ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ขั้นที่ 1 : ก้าวแรก
ขั้นที่ 1 : ก้าวแรก
                “ขอบอกก่อนนะว่ายังไงแม่ก็ไม่เห็นด้วยที่ลูกทำแบบนี้ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแม่จะมาลากเรากลับไปทันที” ผู้เป็นแม่บอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด หญิงสาวในเสื้อผ้าราคาแพงมองไปรอบๆ ห้องชุดบนคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองอย่างไม่ชอบใจ
    “โธ่...แม่คะ ไม่มีเรื่องอะไรหรอกค่ะ ยังไงเชนก็จะมาดูแลด้วย รับรองค่ะว่าไม่มีเรื่องให้แม่ต้องห่วงแน่” เด็กสาวยืนยันเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วเจ้าตัวเองก็จำไม่ได้เพื่อให้แม่วางใจ
    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เฮ้อ...ยังดีนะที่เราจะไปโรงเรียนนั้น แม่จะพยายามมาที่นี่บ่อยๆ”
    “ค่ะ” ชลินทรารับคำ เด็กสาวรู้ดีว่าแม่ของเธอไม่มีทางทำอย่างที่พูดได้แน่ ก็งานของแม่ออกจะรัดตัวขนาดนั้น ไม่มีทางบินข้ามโลกจากอเมริกามาหาลูกที่ประเทศไทยได้หรอก
    “เอ้า...เอาไป” ชลิตายื่นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดให้กับลูกสาวที่ยืนมองตาแป๋ว
    “แม่ให้ชาลทำไมคะ” ชลินทราเบิกตากว้างถามผู้เป็นแม่อย่างงงๆ ก็เธอเพิ่งได้เครื่องใหม่มาเมื่อสองเดือนที่แล้วนี่เอง ใช้ไปยังไม่ทันจะสึกหรอเลย
    “เอ๊ะ...ลูกคนนี้ถามแปลก แม่ก็ให้เราเอาไปใช้น่ะสิ”
    “แต่เครื่องที่แม่ให้มาคราวที่แล้ว...”
    “เครื่องนี้มันใหม่กว่าก็เอาๆ ไปเถอะ รับของจากแม่น่ะไม่เสียหายหรอกนะ อย่าไปรับจาก ’คนอื่น’ ก็แล้วกัน” ชลิตาพูดสวนขึ้นมาตั้งแต่ลูกสาวยังพูดไม่จบประโยค หญิงสาวเน้นคำว่าคนอื่นอย่างชัดถ้อยชัดคำ
    “ค่ะ แม่รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันเครื่องบิน” ชลินทรามองนาฬิกาพลางมองแม่ของเธอไปพลาง
    “จ้าๆ ไล่ซะจริง แม่ไปนะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย”
    สองคนแม่ลูกผลัดกันหอมแก้มแล้วสวมกอดกันแน่น ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะเดินผละไปโดยมีลูกสาวยืนมองจนลับตา
    ชลินทราทิ้งตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาสีขาวตัวยาวอย่างเหนื่อยอ่อน ก็วันนี้เธอกับแม่ใช้เวลาทั้งวันเพื่อจัดห้องชุดที่ว่างเปล่าให้เต็มไปด้วยของใช้และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่สามารถเนรมิตขึ้นมาด้วยเงินที่แม่ของเธอทุ่มลงไป แน่นอนว่ามันเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลย
    เด็กสาวถอนหายใจยาว เธอไม่ห่วงเรื่องที่ต้องอยู่คนเดียวเพราะตั้งแต่จำความได้เธอก็เจอแม่บ้างไม่เจอบ้างอยู่แล้ว เรื่องที่เธอห่วงคือสิ่งที่เธอกำลังจะทำต่างหาก เธอยกมือขึ้นสางผมดำขลับที่ยาวถึงกลางหลังเล่นอย่างใจลอย
    ชลินทราเดินไปเปิดตู้เย็นเครื่องใหญ่ที่มีความจุมากพอสำหรับคนหกคนเป็นอย่างน้อยซึ่งบัดนี้แออัดไปด้วยของสดจำนวนมากมายที่แม่ของเธอหาซื้อมาอัดๆ ไว้
