กว่าจะมาเป็นไทย...การเดินทางของประวัติศาสตร์แห่งชนชาติ
|
การพยายามค้นหาต้นตอความเป็นมาเป็นไปเพื่อรู้จักตัวเอง คือพฤติกรรมทางจิตวิทยาขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ดังนี้ความพยายามค้นหาถิ่นกำเนิดและความเป็นตัวตนที่แท้ของคนไทยจึงไม่ใช่เรื่องใหม่หากมันปรากฏลางๆมานานนับร้อยๆปี แสดงออกมาในรูปนิทานปรัมปราอธิบายที่มาของคนและชนชาติไทย แต่เริ่มเอาจริงเอาจังขึ้นเมื่อเกิดภาวะคับขันลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตกแผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่รอบข้างประเทศไทย บีบอัดและดูดกลืนเพื่อนบ้านให้ตกเป็นทาสฝรั่ง ด้วยข้อกล่าวหาว่าไร้อารยะ ยิ่งทำให้กระบวนการค้นหาความเป็นมาของชาติถูกเร่งรัด เพื่อนำมาแสดงให้ตะวันตกเห็นว่า ชาติสืบสายมาเก่าแก่
ด้วยพระราชนิยมและพระวิเทโศบายของรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 การค้นคว้าความเป็นมาของชาติไทยจึงเริ่มมาแต่ครั้งนั้น
ก่อนขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่4 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ทรงครองสมณเพศอยู่นานถึง 27 ปี ระหว่างเวลาอันยาวนานนั้นเอง พระองค์ได้เสด็จจาริกไปในพื้นที่ต่างๆของประเทศไทย ทำให้ทอดพระเนตรเห็นซากเมืองเก่าแก่ โบราณสถานมากมาย คือประจักษ์พยานความเป็นอารยะของแผ่นดินสยามที่ซ่อนอยู่ในไพรพฤกษ์ ดังนั้นหลังจากพระองค์เถลิงราชสมบัติแล้วจึงทรงพระราชนิพนธ์ประวัติศาสตร์ชาติไทยพระราชทานเซอร์จอห์น เบาริง หรือพระยาสยามานุกูลกิจ สยามมิศรมหายศ ราชทูตอังกฤษซึ่งเข้ามาในสยามเมื่อปี พ.ศ.2398 โดยทรงเล่าว่าคนไทยเริ่มตั้งอาณาจักรเป็นแห่งแรกทางตอนเหนือของประเทศ บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำยม ซึ่งรู้จักกันในนาม สุโขทัย ทรงอาศัยหลักฐานทั้งจากศิลาจารึกซึ่งทรงค้นพบ และโบราณสถานมากมายในเขตเมืองนั้นเป็นกรณีศึกษา นับเป็นประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่รับทราบกันในยุคนั้น
กระทั่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภัยจากการล่าอาณานิคมอุบัติขึ้นรอบตัวและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สยามจึงเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับที่มาของชนชาติอย่างกว้างขวาง นักปราชญ์หลายคนอาทิ สมเด็จ ฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระยาอนุมานราชธน หลวงวิจิตรวาทการ เสนอทฤษฏีมากมายขึ้นมา ทั้งเชื่อว่าไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตทางตอนใต้ของประเทศจีน อพยพมาจากทางตอนกลางแถบลุ่มแม่น้ำแยงซี อพยพขึ้นมาจากแถบเส้นศูนย์สูตรทางตอนใต้ของประเทศไทย เป็นต้น
แต่ทฤษฎีเหล่านี้ก็ถูกลบล้างไปด้วยวิทยาการและการพิสูจน์ด้วยความรู้สมัยใหม่ซึ่งใช้เวลายาวนานนับสิบๆปี กระทั่งสรุปว่าแท้จริงเราไม่ได้มาจากไหน แต่เราลงหลักปักฐาน ตั้งรกรากอยู่ที่นี่มาแต่ครั้งบรรพกาล
จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นพบในพื้นที่เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี พบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะแหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ที่พบโบราณวัตถุประเภทเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากสำริด เครื่องปั้นดินเผา และโครงกระดูกจำนวนมาก สันนิษฐานว่ามีอายุราว 4,500 5,000 ปี ซึ่งตรงกับยุคสำริดและยุคเหล็ก นับเป็นแหล่งโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์
ไม่เพียงเท่านั้นมนุษย์ในยุคนั้นยังตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ทั่วไปในเขตประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง เช่นแถบภาคกลาง เช่นจังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี เรื่อยไปจนถึงกาญจนบุรี ขึ้นเหนือไปที่อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง และอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และลงใต้ไปจนถึงแถบจังหวัดพัทลุง เป็นต้น
ผู้คนในยุคนั้นมีความเจริญถึงขั้นรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่ม มีความสามารถในการหลอมโลหะ ถลุงเหล็ก ทำเครื่องปั้นดินเผา เป่าแก้ว มีการเลี้ยงสัตว์และทำเกษตรกรรม นับถือภูตผีปีศาจและอำนาจลี้ลับ เชื่อในโลกหลังความตายอันส่งผลต่อพิธีกรรมในการฝังศพ และมีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานทั้งเพื่อหาแหล่งที่อยู่ใหม่และ เพื่อการค้า
เมื่อการค้าเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเช่นนั้นจึงเกิดการเดินทางแลกเปลี่ยนสินค้ากับชาวต่างชาติ อารยธรรมจากดินแดนไกลโพ้นเริ่มเข้ามามีบทบาทในดินแดนแถบนี้ โดยเฉพาะอารยธรรมที่เจริญอย่างยิ่งยวดทางทิศตะวันตกของประเทศไทย อารยธรรมอินเดีย
สันนิษฐานว่าอารยธรรมอินเดียเดินทางเข้ามาในพื้นที่แถบนี้พร้อมพ่อค้าและเหล่านักบวชทั้งทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ โดยเฉพาะเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองท่าทางทะเลอย่างลพบุรี นครสวรรค์ ปราจีนบุรี และกาญจนบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี ราชบุรี
อิทธิพลอารยธรรมอินเดียช่วยวางรากฐานทางการเมืองและสังคมแก่คนพื้นเมืองแถบนี้กระทั่งเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นเมืองใหญ่ภายใต้นาม อาณาจักรทวาราวดี เมื่อราว พุทธศตวรรษที่ 11 13 ร่องรอยความเจริญครั้งนั้นหลงเหลือมาในรูปของพระพุทธรูปและเทวรูปหินสลัก เหรียญเงิน เครื่องประดับมีค่าจำพวกทองคำและหินกึ่งอัญมณี รวมถึงซากเมืองโบราณขนาดมหึมาที่กระจายอยู่ตามเมืองเก่าดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นเป็นอาทิ
ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 13 อาณาจักรทางตะวันออกของทวาราวดี คือ กัมพูชา เรืองอำนาจขึ้นและแผ่ขยายอิทธิพลเข้าครอบงำรัฐทวาราวดีที่กำลังเสื่อมโทรมเพราะภัยรุกรานจากพม่า ทำให้ผู้คนในอาณาจักร ทวาราวดีหันมายอมรับนับถือชาติที่เข้มแข็งกว่าอย่างขอม ก่อกำเนิดยุคสมัยที่เรียกว่า ละโว้ หรือลพบุรี ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองลพบุรีในฐานะเมืองหลวงแห่งที่สองของราชอาณาจักรกัมพูชา ในเวลานี้ บ้านเมืองในเขตนี้มลังเมลืองไปด้วยศาสนสถานแบบขอม ปรางค์ปราสาทถูกก่อร่างสร้างขึ้นบนผืนแผ่นดินที่เคยเรียกตัวเองว่า สยาม มาแต่โบราณ ซึ่งเป็นคนละชนชาติกับพวกละว้าทางเหนือ ที่ต่อมาก่อตั้งอาณาจักรล้านนาขึ้น
