ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 12 มักเน่จัดให้ค่ะ
(Kris Part)
ผมรีบวิ่งมารับโทรศัพท์ที่ดังอยู่ภายในห้องนอนของผม ทันทีที่รู้ว่าเป็นสายของเธอ ผมรีบกดรับอย่างไม่ต้องสงสัย จะเป็นใครซะล่ะ ก็ท่านประธานสาวของผมยังไงล่ะ ผมยิ้มไม่หยุด แต่ทันทีที่เธอพูดถึงชื่อคุณยุนอา ทำไมผมต้องรู้สึกแย่ด้วย...อะไรนะ คุณยุนอาหายตัวไปจากบ้าน!!! ให้ตายสิ นี่พวกเค้าอยู่ด้วยกันแล้วเหรอ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ดูเหมือนท่านประธานของผมจะกังวลไม่น้อย จากน้ำเสียงที่ฟังแล้ว ผมคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องเล่นๆแน่ ผมตัดสินใจจะพาเธอไปที่หอของเด็กๆ โดยจะไปรับเธอที่บ้าน เยส..ในที่สุดผมก็จะได้รู้ซักทีว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน
“คุณหนูจะไปไหนแต่เช้าครับ”
พ่อบ้านคิมถามผมด้วยความสนใจหลังจากที่เห็นผมคว้าแจ๊คเก็ตตัวโปรดและกำลังจะเดินไปหยิบกุญแจรถ
“ฉันจะออกไปข้างนอกซักแป๊บ....เอ ว่าแต่ กุญแจรถ A6 หายไปไหนเหรอ”
ผมถามพ่อบ้านคิมหลังจากที่กุญแจรถคันที่ผมใช้ทำงานหายไป
“คนขับรถเอาไปเข้าศูนย์น่ะครับ เห็นว่าครบกำหนดเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพอดี”
ผมกุมขมับตัวเองทันที โอยย ให้ตายสิ แล้วจะเอาคันไหนไปดีเนี่ย ในบรรดา Porche Lamborghini หรือ Ferrari ที่จอดอยู่ในโรงรถ มันไม่มีคันไหนเลยที่จะดูเหมาะสมกับอาชีพคนดูแลศิลปินอย่างผม คงเหลือแต่เจ้า TTs นี่ล่ะที่พอจะเอาไปได้ แล้วไว้ค่อยหาคำแก้ตัวแล้วกัน ผมรีบคว้ากุญแจรถก่อนไปที่โรงรถและขับมันออกไปจากบ้านทันที
หลายๆคนคงจะสงสัยว่าผมเป็นใคร ผมชื่อคริส ชื่อจริงๆของผมคืออู๋ฟาน ปัจจุบันเป็นผู้ดูแลศิลปินฝึกหัดของ SM Ent. ผมเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวนักธุรกิจจากจีน คุณพ่อของผมเป็นเจ้าของสายการบินชื่อดัง คุณแม่ของผมเป็นเจ้าของโรงแรมและหุ้นส่วนของรีสอร์ทหลายแห่งทั่วทุกมุมโลก ส่วนผมก็มีสิทธิ์ถือครองหุ้นส่วนของทั้งสองอย่างไม่ว่าจะเป็นสายการบิน โรงแรมและรีสอร์ท งงเลยใช่มั๊ยครับว่าทั้งๆที่บ้านผมก็มีกิจการที่ดีอยู่แล้ว ทำไมผมยังต้องมาทำงานเป็นผู้ดูแลศิลปินอีก เรื่องมันยาวน่ะครับ แต่ถ้าอยากรู้ก็จะเล่าให้ฟัง...
