คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 9 แค่วันเดียวมันตัดสินอะไรไม่ได้
“ค่ะ ฉันต้องรบกวนคุณคริสอีกครั้งนะคะ พอดีมีเรื่องด่วนเข้ามาจริงๆ ฝากขอโทษเด็กๆด้วยนะคะแล้วพรุ่งนี้ฉันจะรีบเข้าไปแต่เช้า”
ยุนอาวางสายจากคริสหลังจากที่เธอโทรไปบอกว่าคืนนี้คงไม่ได้กลับไปที่หอของเด็กๆ เพราะวันนี้ซูจองอ้อนให้เธอนอนที่บ้าน ทำให้ยุนอาต้องนอนที่นี่อย่างอดไม่ได้ ทำไงได้ล่ะ การอ้อนของสองพี่น้องตระกูลจอง ไม่ว่าจะเป็นสายตาออดอ้อนของซูยอนหรือการคลอเคลียแบบแมวน้อยจากซูจองมักได้ผลกับเธอเสมอ
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ยุนอาก็เข้าไปคุยกับผู้เป็นลุงเรื่องของซูจอง ดูเหมือนว่าคุณลุงจะตกลงกับข้อเสนอเรื่องของเงินเดือนโดยที่จะให้ซูจองเข้าไปทำงานใน SM Production กับซูยอนแต่จะเริ่มจากงานเล็กๆก่อนซึ่งยุนอาก็เห็นด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นประธานจองก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้ซูจองทำอะไร ทำให้อารองหรือ จองแจวอน เสนอความเห็นขึ้นมา
“เอาแบบนี้ดีมั๊ย หลังเทศกาลชูซอกฉันจะพานักศึกษาประมาณ 3 คนเข้าไปดูงานที่บริษัท SM Production เพื่อทำโปรเจคต์และอาจจะใช้เวลาซัก 1 เดือนในการเก็บซอร์สต่างๆ ก็ให้ซูจองมาเรียนรู้งานพร้อมกับเด็กกลุ่มนี้แล้วเราค่อยดูว่าเธอเหมาะสมกับด้านไหนจากนั้นก็ค่อยตัดสินใจว่าจะให้เธอทำอะไรดีมั๊ยคะพี่ใหญ่ อีกอย่างฉันจะได้ช่วยดูแลเธอด้วย เพราะฉันเป็นอาจารย์ที่ปรึกษากับเด็กกลุ่มนี้”
“อืม ก็ดีนะแจวอน ซูจองจะได้อยู่ใกล้ซูยอนด้วย งั้นก็เอาตามนี้ละกัน”
ยุนอายิ้มให้คุณลุงและคุณอาของเธอ ทั้งสามคุยกันถึงเรื่องการทำงานที่บริษัท ซูยอนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จก็เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย ไม่นานประธานจองก็ขอตัวขึ้นไปนอนปล่อยให้อาหลานได้คุยกัน ซูยอนปรึกษาแจวอนเรื่องการทำงานเพราะเธอเองไม่กล้าปรึกษาพ่อของเธอมากเท่าไหร่ ทำไงได้ล่ะที่บริษัทใหญ่เองก็มีเรื่องให้พ่อของเธอเครียดมากพอสมควร
“เรื่องการทำงานหนูไม่มีอะไรหรอกค่ะ ส่วนใหญ่มันจะยากตรงการตัดสินใจเรื่องที่ข้างล่างเสนอมา”
“นั่นล่ะที่ค่อนข้างจะท้าทายความสามารถของผู้บริหารเลยล่ะ เพราะนอกจากจะต้องใช้เหตุผลในการตัดสินใจแล้วเราต้องคำนึงถึงสิ่งที่ตามมาด้วย”
“ค่ะ แต่ทำไม ทั้งๆที่หนูก็พิจารณาและไตรตรองดีแล้วถึงได้มีเรื่องปวดหัวตามมาไม่เว้นแต่ละวันเลยล่ะคะคุณอา ทุกวันนี้หนูต้องเครียดกับหนังสือร้องเรียนต่างๆอย่างมาก”
ดูเหมือนว่าแจวอนจะยังไม่รู้เรื่องราวที่ซูยอนมีปัญหากับมิสเตอร์คิมซักเท่าไหร่
“ทำไมล่ะจ้ะ เล่าให้อาฟังได้มั๊ย”
ซูยอนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมิสเตอร์คิมให้แจวอนฟัง ดูเหมือนผู้เป็นอาจะไม่ค่อยแปลกใจมากเท่าไหร่ เธอเองรู้สาเหตุที่มิสเตอร์คิมพยายามจะป่วนบริษัทดีเพราะในสมัยที่เธอยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานผู้บริหารอยู่นั้นก็มีเรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่ด้วยความใจเย็นของเธอก็สามารถทำให้เรื่องคลี่คลายลงได้ส่วนมิสเตอร์คิมก็ต้องพ่ายแพ้ไป เรื่องนั้นก็คือเรื่องที่เธอเคยมอบหมายให้ยุนอาทำสมัยที่ยุนอายังเป็นครีเอทีฟฝึกหัดในบริษัทนั่นเอง(ถ้างง กลับไปอ่าน Chapter 2 อีกรอบ : ไรเตอร์)
“หนูเองก็ไม่กล้าปรึกษาคุณพ่อ เพราะกลัวท่านจะไม่สบายใจ”
“อาเข้าใจจ้ะ แต่เชื่ออาสิ มิสเตอร์คิมน่ะทำอะไรหลานไม่ได้หรอก หลานทั้งฉลาดกว่าเค้าเป็นไหนๆ ตาแก่นั่นมีดีแค่รวยด้วยสมบัติเก่าและเอามาลงทุนที่บริษัทเรา ลองให้ไปบริหารโดยที่ไม่ใช่ชื่อ SM สิ ยังไงก็เอาตัวไม่รอด เพราะส่วนใหญ่รายได้ที่ตานั่นได้ก็เป็นคนของ SM ทั้งนั้นที่ทำให้ แต่ก็เอาเถอะ อาเชื่อว่าหลานทั้งสองสามารถทำโปรเจคต์นี้ให้สำเร็จได้ ยุนอาจ้ะ ความสามารถของหลานน่ะไม่แพ้พวกครีเอทีฟคนอื่นๆเลย ยังไงใช้ความสามารถของหลานที่มีทำให้โปรเจคต์นี้สำเร็จให้ได้ ส่วนซูยอนเอง อามั่นใจในตัวหลานมากๆนะ ทั้งสองคนต้องช่วยกันพิสูจน์ให้คนอื่นๆเห็นว่าพวกเธอทำหน้าที่นี้ได้ดีไม่แพ้ผู้บริหารรุ่นอื่นๆ ถ้าโปรเจคต์นี้สำเร็จ พนักงานคนอื่นหรือแม้กระทั่งมิสเตอร์คิมและพวกจะไม่มีทางทำอะไรหลานได้เลย ใช้ความสามารถและความตั้งใจที่หลานทั้งสองมี ทำงานนี้ให้สำเร็จ อาเอาใจช่วยจ้ะ”
แจวอนยิ้มให้หลานทั้งสองก่อนที่ซูยอนและยุนอาจะเข้าไปกอดอาของพวกเธอ ทั้งสองรักแจวอนมาก เพราะหลังจากที่แม่ของซูยอนและพ่อแม่ของยุนอาเสียชีวิต ก็ได้แจวอนนี่แหล่ะ ที่คอยดูแลอบรมสั่งสอนพวกเธอแทนแม่ แจวอนเคยเป็นผู้บริหาร SM Production มาก่อนแต่เธอเองไม่ค่อยชอบการทำงานที่วันๆมีแต่คนคอยแต่จะหาเรื่อง เธอใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กๆว่าอยากจะมีชีวิตในแบบฉบับของตัวเอง ครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวของนักธุรกิจ พี่น้องของเธอทุกคนต่างมีธุรกิจเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น อย่างพี่ชายเธอก็เป็นเจ้าของค่ายเพลงดัง น้องชายคนรองของเธอก็เป็นนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ส่วนน้องสาวคนเล็กก็เป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อชื่อดังของเกาหลี แต่ทว่าเธอกลับไม่สนใจที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เธออยากเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมากกว่าเพราะเธอรู้สึกว่าอาชีพนี้มีเกียรติและได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ที่มีให้กับคนอื่นๆ แต่ที่เธอขึ้นมาบริหาร SM Production อยู่ระยะหนึ่งนั่นเพราะว่าพี่ชายเธอไม่มีเวลาลงมาดูแลบริษัทนี้เท่าไหร่นัก เขาจึงขอร้องให้เธอมาบริหารจนกว่าซูยอนจะเรียนจบ เธอจึงยอมทำตามที่พี่ชายขอ และปัจจุบันเธอก็เป๋นอาจารย์ประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอนกุกนั่นเอง เธอเองมักจะมองหานักศึกษาฝีมือดีและทาบทามให้กับบริษัท SM Ent. เพื่อเข้ามาทำงานในฝ่ายต่างๆ โดยที่จะพามาดูงานในบริษัท เพื่อเป็นการฝึกงานไปในตัว
