คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : กบฏบัลลังก์
31
กบฏบัลลังก์
เดินทางยังไม่ทันพ้นเขตชายแดนคาโนวาลดีนัก เรื่องวุ่นวายก็เกิดขึ้นจนได้
คาร์ซาร์ที่กุมบังเหียนม้าคู่หนึ่งอยู่ในมือ เพิ่งสังเกตว่าลมเย็นๆในช่วงกลางฤดูหนาวหลังหิมะตกกลับแปรเปลี่ยนเป็นสายลมแรง พัดเอาใบไม้ตามรายทางปลิวว่อนในอากาศผสมกับฝุ่นผงจนแทบมองอะไรไม่เห็น แม้จะค่อยๆเป็นไปอย่างช้าๆ แต่มันก็ยังผิดธรรมชาติอยู่ดี
หากเปลี่ยนเป็นเจ้าชายคาเรน คงทรงทราบในทันทีว่านี่เป็นฝีมือของดาบทวนลม
แต่นี่เป็นคาร์ซาร์ ที่แม้จะฝากชีวิตเกือบครึ่งไว้ในพระราชวังแห่งคาโนวาล แต่ไม่ค่อยสนใจคนในปกครองของเพื่อนรัก ซึ่งเป็นเจ้าชายรัชทายาทนัก ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าปรากฏการณ์นี้เป็นเพราะฝีมือคนหรือธรรมชาติแปรปรวนกันแน่
แต่เขาระวังตัวจัดตามวิสัยคนใกล้ชิดกับความตายมาแต่กำเนิด ดังนั้นจึงทันได้เห็นความผิดปกติบางอย่าง
ทหารรักษาพระองค์ที่พระราชินีเฟรินทรงมีกระแสรับสั่งให้ตามมาคุ้มครองท่านหญิงเรนอน ค่อยๆหายไปทีละคนสองคน
คนพวกนั้นเดินไปข้างหน้าอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วกลับกลายเป็นว่าพวกเขาเดินหายไปเข้าไปในสายหมอกหนาเบื้องหน้า......ก่อนจะหายตัวไปเลย
ดังนั้นก่อนที่ม้าเทียมรถทั้งสองจะย่างเข้าไปในสายหมอก คาร์ซาร์ก็รั้งบังเหียนกลับสุดแรง
ม้าสองตัวแผดเสียงดังลั่น แทรกไปในอากาศอันหนาวเย็นด้วยความตกใจ รถม้าตกแต่งอย่างสวยงามสมฐานะผู้โดยสารจึงเอียงวูบ ล้อด้านหนึ่งลอยขึ้นเหนือพื้น โดยอาศัยล้ออีกด้านเป็นศูนย์ถ่วง ก่อนที่ทั้งคนทั้งมาจะกลับหลังหันและหยุดกึกลง
คาร์ซาร์เขม้นตาสีม่วงมองหมอกหนาที่ล้อมรอบตัว ด้วยสายตาระแวดระวัง
ลมยังคงพัดแรง ทำไมเกิดหมอกหนาได้
แถมยังเกิดขึ้นเฉยๆ กลืนเอาผู้คนหายไปเป็นสิบ
ไม่ธรรมดาแล้ว....
“คาร์ซาร์ เกิดอะไรขึ้นลูก”
เสียงท่านหญิงเรนอนถามอย่างตกใจ การเทรถม้าไปข้างหนึ่งอย่างกะทันหันแบบเมื่อกี้ คงทำให้ท่านแม่ของเขาตกใจและเป็นห่วงเขามาก
“เซลด้า....” เสียงเข้มเรียกสตรีที่น่าจะควบคุมสติได้มากกว่า “อย่าออกมา ฝากท่านแม่ด้วย”
ว่าแล้ว เขาก็กระโดดวูบลงมาจากที่นั่งสารถี สายตายังคงมองไปยังหมอกเบื้องหน้า
รังสีสังหารกระจายรอบทิศทาง....
