโทษจริงๆ กอล์ฟรู้ว่าทำตัวแย่กับแอร์ไว้เยอะ ที่อยากบอกก็แบบ ... ขอโทษ ... ขอโทษจริงๆ” เขาเค้นคำแต่ละคำออกมาช้าๆ เบาๆ “กอล์ฟรู้ว่ากอล์ฟแย่... กอล์ฟเป็นเหี้ยอะไรของกอล์ฟก็ไม่รู้ กอล์ฟขอโทษ”
เธอทิ้งช่วงรอให้แน่ใจว่าเขาพูดคำของเขาจนจบแล้ว แล้วตอบกลับ “แอร์รับคำขอโทษ”
เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ ยิ้มน้อยๆ แล้วเอื้อมมือมากุมมือเธอไว้เบาๆ “กลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ”
เธอมองชายตรงหน้าอีกครั้งให้แน่ใจ เขายังเหมือนเดิมแบบที่เธอจำได้ ผมหยักศกสีดำสั้นๆ แว่นเหลี่ยมๆไม่มีกรอบ ยิ้มตาแป๊ะเชยๆบนริมฝีปากบางๆ และผิวคล้ำๆ ลักษณะท่าทาง รูปลักษณ์ภายนอกยังเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่สิ่งที่แตกต่างสำหรับเธอ ณ วินาทีนี้ คือ รายละเอียดเหล่านั้นไม่คุ้นตาเธอเช่นครั้งสุดท้ายที่เธอเจอเขาเมื่อสี่เดือนก่อนอีกแล้ว เธอเคยหลับตา และเห็นหน้าเขาชัดเจนมากเสียจนทำให้เธอคิดถึงเขาแทบบ้า เหมือนเขาอยู่ข้างเธอได้ทุกครั้งที่เธอต้องการ แล้วจางหายไปทุกครั้งที่เธอจับต้อง นั่นคืออดีต ผู้ชายที่นั่งตรงหน้าเธอตอนนี้คือคนที่เธอจำได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่บรรยากาศรอบตัวกลับเป็นสิ่งที่เธออยากจดจำให้แม่นมากกว่า ภาพแสงอาทิตย์นอกหน้าต่าง มุมของลำแสงที่ทอดผ่านพื้นอิฐ เงาของแจกันและดอกกุหลาบที่นอนแนบเคาน์เตอร์ คู่รักนั่งเคียงกันเงียบๆบนโซฟา กลิ่นกลิ่นนี้ และเสียงกีตาร์บรรเลงในอารมณ์นี้ เขาอยู่ในฐานะตัวประกอบฉาก เพียงตัวประกอบฉาก และเธอไม่ได้หลงรักตัวประกอบฉากอีกต่อไปแล้ว
“ไม่ได้หรอก” เธอยิ้ม แล้วเลื่อนมือออกจากมือของเขา “แอร์ชอบกอล์ฟ แต่แอร์ไม่ชอบเป็นตุ๊กตาแก้เหงาของใคร”
“กอล์ฟขอโทษ” เขาหลบสายตาเธออีกครั้ง มองออกไปนอกหน้าต่าง “เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เลยเหรอ”
“คงไม่ใช่เร็วๆนี้”
“แต่ก็มีโอกาสใช่มั้ย”
“โอกาส และความเสี่ยง ... ใช่”
“งั้นถ้าวันนึงกอล์ฟจะขอโอกาสเริ่มต้นใหม่ก็ได้ใช่มั้ย”
“กอล์ฟเคยเดินถอยหลังมั้ย”
“ครับ...ว่าไงนะ”
“เดินถอยหลัง” เธอย้ำ
“เดินถอยหลัง? เดินถอยหลังเกี่ยวอะไรด้วย”
“ใช่ ไม่เกี่ยวกันเลย”
“แล้วยังไงครับ กอล์ฟไม่เข้าใจ”
“กอล์ฟเคยเดินถอยหลังมั้ย”
“แล้วกอล์ฟจะเดินถอยหลังทำไม”
“แล้วทำไมจะไม่ล่ะ”
“คุณนี่ เริ่มพูดไม่รู้เรื่องอีกแล้ว ผมล่ะตามไม่ทัน”
“มีคนอินเดียเดินถอยหลังได้ไกลที่สุดในโลก ร้อยกว่าโลได้”
“อะไรของคุณเนี่ย”
“เป็นสถิติกินเนสบุ๊ค”
“คุณอย่าเพิ่งนอกเรื่องสิ คุยกันเรื่องนี้ก่อน”