“นี่ก็ดึกแล้ว ยังไงอาไปนอนแล้วนะ พรุ่งนี้ต้องไปคุยกับเด็กๆที่จะพาไปดูงานที่บริษัท ยังไงอาทำหนังสือไปแล้ว หลานได้รับแล้วใช่มั๊ยจ๊ะ”
“ค่ะคุณอา หนูเซ็นอนุมัติเรียบร้อยแล้วค่ะ ฝันดีนะคะคุณอา”
ซูยอนหอมแก้มคุณอาของเธอ ส่วนยุนอาก็กอดคุณอาก่อนที่แจวอนจะเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป ส่วนซูยอนก็หันมาสนใจยุนอาต่อ
“ไหน เล่าให้พี่ฟังซิ ว่าทำงานเป็นไงบ้างทุกคนโอเคกับเธอมั๊ย”
“ค่ะ ออนนี่ เด็กๆน่ารักกันมาก ถึงแม้ว่าบางคนจะยังไม่ยอมรับในตัวฉันซักเท่าสักไหร่ แต่ก็ช่างเถอะค่ะ ออนนี่ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของฉันหรอกค่ะ”
ยุนอาพูดกับซูยอน ป่านนี้เด็กๆจะเป็นยังไงกันบ้างนะ พวกเขาจะนอนกันรึยัง จงอินคงจะสบายใจที่วันนี้เธอไม่อยู่ เฮ้อ แล้วทำไมเธอต้องคิดมากเรื่องจงอินด้วยนะ เธอสะบัดหัวไล่ความคิดออกไป ก่อนที่ซูยอนจะพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“นี่ๆ พี่ลืมเล่าให้เธอฟังว่าคุณคริสจับได้ว่าพี่แกล้งเก๊กขรึมแล้วนะ ให้ตายสิคนอื่นไม่เห็นสงสัย”
“จริงเหรอคะ แล้วเค้ารู้ได้ยังไงล่ะคะ”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ๆเค้าก็พูดขึ้นมาตอนไปทานอาหารด้วยกัน แต่ก็ช่างเถอะ พี่เองก็ขี้เกียจวางมาดแล้ว เป็นตัวของตัวเองดีอย่างที่คุณคริสบอกดีกว่า ใครจะมองยังไงก็ช่าง ไม่สนใจแล้ว”
ซูยอนพูดก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ฮั่นแหน่ะ ทำไมต้องยิ้มเวลาพูดถึงคุณคริสด้วยล่ะคะ แล้วมีไปทานอาหารด้วยกันอีก แหน่ะๆ ชักยังไงๆละ”
ยุนอาล้อซูยอนเพราะเธอไม่เคยเห็นรอยยิ้มของซูยอนแบบนี้มาก่อน
“บ่ะ..บ้า...เหรอ พี่ไปยิ้มตอนไหนกันเล่า อีกอย่าง...ก็ไป กะ..กินข้าว..ตะ..ตามประสาเจ้านายลูกน้อง...แล้วก็คุยงานกันก็แค่นั้น...ไม่มีอะไรซะหน่อย”
ซูยอนตอบอย่างตะกุกกตะกัก นั่นสิ ทำไมเธอต้องยิ้มด้วยนะ
“ช่างเถอะค่ะ ไว้ฉันค่อยสืบก็ได้ ฮ่าๆๆ ฉันก็ยังไม่ได้บอกออนนี่เหมือนกันว่าคุณคริสรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคนแล้วนะคะ”
ซูยอนตกใจเล็กน้อย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงรู้ไปซะทุกเรื่องนะ
“จริงเหรอ แล้วเค้ารู้ได้ยังไงล่ะ”
“เค้าเห็นที่ออนนี่กอดฉันในห้องประชุมน่ะค่ะ แต่ฉันบอกเค้าแล้วว่าอย่าบอกใคร”
“อ่อ งั้นเหรอ ว่าแต่คุณคริสเค้าเป็นยังไง โอเคมั๊ย”
ซูยอนถามยุนอาด้วยความสนใจ จนยุนอาแปลกใจเพราะปกติซูยอนไม่ค่อยสนใจใครขนาดนี้มาก่อน
“ที่ว่าโอเคน่ะอะไรคะ”
ยุนอาเอียงคอถามซูยอน
“ก็เรื่องงานน่ะสิ...นี่...ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัยเลยนะ”
ซูยอนตอบยุนอาก่อนที่จะแกล้งมองไปทางอื่น
“ก็ดีค่ะ”
ซูยอนลุ้นต่อว่ายุนอาจะพูดว่าอะไร แต่ยุนอาก็พูดแค่นั้น เธอรู้สึกขัดใจเป็นอย่างมาก
“ดียังไงเล่า เล่ามาให้หมดสิ”
“อะไรกันออนนี่ ทำไมต้องสนใจเรื่องของคุณคริสด้วยเนี่ย รึว่า....”