ก่อนที่ผมจะมาเป็นผู้ดูแลศิลปินของ SM Ent. นั้น ผมก็เป็นวัยรุ่นทั่วไป แต่ค่อนข้างแปลกกว่าวัยรุ่นคนอื่นที่ก่อนอายุ 20 ผมก็มีโอกาสได้บริหารงานในโรงแรมที่แคนาดาจากความไว้วางใจของคุณตา ซึ่งถือว่าไปได้สวยทีเดียว แต่หลังจากที่คุณตาเสีย คุณแม่ของผมกลับไล่ผมออกด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ผมเด็กเกินไปและแนวคิดในการทำธุรกิจหลายๆอย่างของผมมันแปลกเกินกว่าที่ท่านจะรับได้’ ฟังดูตลกนะแต่มันเป็นเรื่องจริง และที่สำคัญท่านก็ได้สั่งห้ามผมเข้าไปยุ่มย่ามกับธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในเครือทั้งหมด ให้ตายเถอะ ทั้งๆที่โรงแรมนั้นกำลังไปได้สวยแต่ผมกลับถูกนายจ้างที่เป็นแม่แท้ๆของตัวเองไล่ออก และที่สำคัญพอผมเรียนจบและไปสมัครงาน ผมกลับโดนปฏิเสธจากทุกที่ด้วยฝีมือของแม่ผม(อีกแล้ว) ดูเหมือนท่านจะใจร้ายเป็นยัยแม่มด แต่จริงๆแล้วท่านน่ารักมากนะฮะ ใจดีที่สุดในโลกถ้าไม่รวมเรื่องที่ไม่ให้ผมทำงาน แต่ทุกปัญหาย่อมมีทางออก ทางออกที่ว่าก็คือข้อเสนอจากคุณแม่ที่ว่าถ้าแต่งงาน ท่านจะยอมให้ผมกลับไปทำงานและยกกิจการโรงแรมทั้งหมดให้ผม เอาเข้าไปสิ คุณแม่ผมชอบทำอะไรเหมือนเด็กๆไปได้ ผมไม่ยอมรับหรอกครับข้อเสนอนี้ ผมยังอายุไม่ถึง 25 ด้วยซ้ำ จะให้แต่งงาน? ถ้าตกลงก็บ้าแล้ว
ผมจัดการเนรเทศตัวเองออกจากบ้านทันที โชคดีที่ผมมีเงินเก็บและเงินปันผลจากการที่ชื่อของผมเป็นหุ้นส่วนของบริษัทการบินและโรงแรม เงินส่วนนั้นจึงถูกนำมาซื้อบ้านที่ต่างประเทศ และเกาหลีก็เป็นประเทศที่ผมเลือก ผมเคยมาที่นี่ตอนเด็กๆและผมก็ประทับใจเป็นอย่างมาก(นอกจากนี้แล้วยังประทับใจสาวเกาหลีด้วยว่างั้น : ไรเตอร์)จนเคยคิดเอาไว้ว่าอยากมีบ้านที่นี่ และผมก็มีแล้วจริงๆ แต่อยู่เฉยๆมันก็น่าเบื่อจริงมั๊ย ผมก็เลยลองสมัครงานดู แต่พยายามไปก้เท่านั้น ก็ในเมื่อคุณแม่ผมมีเพื่อนที่นี่เพียบไปหมด ผมก็เลยถูกปฏิเสธจากบรรดาเพื่อนของคุณแม่นั่นเอง จนสุดท้ายผมลองเสี่ยงทำเอกสารปลอมดู เปลี่ยนชื่อ-นามสกุลใหม่ทั้งหมดและลองสมัครงานอีกครั้ง ปรากฏว่าผมได้งานทำแล้ว ถึงแม้จะเป็นงานดูแลศิลปินฝึกหัดก็เถอะ มันดีมากๆเลยล่ะครับ แต่ผมก็ยังไม่สามารถเปิดเผยหรือแสดงฐานะให้ใครรู้ไม่ได้ ก็อย่างว่า กำแพงมีหูประตูทีช่อง เผลอๆคนในบริษัทคนใดคนนึงอาจจะรู้จักคุณแม่ของผมก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคนรู้ว่าผมเป็นใคร ที่สำคัญงานๆนี้ทำให้ผมได้รู้จักกับท่านประธานสาวสวยของผม แต่ก็เหมือนฟ้าเล่นตลกกับผม ทำไมท่านจะต้องมีคนรู้ใจแล้วด้วยนะ ที่สำคัญดันเป็นเพื่อนร่วมงานของผมซะด้วย แต่ก็เอาเถอะ ตอนนี้รีบไปรับท่านก่อนดีกว่า...