ส่วนในพื้นที่ทางใต้ของสยามก็ปรากฏอาณาจักรใหญ่ที่รับอิทธิพลอินเดียผ่านเขมรมาเช่นกัน ทั้งทางศิลปะ ศาสนาความเชื่อ ระบบการปกครองและสังคม นั่นคืออาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งน่าจะมีศูนย์กลางอยู่ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี แผ่ขยายอธิพลครอบคลุมแถบศูนย์สูตรเกือบทั้งหมด
กระทั่งในราว พ.ศ. 1732 เมื่อกษัตริย์ผู้ทรงศักดานุภาพของขอมอย่างพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สวรรคตลงอาณาจักรกัมพูชาเริ่มอ่อนแอ คนสยามในเมืองเล็กๆแถบลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านทางตอนเหนือ ก็รวบรวมไพร่พลขับไล่ผู้ปกครองจากเขมรกลุ่มสุดท้ายออกไป
ประมาณปี พ.ศ. 1781 พ่อขุนบางกลางท่าวและพ่อขุนผาเมืองได้รวบรวมกำลังพลขับไล่ขอมสบาทโขลญลำพง ผู้ปกครองชาวเขมรออกจากเมืองสุโขทัยได้สำเร็จ แล้วสถาปนาขึ้นเป็นอาณาจักรสุโขไท ซึ่งหมายถึงความสุขอันเกิดจากความอิสระ พ่อขุนบางกลางท่าวปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักร พระนาม พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ นับเป็นเมืองหลวงของชาวสยามแท้ๆแห่งแรก และเป็นปฐมบทของชาติไทยโดยแท้
พ.ศ. 1820 พระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เสวยราชสมบัติอาณาจักรสุโขทัย พระนามพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชายิ่ง ทรงจัดระบบการชลประทานในเมืองเพื่อขจัดปัญหาขาดแคลนน้ำด้วยการสร้างเขื่อนดินขนาดใหญ่ นาม สรีดภงค์ นับเป็นเขื่อนแห่งแรกในประเทศไทย และเป็นการชลประทานในยุคเริ่มแรกของประวัติศาสตร์ ที่สำคัญที่สุดทรงประดิษฐ์ลายสือไทและอักขระวิธีแบบไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1826 ซึ่งพัฒนามาเป็นอักษรไทยในปัจจุบัน
พ.ศ. 1890 พระราชนัดดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงครองราชย์สมบัติกรุงสุโขทัยในพระนาม สมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท พระองค์ทรงปกครองประเทศด้วยนโยบายทางพระพุทธศาสนา ทรงวางรากฐานทางพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทให้กับแคว้นเล็กแคว้นน้อยรอบข้างสุโขทัย ทั้งแพร่ พะเยา ล้านนา นครศรีธรรมราช และ มอญ เป็นต้น ทรงสร้างพระพุทธปฏิมาอันงามล้ำเลิศเป็นที่ยอมรับไปทั่วทุกทิศานุทิศ นั่นคือ พระพุทธชินราชแห่งเมืองพิษณุโลก 3 ปีหลังจากขึ้นครองราชย์เมืองเล็กๆทางทิศใต้ของสุโขทัยซึ่งมั่งคั่งเพราะการค้าก็แยกตัวเป็นอิสระ สถาปนาตนเองเป็นแคว้น มีชื่อว่า อโยธยาศรีรามเทพนคร