“รึว่า...อะไรเล่า พอแล้ว ไม่คุยแล้ว ไปนอนดีกว่า อย่านอนดึกนักนะเรา”
ซูยอนทำเป็นเปลี่ยนเรื่องหลังจากที่ยุนอาหันมาทำท่าทางล้อเลียนเธอ
“ฮ่าๆๆ ออนนี่ดูแปลกๆไปนะคะ แต่ช่างเถอะค่ะ ฝันดีนะคะออนนี่”
ยุนอากอดซูยอนก่อนที่ซูยอนจะเดินออกจากห้องไป เธอยังคงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่อคิดถึงการทำงาน และไม่พ้นที่จะคิดถึงจงอินจนได้ เธอจะทำยังไงให้เค้าเปิดใจกับเธอได้นะ คำพูดในห้องซ้อมของเค้าวันนี้มันช่างเป็นการปฏิเสธความหวังดีของเธอซะจริงๆ ทั้งๆที่เธอก็พยายามทำดีกับเค้าทุกอย่างแต่ดูเหมือนว่าเค้าจะไม่เปิดใจให้เธอแม้แต่นิดเดียว แต่ก็เอาเถอะ แค่วันเดียวมันยังคงบอกอะไรไม่ได้ ของแบบนี้ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและต้องใช้เวลา ไม่นานจงอินจะต้องยอมรับในตัวเธอได้แน่นอน ถ้าจงอินเป็นเหมือนคนอื่นๆก็ดีสินะ ที่ยอมรับและเข้ากับเธอได้ ประตูที่ชื่อวาจงอินช่างเปิดยากเสียจริง กุญแจดอกไหนนะถึงจะปลดล็อคจงอินได้ ยุนอาคิดก่อนจะลุกเดินขึ้นไปที่ห้องนอนของซูจอง เธอเปิดและปิดประตูอย่างเบาที่สุดเพราะซูจองนอนหลับแล้วนั่นเอง เธอเดินมานั่งที่เตียงก่อนจะมองน้องสาวต่างสายเลือดของเธอ ความจริงแล้วซูจองเป็นเด็กที่น่ารักมาก สาเหตุหนึ่งที่เธอกลายเป็นคนเอาแต่ใจอาจะเป็นเพราะไม่มีใครดูแลเธอหลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิตและอีกอย่างประธานจองผู้เป็นพ่อก็ไม่ค่อยแสดงความรักกับซูจองและซูยอนเท่าไหร่เพราะเค้าต้องการให้ลูกๆของเค้าเติบโตขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง และปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์ จนบางทีก็ดูเหมือนเค้าเฉยชาต่อลูกมากเกินไป
“เดินทางมาทั้งวัน คงเหนื่อยมากๆสินะ ยังไงก็ตามพี่อยากให้เธอรู้ว่าทุกคนรักและเป็นห่วงเธอมาก โดยเฉพาะคุณพ่อ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่แสดงออกแต่พี่อยากให้เธอรู้ว่าท่านรักเธอมากกว่าใครๆ”
เธอลูบหัวองค์หญิงน้อยของเธอและปิดไฟหัวเตียงก่อนที่จะล้มตัวนอนอย่างเหนื่อยอ่อน ในขณะที่ซูจองค่อยๆลืมตาขึ้นและนึกถึงประโยคที่ยุนอาเพิ่งจะพูดไปเมื่อสักครู่นี้...นี่พ่อรักเธอที่สุดงั้นเหรอ...