“มันไม่มีเรื่องให้คุยแล้วกอล์ฟ คุยไปก็ไม่รู้เรื่อง น่าจะลองเดินถอยหลังดูกันมากกว่า น่าจะสนุกกว่า”
“ไม่เอาแล้วคุณ เริ่มเพ้อเจ้อแล้ว”
“กลับไปคิดดีๆก่อนกอล์ฟ คิดดีๆนะ เดินถอยหลังอาจจะช่วยให้คิดออกก็ได้”
“โอ้ย คุณ ไม่เอาแล้ว ผมไม่รู้เรื่อง”
“ระหว่างนี้แอร์คืนเจ้านี่ให้ก่อนนะ” เธอเลื่อนกล่องแบนๆบนโต๊ะให้เขา
เขาทำหน้าสงสัย “อะไรเหรอครับ”
“ที่ทำงานใหม่คงไม่หนาวแล้ว”
“แอร์ได้งานใหม่เหรอ ที่ไหนอ่ะ”
“การบินไทย”
“หา.. จริงเหรอ เป็นอะไรอ่ะ เป็นแอร์ล่ะสิ”
“เฮ่อ .... กลัวว่าจะทำไม่รอด”
“ไม่รอดได้ยังไง แหม อุตส่าห์เข้าได้ทั้งที แอร์ทำได้อยู่แล้ว นี่เริ่มงานใหม่นานรึยัง”
“ยังไม่ได้เริ่ม เริ่มปีหน้า”
“โห... สบาย ....อย่างนี้คุณก็รวยแล้วน่ะสิ”
เธอชี้นิ้วที่กล่องใบดังกล่าว แล้วยิ้ม “คืนให้แล้วนะ ถือว่าเลิกกันอย่างเป็นทางการ”
ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่เข้ามา ผู้คนยังคงเดินไปข้างหน้า ต่างค้นหา ไขว่คว้า หรือรอคอยปฏิสัมพันธ์แห่งความบังเอิญที่ควรค่าให้จดจำ แต่ความเฮงซวยของชีวิตเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อคุณเลือกความบังเอิญไม่ได้ และปฏิสัมพันธ์ที่เจ็บปวดจนไม่อยากจำกลับสลักรอยไว้ในใจ ผู้คนต้องเดินไปข้างหน้า แต่บางครั้งรอยสักแห่งอดีตก็ฝังลึกจนคุณอดเหลียวหลังไปมองไม่ได้ ประโยชน์เพียงอย่างเดียวจากการเสี่ยงภัยเดินไปในทิศทางสวนทางกับสายตาคือวิวแห่งเบื้องหลังที่แตกต่าง และความแตกต่างบันดาลอะไรใหม่ๆให้คุณบ้าง
เธอมองดูบรรยากาศในร้านกาแฟ และซึมซับกลิ่นไอที่พัดพามากับที่ว่างแห่งนี้ กลิ่นจางๆจากแก้วกาแฟ เสียงกีตาร์แจ้สเบาๆที่แตะแก้วหู พลังงานอันแผ่วบางของผู้คนที่ได้หยุดพักยามบ่าย เธอจิบกาแฟอึกสุดท้าย แล้วค่อยๆละเลียดความหอมหวลที่บางเบาเข้าไป ในใจฉุกคิดได้ว่า วันนี้ปล่อยให้ความรู้สึกของตนพร่ำพรรณาเตลิดไปมากจนเลี่ยนเกินพิกัดเสียแล้ว
“จนกว่าจะพบกันใหม่” เธอปล่อยประโยคเด็ดครั้งสุดท้ายที่เคยได้ยินบ่อยๆจากภาพยนตร์และอยากเอามาใช้บ้างมาตลอด มือวางแก้วกาแฟบนโต๊ะ สีขาวของแก้วแทบจะกลืนกับผิวพื้นไม้สีนุ่มภายใต้แสงอาทิตย์ในเวลานี้ของวัน เธอมองความเข้ากันของสีตรงหน้าชั่วครู่ สะพายกระเป๋าถือ แล้วลุกขึ้น
“อ้าว จะไปแล้วเหรอ เดี๋ยวสิ... ไปด้วยกัน” เขารีบลุกขึ้น
“แยกกันตรงนี้แหละ เดี๋ยวแอร์ต้องไปงานศพด้วย”
“เอางั้นเหรอ”
“บั๊ยบาย กอล์ฟ”
“เดี๋ยวสิคุณ ไปด้วยกันก็ได้ เดี๋ยวผมไปส่ง”
เธอยิ้ม “ไม่ต้องหรอก แอร์ไปเองดีกว่า บั้ยบายค่ะ”
