เดือนเกี้ยวเดือน แฟนฟิก "ขอเพียง5วันให้ผมรู้หัวใจคุณ" - เดือนเกี้ยวเดือน แฟนฟิก "ขอเพียง5วันให้ผมรู้หัวใจคุณ" นิยาย เดือนเกี้ยวเดือน แฟนฟิก "ขอเพียง5วันให้ผมรู้หัวใจคุณ" : Dek-D.com - Writer

    เดือนเกี้ยวเดือน แฟนฟิก "ขอเพียง5วันให้ผมรู้หัวใจคุณ"

    ขอเพียง 5 วัน ให้ผมรู้หัวใจคุณ ดัดแปลงมาจาก ภาพยนตร์ Fly me to Polaris (ขอเพียง 5 วัน ให้ฉันรู้หัวใจเธอ)

    ผู้เข้าชมรวม

    684

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    684

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    8
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 เม.ย. 62 / 03:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ตัวละคร

            พนา : พระเอกของเรื่อง ชายหนุ่มตาบอดและเป็นใบ้  รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ทำงานในโรงพยาบาลที่แผนกจักษุ เก่งการสื่อสารด้วยอักษรเบล หลงรัก “วาโย” บุรุษพยาบาลฝึกหัดที่คอยดูแลเขาเสมอ

            วาโย : บุรุษพยาบาลฝึกหัด เขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ดูแลคนไข้ด้วยความเมตตา เขาสนิทกับคนไข้ชื่อพนา หนุ่มตาบอดและเป็นใบ้ เขาได้เพียงหวังว่าสักวัน เทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ จะสามารถทำให้พนากลับมามองเห็นได้อีกครั้ง  ลึกๆแล้วเขาคิดกับพนามากกว่าคนไข้ แต่พอรู้ตัวว่าตัวเองมีใจ ก็สายเกินไปเสียแล้ว

            หมอโฟร์ท : แพทย์จักษุ เป็นแพทย์ประจำตัวพนา รักษาเขามาตั้งแต่ต้น สนใจในตัววาโย และคอยกันท่าพนาอยู่เสมอ เขาทำทุกวิถีทางที่จะจีบวาโย แต่ดูเหมือนวาโยจะไม่สนใจ

            มิ่งขวัญ : พี่ชายวาโย อาศัยอยู่ที่บ้านตรงชาญเมืองกรุงเทพฯ เขากำลังเป็นคุณพ่อมือใหม่ รักน้องชายคนนี้มาก วาโยเป็นคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น ไม่ว่ามิ่งขวัญจะพยายามหัดให้วาโยว่ายน้ำเท่าไหร่ วาโยก็ปฏิเสธเมื่อนั้น จนกระทั่งวาโยขอหัดว่ายน้ำอีกครั้ง พี่ชายคนนี้จึงรู้ว่าน้องชายมีความในใจ จึงได้ให้กำลังใจอยู่ห่างๆ แอบเชียร์หมอโฟร์ท....

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      บทนำ


              บนท้องถนนที่วุ่นวายของกรุงเทพมหานคร ผมที่กำลังคลำทางเพื่อที่จะไปยังสถานที่นึงได้ชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่ง คนที่ไม่ได้ทักทายผมว่า “สบายดีเหรอ”.... แต่เขากลับทักทายผมว่า “เห้ย!!!!เดินระวังสิไอ้บอด...ตาบอดแล้วยังออกมาเดินเผ่นพ่านอีก” จากนั้นเขาก็คุยโทรศัพท์ต่อ ปล่อยให้ผมเดินงงๆอยู่ฝ่ายเดียว

              ถึงผมจะตาบอด ก็อยากจะบอกเขาว่า ตาบอดก็มีสิทธิ์เดินถนน แต่ผมก็ไม่ได้พูดเพราะนอกจากผมจะตาบอดแล้วผมยังเป็นใบ้อีกด้วย

              เมื่อมาถึงโรงพยาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ผมซึ่งอยู่โรงพยาบาลมานาน ใครๆก็รู้จักผม ผมกับไม้ค้ำเดินเตร่มาเรื่อยๆในเส้นทางแห่งความทรงจำที่คุ้นชิน เดินไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางจะมีเสียงทักทายของพยาบาลที่เห็นหน้าผมบ่อยจนจำได้ ผมทำได้เพียงแค่โบกมือทักทายกลับ ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่ผมก็พอจะจำเสียงพยาบาลที่เคยคุยด้วยได้ จนสะดุดกับกลิ่นเหล้าจากคนๆหนึ่ง เขาคนนี้คือ รปภ.โหน่ง แต่เขาเป็นรปภ.ที่ขี้เมามาก กลิ่นละมุดจากตัวเขาหึ่งออกสะขนาดนี้ ต้องไม่ผิดตัวแน่

              เดินห่างจากรปภ.โหน่งไม่นาน เสียงหวานๆของหญิงสาวอีกคนก็ทักทายผมมา “อรุณสวัสดิ์พนา...รู้ได้ไงว่าฉันจะมารับเธอ” ผมโบกมือทักทายเธอตอบด้วยความดีใจ เธอคนนี้คือ พยาบาลพริ้ง ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร...ก็เพราะตัวผมได้กลิ่นหอมๆของตัวเธอมาแต่ไกล

              ต้องขออธิบายก่อนว่า....

              ผมไม่ใช่คนไข้สะหน่อยนะครับ

              ผมมาที่โรงพยาบาลทำไมนะเหรอ?

              ก็เพราะผมทำงานอยู่ที่นี่นี่นา

              เวลาว่าง ผมจะบันทึกสิ่งต่างๆที่รู้เอาไว้ผ่านอักษรเบล

              งานของผมคือพิมพ์เอกสาร รับเงินเดือนปกติ

              แต่ว่า...ผมรักษาดวงตาที่นี่ด้วย

              ผมมีหมอประจำคือ หมอโฟร์ท 

              ทุกครั้งที่มารักษานั้น ไม่เคยคืบหน้าเลย 

                ‘สงสัยหมอโฟร์ทคนนี้คงจะไม่ชอบหน้าผมเท่าไหร่

              เพราะมีบุรุษพยาบาลฝึกหัดคนหนึ่งดีต่อผมมาก เขาก็คือ วาโย


              ....ผมไม่ได้ตาบอดแต่กำเนิด ตอนอายุ 8 ขวบพ่อพาผมมาจากชลบุรี สมัยเด็กผมเรียนเก่งมากเลยครับ พอขึ้นมัธยมต้น ตอนนั้นผมเริ่มมองไม่เห็นแล้ว มีอยู่วันนึง ผมนัดเพื่อนไปว่ายน้ำด้วยกัน โอกาสดีอย่างนี้ ด้วยความซุกซน ผมเลยโดดน้ำความสูงตอนนั้น 10 เมตร ตอนที่ร่างผมสัมผัสน้ำนั้น ผมรู้สึกปวดตามาก เพื่อนนำผมส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่ามันสายไปสะแล้ว แถมผมยังเป็นไข้สมองอักเสบเสียด้วย ทำไมถึงโชคร้ายแบบนี้ก็ไม่รู้ ต่อมา แม้แต่เสียงที่จะพูด ก็หายไปด้วย และอีกไม่นาน คนในบ้านของผม ก็จากผมไปทีละคน....