    เธอกวาดตามองทั่วตู้เย็นพลางคิดเมนูอาหารเย็นง่ายๆ สำหรับคนๆ เดียว เอ...สปาเก็ตตี้ก็น่าจะดี ทำเผื่อมื้อเช้าด้วยดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก
    “ฮัลโหล” ชลินทรารีบรับโทรศัพท์ทันทีที่มันดังขึ้นเพียงครั้งที่สอง
    “ชาล”
    “เชน กว่าจะโทรมาได้นะ วันนี้ก็ไม่มาที่นี่ รู้หรือเปล่าว่าแม่อยากเจอเชนม้ากมาก” เสียงใสต่อว่าผู้ที่โทรมาทันที
    “วันนี้เชนติดธุระเลยไปไม่ได้น่ะ” เขาไม่อยากบอกสาเหตุที่แท้จริงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องไม่พอใจอย่างมากแน่ๆ
    “แน่เร้อ” ชลินทราทำเสียงสูงอย่างไม่เชื่อก่อนเปลี่ยนเรื่อง “ช่างเถอะ ถามไปมากจะเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ พรุ่งนี้เปิดเทอมแล้วเชนมารับชาลที่นี่ด้วยนะ” เสียงใจบงการ
    “โอเค”
    “อ้อ...แล้วก็ไม่ต้องพา ’ใคร’ ติดมาด้วยนะ” เด็กสาวเน้นเสียง
    “ได้ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ บาย”
    “บายจ้าเชน” เด็กสาวพูดน้ำเสียงร่าเริง พรุ่งนี้เธอก็จะได้เจอเชนแล้วสินะ ชลินทรายิ้มออกมาอย่างมีความสุข
   
    “พร้อมหน้ากันแต่เช้าเชียวนะฮะ ผมว่าผมลงมาเร็วแล้วเชียว” ร่างสูงของเด็กหนุ่มเดินเช้านั่งประจำที่เพื่อทานอาหารเช้าอย่างคุ้นเคย ข้าวต้มกุ้งของโปรดของเขาส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายอยู่ตรงหน้า
    “ก็วันนี้เปิดเทอมวันแรกนี่คะ ไม่มีใครอืดอาดเหมือนพี่ธิปหรอ” เด็กสาวที่นั่งข้างๆ เขาแซวขึ้นมา
    “ใครว่าพี่อืดอาดกันฮะยายตัวยุ่ง” ชลาธิปขยี้ผมน้องสาวอย่างเอ็นดู
    “พ่อกับแม่ดูสิคะ พี่ธิปแกล้งเฟิร์น” น้องสาวหันไปฟ้องผู้ใหญ่อีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วย
    “พอได้แล้วจ้า แกล้งกันอยู่ได้ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ รีบๆ กินเข้าเถอะ เดี๋ยวก็ได้สายตั้งแต่วันแรกหรอก” ผู้เป็นแม่มองการโต้เถียงของลูกทั้งสองคนอย่างแม่ความสุข
    “แม่ เดี๋ยววันนี้ผมจะขับรถไปเองนะฮะ”
    “จริงหรอพี่ธิป เฟิร์นไปด้วยนะ” ชนกนันท์รีบเสนอตัวเองทันที ก็พี่ธิปเพิ่งได้รถคันใหม่จากคุณพ่อนี่นา เธอยังไม่เคยได้นั่งเลย เด็กสาวนึกถึงรถสปอร์ตป้ายแดงของพี่ชายที่จอดอย่างเอี่ยมอ่องอยู่ในโรงรถ
    “เราน่ะไปกับพ่อดีกว่า” ชลาธิปปฏิเสธ เขาไม่อยากเจอปัญหาตั้งแต่เปิดเทอมหรอกนะ
    “ทำไมล่ะก็เฟิร์นจะไปกับพี่ธิปนี่นา นะคะแม่ นะคะ” เด็กสาวหันไปอ้อนให้แม่ช่วย
    “นั่นสิจ๊ะ ธิปก็พาน้องไปด้วยก็ได้นี่ลูก คุณพ่อจะได้ไม่เหนื่อยไง” เขมิกาเห็นด้วยกับลูกสาว
    ชลาธิปมองผู้เป็นพ่ออย่างหนักใจซึ่งคุณโกรพพอจะเข้าใจความรู้สึกหนักใจของลูกชายจึงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
    “เอาเป็นว่าวันนี้ยายเฟิร์นไปกับพ่อก่อน วันอื่นค่อยไปกับพี่เขาแล้วกัน” ประมุขของบ้านพูดเป็นการตัดบท ชนกนันท์ได้แต่นิ่งเงียบอย่างไม่พอใจเพราะรู้ว่าผู้เป็นพ่อพูดสิ่งใดแล้วไม่มีทางเปลี่ยนใจ