ผมขับรถมายังบ้านของเธอ จริงๆเดินมายังได้เลยเพราะผมเองก็เพิ่งรู้ว่าบ้านเธออยู่ถัดจากบ้านของผมไปแค่ 3 บล็อก ช่างบังเอิญมั๊ยล่ะครับ ผมเลยต้องอาศัยขับรถวนรอบๆเพื่อจะได้ไม่ถึงหน้าบ้านเธอเร็วเกินไป วันนี้เธอแต่งตัวสบายๆ เสื้อกล้ามที่เกือบจะโชว์เอวของเธอกับคาร์ดิแกนสีครีมอ่อนแล้วก็กางเกงยีนส์ขาสั้นมันช่างทำให้เธอดูดีเหลือเกิน ต่างจากที่ผมเห็นในที่ประชุมโดยสิ้นเชิง วันนี้เธอสลัดคราบนางพญามาอยู่ในคราบนางฟ้าที่น่ารัก อ๊า~ นี่ผมเพ้อไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ไม่แค่เธอคนเดียว เธอยังยืนอยู่กับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง หน้าตาช่างเหมือนเธอจัง
“คุณคริสคะ นี่ซูจองน้องสาวของฉันค่ะ เธอเพิ่งกลับมาจากอเมริกาแล้วเธอก็จะไปกับเราด้วย”
ท่านประธานแนะนำให้ผมรู้จักกับน้องสาวของเธอ
“สวัสดีครับคุณซูจอง”
เธอยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรก่อนจะยื่นมือมาเช็คแฮนด์ผม ผมงงเล็กน้อยที่เธอไม่ได้ทำความเคารพแบบเกาหลีโชคดีที่ผมอยู่แคนาดาตั้งแต่เด็กเลยทำให้ผมคุ้นชินกับการทักทายแบบที่นั่นและยื่นมือกลับไปเพื่อทักทายเธอ
“เรารีบไปกันเถอะค่ะ ฉันเป็นห่วงยุนอาจะแย่อยู่แล้ว”
ผมรีบเปิดประตูให้สองสาวขึ้นไปบนรถก่อนที่ตัวเองจะรีบวิ่งมาขึ้นรถอีกทางและขับออกไป ระหว่างทางท่านประธานพยายามติดต่อคุณยุนอาตลอดเวลา จนทำให้บางทีผมก็เกิดอาการหลุดขึ้นมา จะเป็นห่วงอะไรกันขนาดนั้นนะ จริงๆเลยสิน่า
“ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์นะ”
เสียงของท่านประธานเริ่มสั่นเครือจนทำให้ผมต้องหันไปมอง นี่เธอจะร้องไห้งั้นเหรอ
“ออนนี่ ใจเย็นๆนะคะ ยุนอาออนนี่อาจจะติดธุระหรือไม่ได้อยู่ใกล้โทรศัพท์ก็เลยไม่ได้รับน่ะค่ะ”
คุณซูจองพูดขึ้นมา ท่าทางพวกเค้าคงรักและสนิทกันมาก แม้แต่คุณซูจองเองก็ดูเป็นห่วงคุณยุนอาไม่แพ้กัน
“ใจเย็นๆก่อนนะครับท่านประธาน เลยสี่แยกด้านหน้าแล้วเลี้ยวซ้ายก็ถึงแล้วครับ”
ผมหันไปพูดกับท่านประธาน ผมไม่ชอบเวลาเห็นเธอไม่สบายใจเลย ใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้มนั้นทำให้ทุกอย่างดูแย่ลงไปหมด ผมรีบขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านก่อนที่จะเปิดประตูรถให้ทุกคนลงมาและพาทุกคนเข้ามาในบ้าน ที่ห้องนั่งเล่นมีจงอินกับชานยอลซึ่งกำลังยื่นคุยกันอยู่
“จงอิน ชานยอล”
“อ้าว ฮยอง มาทำอะไรครับ อ่ะ...แล้วนั่น”
ชานยอลทักทายผมก่อนที่จะหันไปสนใจท่านประธานและคุณซูจอง
“ยุนอา อยู่ที่นี่หรือเปล่า”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรชานยอล ท่านประธานก็ถามขึ้นมาด้วยความร้อนรนซะก่อน
“ฉันอยู่นี่ค่ะ ออนนี่”
คุณยุนอาเดินออกมาจากห้องพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียว ท่านประธานและคุณซูจองรีบวิ่งเข้าไปหาเธอทันที
“ตายจริง นี่เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”
“ออนนี่เป็นอะไรคะ”
“ฉันขอโทษนะคะที่ไม่ได้รับโทรศัพท์ ยังไงเรากลับบ้านกันก่อนดีกว่าค่ะ แล้วไว้ฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง”
ทั้งสองคนค่อยๆพยุงคุณยุนอาไปที่รถท่ามกลางความงุนงงของผม ชานยอลและจงอิน
“นั่นใครนะครับ ฮยอง”
ชานยอลถามขึ้นมาด้วยความสนใจ
“สองคนเมื่อกี้เป็นลูกสาวของท่านประธานจอง เจ้าของต้นสังกัดของพวกนายยังไงล่ะ”
ผมตอบชานยอลไป เค้าดูท่าทางตกใจปนสังสัย
“แล้วทำไม...ถึงได้รู้จักกับนูน่าของพวกเราล่ะฮะ”
ผมล่ะเกลียดคำถามที่ตอกย้ำสถานะของผมซะเหลือเกิน
“พวกเค้าสองคนก็เป็น...”
