คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ท่านอาเรนอน
2
ท่านอาเรนอน
“เฟริน เฟริน เฟริน”
เสียงเรียก คุ้นอย่างประหลาด แม้จะไม่ได้ยินมานานแล้ว หากเปลือกเนตรที่หนาหนักเพราะความเพลีย ทำให้ไม่อาจลืมขึ้นมาเจ้าของเสียงได้
แล้วอีกเสียงหนึ่งก็ขัดขึ้น
“ตายแล้ว คุณคิล อย่าไปปลุกสิคะ ให้องค์ราชินีบรรทมให้สบาย ตื่นพระบรรทมจะได้รู้สึกปลอดโปร่ง”
ใช่แล้ว...เสียงแรกต้องเป็นของเพื่อนซี้ที่ไม่ได้พบกันซะนาน เฟรินนึกภาพออกแม้จะไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองว่า คิลคงกำลังเกาหัวแกรกกรากกับราชาศัพท์ที่แสลงโรคนักฆ่าพิกล แถมเธอที่เคยเล่นหัวกันมาอย่างสนิทสนม ก็ดำรงพระยศพิลึกกึกกือจนไม่อยากเรียก
เฟลิโอน่า วาเนบลี เดอะควีน ออฟคาโนวาล....
ส่วนเสียงต่อมา จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอดีตเจ้าหญิงเรนอนคนสวยแห่งป้อมอัศวิน ที่บัดนี้ไปเป็นแม่บ้านให้กับตระกูลนักฆ่าแห่งซาเรส แม้เฟรินจะยังสงสัยมาตลอดว่า จะไปรอดจริงรึเปล่า แต่ตอนนี้คุณแม่ยังสาวที่สวยไม่เปลี่ยนก็กำลังยืนเถียงกับสามีอยู่ตรงหน้านี่ไง
“แม่ ท่านอาเฟรินซ้วยสวยนะ สวยเกือบเท่าท่านแม่เลย”
เสียงพ่อหนูน้อยที่ไหนก็ไม่รู้ ดังขึ้นข้างหู ก่อนนิ้วน้อยๆจะไล้ขนตาเธอเล่นชวนให้รู้สึกจักจี้ เพราะฉะนั้นทันทีที่เฟรินขยับตัวได้ เธอก็คว้าเอวเด็กชายวัยไม่เกินสามขวบไว้ทันที
นัยน์ตาสีม่วงถอดแบบจากบางคนมาเปี๊ยบสบมองเธอตรงๆอย่างไร้เดียงสา รอยยิ้มแบบเด็กๆปรากฏขึ้นอย่างน่ารัก จนอยากคว้ามากอดสักยก หากไม่ใช่เพราะกระแสบางอย่างแล่นวาบเข้าที่พระหัตถ์จนชาไปถนัด
“โอ๊ย” ควีนแห่งคาโนวาลร้องพลางสะบัดข้อพระกรเร่า เป็นผลให้สองสามีภรรยาที่ยังปรับความเข้าใจให้ตรงกันไม่ได้หันขวับมามอง แล้วเห็นเจ้าลูกชายตัวดีเพิ่งกระโดดลงมาจากแท่นบรรทมกว้าง
“อ้าว เฟริน ตื่นแล้วเหรอ”
คิล ฟีลมัส เดอะ คิลเลอร์ ออฟ ซาเรส เพื่อนซี้ชนิดไม่เป็นก็ตายมาด้วยกันหลายครั้งหลายหน กำลังทักทายเธออย่างแจ่มใสราวกับไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น เรียกนัยน์ตาดุอันได้ยากจากอดีตเจ้าหญิงคนงามแห่งป้อมอัศวินให้เฟรินยิ้มขันทีหนึ่ง ก่อนคุณแม่คนเก่งจะหันไปเอาผิดกับลูกชายที่เล่นซนไม่เข้าเรื่อง
“คาร์ซาร์ ไม่เอาลูก ไปขอประทานอภัยจากพระราชินีท่านเดี๋ยวนี้”
เจ้าหนูทายาทนักฆ่าแทนที่จะฟังคำสั่งแม่ กลับรีบวิ่งไปเกาะขาพ่อ พออดีตเจ้าหญิงหมายคว้าตัวจับมาลงโทษ นักฆ่าแห่งซาเรสก็หมุนตัวบังลูกตามระเบียบ ทำให้เกิดการปะทะคารมกันอีกจนได้
“เอ๊ะ คุณคิล ส่งลูกมาให้ฉันนะคะ”