หอพัก
“ฮือออ ยุนอานูน่า ฮืออออ ทำไมทำอย่างนี้”
เสียงสะอึกสะอื้นของชานยอลทำให้เพื่อนในวงต่างยกมือปิดหู ก่อนที่แบคฮยอนจะพูดออกมา
“นายจะฟูมฟายอะไรนักหนาฮะ ชานยอล นูน่าเค้าติดธุระนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เค้าก็มา ร้องไห้ยังกะมีใครตายงั้นแหล่ะ เฮ้อ แต่ว่าไปแล้วก็คิดถึงนูน่าจังเลย ฮึกๆ”
แบคฮยอนบ่นออกมาก่อนจะเริ่มสะอึกสะอื้น เพราะว่าวันนี้ยุนอาไม่ได้มานอนที่หอทำให้ทั้งสองเศร้าเป็นอย่างมาก จงอินเห็นดังนั้นถึงกับส่ายหัว
“เป็นเอามากนะพวกพี่เนี่ย รู้จักกันวันกว่าๆ ไม่รู้หลงอะไรนักหนา”
จงอินพูดก่อนจะลุกออกจากห้องนั่งเล่นไป ทำให้ชานยอลและแบคฮยอนเปลี่ยนจากอารมณ์เศร้ามาเป็นอารมณ์เสียทันที
“หนอยเจ้าบ้า อย่ามาว่านูน่าของฉันนะ อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้ทำให้นูน่าลำบากใจเหมือนนาย”
“ใช่ๆ นูน่าน่ารักจะตาย ไม่หลงก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
แบคฮยอนพูดก่อนที่ชานยอลจะสมทบ แต่ก็หลังจากที่จงอินเดินเข้าห้องไปอีก(ตามเคย) ทั้งสองหันมองหน้ากันก่อนจะปล่อยโฮอีกรอบ
“นูน่า~ พวกเราคิดถึงนูน่าจังเลยยยยย”
จุนมยอนมองน้องทั้งสองก่อนจะส่ายหัวออกมาอีกคน
“ฉันว่าที่จงอินพูดมันก็ถูกนะ แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ นูน่าเค้าก็ดีกับพวกเราจริงๆ”
“ใช่ฮะ นูน่าเค้ารู้ว่าผมชอบทานชานมไข่มุกรสอะไรด้วย ไม่เหมือนพวกฮยอง อยู่ด้วยกันมาตั้งนานยังไม่รู้เลยว่าผมชอบรสอะไร”
เซฮุนพูดออกมาบ้าง(เซฮุนโทรมาบอกว่าช่วยให้ผมมีบทพูดเยอะๆหน่อย ออกมาแต่ละฉากแทบจะไม่ได้พูดเลย ฮ่าๆๆ : ไรเตอร์)
“ฮ่าๆๆ แต่ก็เอาเถอะ แยกย้ายกันไปอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้ซ้อมแต่เช้า ฝันดีนะทุกคน”
จุนมยอนพูดและเดินออกจากห้องไป
“ฝันดีครับฮยอง....ฮือออ นูน่าผิดสัญญากับผมได้ยังไง”
ชานยอลตอบจุนมยอนก่อนจะเริ่มดราม่าอีกรอบ
“สัญญาอะไรของนายฮะชานยอล”
“ก็นูน่าบอกว่าจะตื่นมาเดินเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้านกับฉันตอนเช้านะสิ แต่คืนนี้นูน่าไม่ได้นอนที่นี่แล้วจะตื่นมาเดินเล่นกับฉันได้ยังไง”
“โธ่ เรื่องแค่นี้เอง เป็นเอามากนะนายเนี่ย ฉันไปนอนแล้วดีกว่า วันนี้ซ้อมทั้งวันเหนื่อยจริงๆ”
แบคฮยอนพูดแล้วก็เดินออกไปจากห้อง ส่วนชานยอลก็ได้แต่สะอึกสะอื้น เซฮุนเองก็กำลังเช็ดแก้วชานมไข่มุกที่ยุนอาซื้อมาให้วันนี้
“ทำอะไรนะเซฮุน”
คยองซูถามด้วยความสงสัย
“อ่อ นี่เป็นแก้วชานมไข่มุกที่ยุนอานูน่าซื้อให้ผมนะฮะ ผมจะเก็บมันไว้ นูน่าเค้าใจดีแล้วก็ใส่ใจกับทุกอย่างจริงๆนะฮะ แม้กระทั่งชานมไข่มุกยังรู้เลยว่าผมชอบกินรสอะไร (ถึงขั้นล้างเก็บกันเลยที่เดียว : ไรเตอร์)”