    ร่างโปร่งบางในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนผูกโบว์ที่เขียวเข้ม กระโปรงสีเทายาวแค่เข่ากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปเปิดประตูห้องชุดทันทีที่ได้ยินเสียงกดออด
    “มาแล้วหรือเชน คิดถึงเชนมากเลยรู้ไหม” ชลินทรายิ้มสดใสโผเข้ากอดร่างสูงตรงหน้าก่อนเบี่ยงตัวเพื่อให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้อง
    ชลาธิปมองทั่วห้องชุดที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามก่อนสายตาจะไปสะดุดที่สปาเก็ตตี้สองจานบนโต๊ะอาหาร
    “มาพอดีเลยเชน มากินข้าวด้วยกัน” ชลินทราชวนด้วยน้ำเสียงร่าเริง
    “เอาไว้ก่อนดีกว่าชาล เชนเพิ่งกินมาน่ะ” เด็กหนุ่มพูดไปแล้วรู้สึกอยากจะกลับคำพูดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นดวงหน้างามสลดลง
    “อืม...ชาลนี่ไม่น่าลืมเลยเนอะ ไม่เป็นไรหรอก” เด็กสาวพยายามฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเต็มความสามารถ
    ชลาธิปมองคนตรงหน้าด้วยสายตาขอโทษ เขานึกเปรียบเทียบการที่เด็กสาวต้องกินข้าวคนเดียวกับที่บ้านของเขาเมื่อเช้า มันช่างแตกต่างกันลิบลับ
    “งั้นชาลว่าชาลรีบกินดีกว่าเดี๋ยวไปสายละแย่เลย” ชลินทราพูดตัดบท เธอไม่ชอบบรรยากาศอึดอัดแบบนี้เลย
                เด็กสาวร่างสูงโปร่งที่เดินเข้าประตูโรงเรียนมาพร้อมกับเด็กหนุ่มร่างสูงดึงดูดความสนใจจากสายตาทุกคู่บริเวณนั้นให้หันไปมอง ชลินทรามองรอบๆ อย่างงงงัน นี่มันอะไรกันเนี่ย ทำไมพวกเขาต้องมาจ้องฉันด้วย
    “เชน ทำไมพวกผู้หญิงเขามองชาลแปลกๆ ล่ะ” เด็กสาวกระซิบถามคนที่เดินอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างๆ
    เด็กหนุ่มหัวเราะแล้วยักไหล่อย่างไม่สนใจ
    “ก็แบบนี้แหละชาล ที่โรงเรียนเก่าชาลคงไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหมล่ะ เห็นอย่างนี้น่ะเชนติดอันดับหนึ่งในสามหนุ่มหล่อของโรงเรียนนี้เลยนะ คนอื่นเขาก็เลยมองชาลที่เดินคู่มาด้วยไง”
    ชลินทราพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ เธอเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้างแต่ไม่คิดว่ามันจะมีจริง
    “แน่สิ ก็เชนเป็นฝาแฝดของชาลซะอย่าง” ชลินทรายิ้มกว้างส่งให้ดวงหน้างามยิ่งโดดเด่น
    ทั้งสองคนมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันแต่ชลินทราจะมีใบหน้าออกหวานสมเป็นผู้หญิงผิดกับชลาธิปที่มีใบหน้าคมเข้มกว่า นอกจากนั้นทั้งตา หู จมูก ปาก ของทั้งคู่ก็แทบจะเหมือนกันจนแยกไม่ออก
    “เชน เดี๋ยวชาลต้องไปห้องผู้อำนวยการก่อนน่ะ”
    “อ้าว...ไม่เป็นไรเดี๋ยวเชนพาไปเอง” ร่างสูงทั้งสองคู่เดินเคียงกันไปท่ามกลางสายตางุนงงสงสัยหลายคู่บริเวณนั้น
    “เฮ้ยไอ้ธิป เห็นนะเว้ยเมื่อเช้าน่ะ” เด็กชายคนหนึ่งส่งเสียงทักขึ้นเมื่อชลาธิปเดินเข้าห้องเรียนหลังจากไปส่งแฝดของเขาที่ห้องของอาจารย์ใหญ่แล้ว
    “พอเลยไอ้ติ” เด็กหนุ่มปรามเพื่อนที่ตั้งท่าจะล้อเลียน