‘ถึงขั้นอยากฆ่ากันเชียวหรือ’ คาร์ซาร์นึกอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ค่อนข้างแปลกใจเอาการที่มีคนอยากคิดฆ่าเขาทั้งที่รู้ว่าเขาเป็นนักฆ่า
แน่ล่ะ มันคนไหนก็ตามที่บังอาจใช้หมอกกับลมแรงสร้างสถานที่ต่อสู้ ย่อมมีฝีมือมากพอที่จะดูออกว่าเขาเองก็เป็นผู้มีกลิ่นเลือดและรังสีแห่งการสังหารอาบร่างอยู่เหมือนกัน
ใครนะทำแบบนี้
น่านับถือเสียจริงๆ
“คาร์ซาร์ ระวังตัวนะลูก”
ท่านหญิงเรนอนยังคงเป็นห่วงลูกชายคนเดียว เพราะถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ย่อมรู้ดีว่าการเป็นนักฆ่าหรือนักรบ เป็นอาชีพที่เพาะศัตรูได้รอบด้านเป็นอย่างดีทีเดียว
“ท่าน....แม่!!!”
คำว่า ‘ท่าน’ ตอนแรกยังฟังปกติเหมือนเรียกหาอยู่ แต่คำว่า ‘แม่’ที่ตามมานั้นเป็นการตะโกนอย่างตกใจจริงๆ
นั่นเพราะอยู่ดีๆรังสีสังหารก็พุ่งไปที่รถม้า จนเขานึกภาพดาบคมๆแทงสวบเข้าไปในรถม้าได้ในสมอง
แต่ท่านหญิงเรนอนนั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย เพราะบัดนี้เจ้าหญิงเซลด้าผลักเธอลงมา ทั้งที่ตัวเองยังอยู่ในรถม้า
“เซลด้า ลูก เซลด้า”
อดีตเจ้าหญิงคาโนวาลที่นั่งอ่อนแรงอยู่บนพื้น เร่งเร้าลูกชายด้วยความรู้สึกเป็นห่วงคนรับดาบแทนยิ่งนัก
แสงวาบๆที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลังนั้น....เป็นคมดาบแน่นอน
แต่เจ้าหญิงเซลด้าก็ไม่ได้เป็นอะไรเช่นกัน เพราะบัดนี้ ร่างอรชรลงมายืนเคียงข้างคาร์ซาร์ด้วยดาบในมือที่เปื้อนเลือด
เลือดใครก็ไม่รู้....ดาบใครก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน
“ท่านอา...เป็นไรมั้ยคะ”
เรนอนส่ายหน้านิดๆ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพอจะควบคุมสติได้แล้ว จึงจับมือที่เจ้าหญิงจากอเมซอนส่งมาให้ก่อนลุกขึ้นยืน แต่ยังอดมองไปรอบด้านอย่างหวาดกลัวไม่ได้
“ดาบเลว”
เซลด้าบ่นเมื่อตวัดดาบในมือตัวเองมาดู แต่หางตายังคงจับภาพรอบด้านอย่างชาญฉลาด
ดังนั้น.....
“อ๊ากกกกกกกกก”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นจนท่านหญิงเรนอนสะดุ้งเฮือก เพราะดาบที่คนถือบอกว่าเลว ได้เฉียดปลายจมูกเธอไปนิดเดียว ก่อนเสียบร่างที่โถมเข้ามากว่าครึ่ง จนอีกฝ่ายตายศพไม่สวยเลยสักนิด
รังสีสังหารรุนแรง.....คมดาบลอดเข้ามาในสายตาวิบวับ
“ยอดเยี่ยม” คนร่างสูงเบื้องหน้าชมสั้นๆ ทำเอาคนฟังฉีกยิ้มกว้าง “แต่ไม่มีศิลปะเอาซะเลย”
“เฮ้ย”
คนถูกตำหนิว่าไม่มีศิลปะในการฆ่าอีกกับโวยขึ้นมาทันควันอย่างไม่ชอบใจ ด้วยมียังพระนิสัยเช่นพระมารดามาทิลด้าอยู่บ้างในเรื่องใจร้อน และมือร้อน
“ดาบนี่ดีกว่ามั้ย”
คาร์ซาร์ยื่นดาบในมือให้ ก่อนตัวเองจะเดินไปเก็บดาบจากคนที่เพิ่งพิสูจน์ฝีมือจากเจ้าหญิงแห่งอเมซอนแล้วตอนนั้นเอง.....