“อันนี้นายบอกไปแล้วนะเซฮุน”
“เอาน่า คยองซูฮยอง นานๆทีผมจะได้มีบทกับเค้าบ้าง ฮ่าๆๆ”
“ว่าแต่ว่าพรุ่งนี้ใครจะทำอาหารเช้าให้เรากินกันล่ะเนี่ย”
คยองซูพูดขึ้นมาบ้าง
“นั่นสิฮะ ยังไงก็ตามผมว่าคยองซูฮยองต้องเรียนทำอาหารกับยุนอานูน่าแล้วล่ะฮะ วันไหนเธอไม่อยู่พี่จะได้ทำให้พวกเรากินกันได้”
“อืม ใช่ เธอทำอาหารอร่อยสุดๆไปเลยล่ะ ฉันว่าที่ฉันทำก็อร่อยแล้วนะ แต่พอมาเจอยุนอานูน่าถึงกับต้องชิดซ้ายเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ”
ทั้งสองหัวเราะให้กันอย่างมีความสุขในขณะที่ชานยอลก็ยังสะอึกสะอื้นไม่เลิก ส่วนจงอินเองที่ถึงแม้จะเข้าห้องไปแล้วแต่เค้าก็ยังได้ยินที่คนข้างนอกพูดอยู่ดี และนั่นก็ทำให้เค้าอารมณ์เสีย ทำไมทุกคนถึงได้พูดถึงแต่ยุนอา ตั้งแต่กลับจากซ้อมมาเค้ายังไม่เห็นชานยอลจะพูดเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องของยุนอา แม้กระทั่งเซฮุนเพื่อนของเค้าที่พูดถึงแต่ชานมไข่มุกและคยองซูก็เอาแต่ชมยุนอาว่าทำอาหารอร่อย ส่วนแบคฮยอนกับจุนมยอนต่างก็ชมว่ายุนอาน่ารัก
“อะไรๆก็ยุนอานูน่า เหอะ พวกฮยองเป็นอะไรกันหมดเนี่ย”
จงอินบ่นออกมาทำให้จุนมยอนที่อยู่ในห้องขำออกมา จงอินหันไปมองจุนมยอนก็จะถามออกมา
“ขำอะไรครับฮยอง”
“เปล่า ฉันขำเพราะฉันอยากขำ”
จุนมยอนตอบอย่างกวนๆ ทั้งๆที่ความจริงแล้วเค้าขำจงอินที่ดูเหมือนจะอิจฉายุนอา แต่ก็น่าแปลกนะเพราะส่วนใหญ่จงอินจะไม่ค่อยบ่นออกมาเวลามีอะไรที่เค้าไม่พอใจ ส่วนใหญ่ก็จะเงียบหรือไม่ก็มองข้ามมันไปก็เท่านั้น
“นายก็เปิดใจให้เธอบ้างเถอะจงอิน เธอดีกับเราจะตาย ไม่งั้นทุกคนคงไม่เพ้อถึงเธอกันขนาดนี้หรอก อีกอย่างนายก็เห็นว่าเธอเข้ามาเพื่อดูแลพวกเรา ไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงเราซักหน่อย”
“ใครว่าล่ะครับฮยอง ตั้งแต่ยัยนั่น...เอ่อ ผมหมายถึงยุนอานูน่าน่ะครับย้ายเข้ามาที่หอ ผมก็ต้องยกห้องนอนให้เธอ ต้องตื่นแต่เช้าแถมคนอื่นๆก็ยังคอยพูดกรอกหูผมเรื่องยุนอา..นูน่าตลอด 24 ชม. นี่เหรอฮะที่เรียกว่าไม่เปลี่ยนแปลง ของแบบนี้มันต้องรอดูกันไปเรื่อยๆ รู้จักกันแค่วันเดียวยังตัดสินอะไรไม่ได้หรอกฮะ”
จุนมยอนรู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม เพราะทุกครั้งที่เค้าหรือคนอื่นในวงพูดอะไรก็ตามจงอินจะแค่ยิ้มเล็กๆแล้วก็เงียบ ไม่ตอบอะไรทั้งสิ้นเหมือนประมาณว่าแค่รับรู้แล้วก็จบ โน คอมเม้นท์ แต่ครั้งนี้จงอินกลับตอบแถมยังพูดมากขึ้นซะด้วย
“ก็จริงนะ เพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียวยังตัดสินอะไรไม่ได้หรอก จริงมั๊ยจงอิน”