    “ใครวะธิป ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย” สารัณเงยหน้าจากหนังสือเรียนขึ้นมาถาม แสดงว่าเขาต้องสนใจเรื่องนี้มากจริงๆ จนละสายตาจากหนังสือเรียนได้
    “ใช่ สวย น่ารัก นี่แนะนำให้รู้จักหน่อยสิ” เนติธรคะยั้นคะยอ
    เด็กหนุ่มไม่ตอบแต่กลับเหลือบตามองปฏิกิริยาของเพื่อนอีกคนที่ยังคงนั่งฟังเพลงจากมินิดิสก์เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่สนใจเรื่องอื่น
    ความวุ่นวายในห้องเรียนหยุดลงทดแทนด้วยความเงียบเมื่อร่างท้วมของหญิงสาววัยกลางคนซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องเปิดประตูห้องเรียนเดินเข้ามาตามด้วยร่างสูงโปร่งของเด็กสาวที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาของคนหลายคนในห้องตั้งแต่เช้า
              “วันนี้เปิดเทอมวันแรกครูว่าทุกคนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้วนะจ๊ะ” อาจารย์ที่ปรึกษาเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ส่วนมากคนที่อยู่ห้องเอแบบพวกเธอทุกคนก็จะรักษาอันดับของตัวเองอย่างเหนียวแน่นกันอยู่แล้ว” ที่โรงเรียนแห่งนี้จะจัดห้องเรียนตามอันดับผลการเรียนของนักเรียนเริ่มตั้งแต่ห้องเอถึงห้องอี
              นักเรียนบางคนพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
              “แต่วันนี้เรามีเพื่อนใหม่มาเรียนด้วยนะจ๊ะ มานี่สิจ๊ะชลินทรา” ร่างท้วมหันไปยิ้มกับลูกศิษย์คนใหม่อย่างปรานี “หนูไปนั่งหน้าชลาธิปนะจ๊ะ ยังไงก็ช่วยแนะนำเพื่อนกันด้วยนะจ๊ะทุกคน” อาจารย์ที่ปรึกษาส่งท้ายก่อนจะออกจากห้องไปเพื่อให้นักเรียนได้เตรียมตัวกับคาบเรียนแรกก่อนจะถึงเวลาเล็กน้อย
            “เชน” ชลินทราเดินไปยิ้มให้กับเด็กหนุ่มที่อาจารย์ที่ปรึกษาพูดถึงก่อนยิ้มให้เด็กสาวอีกคนที่เธอต้องนั่งเรียนด้วย
            “ฉันชลินทรานะเรียกชาลก็ได้ เธอชื่ออะไรหรอ” เด็กสาวเริ่มผูกมิตรกับอีกฝ่าย
            “ยินดีที่ได้รู้จัก เรียกฉันว่าแจ้งก็ได้” จารุภาแนะนำตัวเองก่อนหันไปสนใจหนังสือเรียนตรงหน้าต่อ
            “นี่ชาล เธอไม่เห็นบอกฉันเลยนะว่าจะเรียนห้องนี้น่ะ” ชลาธิปถามอย่างแปลกใจ
            “อ้าว ก็ตอนนั้นชาลบอกแล้วไงว่าเดี๋ยวเจอกัน เชนไม่เข้าใจเองนะจะมาว่าชาลไม่ได้” ชลินทราบอกฝาแฝดของเธอยิ้มๆ
            “เดี๋ยวๆ ฟังมาตั้งนานแล้ว ‘เชน’ นี่ใครกัน” เนติธรที่นั่งอยู่หลังชลาธิปถามขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
            “หวัดดีค่ะ” ชลินทรายิ้มให้คนที่ถามแทรกขึ้นมาโดยที่ไม่ตอบคำถาม
            “อือ ชาล นี่เจ้าติ ต้น แล้วก็โย” ชลาธิปแนะนำเพื่อนของเขาทีละคน
            “ชาลค่ะ” เด็กสาวแนะนำตัวเองสั้นๆ พลางมองสำรวจคนที่เด็กหนุ่มแนะนำทีละคน ทุกคนดูสนใจเธอทั้งนั้นนอกจากคนที่เอาแต่นั่งฟังเพลงนั่น
            “เฮ้ยไอ้โย” เนติธรหันไปเรียกเพื่อนอีกคนที่ดูไม่สนใจอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
            อ้อ...นายนั่นชื่อโย ชลินทรารีบจดจำอย่างรวดเร็ว ทำไมหมอนี่ถึงดูหน้าคุ้นๆ นะ หรือว่า...