ท่านหญิงเรนอนกรีดเสียงแหลมลั่น เมื่อเห็นประกายดาบวาบเข้ามาทางด้านหลังของลูกชาย ทว่าคนไวกว่าและถือดาบเรียวไว้ในมือเสือกดาบออกไปได้ทัน คมดาบงามจึงจ้วงเข้าไปกลางอกคนพุ่งเข้ามาเป็นคนที่สองแล้วเมื่อร่างบางหมุนกลับมาในท่าเดิม เลือดสีสดก็พุ่งกระจายยิ่งกว่าน้ำพุกลางอุทยานเสียอีก
“ดาบนี่ค่อยคมหน่อย”
“อย่างนี้ก็ค่อยมีศิลปะหน่อย”
คาร์ซาร์เอ่ยมาจากตำแหน่งที่ห่างจากตอนแรกเกือบห้าเมตร เพราะเขานั้นเกลียดการที่เลือดสาดถูกตัวเสียจริงๆ
“ดาบนั่นก็เลวพอกัน”
เซลด้าพยักเพยิดไปยังดาบในมือชายหนุ่ม
“การฆ่าที่ดี ทุกอย่างต้องกลายเป็นอาวุธสังหารได้”
“จะสอนหลักสูตรเรียนลัดหรือไง”
“งั้นมั้ง”
แล้วประกายดาบอีกนับสิบก็ถูกวาดเข้ามาในตอนนั้น มองดูระยิบระยับยังกับดาวบนฟากฟ้า พร้อมๆกับการเคลื่อนไหวตามทางดาบของทั้งเซลด้าและคาร์ซาร์ ที่ล้อมรอบท่านหญิงเรนอนเอาไว้ได้อย่างไม่มีจุดอ่อน แถมยังเผื่อแผ่รัศมีไปถึงม้าสองตัวที่เทียมรถด้วย
ต่อให้ศพมากมายมากองอยู่ตรงหน้า ท่านหญิงเรนอนไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย เพียงแต่เป็นห่วงลูกชายและคนที่เห็นเหมือนลูกสาวเท่านั้น
สองคนนั่นเวลาทะเลาะกันรุนแรงก็จริง แต่เวลาสู้ด้วยกันช่างเข้ากันดีราวกับเป็นคนๆเดียวกันโดยแท้
คาร์ซาร์เฉื่อยชา แต่หนักแน่นรุนแรง
เซลด้าอ่อนเบา แต่พลิ้วไหวรวดเร็ว
ทดแทนกันได้สนิทนัก
ศพมายมายกองเกลื่อนราวกับใบไม้ร่วง สองร่างยืนเคียงท่านหญิงเรนอนอย่างไม่เป็นอะไรสักกะผีกริ้น ติดแต่ว่าออกจะมอมแมมด้วยเลือดที่สาดไปรอบด้าน และแปดเปื้อนชุดสะอ้านสะอาดเป็นรอยด่างดวงเท่านั้น
ลมแรงหยุดไปแล้ว.....กลิ่นเลือดโชยชายรอบด้าน
แต่รังสีสังหารยังรุนแรงเท่าเดิม
ใครบางคนที่เป็นเจ้าของสายลมนั้นยังคงอยู่ อยู่ที่ไหนสักแห่งในสายหมอกนั้น
นัยน์ตาสีม่วงกวาดรอบด้าน สัญชาตญาณนักฆ่าที่ฝึกฝนมาแต่กำเนิด ทำให้มั่นใจได้ว่า ไม่ว่าจะมีอะไรเคลื่อนไหวในสายหมอก สายตาของเขาต้องสามารถรับรู้ได้อย่างแน่นอน
แต่แล้ว ในพริบตานั้นเอง........
เหมือนใครกดสวิตช์เปิดไฟในสมอง เหมือนมีแสงขาวๆวิ่งผ่านความมืดมน เหมือนเป็นประกายดาบแวบเข้ามาชั่วพริบตา
คาร์ซาร์ตะโกนก้อง
“เซลด้า ขึ้นม้า”
เจ้าหญิงแห่งอเมซอนขมวดคิ้วยุ่ง ถือดาบชะงักในท่าทางบอกความงุนงงแหละไม่เข้าใจการกระทำของคนรัก ในขณะที่ท่านหญิงเรนอนปราดเข้าไปหาลูกชายอย่างเป็นกังวล
แต่ชายหนุ่มกลับรั้งเอวบางของท่านแม่ แล้วยกร่างน่าทะนุถนอมนั้นขึ้นนั่งบนหลังม้า
“ลูกแม่....”