      นี่แหละครับ ประวัติชีวิตของผม....

              ผมเดินตามทางเดินของตึกมาเรื่อยๆ ตึกที่เป็นที่พักของผม อยู่บริเวณข้างหลังสุดของโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ไกลจากที่ทำงานของผมเท่าใดนัก มือซ้ายผมสัมผัสกับพนังตัวตึก เพราะนี่เป็นทางเดียว ที่ทำให้ผมรู้แน่ชัดว่า ห้องนอนของผมอยู่ที่ไหน กว่าจะฝึกฝนได้ขนาดนี้ก็ใช้เวลานานอยู่พอดู มือซ้ายผมสัมผัสถึงต้นเสา ที่ซึ่งผมซ่อนกุญแจห้องไว้ ผมใช้มือลูบคลำจนเจอกุญแจ และไขประตูเข้าไป ข้อดีของการตาบอดก็คือ ไม่ต้องเปิดไฟ ต่อให้ผมรู้ว่าสวิชไฟอยู่ไหน แต่มันก็ไม่จำเป็นสำหรับผมอยู่แล้ว ผมเดินเข้าไปในห้อง จนมาถึงเตียงนอน 2 ชั้นของผม ให้คุณๆจินตนาการว่า เตียงที่ผมนอน ไม่ใช่เตียงแบบโครงเหล็กที่เราเห็นๆกัน แต่มันเป็นเตียงที่ฉาบด้วยปูนแบบทำ 2 ชั้น ซึ่งชั้นที่ 2 มีบันสำหรับปีนขึ้นไป

              ที่ชั้น 2 ของเตียงนอน เมื่อเลิกผ้าปูที่นอนขึ้น จะมีช่องสำหรับเก็บของ ผมใช้มือคลำหยิบกล่องเหล็กกล่องหนึ่งขึ้นมา และเก็บเงินสะสมเงินที่ผมได้มารวบรวมไว้เป็นมัด คนตาบอดก็แบบนี้ จะใช้เงินมากไปไย เพราะต่อให้มีเงินเป็นล้นฟ้า ผมก็สัมผัสความสุขของมันไม่ได้เต็มที่อยู่ดี ภายในช่องสำหรับเก็บของ นอกจากกล่องเหล็กสำหรับใส่เงิน ยังมีรถขนาดจิ๋ว 2-3 คัน ซึ่งเป็นของดูต่างหน้าที่พ่อผมทิ้งไว้ กับกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า เมื่อเปิดออกมาแล้ว คือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ แซ็กโซโฟนนั่นเอง....

              ผมเดินออกจากห้องในช่วงเย็นๆ เดินมาจนถึงร้านขายของชำในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นร้านประจำของผม เจ้าของร้านเป็นคนใจดี ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเพื่อนซี้ผมไปแล้ว เขาคนนี้ชื่อ ไอ้บีม ซึ่งบ้านกหงส์หยกเป็นชีวิตจิตใจ เสียงเขาที่พูดกับนกอย่างกับลูกก็ไม่ปาน ผมได้ยินเสียงจึงแกล้งเดินไปข้างหลังเขาและใช้มือตีไปที่ไหล่ จนเจ้าตัวสะดุ้ง

      “เห้ย....มาเงียบๆนี่ ช็อกตายทำไง” สงสัยจะช็อกจริง

      “เซเว่นอัพใส่เกลืออีกอะดิ” จากนั้นเขาสั่งลูกน้องในร้านให้เตรียมให้ผม

      ผมชอบที่กินเซเว่นอัพโดยใส่เกลือเยอะ ไอ้บีมมันเห็นผมเทเกลือแทบจะหมดกระปุก มันจะแซวขึ้นมาว่า “กินเกลือเยอะ ไตจะวายเอานะเว้ย”

      ผมซดเซเว่นอัพที่ใส่เกลือจนพอใจอย่างรวดเดียวหมด ไอ้บีมดึงตัวผมมาตรงเก้าอี้ประจำตัวของมัน และให้ผมนวดไหล่เป็นค่าตอบแทนเซเว่นอัพที่ผมพึ่งซดไปเมื่อกี้ นอกจากผมจะทำงานที่โรงพยาบาลแล้ว ยังมีอาชีพเป็นหมอนวดอีกด้วย ^^” ระหว่างที่นวดไปไอ้บีม บีมมันก็บ่นถึงน้องสาวที่เสียไป “เมื่อคืนกูฝันเห็นน้องสาวกูอีกแล้วว่ะ ขนาดตายไปแล้วยังไม่เลิกเสพยาเลย กูเพิ่งรู้ว่าสวรรค์ก็มียาอีขาย” ใช่ละครับ น้องสาวไอ้บีมเสียก็เพราะว่าเสพยาเกินขนาด

      อีกทางด้านหนึ่งหมอโฟร์ทกำลังคุยกับวาโยอยู่ที่โต๊ะในโรงอาหารของโรงพยาบาลเรื่องอาการของผม

      “พนาเนี่ยเป็นคนที่มีความอดทนมากเลยนะ” หมอโฟร์ทแกล้งชมผมต่อหน้าวาโย

      แววตาเป็นประกายของวาโยเมื่อได้ยินหมอชมคนไข้ที่เขากำลังดูแล จนต้องออกปากสนับสนุนความคิดนั้น

      “ใช่ครับ เขามีกำลังใจดีและเข้มแข็งมากเลย วันก่อนเขาอาเจียน ไม่ยอมให้ใครช่วยเลยด้วย เขาชอบเอาเรื่องนี้มาล้อผมนะ” วาโยตอบหมอโฟร์ทไปอย่างตื่นเต้นและอมยิ้ม

      “ผมสังเกตมานานแล้ว คุณเป็นคนไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา แต่ทำหน้าที่ได้ดีมาก เอาใจใส่คนไข้ทุกคน” หมอโฟร์ทเอ่ยชมวาโยจนเจ้าตัวต้องก้มหน้าหลบ

      “ความจริงแล้ว ความมีเมตตาของคนไข้เนี่ย เป็นคุณสมบัติพิเศษ ของบุรุษพยาบาลทุกคนนะ”

      “อย่าชมผมเลย” วาโยพูดตัดบท

      “คุณรู้สึกไหมว่า การฟังดนตรีวงใหญ่ แตกต่างจากการฟังแซ็กโซโฟนตัวเดียว...รู้สึกบ้างไหมครับ” หมอโฟร์ทเปลี่ยนหัวข้อสนทนา...พร้อมมีจุดประสงค์แอบแฝง

      “ไม่ต่างหรอก แต่แซ็กโซโฟนมันเด่นมาก” วาโยพูดอย่างครุ่นคิด

      “ผมเล่นเป็นนะ สมัยที่ผมเรียนน่ะ ผมจะเป่าเดี่ยวๆ เพื่อนๆก็ถากถางผม หาว่าผมตลก แต่ว่าตอนที่ผมไปดูเดี่ยวการแสดง เสียงแซ็กโซโฟนมันทำให้ผมขนลุกได้ บางคนหาว่าผมเว่อ แต่ว่าจริงๆแล้ว (เอามือล้วงกระเป๋า) ดนตรีทำให้หัวใจคนเราอ่อนโยน แล้วก็บรรดาเครื่องดนตรีทั้งหมด แซ็กโซโฟน ดีที่สุดเล” หมอโฟร์ทพูดไปยิ้มไป วาโยได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบ

      “เอ่อ ผมอาจจะพูดเกินไป แต่ว่าผมมีบัตรคอนเสิร์ต (หมอโฟร์ทเอาบัตรที่หยิบมาจากกระเป๋าเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะข้างหน้าวาโย)

      “มันน่าสนใจมากเลยนะ...คุณอยากไปดูไหม?” นั่นไง จุดประสงค์แอบแฝง

      “ไม่อ่ะ จะสอบแล้วต้องดูหนังสือหน่อย” วาโยตอบแบบหน้าตาเฉย

      “อืม....” หมอโฟร์ทยิ้มแบบเจื่อนๆ “ก็จริงอะนะ...ไม่เป็นไรหรอก...ไว้คราวหน้าก็ได้ ที่จริงแล้ว การล้มเหลวคือก้าวแรกของความสำเร็จนะ” หมอโฟร์ทหัวเราะแบบแห้งๆ - -.

       

      ผมนั่งรอวาโยที่โต๊ะทำงานของผม เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ทุกคนกลับไปหมดแล้ว

      “ขอโทษๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอโทษด้วยพนา ผมมาช้า” เขาพูดขอโทษผมทุกครั้งที่เขามาสาย

      “รอนานใช่ไหมล่ะ” ผมได้แต่ส่ายหน้า

      “ลงมือเลย” วาโยพูด  (ผมพนาพร้อมอยู่แล้วครับ)

      ละอองน้ำที่ออกจากสเปรย์ฉีดผมหยดลงทั่วทั้งศีรษะ พร้อมกับหวีที่ค่อยๆบรรจงจัดทรง

      ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 13 ที่วาโยตัดผมให้ผม หากเป็นไปได้แล้วล่ะก็ผมอยากให้เขาตัดให้ผมสัก 365 ครั้งเลย เหมือนครั้งนี้ คงจะดีไม่น้อย

      “นี่!!!...คิดอะไรอยู่...อย่างเพิ่งหลับนะ” วาโยเอ็ดผม ที่เห็นผมนั่งนิ่งๆเหมือนคนจะหลับ

      “ผมซื้อแอปเปิ้ลมาฝาก ทานหรือยัง?”

      ผมพยักหน้างึกหงัก

      ผมสะกิดเขา พร้อมกับยื่นการ์ดอวยพรไปให้

      “โอ้โห เก่งจังเลย จำวันเกิดผมได้ด้วย บอกแค่ครั้งเดียวก็จำได้นะ ขอบคุณมากนะ”

      “อืม......แต่วันนี้ไม่เหมือนวันเกิดผมเลย ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด” วาโยพูดพร้อมทำหน้ามุ่ย และเขาก็พูดต่อ

      “ได้ยินคนบอกว่า คนเราเกิดมา ขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง เขาก็จะได้อะไรอีกอย่างชดเชย

      เช่นตอนนี้ตาของคุณบอด แต่คุณมีสมองเป็นเลิศ มีความจำเป็นที่หนึ่ง แล้วยังเฉลียวฉลาดอีกด้วย” วาโยพูดชมผมแบบหน้าทะเล้น และเขาก็บ่นกับตัวเองต่อ

      “แต่ผมไม่เห็นมีอะไรดีเลย นับวันก็ยิ่งอ้วนขึ้นด้วย” -0-

      ก็คุณนั่นแหละ ชอบเอาท็อฟฟี่ให้ผมกินอยู่เรื่อย” เขาเอานิ้วมาชี้ที่หน้าผากผม และก็หลุดขำออกมา

      “แต่มันก็อร่อยดี” อิอิ

      จากนั้นวาโยก็ถามต่อ

      “คุณมีข้อดีไหม?”

      ผมที่นั่งฟังเขาบ่นสะยาว ต้องฉุดคิดแล้วชี้ใส่ตัวเอง (ผมเหรอ)

      มีสิ (พยักหน้าแล้วชู้ 2 นิ้ว)

      “2 ข้อเหรอ?”

      ผมชี้ไปที่ตา และ ปาก

      “555+” วาโยขำเสียงดัง

      “จริงของคุณ คุณมีข้อดีอยู่มากมาย ปมด้อย 2 ข้อถูกลบไปหมด”

      “ผมว่าคุณนี่รูปหล่อนะ” วาโยเอ่ยปากชมผม

      “ผมจะเล่าความลับให้คุณฟัง แต่คุณห้ามบอกใครนะ” วาโยชี้มาที่ผมพร้อมทำหน้าจริงจัง

      “ผมน่ะอยู่กับคุณแล้ว มีความมั่นใจมากขึ้นเยอะเลย คุณเป็นคนเดียวที่ยอมฟังผมบ่น” อิอิ

      วาโยทำหน้าเจ้าเล่ห์

      “แต่ถ้าหากว่า คุณไม่พอใจอะไร ต้องบอกผมนะ”

      ผมโบกมือว่าไม่มี

      “ทำไมล่ะ?”  (เอ๋า ก็บอกว่าไม่มี - -*)

      “ผมพูดไม่เพราะเหรอ?” (เปล่าน้า....)

      “ไม่น่าฟัง?” (เห้ย...ไปใหญ่แล้ว)

      “ไม่ชอบฟังเหรอ?” (เห้ยๆ....มะ...ไม่ช่ายย...T T ผมทำได้แค่แสดงอาการปฏิเสธ ว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่เขาพูดมา พร้อมกับเช็ดจมูกรัวๆ)

      “ห้ามทำมือแบบนี้” วาโยแกล้งเอาสเปรย์ฉีดน้ำฉีดใส่หน้าผม

      “555+ ผมล้อคุณเล่นน่ะ” (สนุกจังน้า แกล้งผมเนี่ย Y_Y)

      “ไม่ต้องตกใจไปหรอก” วาโยเฉลยว่าแกล้งหยอกผมเฉยๆ

      “ดาด้าดา ด่าด๊าดาด่าดา” วาโยฮำเพลง....

      “นี่!!! เคยฟังแซ็กโซโฟนไหม...เพราะมากเลยล่ะ”  หัวข้อสนทนาเริ่มเปลี่ยน...

      “ผมนอนฟังเขาเป่าทุกคืนเลยนะ เวลาฟังเขาเป่าน่ะ อะไรๆทีไม่สบายใจ ก็ถูกลบออกจากใจหมดเลย” วาโยพูดถึงใครสักคนที่เป่าแซ็กฯให้เขาฟังในช่วงคืนที่ผ่านมา

      “หมอโฟร์ทบอกว่าเป่าแซ็กโซโฟนเป็น....ไม่อยากจะเชื่อเลย...คนอะไรจะเก่งป่านนั้น” วาโยบ่นแบบฉุนๆ

      “...บางครั้งก็จับไม่ได้ว่าใครเป่า แต่กลัวว่าเขาจะหาว่ายุ่ง แต่เขาเป่าได้เพราะมากนะ วาโยชมพร้อมกับทำหน้าหงุดหงิดนิดหน่อย

      “คุณเป่าใช่ม้า?” วาโยชี้มาที่ผม

      “คุณเป่าแน่ๆเลย” พยายามคาดคั้น

      ผมหยิบกระเป๋า กับปากกาที่โต๊ะทำงานของผม แล้วเขียนข้อความบางอย่างลงไป

      (ผม เป่า แซ็ก โซ โฟน ไม่ เป็น) วาโยนั่งดูผมเขียนแล้วอ่านตามทีละคำ

      “เอ...แล้วใครเป็นคนเป่าเล่า???”