ไม่สิ เราบอกคนอื่นไม่ได้นี่นา คุณยุนอาขอร้องไว้
“เป็น...”
ชานยอลย้ำอีกครั้ง
“จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ ฉันไปก่อนนะเดี๋ยวเย็นๆจะเข้ามาหา”
ผมพูดกับชานยอลและจงอินก่อนจะเดินออกมาขึ้นรถ ดูท่าทางคุณยุนอาจะไม่สบายมากจริงๆ เธอพิงไหล่ของคุณซูจองและหลับลงอย่างเหนื่อยอ่อนในขณะที่ท่านประธานของผมก็หันไปดูเธออยู่เนืองๆ ผมเร่งความเร็วรถขึ้นทุกครั้งที่ผมเห็นสายตาที่ท่านประธานมองคุณยุนอา นี่ผมกำลังหึงเธอใช่มั๊ย
“คะ...คุณคริสคะ ช่วยลดความเร็วลงหน่อยได้มั๊ยคะ ฉัน...กลัวน่ะค่ะ”
เสียงของท่านประธานปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ ผมหันไปมองเธอซึ่งกำลังเกาะเบาะอย่างแน่นและทำสีหน้าหวาดวิตก ก่อนจะมองที่ไมล์รถ 176 กม/ชม ให้ตายสิ นี่ผมเหยียบไปถึงขนาดนี้เลยเหรอ
“ขอโทษครับท่านประธาน ผมคิดอะไรเพลินๆไปหน่อย”
ผมค่อยๆผ่อนคันเร่งลงจนอยู่ในระดับปกติ โชคดีที่ช่วงเทศกลาชูซอกคนจะเดินทางกลับบ้านเกิดกัน ทำให้วันนี้ในโซลรถไม่ค่อยมี ใช้เวลาไม่นานก็ถึงบ้านของท่านประธาน ทั้งสองคนค่อยๆพยุงคุณยุนอาลงจากรถ ไม่นานก็มีเหล่าบรรดาคนรับใช้มาช่วยพยุงคุณยุนอาอีกแรง
“ฉันต้องขอบคุณคุณคริสมากนะคะสำหรับวันนี้”
ท่านประธานพูดกับผมและยิ้มให้อย่างจริงใจ ช่างเป็นรอยยิ้มที่น่ารักอะไรอย่างนี้
“ไม่เป็นไรครับ คุณยุนอาเองก็เป็นเพื่อนร่วมงานของผม อีกอย่างก็เป็น...เอ่อ...คนสำคัญของท่านประธานด้วย ยังไงถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ ฝากบอกคุณยุนอาให้หายไวๆด้วยนะครับ”
ผมก้มหัวให้ท่านประธานก่อนที่จะเดินมายังรถ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ขึ้นรถ เสียงของคุณซูจองก็ดังขึ้นซะก่อน
“ออนนี่ค่ะ ไปดูยุนอาออนนี่เถอะค่ะ”
ท่านประธานหันมามองผมเล็กน้อยก่อนที่จะโบกมือให้ผมและวิ่งเข้าไปในบ้าน เฮ้อ เค้าคงจะเป็นห่วงกันมากจริงๆ
“เดี๋ยวก่อนค่ะอปป้า”
ผมชะงักกับเสียงนั่นเล็กน้อย นั่นมันเสียงคุณซูจองนี่นา แต่เดี๋ยวก่อน เธอเรียกผมว่าอปป้างั้นเหรอ
“ครับคุณซูจอง”
ผมลงมาจากรถอีกครั้ง