“ท่านแม่ไปก่อน ผมจะตามไปทีหลัง”
น้ำเสียงเฉื่อยชาอันเป็นบุคลิกประจำตัวของนักฆ่าหนุ่ม กลับกลายเป็นน้ำเสียงเย็นชา ฟังแล้วชวนให้รู้สึกหนาวเยือกไปถึงหัวใจ ขณะที่แววตาสีม่วงฉายประกายเด็ดเดี่ยวเหี้ยมเกรียม พร้อมๆกับใบหน้าก็เรียบสนิทราวกระดาษเนื้อดี
“เซลด้า ฉันฝากท่านแม่ด้วย”
เจ้าหญิงคนงามแห่งป้อมอัศวินจึงได้ทิ้งดาบลงกับพื้นอย่างหงุดหงิด ขณะมองหน้าคาร์ซาร์ราวกับคำถามมากมายจะพรั่งพรูออกมาทันทีที่อ้าปาก แต่แล้วก็อดใจไว้ ก่อนก้าวขาขึ้นเหยียบอานม้า เหวี่ยงตัวขึ้นนั่งคร่อมอาน พร้อมทั้งรับสายบังเหียนจากคนรักมาถือไว้
นาทีนี้เธอพูดไม่ออกแม้แต่คำว่า
‘รักษาตัวด้วยนะ’
ก็เท่าที่ดู ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเสียหน่อย ปกติคาร์ซาร์ก็จัดการทุกอย่างได้ดีนี่
แต่ถ้าไม่มีอะไรจริง เขาจะสั่งให้เธอกับท่านแม่รีบขึ้นม้าหรือ?
“กลับคาโนวาล พอเจอคาเรนให้บอกเรื่องนี้ทันที”
โดยไม่ทันได้อำลาสักคำ ชายหนุ่มก็ตบสะโพกม้าเต็มแรง
ม้าพ่วงพีชั้นดีที่เคยเทียมรถงามจึงโผนพุ่งออกจากจุดที่ยืนอยู่ แล้วแล่นออกนอกเขตหมอกหนามา เซลด้ายังได้เหลือบไปมองบ้าง และเห็นประกายดาบเกือบร้อยวาบไปวาบมาอยู่ในสีขาวอันรางเลือนนั้น
นั่นเป็นฝีมือของคาร์ซาร์ที่เปิดทางให้เธอ
ในสายหมอก มีคนปองร้ายนับร้อย.....ถือว่าอันตรายมาก
คนอันตรายกว่าก็คือคนในวงล้อม
ทว่าคนหนีออกมาได้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยนัก เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเป้าหมาย
คิดได้อย่างนั้น เซลด้าก็กระตุ้นบังเหียนม้า ใช้เท้ากระแทกท้องม้าให้เร่งฝีเท้ามากขึ้นอีก ขณะที่ท่านหญิงเรนอนซึ่งไม่ค่อยได้ขี่ม้าสักเท่าไหร่ ยังทุลักทุเลอยู่บ้าง แถมยังอุตส่าห์เหลียวตัวมองไปทางลูกชายบ่อยๆอีก
ท่านหญิงบ่นอะไรด้วยความห่วงใยนั้นอยู่สองสามคำ แต่เซลด้าไม่มีทางได้ยิน เพราะตอนนี้เธอเร่งฝีเท้าม้าถึงขีดสุด ลมแรงพัดผ่านซอกคอ และตีกันจนสรรพเสียงต่างๆสับสน ภาพรอบด้านพร่าเลือน
ฉับพลัน.....
เซลด้ารู้สึกว่าความร้อนบางอย่างพุ่งพรวดเข้ามาในร่าง เสียงกรีดร้องของท่านหญิงเรนอน หรืออาจจะมีของเธอร่วมด้วย ดังแผดลั่นปนกับเสียงม้าร้องเพราะความตกใจ ก้องไปทั่วเขตชายแดนคาโนวาล มือบางที่กุมบังเหียนคล้ายกระตุกขึ้นอย่างแรง ความเจ็บปวดอย่างที่คาดไม่ถึงติดตามความชาวาบตรงบริเวณท้องมาเหมือนคลื่นหลายระลอก ก่อนจะชัดเจนในการรับรู้ตรงที่ว่าโลหิตสีเข้มกำลังทะลักล้นออกจากร่างกาย
เกิดอะไรขึ้น........
เป้าหมายอยู่ที่เธอหรือ?
ท่านแม่....ท่านหญิงเรนอนล่ะ?
หญิงสาวพยายามมองหา ทว่าสายตาก็เหมือนจะพร่าเลือนไปอย่างกะทันหัน ร่างบางบนหลังม้าเบาหวิวและโคลงเคลง จนน่ากลัวว่าแม้แต่สายลมก็อาจจะทำให้เธอตกลงมาก็ได้
แล้วสติก็ดับวูบ ภาพทุกอย่างหายไปเหมือนมีฉากสีดำมาบัง
ความคิดเห็น