            ปโยธัสหันมาตามเสียงเรียกก่อนมองหน้าเด็กสาวแล้วหยุดชะงัก
            “เฮ้ย” คนที่นั่งเงียบขึ้นมาตลอดร้องขึ้นก่อนลุกพรวดท่ามกลางความตกตะลึงของคนทั้งห้องเพราะปกติปโยธัสเป็นชายหนุ่มที่เงียบมากถึงมากที่สุดโดยเฉพาะกับผู้หญิงแล้วด้วย
            ชลินทราเบิกตากว้าง ก่อนจะชี้หน้าคนที่ลุกขึ้นยืน
            “นาย...นาย ทำไม...” เด็กสาวพูดได้เพียงเท่านี้ก่อนจะโดนอีกฝ่ายลากตัวออกไป
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีผู้อ่านทุกคนนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งตามใจตัวเองมากไปนิด เนื่อหาบางส่วน(หลังจากนี้) อาจจะเกินจริงไปบ้าง -__-!! ยังไงก็ขอฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ^ ^ อย่าลืมเม้นท์นะคะ
                “ขอบอกก่อนนะว่ายังไงแม่ก็ไม่เห็นด้วยที่ลูกทำแบบนี้ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแม่จะมาลากเรากลับไปทันที” ผู้เป็นแม่บอกลูกสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด หญิงสาวในเสื้อผ้าราคาแพงมองไปรอบๆ ห้องชุดบนคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองอย่างไม่ชอบใจ
    “โธ่...แม่คะ ไม่มีเรื่องอะไรหรอกค่ะ ยังไงเชนก็จะมาดูแลด้วย รับรองค่ะว่าไม่มีเรื่องให้แม่ต้องห่วงแน่” เด็กสาวยืนยันเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วเจ้าตัวเองก็จำไม่ได้เพื่อให้แม่วางใจ
    “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เฮ้อ...ยังดีนะที่เราจะไปโรงเรียนนั้น แม่จะพยายามมาที่นี่บ่อยๆ”
    “ค่ะ” ชลินทรารับคำ เด็กสาวรู้ดีว่าแม่ของเธอไม่มีทางทำอย่างที่พูดได้แน่ ก็งานของแม่ออกจะรัดตัวขนาดนั้น ไม่มีทางบินข้ามโลกจากอเมริกามาหาลูกที่ประเทศไทยได้หรอก
    “เอ้า...เอาไป” ชลิตายื่นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดให้กับลูกสาวที่ยืนมองตาแป๋ว
    “แม่ให้ชาลทำไมคะ” ชลินทราเบิกตากว้างถามผู้เป็นแม่อย่างงงๆ ก็เธอเพิ่งได้เครื่องใหม่มาเมื่อสองเดือนที่แล้วนี่เอง ใช้ไปยังไม่ทันจะสึกหรอเลย
    “เอ๊ะ...ลูกคนนี้ถามแปลก แม่ก็ให้เราเอาไปใช้น่ะสิ”
    “แต่เครื่องที่แม่ให้มาคราวที่แล้ว...”
    “เครื่องนี้มันใหม่กว่าก็เอาๆ ไปเถอะ รับของจากแม่น่ะไม่เสียหายหรอกนะ อย่าไปรับจาก ’คนอื่น’ ก็แล้วกัน” ชลิตาพูดสวนขึ้นมาตั้งแต่ลูกสาวยังพูดไม่จบประโยค หญิงสาวเน้นคำว่าคนอื่นอย่างชัดถ้อยชัดคำ
    “ค่ะ แม่รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันเครื่องบิน” ชลินทรามองนาฬิกาพลางมองแม่ของเธอไปพลาง
    “จ้าๆ ไล่ซะจริง แม่ไปนะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย”
    สองคนแม่ลูกผลัดกันหอมแก้มแล้วสวมกอดกันแน่น ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะเดินผละไปโดยมีลูกสาวยืนมองจนลับตา
    ชลินทราทิ้งตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาสีขาวตัวยาวอย่างเหนื่อยอ่อน ก็วันนี้เธอกับแม่ใช้เวลาทั้งวันเพื่อจัดห้องชุดที่ว่างเปล่าให้เต็มไปด้วยของใช้และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่สามารถเนรมิตขึ้นมาด้วยเงินที่แม่ของเธอทุ่มลงไป แน่นอนว่ามันเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลย
    เด็กสาวถอนหายใจยาว เธอไม่ห่วงเรื่องที่ต้องอยู่คนเดียวเพราะตั้งแต่จำความได้เธอก็เจอแม่บ้างไม่เจอบ้างอยู่แล้ว เรื่องที่เธอห่วงคือสิ่งที่เธอกำลังจะทำต่างหาก เธอยกมือขึ้นสางผมดำขลับที่ยาวถึงกลางหลังเล่นอย่างใจลอย
    ชลินทราเดินไปเปิดตู้เย็นเครื่องใหญ่ที่มีความจุมากพอสำหรับคนหกคนเป็นอย่างน้อยซึ่งบัดนี้แออัดไปด้วยของสดจำนวนมากมายที่แม่ของเธอหาซื้อมาอัดๆ ไว้
    เธอกวาดตามองทั่วตู้เย็นพลางคิดเมนูอาหารเย็นง่ายๆ สำหรับคนๆ เดียว เอ...สปาเก็ตตี้ก็น่าจะดี ทำเผื่อมื้อเช้าด้วยดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก
    “ฮัลโหล” ชลินทรารีบรับโทรศัพท์ทันทีที่มันดังขึ้นเพียงครั้งที่สอง
    “ชาล”
    “เชน กว่าจะโทรมาได้นะ วันนี้ก็ไม่มาที่นี่ รู้หรือเปล่าว่าแม่อยากเจอเชนม้ากมาก” เสียงใสต่อว่าผู้ที่โทรมาทันที
    “วันนี้เชนติดธุระเลยไปไม่ได้น่ะ” เขาไม่อยากบอกสาเหตุที่แท้จริงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องไม่พอใจอย่างมากแน่ๆ
    “แน่เร้อ” ชลินทราทำเสียงสูงอย่างไม่เชื่อก่อนเปลี่ยนเรื่อง “ช่างเถอะ ถามไปมากจะเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ พรุ่งนี้เปิดเทอมแล้วเชนมารับชาลที่นี่ด้วยนะ” เสียงใจบงการ
    “โอเค”
    “อ้อ...แล้วก็ไม่ต้องพา ’ใคร’ ติดมาด้วยนะ” เด็กสาวเน้นเสียง
    “ได้ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ บาย”
    “บายจ้าเชน” เด็กสาวพูดน้ำเสียงร่าเริง พรุ่งนี้เธอก็จะได้เจอเชนแล้วสินะ ชลินทรายิ้มออกมาอย่างมีความสุข
   
    “พร้อมหน้ากันแต่เช้าเชียวนะฮะ ผมว่าผมลงมาเร็วแล้วเชียว” ร่างสูงของเด็กหนุ่มเดินเช้านั่งประจำที่เพื่อทานอาหารเช้าอย่างคุ้นเคย ข้าวต้มกุ้งของโปรดของเขาส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายอยู่ตรงหน้า
    “ก็วันนี้เปิดเทอมวันแรกนี่คะ ไม่มีใครอืดอาดเหมือนพี่ธิปหรอ” เด็กสาวที่นั่งข้างๆ เขาแซวขึ้นมา
    “ใครว่าพี่อืดอาดกันฮะยายตัวยุ่ง” ชลาธิปขยี้ผมน้องสาวอย่างเอ็นดู
    “พ่อกับแม่ดูสิคะ พี่ธิปแกล้งเฟิร์น” น้องสาวหันไปฟ้องผู้ใหญ่อีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วย
    “พอได้แล้วจ้า แกล้งกันอยู่ได้ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ รีบๆ กินเข้าเถอะ เดี๋ยวก็ได้สายตั้งแต่วันแรกหรอก” ผู้เป็นแม่มองการโต้เถียงของลูกทั้งสองคนอย่างแม่ความสุข
    “แม่ เดี๋ยววันนี้ผมจะขับรถไปเองนะฮะ”
    “จริงหรอพี่ธิป เฟิร์นไปด้วยนะ” ชนกนันท์รีบเสนอตัวเองทันที ก็พี่ธิปเพิ่งได้รถคันใหม่จากคุณพ่อนี่นา เธอยังไม่เคยได้นั่งเลย เด็กสาวนึกถึงรถสปอร์ตป้ายแดงของพี่ชายที่จอดอย่างเอี่ยมอ่องอยู่ในโรงรถ
    “เราน่ะไปกับพ่อดีกว่า” ชลาธิปปฏิเสธ เขาไม่อยากเจอปัญหาตั้งแต่เปิดเทอมหรอกนะ
    “ทำไมล่ะก็เฟิร์นจะไปกับพี่ธิปนี่นา นะคะแม่ นะคะ” เด็กสาวหันไปอ้อนให้แม่ช่วย
    “นั่นสิจ๊ะ ธิปก็พาน้องไปด้วยก็ได้นี่ลูก คุณพ่อจะได้ไม่เหนื่อยไง” เขมิกาเห็นด้วยกับลูกสาว
    ชลาธิปมองผู้เป็นพ่ออย่างหนักใจซึ่งคุณโกรพพอจะเข้าใจความรู้สึกหนักใจของลูกชายจึงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
    “เอาเป็นว่าวันนี้ยายเฟิร์นไปกับพ่อก่อน วันอื่นค่อยไปกับพี่เขาแล้วกัน” ประมุขของบ้านพูดเป็นการตัดบท ชนกนันท์ได้แต่นิ่งเงียบอย่างไม่พอใจเพราะรู้ว่าผู้เป็นพ่อพูดสิ่งใดแล้วไม่มีทางเปลี่ยนใจ