       

              หลังจากตัดผมให้พนาเสร็จ วาโยก็กลับไปอ่านหนังสือที่หอต่อ ตอนนี้ดึกพอดู บรรยากาศเงียบเชียบ มีสายลมพัดเอื่อยๆ จากนั้น...เสียงแซ็กโซโฟนบรรเลงขึ้นใต้แสงหมู่ดาว...


      วาโยตั้งใจฟัง พร้อมกับอาการดีใจ เสียงเพลงดังแว่วมาแต่ไกล สิ่งแย่ๆทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถูกชำระไปหมดแล้ว ด้วยเสียงเพลงที่บรรเลงจากคนแปลกหน้า ท่วงทำหน้าที่หวานปนเหงา ใครกันนะที่เป่าแซ็กโซโฟนได้เพราะขนาดนี้ วาโยหวังว่าจะพนาจะเป็นคนเป่า....

      -พนา-

      “ผมเล่นแซ็กฯตั้งแต่ยังเล็ก พ่อของผมเป็นนักเป่าแซ็กที่เก่งมาก 5 ขวบผมก็เริ่มเรียนกับพ่อที่โรงเรียนคนตาบอดผมก็ออกแสดงอยู่บ่อยๆ วาโยบอกว่า ชอบฟังแซ็กมาก เพราะงั้นเวลากลางคืน ผมจะเป่าให้เขาฟัง แต่ไม่อยากให้เขารู้ว่าผมเป็นคนเป่า แม้แต่หมอโฟร์ท หมอมีความรู้ขนาดนั้น เขายังไม่แยแส ไม่หางตา แล้วประสาอะไรกับผมล่ะ อย่าไปทำลายความฝันของเขาเลยดีกว่า หากเขาโกรธ ไม่ยอมตัดผมให้ แล้วใครจะตัดผม ให้ผมล่ะ.....

      บนดาดฟ้ายามค่ำคืนที่หอพักของวาโย คืนนี้วาโยพาผมมาคุยเล่นที่หอของเขา และชงกาแฟมาให้ผม
      'อร่อยไหม?' วาโยถามผม
      หลังจากผมลองชิมดู 1 คำ ก็ยกนิ้วโป้งให้เขาว่า...เยี่ยม!!!
      วาโยเห็นอย่างนั้น ก็ปล่อยขำออกมา 'คุณเป็นคนแรกที่ชมว่าผมชงอร่อย...แปลกจังเลย เพื่อนๆบอกว่าเหมือนยาถ่าย...คุณเป็นคนเดียวที่ให้กำลังใจผมอยู่' วาโยพูดพร้อมชี้นิ้วมาที่หน้าผากผม
      ผมที่นั่งฟัง ทำได้เพียงแต่พยักหน้าเห็นด้วย และยิ้มตอบ ^____^
      นี่...เมื่อคืนได้ยินเสียงแซ็กไหม? จู่ๆวาโยก็เปลี่ยนเรื่องถามผม
      ผมได้แต่หยักไหล่ทำไขสือ...
      แซ็กโซโฟนน่ะ!!! วาโยทำเสียงเค้นเอาความจริง
      'เห้อ....เมื่อวานไม่สบายใจ พอได้ยินเสียงแล้วหายกลุ้มเลย อะไรจะบังเอิญขนาดนี้' วาโยพูดพร้อมกับมองผมแบบหน้าเจ้าเล่ห์
      จากนั้นวาโยก็มองไปบนฟ้า เห็นดาวตกดวงนึงแล้วร้องอุทานออกมา
      'ดาวตกล่ะ!!!' แล้วเขาก็ทำท่าขอพร
      ผมที่นั่งฟัง ก็ทำได้แค่แสดงอาการงงๆ ก็ผมตาบอดนี่นา จะเห็นดาวตกได้ยังไงกัน....T T
      วาโยนิ่งขอพรไปสักพักนึง...ผมที่อยากรู้จึงเงี่ยหูฟังว่าเขาขอพรอะไร
      นี่!!!เห็นรึเปล่า...ดาวตกเชียวนะ....สวยรึเปล่า???? วาโยถามผม
      ผมแสดงอาการออกไปว่า ผมตาบอดนะครับ จะไปเห็นได้ยังไง
      วาโยรู้สึกผิดจึงรีบออกปากว่า 'จริงสิลืมไป...คุณมีข้อดีหลายข้อ ผมขอพรไว้ 2 ข้อด้วยกันนะ ผมโลภไปรึเปล่า?' วาโยถามผม ผมตอบกลับคำถามนั้นด้วยการส่ายหน้า และทำภาษามือแสดงให้เห็นว่าผมอยากให้เขาพูดออกมาว่าขอพรอะไร ^__^
      'จะให้ผมบอกเหรอ?' วาโยถาม  ผมก็พยักหน้าตอบอย่างตื่นเต้น
      ได้!!! มันเกี่ยวกับคุณด้วยนะ ฟังให้ดีล่ะ (ผมตั้งใจฟังอย่างมาก เพราะมันเกี่ยวกับตัวผมนี่นา ตื่นเต้นจัง)
      'พรข้อแรก คือขอให้คุณมองเห็นทุกอย่าง...เราจะได้ดูฝนดาวตกด้วยกัน...อิอิ' วาโยพูดพร้อมหัวเราะออกมานิดๆ 'ดีไหมครับ' เขาถามผม (ผมตอนนี้ดีใจสุดๆ ที่วาโยขอพรให้ผม ผมจึงพยักหน้าตอบด้วยความดีใจ)
      จากนั้นผมก็สะกิดแล้วชูนิ้วมือ 2 นิ้ว ให้สัญญาณว่า แล้วพรข้อที่ 2 ล่ะ?????
      'เรื่องที่ 2 เหรอ...ก็ได้...ผมจะบอกคุณนะ...เรื่องที่ 2 ก็คือ.....................................................
      ...............................................................................................................................................
      .
      .
      .
      .
      .
      .
      'จ้างก็ไม่บอก' 
      ผมที่ได้ยินถึงกับต้องทำปากเบ้ และเอามือเช็ดจมูก
      'ห้ามทำปากเบ้' และก็ 'ห้ามเช็ดจมูกด้วย!!!'
      จากนั้นวาโยก็พูดต่อ 'นี่!!!รู้ไหมว่าฝนดาวตกเป็นยังไง?...'
      ผมที่ฟังคำถามก็ได้แต่วาดรูปมือเป็นเครื่องหมายคำถาม????????
      'ไม่รู้เหรอ?....ผมจะบอกให้ฟัง....ดาวน่ะ มันจะตกลงมาเหมือนดอกไม้ไฟเลย' วาโยเล่าพร้อมทำท่าทางประกอบเหมือนเด็ก........น่ารักชะมัด.....
      ผมเลยทำภาษามือถามกลับว่าคุณเคยเห็นรึเปล่า
      วาโยตอบกลับมาว่า 'ถามผมว่าเคยเห็นรึเปล่านะเหรอ.......ไม่เคยหรอก!!!' 
      อ้าว ไหง๋งั้นล่ะ (ผมคิดในใจ) ผมจึงทำท่าล้อเลียนเขาว่าขี้โม!!!!
      วาโยเห็นท่าทางเลยเอ็ดผมว่า 'หนอยยยยย หาว่าผมขี้โมเหรอ' จากนั้นเขาก็เล่่าต่อว่า 'ถ้าคุณเห็นฝนดาวตกล่ะก็ คุณจะสามารถขอพรได้ด้วย' วาโยพูดพร้อมเอานิ้วชี้มาเขียนที่หน้าผากผม
      'คุณจะขอพรกับดาวยังไง' วาโยถาม....
      ผมทำภาษามือว่า ผมจะขอพร 2 ข้อเหมือนกับวาโย วาโยเห็นก็ดีใจมาก 'คุณก็ขอพร 2 ข้อเหมือนกันเหรอ'
      ผมจึงเอามือของเขามาเขียนข้อความลงไปว่าผมขอพรอะไร แต่เขียนยังไม่ทันเสร็จ วาโยก็เอามือออกไปอย่างรวดเร็ว สงสัยเพราะคงจั๊กจี้ แล้ววาโยก็ตอบผมมาว่า 'ตายแล้ว...รู้แล้วครับ...คุณจะขอพรให้คนตาบอดทั้งโลกมองเห็นหมดเลยเหรอ...ใจดีมากเลยนะครับ....แล้วข้อสองล่ะ' ผมเอามือวาโยทำท่าจะเขียนพรข้อที่ 2 ลงไป แต่ผมแกล้งเค้าด้วยการตีมือ วาโยถึงกับงอนผมเลยทีเดียว 'หนอย....กล้าตีมือผมเหรอ...ถ้าไม่บอกผมจะจี๋คุณนะ' วาโยแกล้งจั๊กจี๋ผม ผมเอามือป้องเอวไว้
      หลังจากที่เรากำลังหยอกล้อกัน ก็มีข้อความส่งเข้ามือถือของเขา วาโยจึงหยิบมือถือเข้ามาดู แล้วก็รู้ว่า ต้องเข้าเวรด่วน