“นิดหน่อยน่า เรนอน”
“คุณนี่ เห็นมั้ยคะ ลูกเลยชักเอาใหญ่”
เรนอนหน้างอ พลางคว้าลูกชายที่ไวกว่า ที่นอกจากหลบทันยังยึดชายเสื้อพ่อเล่นงูกินหางกับแม่ได้นานสองนาน ขณะที่คิลอมยิ้มขัน ไม่สนใจสายตาวิบวับที่ภรรยาส่งมาเตือนหลายต่อหลายหน
ลงท้าย จับลูกไม่อยู่ ก็ต้องมาคุยกับคุณพ่อ
“คุณน่ะ ตามใจลูกจนเสียนิสัย ขึ้นไปรบกวนการบรรทมของพระราชินีท่านได้ไง”
“เอาน่า ไม่เป็นไรสักหน่อย” เฟรินแย้งอย่างนึกขัน เรนอนไม่เคยต้องรบรากับพวกลิงทโมนมาก่อนตอนอยู่ในป้อมอัศวิน เพราะส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของเจ้าหญิงมาทิลด้า แต่งานนี้เห็นทีต้องเหนื่อยหน่อย กับคิลจูเนียร์ที่ถอดแบบพ่อมาเด๊ะออกอย่างนั้น
คำอภัยโทษอย่างไม่ติดพระทัย ไม่ทำให้เรนอนเลิกทำหน้าบึ้ง แต่เพราะเห็นแก่มารยาท จึงกระตุกชายเสื้อสามี ให้หันมาทำความเคารพสูงสุดแด่พระราชินีแห่งคาโนวาล เฟรินต้องรีบโบกหัตถ์ถี่ยิบเชิงบอกว่าไม่ต้อง ก่อนหลุดสรวลก๊าก เมื่อเห็นคิลถวายคำนับลงได้ไม่งามพอๆกับเจ้าหนูนักฆ่า จนอดีตเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลต้องถองเข้าให้
แล้วเจ้าหนูคาร์ซาร์ก็ถูกท่านแม่คว้าไปสำเร็จโทษในนาทีนั้นเอง.....
รอยแดงของฝ่ามือห้านิ้วที่ปรากฏบนแขนขาวเนียน เป็นสิ่งที่คาร์ซาร์ ฟีลมัส เดอะจูเนียร์คิลเลอร์ ออฟซาเรส พยายามบังเอาไว้ ด้วยการเอามือไขว้หลังเหมือนท่าทางของเจ้าชายจากเมืองไหนสักแห่ง และนั่นดูจะทำให้ท่านแม่คนงามพอใจ จึงถูกปล่อยให้ไปอยู่ข้างพ่อที่ดูจะสงบเสงี่ยมไปตามระเบียบ
ลูกรักยังโดนซะเห็นรอยแดงขนาดนั้น แล้วพ่อจะไม่โดนได้ยังไง.....
เรนอนมองด้วยสายตาประมาณว่าไว้สะสางทีหลัง ก่อนหันมาทางราชินีแห่งคาโนวาลที่ดูจะซีดเซียวไปถนัดตา โดยเฉพาะเมื่อร่างบางเอนบนเขนยกว้าง แสงสว่างจากพระบัญชรทอดจับเข้ามาในห้อง
“แพ้มากนะเพคะ”
เฟรินยิ้มแหยกับคำทักนั้น รีบบอกอย่างชักจะเริ่มคันคะเยอขึ้นมา
“เอ่อ...เรนอน”
“เพคะ”
อดีตเจ้าหญิงคาโนวาลรับคำ พลางเอียงคอถาม แล้วควีนคนสำคัญก็โบกหัตถ์วุ่น
“ไม่ต้อง เรนอน ไม่ต้อง”
“ไม่ต้องอะไรเพคะ”
“ไม่ต้องเพคงเพคะอะไรทั้งนั้น ขอร้องล่ะ”
“เรื่องแค่นี้ ไม่ต้องทรงขอร้องหรอกเพคะ”
“เฮ้ย” คนดำรงพระยศสูงหลุดปากจนได้ “บอกแล้วไงไม่ต้องเพคะ”
“ขอประทานอภัยเพคะ”
เฟรินถอนใจยาวกับความพยายามที่ดูจะไม่ประสบผลสำเร็จ มองเพื่อนซี้กับลูกชายของมันที่หัวเราะกันเองอย่างน่าหมั้นไส้ แล้วนึกอยากจะมีแรงลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกา จะได้ทรงถีบเจ้านักฆ่างี่เง่าทั้งพ่อทั้งลูกคนละทีสองที