“ไม่ต้องเรียกคุณหรอกค่ะ ฉันอายุน้อยกว่าอปป้าตั้งเยอะ ยังไงเข้าไปทานน้ำก่อนดีมั๊ยคะ ถ้าอปป้าไม่รังเกียจ อีกอย่างฉันมีเรื่องจะคุยกับอปป้านิดหน่อยน่ะค่ะ”
ผมยิ้มให้เธอเล็กน้อย คุณซูจองดูมีเสน่ห์แตกต่างจากพี่สาวของเธอนัก ท่านประธานดูอ่อนหวานส่วนคุณซูจองดูแก่นแก้วแสนซน แต่สิ่งที่เหมือนกันของทั้งสองคนเลยคือใบหน้าที่เย็นชาและดูวางมาดตลอดเวลา ให้ตายเถอะ ที่บ้านนี้เค้าเป็นแบบนี้กันทุกคนรึเปล่าเนี่ย
“คือว่า...เมื่อกี้ผมเพิ่งขอตัวจากท่านประธานนะครับ”
“ออนนี่ขึ้นไปดูแลยุนอาออนนี่แล้วล่ะค่ะ คงไม่ลงมาเจอหรอก เดี๋ยวเรานั่งคุยกันตรงสวนข้างบ้านก็ได้ค่ะ อีกอย่างถึงเจอก็ไม่เป็นไร ในเมื่ออปป้าเป็นแขกของฉัน”
“อ่อ ครับ”
ผมเดินตามเธอเข้ามาในบ้าน บ้านของเจ้าของค่ายเพลงดังเป็นแบบนี้เองสินะ บ้านสไตล์ยุโรปผสานกับความโมเดิร์นแต่ก็แฝงไปด้วยกลิ่นอายของเกาหลี ราคาไม่น่าต่ำกว่า 3,000 ล้านวอน ตอนแรกที่ผมมองเข้ามาคิดว่าเนื้อที่คงไม่เยอะมาก แต่ที่ไหนได้ มันยังมี่สวนที่ลึกเข้าไปอีก ยังไม่รวมกับพื้นที่ของสนามหญ้าและโซนจัดสวนที่มีทั้งสวนสไตล์อังกฤษและแบบญี่ปุ่น ที่นี่ใหญ่กว่าบ้านของผมอีกนะเนี่ยแต่ที่บ้านผมโรงจอดรถใหญ่กว่า ฮ่าๆๆ
“นั่งก่อนสิคะ”
คุณซูจองพาผมมายังสวนสไตล์อังกฤษที่มีโต๊ะและเก้าอี้แบบวินเทจสีขาวน่ารักตั้งอยู่ มันสวยมากจริงๆ
“แม่นมคะ เดี๋ยวช่วยยกน้ำส้มที่ซูยอนออนนี่คั้นมาให้พวกเราด้วยนะคะ”
คุณซูจองหันไปพูดกับแม่นมของเธอ ซึ่งกำลังส่งยิ้มมาที่ผมก่อนที่ทเธอจะเดินออกไป
“สวนนี้สวยมั๊ยคะ”
“สวยครับ สวยมากจริงๆ”
“ซูยอนออนนี่เป็นคนออกแบบด้วยตัวเองทั้งหมดเลยล่ะค่ะ”
จริงเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อว่าท่านประธานจะมีมุมแบบนี้กับเค้าด้วย
“ยังไงฉันต้องขอบคุณอปป้าเรื่องยุนอาออนนี่ด้วยนะคะ”
ผมพยักหน้าให้เธอเล็กน้อย
“ดูเหมือนคุณซูจองจะสนิทกับคุณยุนอามากเลยนะครับ”
ผมถามเธอพร้อมกับที่แม่นมนำน้ำส้มมาเสิร์ฟ
“ค่ะ ฉันสนิทกับยุนอาออนนี่มากๆ เผลอๆสนิทกว่าซูยอนออนนี่ด้วยซ้ำ ฮ่าๆๆ คือเรารู้จักกันตั้งแต่เด็กๆเลยน่ะค่ะ”
อะไรนะ รู้จักกันตั้งแต่เด็ก งั้นแสดงว่าคุณยุนอากับท่านประธานก็รู้จักกันตั้งแต่เด็กๆเลยงั้นสิ