      หลังจากได้รับข้อความให้เข้าเวรด่วน ผมก็มาส่งวาโยที่ตึกที่เขาต้องเข้าเวร แต่คุณเชื่อไหมล่ะครับ วาโยนั่งรถวิลแชร์ แล้วให้ผมเป็นคนเข็ญ เล่นเป็นเด็กไปได้ แต่ผมกลับมีความสุขอย่างที่ไม่่เคยมีมาก่อน ผมแกล้งเข็นวาโยด้วยความเร็ว ตามคำสั่งของเขา เขาให้เลี้ยงซ้าย...ผมก็เลี้ยว....เลี้ยวขวา...ผมก็เลี้ยว ดูเหมือนวาโยจะสนุกเอามากๆ พอถึงที่หมาย วาโยก็ร้องว่า 'จอดตรงนี้ครับ!!!' จากนั้นเขาก็วิ่งขึ้นตึกไป แต่ยังไม่ทันไร ก็วิ่งกลับมาหาผม แล้วเขียนข้อความลงบนฝ่ามือผมว่า 'ขอบคุณมากสำหรับวันนี้ พรุ่งนี้เจอกัน'
      ตอนนี้ หัวใจของผมพองโตไปหมดแล้ว สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นวันนี้ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะได้รับ มันดีมากแค่ไหนแล้วที่คนตาบอดอย่างผม จะมีคนที่รักและใส่ใจผมมากอย่างวาโยคนนี้ ต่อให้ผมต้องตาบอดตลอดชีวิตและมีวาโยดูแลแบบนี้ตลอดไป ผมก็ยอมสำหรับทุกสิ่งแล้ว
      หลังจากที่ส่งวาโยเข้าเวร ผมก็เดินทางกลับที่พักด้วยอาการดีใจแบบสุดๆ จนพยาบาลและยามที่เดินผ่านไปมา อดขำกับท่าทางผมไม่ได้
      แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อผม เดินสะดุดก้อนหินก้อนหนึ่งและตัวก็ผมก็กระเด็นลงไปบนถนน ซึ่งประจวบเหมาะกับมีรถเก๋งที่กำลังวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วและชนกระแทกผมเข้าอย่างจัง ร่างกายผมกระเด็นไป 3 - 4 เมตร คนขับรถได้หยุดรถและรีบวิ่งเข้ามาดู จากนั้น เขาก็รีบโทรเรียกรถพยาบาล
      ร่างของผมนอนแผ่หลาบนท้องถนน สติของผมเริ่มหลุดออกจากร่าง ภาพครั้งสุดท้ายที่จำได้ มีแสงสว่างสาดส่องมาจากบนท้องฟ้า ทอดยาวมาที่ร่างของผม วิญญาณของผมหลุดลอยออกจากร่าง จากนั้นแสงสว่างก็สว่างจ้า จนผมต้องหลับตา....
      .
      .
      .
      เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้น คล้ายกับความฝัน รอบๆข้างเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นก็มีผู้ชายใส่สูทคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม แล้วพูดขึ้นว่า 
      'มาใหม่งั้นรึ' เชิญมาทางนี้... 
      เขาพาผมเดินมาต่อแถว ซึ่งทุกคนที่ต่อแถวก่อนหน้าล้วนใส่ชุดสีขาวทั้งสิ้น ทุกคนที่ต่อแถว ต้องเดินผ่านประตูอะไรสักอย่างซึ่งมีผู้ชายใส่สูท 2 คน เฝ้าอยู่ จนกระทั่งถึงคิวผมต้องเดินผ่านประตู ทันใดนั้นเองรอบๆข้างผมก็สั่นไหว ชาย 2 คนนั้นมองหน้ากัน พร้อมกับดึงแขนผมออกจากแถว แล้วพูดขึ้นว่า 
      'ยินดีด้วยนะ คุณได้รับโชค' คนดีๆอย่างคุณได้รับโชคให้กลับไปโลกมนุษย์อีกครั้งนึง.... 
      ผมซึ่งกำลังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้คิดว่า นี่คือความฝันหรืออะไร ทำไมฝันพิลึกจึง แต่ชายที่อยู่ต่อหน้าผมก็พูดขึ้นอีกว่า 
      'คุณไม่ได้ฝันหรอก เห็นไหมว่าคุณน่ะพูดได้' 
      ...จะบ้าหรือเปล่า ผมนี่นะพูดได้ ผมเป็นใบ้ตาบอดนะ แต่แล้วผมก็พยายามพูดออกเสียง 
      ...เอ่อ อืมๆๆ.. 
      เห้ย พูดได้จริงด้วย ซ้ำผมยังมองเห็นแล้วอีกด้วย... *0* .... 
      จากนั้นเขาพูดขึ้นอีกว่า 'คุณลืมไปแล้วหรือ คุณโดนรถชน คุณน่ะตายไปแล้ว' 
      ....หาาาา *0*  ผมนี่นะ ตายไปแล้ว...
      'เมื่อตายไปแล้ว วิญญาณก็จะออกจากล่าง ไปสถานที่ใหม่ ซึ่งเรียกว่า สถานีขั้วโลก "Polaris" น่ะ คุณจะได้ใช้ชีวิตใหม่ ทำสิ่งใหม่ วิญญาณดีๆต้องไปที่นั่นกันทุกคน'....ในเมื่อคุณได้รับโชค ผมขอถามสักหน่อย คุณต้องการอะไร...?
      ...ผมอยากจะกลับ...ผมยังไม่อยากตาย...
      'นั่นไง'...'ร้อยทั้งร้อยอยากได้แบบคุณทั้งนั้น'...คุณได้รับโชคให้กลับไปมีชีวิตอีกครั้งนึง แต่ไม่ใช่ตลอดไปนะ แค่เพียง 5 วันเท่านั้น
      ...5วันก็ยังดีครับ...
      'ฟังได้ดีก่อนนะ...ภายใน 5 วันนี้ คุณจะรู้สึกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่คนอื่นๆเมื่อเห็นคุณ เขาจะจำคุณไม่ได้ เพราะคุณอยู่ในร่างคนอื่น และเสียงของคุณก็จะเปลี่ยนไป เพื่อนๆของคุณก็จะไม่มีใครจำได้ แล้วก็ยังมีกฎอีกข้อนึงนะ คุณจะเอาเรื่องที่นี่ไปเล่าให้ใครฟังไม่ได้ และห้ามบอกฐานะที่แท้ของคุณเด็ดขาด ..และถึงแม้คุณจะบอก ถึงตอนนั้นเสียงของคุณก็จะไม่มี...'
      ...ผมจะยังคงเป็นอย่างเป็นเนี่ย มองเห็นและพูดได้ด้วยใช่ไหมครับ?
      'เอาเถอะ ผมอยากให้คุณลองคิดดูก่อนนะ เคยมีคนที่รับโชคแบบคุณ แต่เมื่อเขากลับมาที่นี่ ทุกคนต่างเสียใจได้กลับไปโลกมนุษย์'
      ...ไม่ ไม่ใช่ผมแน่ ผมอยากจะเห็นเขา ขอให้ผมได้อยู่ใกล้เขาบอกเถอะ ผมอยากจะเห็นหน้าเขา อยากเห็นอริยาบถของเขา แม้ต้องเดินไปทางไปอยู่ Polaris อย่างคนตาบอด ก็ขอให้ผมได้เห็นหน้าเขาและได้รู้ว่า อะไรคือความสุขที่แท้จริงในชีวิต... ผมกลับไปได้หรือยังเนี่ย!!!!???? 
      'อืม ไปได้เลย... '
      ....
      ....
      ....
      ....
      จากนั้น แสงสว่างก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
      ผมค่อยๆลืมตาตื่น...รู้สึกเหมือนได้รับชีวิตใหม่
      ...แต่เอ ทำไมมันเย็นๆวาบๆ เห้ย...ทำไมผมโป๊อยู่ล่ะ....
      ผมฟื้นขึ้นมาอีกทีในตึกที่เป็นที่พักของผม ซึ่งอยู่บริเวณข้างหลังสุดของโรงพยาบาล จากนั้นผมก็ต้องรีบหาเสื้อผ้ามาใส่ก่อนที่ใครจะเห็นผมในสภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่ เมื่อใส่เสื้อผ้าเสร็จ ผมเดินออกมาจากที่พัก มองไปรอบๆ บรรยากาศตอนเช้าที่ไม่ได้เห็นมานาน ทำให้ผมดีใจอย่างกับจะกระโดดโลดเต้น บรรยากาศยามเช้า แสงแดดอ่อนๆ เสียงนกร้อง เป็นบรรยากาศที่ผมคิดถึงมานานแสนนาน