แต่แล้วความคิดก็พลันสะดุดลง เมื่อนางกำนัลนอกห้องแล่นเข้ามากราบบังคมทูล
“ฝ่าบาทเสด็จเพคะ”
เท่านั้นเองเรนอนก็รีบละสายตาจากคนบนแท่นบรรทม พร้อมทั้งลงไปลากลูกชายกับสามีให้มารอรับเสด็จหน้าบานพระทวาร พอร่างสูงย่างพระบาทมาถึง มือสองข้างของอดีตเจ้าหญิงก็บิดให้ทั้งคนตัวโตและคนตัวเล็กถวายคำนับลงพร้อมกัน.......สวยงามถูกต้องตามธรรมเนียมดีทุกประการ
คาโลหยุดทอดพระเนตรครอบครัวที่พระองค์คุ้นเคยดี คนหนึ่งเป็นเพื่อนรักที่ลุยเหนือสุดซาเรส กระทั่งตะวันตกทางเดมอสมาด้วยกันสมัยที่พระองค์ยังเป็นเพียงเจ้าชายคาโล และอีกฝ่ายยังเป็นเพียงนักฆ่าหนุ่มที่รู้จักเพียงเรื่องสนุกสนานในชีวิต ชั่วเวลาแห่งมิตรภาพของเพื่อนเก่าที่กลับมาเจอกัน ทำให้ทั้งคู่อดยิ้มบางให้แก่กันไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายหรือนักฆ่า เพื่อนก็ล้วนไม่จำเป็น......
แต่น่าแปลก.....ผ่านมานานเท่าไหร่.....เพื่อนก็ยังเป็นเพื่อนไม่เปลี่ยนแปลง
นัยน์เนตรคู่สวยเปลี่ยนจากเพื่อนรักไปมองสตรีที่ยืนสงบเรียบร้อยอยู่ด้านข้าง......
สำหรับอีกคน เจ้าหญิงเรนอนแห่งคาโนวาล ที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ โดยอายุและฐานันดรศักดิ์ในตอนนั้นไม่แตกต่างกันมากนัก แต่บางครั้งพระองค์ก็อดคิดว่าเป็นพระขนิษฐาร่วมสายโลหิตไม่ได้ ดังนั้น เมื่อไม่ได้เจอกันนานนับตั้งแต่อีกฝ่ายลาไปใช้ชีวิตครอบครัวไกลถึงซาเรส พระองค์ย่อมทรงคิดถึงเป็นธรรมดา
“เรนอน” สุรเสียงเรียกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นกษัตริย์นักรบหรือเจ้าชายแห่งราชวงศ์องค์หนึ่ง
คาโลกางพระพาหาออกเล็กน้อย เจ้าหญิงเรนอนย่อตัวลงถวายความเคารพอีกครั้งก่อนโน้มเข้าสู่อ้อมอุระของคิงแห่งคาโนวาล เสียงสรรเสริญถวายพระพรดังพอให้ได้ยิน
“ขอจงทรงพระเจริญเพคะ”
คิลและเฟรินมองภาพนั้นก่อนหันมายิ้มให้แก่กัน มีเพียงเจ้าหนูน้อยคาร์ซาร์เท่านั้นที่ปราดเข้าไปฉุดชายกระโปรงยาวของท่านแม่อย่างไม่ชอบใจ
นัยน์ตาสีม่วงของคนตัวเล็กเงยเต็มที่เพื่อข่มขู่คนตัวโตที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่ควรมีอภิสิทธิ์มากอดท่านแม่ของเขาในเมื่อพ่อก็ยืนหัวดำอยู่นี่
“คาร์ซาร์” เรนอนส่งเสียงเตือนแผ่วเมื่อเห็นลูกชายทำเสียมารยาทอีกครั้ง
แต่คิงคาโลกลับย่อองค์ลง สบสายตาเขม็งที่จับจ้องมาอย่างเปิดเผย รอยสรวลงามปรากฏที่มุมโอษฐ์อย่างต้องพระทัย ก่อนเอ่ยพลางวางหัตถ์ใหญ่ลงบนหัวเจ้าตัวเล็ก ปอยผมสีดำแสนยุ่งด้านหน้าจึงปรกลงมาปิดตาคู่นั้น จนดูชวนขันในสายตาทุกคน
“อนาคต.....ถ้าไม่อยากเป็นนักฆ่า คาโนวาลจะสอนให้เป็นนักรบเอง”