    ร่างโปร่งบางในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนผูกโบว์ที่เขียวเข้ม กระโปรงสีเทายาวแค่เข่ากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปเปิดประตูห้องชุดทันทีที่ได้ยินเสียงกดออด
    “มาแล้วหรือเชน คิดถึงเชนมากเลยรู้ไหม” ชลินทรายิ้มสดใสโผเข้ากอดร่างสูงตรงหน้าก่อนเบี่ยงตัวเพื่อให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้อง
    ชลาธิปมองทั่วห้องชุดที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามก่อนสายตาจะไปสะดุดที่สปาเก็ตตี้สองจานบนโต๊ะอาหาร
    “มาพอดีเลยเชน มากินข้าวด้วยกัน” ชลินทราชวนด้วยน้ำเสียงร่าเริง
    “เอาไว้ก่อนดีกว่าชาล เชนเพิ่งกินมาน่ะ” เด็กหนุ่มพูดไปแล้วรู้สึกอยากจะกลับคำพูดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นดวงหน้างามสลดลง
    “อืม...ชาลนี่ไม่น่าลืมเลยเนอะ ไม่เป็นไรหรอก” เด็กสาวพยายามฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเต็มความสามารถ
    ชลาธิปมองคนตรงหน้าด้วยสายตาขอโทษ เขานึกเปรียบเทียบการที่เด็กสาวต้องกินข้าวคนเดียวกับที่บ้านของเขาเมื่อเช้า มันช่างแตกต่างกันลิบลับ
    “งั้นชาลว่าชาลรีบกินดีกว่าเดี๋ยวไปสายละแย่เลย” ชลินทราพูดตัดบท เธอไม่ชอบบรรยากาศอึดอัดแบบนี้เลย
                เด็กสาวร่างสูงโปร่งที่เดินเข้าประตูโรงเรียนมาพร้อมกับเด็กหนุ่มร่างสูงดึงดูดความสนใจจากสายตาทุกคู่บริเวณนั้นให้หันไปมอง ชลินทรามองรอบๆ อย่างงงงัน นี่มันอะไรกันเนี่ย ทำไมพวกเขาต้องมาจ้องฉันด้วย
    “เชน ทำไมพวกผู้หญิงเขามองชาลแปลกๆ ล่ะ” เด็กสาวกระซิบถามคนที่เดินอย่างสบายอารมณ์อยู่ข้างๆ
    เด็กหนุ่มหัวเราะแล้วยักไหล่อย่างไม่สนใจ
    “ก็แบบนี้แหละชาล ที่โรงเรียนเก่าชาลคงไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหมล่ะ เห็นอย่างนี้น่ะเชนติดอันดับหนึ่งในสามหนุ่มหล่อของโรงเรียนนี้เลยนะ คนอื่นเขาก็เลยมองชาลที่เดินคู่มาด้วยไง”
    ชลินทราพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ เธอเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้างแต่ไม่คิดว่ามันจะมีจริง
    “แน่สิ ก็เชนเป็นฝาแฝดของชาลซะอย่าง” ชลินทรายิ้มกว้างส่งให้ดวงหน้างามยิ่งโดดเด่น
    ทั้งสองคนมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันแต่ชลินทราจะมีใบหน้าออกหวานสมเป็นผู้หญิงผิดกับชลาธิปที่มีใบหน้าคมเข้มกว่า นอกจากนั้นทั้งตา หู จมูก ปาก ของทั้งคู่ก็แทบจะเหมือนกันจนแยกไม่ออก
    “เชน เดี๋ยวชาลต้องไปห้องผู้อำนวยการก่อนน่ะ”
    “อ้าว...ไม่เป็นไรเดี๋ยวเชนพาไปเอง” ร่างสูงทั้งสองคู่เดินเคียงกันไปท่ามกลางสายตางุนงงสงสัยหลายคู่บริเวณนั้น
    “เฮ้ยไอ้ธิป เห็นนะเว้ยเมื่อเช้าน่ะ” เด็กชายคนหนึ่งส่งเสียงทักขึ้นเมื่อชลาธิปเดินเข้าห้องเรียนหลังจากไปส่งแฝดของเขาที่ห้องของอาจารย์ใหญ่แล้ว
    “พอเลยไอ้ติ” เด็กหนุ่มปรามเพื่อนที่ตั้งท่าจะล้อเลียน
    “ใครวะธิป ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย” สารัณเงยหน้าจากหนังสือเรียนขึ้นมาถาม แสดงว่าเขาต้องสนใจเรื่องนี้มากจริงๆ จนละสายตาจากหนังสือเรียนได้
    “ใช่ สวย น่ารัก นี่แนะนำให้รู้จักหน่อยสิ” เนติธรคะยั้นคะยอ
    เด็กหนุ่มไม่ตอบแต่กลับเหลือบตามองปฏิกิริยาของเพื่อนอีกคนที่ยังคงนั่งฟังเพลงจากมินิดิสก์เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่สนใจเรื่องอื่น