เหมือนไม่มีทางเลือก เขาถอนหายใจ แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “ครับ บั้ยบายครับ”
เธอหันหลัง แล้วเดินออกจากร้านกาแฟ พลันเหลียวมองคู่รักที่นั่งกุมมือกันอย่างเงียบๆอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม แล้วเหลียวหลังกลับไปมองเขาโดยไม่รู้ตัว เขายืนอยู่ที่เดิม มือหนึ่งท้าวส่วนขอบโค้งเนียนของโต๊ะ แล้วส่งยิ้มให้ เธอยิ้มกลับขณะที่ตัวยังเคลื่อนที่ออกห่าง เท้าค่อยๆก้าวถอยหลังไปช้าๆ สั้นๆ ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา
“ลองเดินถอยหลังดู” เธอยักคิ้วให้เขา เขาส่ายหน้า กล้ำกลืนหัวเราะ แล้วโบกมือลา ในที่สุดเธอจึงหันหลังกลับ แล้วเดินหน้าจากไป
การเหลียวหลังของเธอในครั้งนี้ ณ ช่วงส่งท้ายปี 2550 บันดาลความแตกต่างเพียงอย่างเดียว มันทำให้เธอเดียวดายอย่างโรแมนติก และเธอก็เกลียดไอ้คำว่าโรแมนติกนี่เสียจริงๆ
หมายเหตุ: นี่คือบทสนทนาแบบเต็มๆระหว่างเธอกับชายในโทรศัพท์ (เผื่อคุณอยากอ่าน)
“สวัสดีค่ะ”
“หวัดดีค้าบ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากอีกปลายสาย เธอยิ้มโดยอัติโนมัติเมื่อได้ยินเสียงนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เธอต้องยิ้ม “วันนี้ไปเปรี้ยวอยู่ไหนคับเนี่ย”
“โธ่ นึกว่าที่ที่ทำงานใหม่โทรมา เลยต้องพูดเพราะ”
“ต้องฝึกสำเนียงนางฟ้าแล้วสินะ นางฟ้า เนี่ย เบิร์ดกะว่าจะซื้อปีกติดให้คู่นึง” เสียงหยอกล้อดังจากอีกสาย
“โว้ย ยังไม่ได้เป็น ขอกลุ้มทีละเรื่อง ตอนนี้กลุ้มเรื่องจอเสียอยู่”
“อ่าว ยังเจ๊งอยู่อีกเหรอ”
“เคาะเท่าไหร่ไม่ยอมหาย”
“ไม่ใช่ทรานซิสเตอร์นะเจ๊ ภาพคงกลับมาได้หรอก เอาไปซ่อมสิ ไม่ก็ซื้อใหม่ซะ”
“แอร์อยู่กับเพื่อนอ่ะพี่เบิร์ด”
“อ่าวเหรอ งั้นแค่นี้ก่อนก็ได้”
“เดี๋ยวๆ พี่ จะบอกว่าเย็นนี้อาจจะไปดูหนังด้วยไม่ได้ พอดีต้องไปงานศพเพื่อน”
“อ่าว จริงดิ เพื่อนเป็นอะไรอ่ะ”
“ตายไง”
“ไม่ช่าย คือ ... อันนั้นน่ะรู้ ถามว่าเป็นอะไรถึงตาย”
“เส้นเลือดในสมองแตก”
“ล้อเล่นน่ะ มีเพื่อนเป็นคนแก่ด้วยเหรอ”
“ยี่สิบสอง เท่าแอร์”
“ทำไมอ่ะ เค้าเป็นคนคิดมากเหรอ หรือว่าไง หรือกินกาแฟเยอะ”
“เอาเหอะ” เธอขำไปพูดไป “ไว้โทรบอกอีกทีนะว่าจะไปดูหนังด้วยได้มั้ย ถ้าดูดึกหน่อยเป็นไรมั้ยคะ”
“ไม่ต้องดูวันนี้ก็ได้ ว่าแต่วัดอะไรล่ะ แล้วแอร์จะไปเป็นเรอะ ยิ่งเอ๋อๆอยู่”
เธอยิ้ม “แถวศิริราช ไม่ต้องห่วงค่ะ แอร์เคยไป”
“แล้วอย่าไปโพล่งอะไรแปลกๆไม่มีต้นมีท้ายกับใครที่งานเข้าล่ะเจ๊ เดี๋ยวงานศพเค้าจะกลายเป็นตลกคาเฟ่”
“ค่า ไว้คุยกันนะ บั้ยบายค่ะ”
“ค้าบ บ๊ายบายค้าบ”
ความคิดเห็น