แล้วเมื่อวรองค์เหยียดเต็มที่ ก็ช่างดูสูงสง่าในสายตาของเด็กน้อย
คิงคาโลเสด็จถึงแท่นบรรทมที่พระราชินีกึ่งนั่งกึ่งบรรทมอยู่ ท่ามกลางสายตาสีม่วงคู่น้อยที่มองตาม....ในนั้นเต็มไปด้วยความทึ่งและชอบใจ แบบเดียวกับที่คิลเคยมีสมัยยังเด็กไม่มีผิดเพี้ยน
แล้วในสมองน้อยๆก็บังเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้น
ในโลกนี้....นอกจากการเป็นนักฆ่าเหมือนพ่อ
อาชีพที่น่าสนในรองลงมา.....คือนักรบ
นักรบจากคาโนวาล.....เมืองของท่านแม่
“แพ้มากเพคะ หม่อมฉันรับรายงานจากหมอหลวงและนางกำนัลแล้ว ไม่ทรงเสวยทั้งกระยาหารทั้งโอสถบำรุง วรกายอ่อนแอ ซูบผอมลงไปเยอะ แต่พระอารมณ์ยังแจ่มใส ไม่น่ากระเทือนถึงครรภ์นักเพคะ”
เรนอนทูลขณะตามเสด็จในอุทยานหลวง หลังจากปล่อยลูกชายคนเก่งให้อยู่กับพ่อในห้องส่วนพระองค์ เพื่อเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาชดเชยให้กับคนที่แม้จะออกมาเดินเล่นข้างนอกก็ทำไม่ได้
คาโลที่เสด็จนำชำเลืองมองใบหน้างามภายใต้แสงตะวันยามเย็น ผมเส้นเล็กละเอียดถูกมุ่นขึ้นไปไว้กลางกระหม่อมอย่างงดงาม มีรุ่ยร่ายลงมาบ้างก็เนื่องจากต้องคอยจัดการกับเจ้าตัวเล็กที่เหมือนเจ้าตัวโตจนไม่อยากเชื่อ อิริยาบถงดงามสมเป็นสตรีที่เคยมีศักดิ์สูงถึงเจ้าหญิง แม้ตอนที่คาโลชะลอฝีพระบาทลง เรนอนก็ชะลอฝีเท้าของตัวเองไม่ให้เดินนำด้วย อันเป็นมารยาทที่สตรีพึงกระทำยามตามเสด็จ
น่าเสียดาย....ที่เฟรินไม่เคยรู้ธรรมเนียมปฏิบัติข้อนี้
“อยู่ที่ซาเรสเป็นไงบ้าง”
“เพคะ?” เรนอนทูลถามอย่างงุนงง นี่เธอกำลังอธิบายถึงพระอาการของราชินีแห่งพระองค์อยู่ไม่ใช่หรือ
“เธอเดินทางไกลจากซาเรสมาช่วยดูอาการแค่นี้ฉันก็เบาใจไปเยอะ เฟรินน่ะดื้อ นางกำนัลเปลี่ยนเป็นชุดที่สามแล้วยังเอาไม่อยู่ ยิ่งได้คิลมาอยู่ใกล้ๆ อารมณ์คงจะดีไม่ต้องพูดถึง เพราะฉะนั้นฉันจึงอยากรู้ว่าชีวิตที่ซาเรสเป็นไงบ้าง”
“ดีเพคะ”เรนอนรีบตอบสั้นทันทีด้วยความเคยชิน
จึงเรียกรอยสรวลจากคิงแห่งคาโนวาลก่อนตามด้วยดำรัสย้อน “ไม่ได้เป็นเจ้าหญิงแล้ว ไม่ต้องทำเหมือนเมื่อก่อนก็ได้ มีอะไรอยากบ่นก็บ่นมาเถอะ”
เรนอนจึงหลบเนตรที่มองมาอย่างเขินอาย แล้วก็เริ่มบ่นจริงอย่างว่า “ดีก็ดีอย่างที่ทูลไปแล้วนั่นแหละเพคะ แต่วุ่นวายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในคาโนวาล หรือแม้แต่ป้อมอัศวินก็เถอะ ครอบครัวฟีลมัสเป็นครอบครัวที่ประหลาดที่สุดในโลกแน่เลยเพคะ สอนอะไรไม่รู้ เข้าใจยากทั้งนั้นเลย หม่อมฉันงี้ปวดหัวจนไม่กล้าปล่อยคาร์ซาร์ไว้กับคุณปู่ คุณพ่อ และพี่ชายเลยเพคะ”