    ความวุ่นวายในห้องเรียนหยุดลงทดแทนด้วยความเงียบเมื่อร่างท้วมของหญิงสาววัยกลางคนซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องเปิดประตูห้องเรียนเดินเข้ามาตามด้วยร่างสูงโปร่งของเด็กสาวที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาของคนหลายคนในห้องตั้งแต่เช้า
              “วันนี้เปิดเทอมวันแรกครูว่าทุกคนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้วนะจ๊ะ” อาจารย์ที่ปรึกษาเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ส่วนมากคนที่อยู่ห้องเอแบบพวกเธอทุกคนก็จะรักษาอันดับของตัวเองอย่างเหนียวแน่นกันอยู่แล้ว” ที่โรงเรียนแห่งนี้จะจัดห้องเรียนตามอันดับผลการเรียนของนักเรียนเริ่มตั้งแต่ห้องเอถึงห้องอี
              นักเรียนบางคนพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
              “แต่วันนี้เรามีเพื่อนใหม่มาเรียนด้วยนะจ๊ะ มานี่สิจ๊ะชลินทรา” ร่างท้วมหันไปยิ้มกับลูกศิษย์คนใหม่อย่างปรานี “หนูไปนั่งหน้าชลาธิปนะจ๊ะ ยังไงก็ช่วยแนะนำเพื่อนกันด้วยนะจ๊ะทุกคน” อาจารย์ที่ปรึกษาส่งท้ายก่อนจะออกจากห้องไปเพื่อให้นักเรียนได้เตรียมตัวกับคาบเรียนแรกก่อนจะถึงเวลาเล็กน้อย
            “เชน” ชลินทราเดินไปยิ้มให้กับเด็กหนุ่มที่อาจารย์ที่ปรึกษาพูดถึงก่อนยิ้มให้เด็กสาวอีกคนที่เธอต้องนั่งเรียนด้วย
            “ฉันชลินทรานะเรียกชาลก็ได้ เธอชื่ออะไรหรอ” เด็กสาวเริ่มผูกมิตรกับอีกฝ่าย
            “ยินดีที่ได้รู้จัก เรียกฉันว่าแจ้งก็ได้” จารุภาแนะนำตัวเองก่อนหันไปสนใจหนังสือเรียนตรงหน้าต่อ
            “นี่ชาล เธอไม่เห็นบอกฉันเลยนะว่าจะเรียนห้องนี้น่ะ” ชลาธิปถามอย่างแปลกใจ
            “อ้าว ก็ตอนนั้นชาลบอกแล้วไงว่าเดี๋ยวเจอกัน เชนไม่เข้าใจเองนะจะมาว่าชาลไม่ได้” ชลินทราบอกฝาแฝดของเธอยิ้มๆ
            “เดี๋ยวๆ ฟังมาตั้งนานแล้ว ‘เชน’ นี่ใครกัน” เนติธรที่นั่งอยู่หลังชลาธิปถามขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
            “หวัดดีค่ะ” ชลินทรายิ้มให้คนที่ถามแทรกขึ้นมาโดยที่ไม่ตอบคำถาม
            “อือ ชาล นี่เจ้าติ ต้น แล้วก็โย” ชลาธิปแนะนำเพื่อนของเขาทีละคน
            “ชาลค่ะ” เด็กสาวแนะนำตัวเองสั้นๆ พลางมองสำรวจคนที่เด็กหนุ่มแนะนำทีละคน ทุกคนดูสนใจเธอทั้งนั้นนอกจากคนที่เอาแต่นั่งฟังเพลงนั่น
            “เฮ้ยไอ้โย” เนติธรหันไปเรียกเพื่อนอีกคนที่ดูไม่สนใจอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
            อ้อ...นายนั่นชื่อโย ชลินทรารีบจดจำอย่างรวดเร็ว ทำไมหมอนี่ถึงดูหน้าคุ้นๆ นะ หรือว่า...
            ปโยธัสหันมาตามเสียงเรียกก่อนมองหน้าเด็กสาวแล้วหยุดชะงัก
            “เฮ้ย” คนที่นั่งเงียบขึ้นมาตลอดร้องขึ้นก่อนลุกพรวดท่ามกลางความตกตะลึงของคนทั้งห้องเพราะปกติปโยธัสเป็นชายหนุ่มที่เงียบมากถึงมากที่สุดโดยเฉพาะกับผู้หญิงแล้วด้วย
            ชลินทราเบิกตากว้าง ก่อนจะชี้หน้าคนที่ลุกขึ้นยืน
            “นาย...นาย ทำไม...” เด็กสาวพูดได้เพียงเท่านี้ก่อนจะโดนอีกฝ่ายลากตัวออกไป
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีผู้อ่านทุกคนนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งตามใจตัวเองมากไปนิด เนื่อหาบางส่วน(หลังจากนี้) อาจจะเกินจริงไปบ้าง -__-!! ยังไงก็ขอฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ^ ^ อย่าลืมเม้นท์นะคะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น