“อ่อ มิน่าล่ะ พวกคุณถึงได้ดูเป็นห่วงกันมากจริงๆ แล้วท่านประธานใหญ่รู้เรื่องระหว่างคุณยุนอากับท่านประธานซูยอนรึยังครับ”
ดูเหมือนคุณซูจองจะแปลกใจในคำพูดของผมเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นมา
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
ชักแปลกๆแล้วไง หรือว่าคุณซูจองเองจะไม่รู้ ผมควรจะถามออกไปดีมั๊ย ความอยากรู้ของผมมันมากพอๆกับความเกรงใจต่อคุณยุนอาที่เคยรับปากเธอไว้ว่าจะไม่บอกใคร
“ก็เรื่องที่ว่า...ทั้งสองคน...เป็นแฟนกัน”
“แอ่ก แค่กๆ ห๊ะ อะไรนะคะ เป็นแฟนกันงั้นเหรอ”
คุณซูจองสำลักน้ำส้มทันทีที่ผมถามออกไป นี่เธอเองก็ไม่รู้เหรอเนี่ย ให้ตายสิ ผมถามไปแล้ว คุณยุนอา ผมขอโทษนะครับ ผมขอโทษ ผมทำอะไรลงไปเนี่ย ทั้งๆที่รับปากไว้แล้วแท้ๆ คริส แกนี่มันแย่จริงๆ ผมรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าของผมให้เธอ เธอรับมันไปเช็ดปากก่อนที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อย สรุปนี่ยังไงกันแน่เนี่ย
“ออนนี่ไม่เคยบอกฉันเรื่องนี้เลยล่ะค่ะ ตายจริง เค้าไปคบกันตอนไหนนะ”
เธอทำหน้าสงสัยอย่างมาก งั้นแสดงว่าคุณซูจองไม่รู้งั้นสิ
“อย่าบอกใครนะครับคุณซูจอง”
“ฉันจะบอกถ้าอปป้ายังไม่เลิกเรียกฉันว่าคุณนี้ล่ะค่ะ เรียกฉันว่าซูจองเฉยๆเถอะค่ะ ฉันไม่ค่อยชินที่จะให้คนอื่นมาเรียกฉันนำหน้าว่าคุณน่ะค่ะ”
“อ่อ...ครับ”
“ฉันไม่รู้เลยจริงๆว่าออนนี่ทั้งสองคบกันเป็นแฟน เพราะทั้งสองสนิทกันเหมือนพี่น้องมากกว่า อาจจะเป็นเพราะว่าฉันไม่ค่อยได้กลับมาที่เกาหลีก็เลยไม่รู้เรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เสียหายใช่มั๊ยคะ ในเมื่อทั้งฉัน คุณพ่อและก็อารองต่างยอมรับในตัวยุนอาออนนี่กันทุกคน ยุนอาออนนี่น่ารักมากจริงๆนะคะ”
ทำไมหน้าของผมมันถึงได้รู้สึกชาแบบนี้นะ แค่จะยิ้มยังลำบากเลย
“ครับ..”
โอ้วก๊อด ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บแปล๊บๆในใจ ทุกคนในบ้านต่างยอมรับในตัวคุณยุนอากันหมดเลยงั้นเหรอ งั้นผมคงหมดสิทธิ์แล้วจริงๆใช่มั๊ย นอกจากจะไม่สมหวังเรื่องการทำงานแล้วยังต้องมาผิดหวังเรื่องความรัก ทำไม ทำไม ทำไมโชคไม่เข้าข้างผมสักนิด....