ว่าแล้วก็ถอนหายใจเฮือกโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเธอได้กลายเป็นสมาชิกของครอบครัวที่ประหลาดที่สุดในโลกไปแล้ว เพราะคำที่เรียกคุณปู่ คุณพ่อ และพี่ชายก็ล้วนหมายถึงครอบครัวฟีลมัสที่เธอเพิ่งเข้าไปเป็นสมาชิกเมื่อไม่กี่ปีก่อนนั่นเอง
“คาร์ซาร์น่ะ จะให้เป็นนักฆ่าจริงหรือ”
พอดำรัสถึงเด็กน้อยที่เพิ่งเจอกันเมื่อครู่ ความเอ็นดูก็ปรากฏชัดบนพักตร์ขรึม หากคนเล่าต่อกลับมีเค้ารอยหงุดหงิดเต็มที่ “หม่อมฉันน่ะไม่มีทางยอมหรอกเพคะ จะเป็นจะตายยังไงก็ไม่มีทางให้ลูกเป็นนักฆ่าได้แน่ๆ ไม่ยอมเด็ดขาด”
ท้ายประโยคเหมือนจะย้ำกับตัวเองเสียมากกว่า ใบหน้างามของคนที่เคยเป็นสาวน้อยไร้เดียงสา ตอนนี้กลายเป็นคุณแม่ที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้มือของลูกชายต้องเปื้อนเลือด แม้หนทางจะดูเลือนรางเสียเหลือเกิน
“คุยกับคิลรึยัง”
ดำรัสถามเสร็จก็สรวลบางอย่างไม่สื่อความหมาย หากคนฟังกลับไม่รู้ ทูลตอบคำถามตามตรง “จับมาคุยกันเป็นรอบที่ร้อยแล้วเพคะ คุณคิลก็ตามใจหม่อมฉัน ไม่อยากให้เป็นก็ไม่อยากให้เป็น แต่ตาหนูกลับอยู่กับพ่อเขาตลอด แม้เวลารับงานก็งอแงจะตามไปด้วยให้ได้ แถมถอดแบบมากันเป๊ะแบบนั้น บางครั้งเอาไม่อยู่ทั้งคู่เลย”
“แสดงว่ารักกันดี”
คำตรัสต่อมาทำให้แม่บ้านประจำตระกูลฟีลมัสแก้มขึ้นสีเรื่อ รู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรที่ราชนิกูลไม่สมควร
จะพูดอีกแล้ว......หากก็นั่นแหละ เธอไม่ได้เป็นราชนิกูลแล้วนี่
แล้วเมื่อคิงแห่งคาโนวาลหยุดเสด็จกะทันหัน อดีตเจ้าหญิงเรนอนจึงหยุดเดินตาม และก้มศีรษะต่ำเมื่อ
วรองค์สูงหมุนมาประจัญ
“เรนอน ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปอวยพรแต่งงานให้เธอ”
สุรเสียงอ่อนหวานเหมือนเวลาพี่ชายตัวโตเอ่ยขอโทษน้องสาวตัวเล็กที่ร้องให้โยเย สตรีผู้งดงามย่อตัวลงคำนับรับ ก่อนเอ่ยแก้ “หม่อมฉันต่างหากเพคะ ที่ควรขอประทานอภัยโทษ รู้ทั้งรู้ว่าเวลานั้นคาโนวาลมีงานเฉลิมฉลองพระราชพิธีอุปภิเษก กลับไม่มาถวายพระพร”
พระพักตร์ขรึม เข้ม และพระเนตรคม หากอ่อนโยนทอดมองมา ก่อนดำรัสต่อ
“เพราะงั้น ช่วยไถ่โทษด้วยการดูแลเฟรินให้ทีนะ เรนอน”
เจ้าหญิงคนงามผู้ยังงามไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะอยู่ในคาโลวาล ป้อมอัศวิน หรือเป็นเพียงแม่บ้านในตระกูลนักฆ่าแห่งซาเรส ก้าวถอยออกมาสองสามก้าว จนห่างจากวรองค์สูงโปร่งทรงอำนาจพอสมควร แล้วร่างบางในชุดกระโปรงยาวกรอมพื้นตัดจากผ้าแพรเนื้อดีก็ย่อลง งดงามสมกับที่ดำรงยศเจ้าหญิงมาค่อนชีวิต
“รับด้วยเกล้าเพคะ ฝ่าบาท”
ความคิดเห็น