กระทั่ง พ.ศ. 1893 พระเจ้าอู่ทองเจ้านายในเมืองอโยธยาศรีรามเทพนครทรงพาไพร่พลหลีกหนีโรคระบาดไปสร้างเมืองใหม่ จนพบทำเลเหมาะและสถาปนาเมืองขึ้นมีศูนย์กลางอยู่ที่หนองโสน( บึงพระราม ) พระราชทานนามว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา จากนั้นก็ทรงปราบปรามเมืองเล็กเมืองน้อยให้เข้ามาอยู่ใต้อำนาจทั้งด้วยการรบและอาศัยความสัมพันธ์ทางเครือญาติ เช่นเมืองสุพรรณบุรี ละโว้ นครศรีธรรมราช เป็นต้น
กระทั่งพ.ศ.1991 เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงครองกรุงศรีอยุธยา และสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่4( บรมปาล ) แห่งสุโขทัยสวรรคต สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงอ้างความชอบธรรมที่ทรงมีสายเลือดสุโขทัยทางพระมารดาเข้าครองกรุงสุโขทัย จึงถือได้ว่าอาณาจักรสุโขทัยล่มสลายอย่างราบคาบในเวลานี้
กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งปี 2112 พม่าจึงยกทัพเข้าโจมตีกรุง กษัตริย์พม่าแต่งตั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชา ( ซึ่งแต่เดิมเป็นขุนพิเรนทรเทพ )ให้ครองกรุงศรีอยุธยาต่อไปภายใต้อาณัติพม่า แต่สุดท้ายพระราชโอรสของพระองค์ คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงประกาศเอกราชได้สำเร็จในปี 2121 ไทยจึงเป็นไทอีกครั้ง
จากนั้นมากรุงศรีอยุธยาก็กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง และถึงขีดสุดในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งนับเป็นยุคทองของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงทำนุบำรุงศิลปะ วรรณคดี การเมืองการปกครอง การทหาร การค้า แม้เมื่อพระราชโอรสของพระองค์ คือสมเด็จพระนารายณ์มหาราชขึ้นครองสิริราชสมบัติในปี 2209 บ้านเมืองก็ยิ่งเจริญรุดหน้า ด้วยทรงนำวิทยาการตะวันตกเข้ามาใช้ในประเทศ ทรงติดต่อเจริญพระราชไมตรีกับต่างชาติ หลายชาติหลายภาษา ทรงทำนุบำรุงศิลปะและโปรดฯให้ชาวต่างชาติเข้ารับราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณ โปรดฯให้สถาปนาเมืองลพบุรีขึ้นเป็นราชธานีที่สอง จนได้รับฉายาว่า แวร์ซายแห่งตะวันออก
แต่กรุงศรีอยุธยาก็ต้องถึงกาลดับสูญ หลังจากตั้งเป็นราชธานีอยู่ได้ยาวนานถึง 417 ปี เมื่อพระเจ้ามังระแห่งพม่ายกทัพมาตีกรุงในปี 2310 และเผากรุงศรีอยุธยาจนวอดวาย
แต่ขุนนางท่านหนึ่งมิได้ยอมแพ้ นำไพร่พลน้อยนิดตีฝ่าพม่าออกมาซุ่มอยู่ที่จันทบุรี ก่อนจะกลับไปตั้งบ้านแปงเมืองรวบรวมครัวไทยที่แตกกระสานซ่านกระเซ็นกันไปคนละทิศละทางให้กลับมารวมกันอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แถบป้อมวิไชยประสิทธิ์ ประกาศเอกราชจากพม่าแล้วสถาปนานครใหม่นาม กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ทรงปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ พระนาม สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
แม้กรุงธนบุรีจะมีอายุสั้นเพียง 15 ปี แต่พระเจ้าตากก็ทรงทำหน้าที่สำคัญในการวางรากฐานและความมั่นคงในทุกๆด้าน รวบรวมสรรพปัญญาความรู้และผู้คนจากทุกทิศเข้ามารวมกันอีกครั้ง เพื่อวันหนึ่งจะกลับมาเติบโตและเข้มแข็ง ....และแล้วก็เติบโตมาเป็นชาติ โตมาเป็นเรา ..คนไทย .. ในกรุงรัตนโกสินทร์ |
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น