จุนมยอนถามจงอินกลับเพื่อให้จงอินได้คิดว่าสิ่งที่เค้าพูดมันก็เหมือนกับการกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะเค้าบอกเองว่าแค่วันเดียวยังตัดสินอะไรไม่ได้ แต่เค้ากลับตัดสินว่ายุนอาเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงพวกเค้าเป็นที่เรียบร้อย จงอินนิ่งเงียบแต่ก็ยังเชื่อมั่นในความคิดตัวเองอยู่ดี
“เอาเถอะ พี่คิดว่าถ้ายุนอานูน่าเข้ามาดูแลและทำให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้น ต่อให้ต้องเปลี่ยนแปลงยังไงพี่ก็ยอม พี่นอนก่อนนะ ฝันดีนะจงอิน”
จุนมยอนยิ้มให้จงอินก่อนจะหลับตาลง จงอินนั่งคิดกับตัวเองซักพัก นี่เค้าคงไม่ได้กลืนน้ำลายตัวเองใช่มั๊ย เค้าคิดก่อนที่จะเดินไปยังห้องของตัวเองซึ่งบัดนี้มันก็กลายเป็นห้องนอนของยุนอาไปแล้วเพื่อหยิบของสำคัญของเค้า โชคดีที่วันนี้ยุนอาไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นเค้าก็ไม่รู้ว่าจะเข้ามาหยิบของยังไง มันเป็นของสำคัญสำหรับเค้ามากๆเลยล่ะ เค้าเดินมาที่เตียงนอนและกำลังจะเปิดเก๊ะแต่ก็ต้องมาสะดุดกับกรอบรูปๆหนึ่ง มันเป็นรูปของยุนอากับครอบครัวนั่นเอง เค้าหยิบมันขึ้นมาดู ภายในภาพมีผู้ชายกับผู้หญิงที่ดูใจดีกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังยิ้มมาอย่างมีความสุข ใครๆที่ได้เห็นภาพนี้ต่างก็ต้องยิ้มด้วยกันทั้งนั้น แต่ทำไมพอเห็นรูปนี้มันถึงทำให้เค้ารู้สึกเศร้า...อย่างบอกไม่ถูก
“ครอบครัว...ที่มีความสุขงั้นเหรอ...”
เค้าไล่ความคิดตัวเองก่อนจะเปิดเก๊ะและหยิบสร้อยนาฬิกาสีเงินออกมา จงอินเปิดดูข้างในก่อนจะสวมมันไว้ที่คอ เค้ายิ้มออกมาอย่างมีความสุข เพราะมันเป็นของที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาและสิ่งที่อยู่ด้านในนาฬิกาก็เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เค้าอยากเป็นศิลปิน...
จบตอน 9 แล้ว อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ เอาใจช่วยแต่ละคนด้วยนะคะ ไรเตอร์พยายามแต่งให้เข้าถึงความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัวจริงๆ เลยทำให้บางทีอาจจะดูเวิ่นเว้อไปบ้าง อย่าโกรธกันน้า ตอนนี้ได้แต่เอาใจช่วยยุนอาที่โดนจงอินกระทำต่อความรู้สึก แต่ก็แอบสงสารจงอินอยู่ลึกๆ แต่จะสงสารเรื่องอะไรนั้น รอตอนต่อไปนะคะ เม้นท์เป็นกำลังใจซักนิดจะดีใจมากๆค่ะ ตั้งใจแต่งเรื่องนี้มากจริงๆ แล้วก็ขอโทษด้วยที่เมื่อวานไม่ได้มาอัพ เพราะโดนฝนก็เลยโดนหวัดกินตามระเบียบ แต่ถึงป่วยยังไงก็ยังไม่วายที่จะเอาสมุดออกมาขีดๆเขียนๆพลอตเรื่อง ช่วงนี้ฝนตก+จะเข้าหน้าหนาว ยังไงรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน^^
ความคิดเห็น