(Ending Kris Part)
(JungSoojung Short Part)
ฉันนั่งคุยกับคริสอปป้าที่สวนข้างบ้าน เค้าดูดีแบบที่ยุนอาออนนี่บอกจริงๆ รูปร่างสูงโปร่งของเค้า น่าจะราวๆ 190 ซม.ได้ นับว่าสูงมากแต่ฉันชินแล้วล่ะ เพื่อนฉันที่อเมริกาบางคนสูงตั้ง 2 เมตรกว่า แบบว่าเป็นนักกีฬาอ่ะนะ ยิ่งพวกนักบาสด้วยแล้วล่ะก็ แต่ช่างมันเถอะ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันซักหน่อย อปป้าเป็นผู้ชายที่มีบุคลิกดีมาก ดูแล้วไม่เหมือนคนดูแลศิลปินเลย ทั้งรถที่ขับ เสื้อผ้า รองเท้าที่ใส่ ต่อให้เป็นศิลปินในค่ายของคุณพ่อที่ว่าเงินๆเยอะๆยังไม่กล้าซื้อแบรนด์พวกนี้เลยด้วยซ้ำ หลายๆคนอาจจะคิดว่าฉันชอบจับผิด ก็แน่ล่ะ จะไม่ให้จับผิดคนที่ทำให้พี่สาวฉันใจลอยหน่อยเหรอ บางทีเค้าอาจจะเป็นว่าที่พี่เขยฉันก็ได้นะ คิคิ
ฉันแทบสำลักน้ำส้มตายหลังจากที่คริสอปป้าบอกว่าออนนี่สุดที่รักทั้งสองคนของฉันจะเป็นแฟนกัน ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องโจ๊กซะอีก แต่พอเห็นสีหน้าที่ซีเรียสของอปป้าแล้วฉันเลยรู้สึกว่าอปป้าน่าจะเข้าใจผิดอะไรซักอย่าง แต่ความเข้าใจผิดนี่ล่ะที่จะทำให้ฉันรู้ว่าเค้าคิดยังไงกับออนนี่ของฉัน ดูเหมือนว่าฉันต้องทำอะไรซักอย่างซะแล้วสิ
“แล้วอปป้ารู้จักกับออนนี่ได้ยังไงเหรอคะ”
“ผมรับผิดชอบโปรเจคต์ล่าสุดเกี่ยวกับการเปิดตัวศิลปินนะครับ แล้วท่านประธานก็เป็นคนดูแลเรื่องนี้อีกทีโดยที่คุณยุนอาเข้ามาช่วยอีกแรงนะครับ”
“อ่อ งั้นเหรอคะ ดีจังเลย ต่อไปนี้ฉันจะเข้าไปช่วยทำงานที่บริษัท ยังไงเจอกันก็อย่าลืมทักฉันด้วยนะคะ”
อปป้าพยักหน้าให้ฉันและยิ้ม ถ้ามองดีๆเค้าก็หน้าตาดีไม่ใช่เล่นนะ ถึงยังนั้นฉันก็ยังสงสัยอยู่ดี เค้าเป็นใครกันแน่ สงสัยคงต้องสัมภาษณ์กันอีกยาว
“คือเมื่อเช้าฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ทักทายแบบอเมริกันไป ฉันยังไม่ค่อยคุ้นกับมารยาทที่เกาหลีนะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ฉันนั่งคุยกับอปป้าซักพักหนึ่ง ทำให้พอจะรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เค้าเข้าใจผิดแล้วล่ะ ก็เพราะความสนิทของออนนี่ทั้งสองนั่นเอง ยิ่งการกอดการหอมแก้มน่ะ เป็นเรื่องปกติของพวกเราเลยล่ะ อีกอย่างที่บริษัทไม่มีใครรู้ว่าออนนี่ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้อปป้าเข้าใจผิด แต่ก็เอาเหอะ ยังไงก็ตามฉันเชียร์คริสอปป้าเต็มที่เลย เพราะดูแล้วเค้าคงไม่ใช่แค่คนดูแลศิลปินธรรมดาๆแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เวลาในการจับผิดมันน้อยเกินไป ไม่งั้นอาจจะได้อะไรมากกว่านี้ ยังไงก็ต้องหาวิธีให้อปป้ามาที่บ้านครั้งหน้าให้ได้
ฉันเก่งเรื่องการวางแผนอยู่แล้ว ยังไงต้องใช้ความเข้าใจผิดของอปป้าให้เป็นประโยชน์ รับรองแผนฉันได้ผลล้านเปอร์เซ็นต์ ได้เวลามักเน่ออกโรงแล้ว ฮ่าๆๆ(ชักจะหวั่นๆกับซูจองซะแล้วสิ ที่ว่าเก่งเรื่องการวางแผนน่ะ ยังหนีกลับอเมริกาไม่ได้เลยนะ : ไรเตอร์)
(Ending JungSoojung Short Part)
สังสัยเหลือเกินว่าซูจองจะมีแผนการอะไร ความรักวุ่นๆของคน 3 คู่จะเป็นยังไง
อย่าลืมติดตามนะคะ^^
:)�Shalunla
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น