      .
      .
      .
      . ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงที่ทำงานของผม แต่คนที่ผมเจอคนแรกไม่ใช่วาโย ผมชนเข้าอย่างจังกับ รปภ.โหน่ง ผมตกใจจนต้องเอามือปิดหน้าตัวเองไว้
      'เป็นไรไหมครับคุณ' รปภ.โหน่งถามอย่างห่วงใย
      ...ไม่เป็นไรครับๆ...เอ่อ รปภ.โหน่งครับ ดื่มเหล้ามาอีกแล้วใช่ไหมครับ ดื่มเบาๆหน่อยนะครับ ^^"
      รปภ.โหน่งถึงกับสะดุ้ง เมื่อได้ยินคำพูดจากชายแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันครั้งแรก....

      ผมเดินเข้ามาในตึกที่วาโยทำงาน แต่ไม่เจอใครสักคน เมื่อผมพบพยาบาลที่กำลังเข้าเวร จึงถามว่า "ไม่ทราบว่า วาโย อยู่ไหมครับ" เธอตอบกลับมาว่า "วาโยไปหลุมศพของคนไข้พนาตั้งแต่เช้าแล้ว" สิ้นประโยคที่ผมได้ยิน ผมถึงกับทรุด ผมตายได้ยังไง ผมก็ยืนอยู่ตรงนี้ .. (แต่พอตั้งสติได้ ผมเข้าใจแล้วว่าตอนนี้ผมอยู่ในร่างของคนอื่น คนรอบข้างไม่สามารถจำผมได้) พยาบาลจึงบอกต่ออีกว่า "ถ้าคุณจะไปเคารพศพ รีบไปขึ้นรถที่หน้ารพ.นะคะ รถกำลังจะออก" จากนั้นผมก็รีบวิ่งไปที่หน้าโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

      เมื่อมาถึงหลุมศพ ดูเหมือนพิธีฝังศพเพิ่งจะเสร็จไปในไม่ช้า บรรดาพยาบาล บุรษพยาบาลต่างพากันวางดอกไม้ที่หน้าหลุมศพของคนไข้พนา ผมเห็น เด็กผู้ชายตัวขาว ปากชมพู คนนึงกำลังร้องไห้ (ผมเดาว่าน่าจะเป็น วาโยอย่างแน่นอน...ตัวจริงทำไมน่ารักแบบนี้) แต่ที่อยู่ข้างๆวาโย คือ หมอผู้ชายหน้าคม ตัวสูงๆ ผมเดาว่าน่าจะเป็นหมอโฟร์ทอย่างแน่นอน หมอโฟร์ทพยายามปลอบวาโย เขาโอบกอดวาโยไม่หยุด (เห้ยทำไมต้องโอบกันด้วย -*-) หลังเสร็จพิธี...พวกเขาต่างพากันกลับโรงพยาบาล

      ผมค่อนข้างรู้สึกๆแปลกๆ ที่ต้องมางานศพของตัวเอง ผมรอจนแขกในงานพากันขึ้นรถกลับไปจนหมด ตัวผมจึงเดินไปที่หลุมศพ สิ่งที่ปรากฎสู่สายตา คือรูปภาพของผมที่เจริญวัยเต็มที่ จนมีคำถามเกิดขึ้นในใจผม ว่า 'เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่กันนะ ที่เราไม่ได้เห็นภาพใบหน้าของตัวเองเลย...และหมอนี่นะรึคือ นายพนา???' 

      ช่วงเวลาบ่ายอ่อนๆ ผมเดินกลับมาที่ที่พักของผมอีกครั้ง ซึ่งที่นี่ ผมมีโอกาสได้พบกับเจ้าของร้านขายของชำในโรงพยาบาล ซึ่งก็คือ ไอ้บีมนั่นเอง...  ไอ้บีมกำลังขะมักเขม้นเก็บสมบัติของผมลงกล่อง ผมจึงเดินผ่านประตูเข้าไปแล้วตบไหล่มันเบาๆพร้อมกับเรียกชื่อ "เชี่ยบีม!!!! คิดถึงมึงจังเลยว่ะ"

      แว๊กกกกกก!!!! เสียงที่ตอบกลับมาคือเสียงแห่งความตกใจสุดขีด 
      'ตกใจหมดเลย เดินมาเบาๆ นึกว่าผี' (เอ่อ ก็ผีที่คืนชีพไง - -.)
      อ้าว แล้วคุณเป็นใครเนี่ย ไม่เคยเห็นหน้า? มันถามผมกลับ ซึ่งทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้ผมอยู่ในร่างของคนอื่น มันเลยจำผมไม่ได้
      เอ่อ 'คุณไม่รู้จักผม แต่ผมรู้จักคุณก็แล้วกัน ผมเป็นเพื่อนกับคนไข้พนาน่ะ'
      'เพื่อนของไอ้พนาเหรอ? ผมเนี่ย รู้จักไอ้พนามา 10 กว่าปีแล้ว เพื่อนของมันผมรู้จักหมดอะ แต่กับคุณ...ผมไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า!!!'
      อ่อ 'ผมเป็นเพื่อนซี้ของเขาเลย มาจากชลบุรีน่ะ'
      อ๋อ 'มาจากชลบุรี เป็นเพื่อนนักเรียนกันใช่ไหมล่ะ?'
      แล้วทำไมคุณถึงไม่ไปงานศพเขาล่ะ
      'เห้อ....ไปไม่ไปมันก็มีค่าเท่ากันนั่นแหละ ถ้าผมไป ผมก็ต้องร้องไห้ฟูมฟาย สู้ไม่ไปดีกว่า...' เขาให้เหตุผลกับผม ซึ่งผมรู้นิสัยไอ้บีมดี ว่าการที่เพื่อนจากไปแบบไม่มีทางกลับ มันเจ็บปวดใจจนพูดไม่ออก...
      'เอาล่ะ ผมจะไปละ แล้วคุณว่าไง?' มันถามผม
      ผมเลยตอบไปว่า 'ผมจะอยู่สักพักน่ะ'
      'อ่อ...โอเค อย่าลืมล็อกห้องล่ะ' พูดเสร็จมันก็เดินออกจากห้องไป

      แม้แต่เพื่อนสนิทคนเดียวของผมก็ยังไม่รู้ว่า ที่ตรงเตียงนอน ชั้น 2 ของผม จะมีช่องสำหรับเก็บของ ผมปีนขึ้นไป และเปิดช่องเก็บของขึ้น ที่กล่องเก็บแซ็กโซโฟน มีรูปถ่ายสมัยเด็กของผมกับพ่อ 2 - 3 ใบ คราวนี้ผมสามารถมองเห็นได้เต็มตา ไม่ต้องคลำทางเหมือนแต่ก่อนแล้ว รูปภาพสมัยก่อนถึงแม้จะมีสีซีด แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำ ผมเกือบจะลืมหน้าพ่อผมไปแล้ว ภาพที่พ่อกำลังเป่าแซ็กโซโฟน ทำให้ผมหวนนึกถึงความหลังสมัยเด็กๆอีกครั้ง จากนั้นผมก็เปิดกล่องเหล็กกล่องขึ้น ในกล่องมีเงินเก็บสะสมจำนวนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ผมคงจำเป็นต้องใช้มันสะแล้ว ก่อนที่จะปิดช่องเก็บของ ผมสังเกตุเห็นแฟ้มกรมธรรม์ประกันชีวิต ใช่แล้ว ผมเกือบลืมไป ว่าผมทำประกันชีวิตไว้ฉบับนึงนี่นา ชื่อผู้รับผลประโยชน์หากผมเสียชีวิต จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกว่า คนที่ผมรักและคิดถึงที่สุด ...... วาโย ......

      ไม่เพียงแต่กรมธรรม์ที่ผมเจอเท่านั้น แต่ในแฟ้ม มีบัตรพนักงานประกันอยู่ด้วยซึ่งมีใบหน้าเหมือนผมตอนนี้ ทำให้ผมเข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว ผมอยู่ในร่างของชายผู้ขายประกันนั่นเอง ผมลองสอบถามไปที่บริษัทเพื่อขอรับเงินประกันให้วาโย แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธ และให้ผมติดต่อที่คนขายประกันเอง .... ก็เป็นสะแบบนี้ละน่า -0-

      ที่ห้องทำงานเก่าของผมซึ่งผมกำลังจะเข้าไป ผมได้เห็น ชายหนุ่มปากชมพูในชุดบุรุษพยาบาล ซึ่งมีใบหน้า เหงาๆ เขาเดินรอบๆโต๊ะที่ผมทำงาน และนั่งลง เมื่อเขาเปิดลิ้นชัก เขาก็เจอตุ๊กตาแกะใส่ถ่านตัวนึงที่ผมลืมไว้ เขาคุยกับตุ๊กตาตัวนั้นด้วยเสียงที่สั่นเครือ 'เจ้าแกะน้อย ตอนนี้แกต้องอยู่กับฉันแล้วนะ' .... ผมซึ่งมองเห็นภาพทั้งหมดก็รู้สึกปวดใจ เมื่อผมกำลังจะเปิดประตูเข้าไป เสียงบิดกลอนประตู ทำให้เขามองมาทางผมแวบนึง แต่เขาก็ไม่สนใจ เขาลุกจากโต๊ะ และเดินเข้าไปยังอีกห้อง....

      ในเวลานี้ ผมซึ่งรู้ตัวว่าอยู่ในร่างของคนขายประกัน ผมจึงจำเป็นต้องใช้เงินที่เก็บสะสมไปซื้อเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับอาชีพ ใช่แล้วครับ นั่นก็คือ สูทนั่นเอง หลังจากซื้อของเสร็จแล้ว ขั้นต่อไปคือ ต้องหาโอกาสเล่าอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ วาโยฟัง 

      หลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินทางมาหาวาโยที่หอ ตอนนี้ประมาณ 2 ทุ่มกว่าแล้ว หวังว่าเขาคงยังไม่นอน
      เมื่อมาถึงที่ประตูหอพัก ผมกำลังจะเคาะประตู วาโยก็เปิดประตูออกมาพอดีพร้อมกับถึงขยะใบใหญ่ในมือ แต่สภาพที่ผมเห็นคือ วาโยใส่เพียงแค่บ็อกเซอร์เท่านั้น เมื่อเขาเห็นหน้าผม เขาก็ตกใจและผลักผมล้มลงพร้อมกับโยนถุงขยะในมือใส่ตัวผม และรีบหลบหลังประตูอย่างรวดเร็ว 'เห้ย!!!....คุณเป็นใครน่ะ?'

      เมื่อผมเรียกสติคืนมาได้ผมจึงตอบไปว่า 'ผมคืออาทิตย์ เป็นเซลส์ขายประกันครับ'....
      หลังจากที่ผมแนะนำตัวเสร็จ วาโยก็แนะนำให้ผมไปรอเขา ที่ร้านค้าในโรงพยาบาล ระหว่างที่เขาแต่งตัว

      ผมนั่งรอวาโยประมาณ 15 นาทีได้ ระหว่างรอผมได้สั่งเซเว่นอัพใส่เกลือ ลูกน้องไอ้บีมที่มารับออเดอร์ ได้ไปบอกไอ้บีม ทำให้ไอ้บีมทำหน้าประหลาดใจและมองมาทีี่ผมอย่างคุ้นๆ ผมได้แต่ยิ้มจางๆให้
      จากนั้นไม่นาน วาโยก็รีบวิ่งมาด้วยความอยากรู้ ว่าทำไมถึงมีคนมาพบเขายามวิกาลแบบนี้
      'คุณอาทิตย์ ขอโทษนะครับ ปกติไม่มีคนมาหาผมหรอกครับ ยิ่งดึกๆอย่างนี้ด้วย คุณเป็นคนแรก ผมก็เลยตกใจ' 


      ....ตอนนี้ใจผมแทบจะระเบิดอยู่แล้ว คนที่ผมเฝ้าฝันถึงมาตลอด อยู่ตรงหน้าผมแล้ว ความฝันผมเป็นจริงหนึ่งอย่าง นั่นก็คือการได้มองเห็นใบหน้าคุณไง 'วาโย'...

      ....ผมตั้งใจจะบอกความจริงกับเขา แต่เมื่อพบกันแล้ว คำพูดที่นึกไว้ กลับลืมบอกหมดเลย...
      ตอนนี้ผมกำลังนั่งอึ้ง กับคนที่อยู่ตรงหน้าผม วาโยเห็นผมไม่พูดอะไร จึงเอ่ยขึ้น...

      'อะ ฮึ่ม... คุณอาทิตย์ครับ? บริษัทประกันมีอะไรเหรอครับ?'
      ผมที่พึ่งดึงสติได้ จึงตอบไปว่า 'อ่อ...คืออย่างนี้นะครับ ผมมีเพื่อนคนนึง อ่า นายพนาน่ะครับ เขาทำประกันในวงเงินจำนวนนึง คนรับสินไหมคือคุณ...วาโย...' ครับ
      อ่อ อืมครับ...

      จากนั้นผมก็หลุดขำออกมา...
      'ชื่อมีตั้งเยอะไม่ตั้งนะครับ คนอะไรชื่อ พนา ชื่อเหมือนคนป่า'
      แต่คนที่อยู่ตรงหน้าผมกลับไม่ขำด้วย
      'น่าขำมากหรือไง? -*-' วาโยเริ่มโมโหผม
      ...ผมซึ่งสะดุ้งเล็กน้อย จึงวกเข้าเรื่องต่อ...
      'คือตามกฎแล้ว ผมต้องสอบถามข้อมูลคุณหน่อย คุณบอกตามความจริงนะครับ... คุณทำงานอะไร?'
      'เป็นบุรุษพยาบาลฝึกหัด' เขาตอบอย่างไม่เต็มใจนัก
      ...อ่อ...เป็นบุรุษพยาบาลเหรอครับ?...คุณสองคนรู้จักกันนานไหม?...
      1 ปี กับ 26 วัน
      'โห จำเก่งจังเลย เศษ 26 วันยังจำได้ด้วย คุณน่ารักมาก!!!'
      ... ผมดีใจจนลืมตัว จึงเผลอชมวาโยไป แต่ดูท่า ยิ่งทำให้วาโยเริ่มมีอารมณ์มากยิ่งขึ้น

      หะ!!!! -*-

      'เอ่อ คุณเป็นเพื่อนกันแบบไหนครับ...เพื่อนธรรมดา...เพื่อนสนิท...หรือว่าแฟน?'
      วาโยทำท่าเหลิกหลัก แล้วตอบว่า 'ทำไมต้องบอกคุณด้วยล่ะ...บ้า!!!'
      'เอ่อ เพราะว่ามันสำคัญมาก!!! หากคุณสนิทกันหรือว่าคุณเป็นแฟนกันแล้วเขาฆ๋าตัวตายจะได้รับค่าทดแทนจากเรานะครับ' ผมอธิบายเหตุผลแบบข้างๆคูๆ ยิ่งทำให้คนฟังมีน้ำโหมากขึ้น 

      'เขาไม่ได้ฆ่าตัวตาย ผมรับประกันได้ในเรื่องนี้ เขาเป็นคนเข้มแข็งนะ ไม่สิ้นหวังเหมือนคนโง่หรอก!!!' 
      วาโยพูดด้วยน้ำเสียงปนโมโห แต่ยิ่งทำให้ผมที่เป็นคนฟัง หัวใจพองโตขึ้นไปอีก

      'อีกเรื่องนึงน่ะ คุณกับหมอโฟร์ทเป็นอะไรกัน? เอ่อ...คุณชอบใครมากกว่ากัน?'
      หลังจากที่ผมถามเสร็จ วาโยมองผมด้วยสีหน้าเอาเรื่อง

      'คุณมาจากประกันจริงเหรอ ผมชอบใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย?'
      'เอ่อ พะ..เพราะว่า ถ้าคุณเลือก หมอโฟร์ท นายพนาก็ต้องเสียใจมากยังไงล่ะครับ' ตอนนี้ผมกำลังคิดได้ว่า บ้าชิบหาย นี่ตูกำลังพูดอะไรลงไปเนี่ย หรือที่จริงแล้ว ผมกำลังหึงหวงเขา....

      จากคำถามเมื่อสักครู่ ทำให้วาโยถึงกับลุกขึ้นยืน และต่อว่าผมอย่างแรง
      'คุณอาทิตย์ คุณเป็นเจ้าหน้าที่ที่น่าขยะแขยง ต่ำช้าที่สุดเลย!!!' หลังจากต่อว่าเสร็จ เขาก็เอาน้ำเปล่าสาดมาที่หน้าผม

      และก่อนที่วาโยจะเดินจากโต๊ะไป ผมก็คิดได้ทันทีว่า ต้องรีบบอกความจริงกับเขาแล้ว 
      'คุณวาโยครับ...แท้ที่จริงแล้วผมคือ พ.......' ยังไม่ทันจะพูดชื่อจบ เสียงผมก็หายไป ตอนนี้ผมมีอาการคล้ายกับลมบ้าหมู วาโยตกใจ จึงสั่งให้เด็กในร้านรีบไปเอาผ้ามายัดปากผม เพื่อกันไม่ให้ผมกัดลิ้นตัวเอง...

      'คุณเป็นลมบ้าหมูเหรอเนี่ย น่าจะไปให้หมอตรวจหน่อยนะ' หลังจากเขาพยาบาลผมเสร็จ ก็รีบกลับขึ้นหอไป
      เหลือเพียงไอ้บีมกับเด็กในร้าน 2 คนเท่านั้น ที่ดูแลผมต่อ ในใจตอนนี้ ผมได้แต่ร้องตะโกนต่อว่าสวรรค์เท่านั้น...



      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×