สุดหัวใจคือเธอ (Yuri) - สุดหัวใจคือเธอ (Yuri) นิยาย สุดหัวใจคือเธอ (Yuri) : Dek-D.com - Writer

    สุดหัวใจคือเธอ (Yuri)

    เพราะรักจึงทำให้เธอหลีกลี้ และเพราะรักเช่นกันจึงทำให้เธออีกคนเฝ้าติดตาม ระหว่างคนหนึ่งหนี คนหนึ่งตาม แล้วใครจะเป็นฝ่ายยอมแพ้?

    ผู้เข้าชมรวม

    593

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    593

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    4
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 ต.ค. 54 / 23:09 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
              สวัสดีค่ะ สำหรับท่านที่เปิดเข้ามา ไรเตอร์ขอชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็นแบบ ญ+ญ นะคะ เพราะฉะนั้นท่านใดที่ไม่ชอบก็กดปิดได้เลยค่ะ
              เรื่องสั้นนี้เป็นเรื่องแรกที่ไรเตอร์ลองแต่งดู และอยากให้กลายเป็นเรื่องยาวอยู่เหมือนกัน แต่คงต้องดูก่อนว่าจะมีคนอยากอ่านมากน้อยแค่ไหนนะคะ แต่ยังไงก็ขอบคุณมากที่อุตส่าห์เสียเวลาเข้ามาอ่านค่ะ   ^_^
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       

                “พี่จ๋า!

                เจ้าของใบหน้าหวานจิ้มลิ้มราวตุ๊กตาจีนถลาเข้ามาในขบวนรถไฟฟ้าด้วยความรวดเร็วจนผู้ที่กำลังยืนกอดอกเหม่อมองออกไปด้านนอกสะดุ้ง แต่ก็เป็นเพียงภายในใจเท่านั้นเพราะปฏิกิริยาทางกายที่แสดงออกให้คนทั่วไปได้เห็นมีเพียงอาการเลิกคิ้วขึ้นสูงขณะที่กล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ขยับเลยแม้แต่มัดเดียว

                “น้องหนู?” เสียงที่เปล่งออกมาเรียบเฉยแกมแปลกใจ

                “เจอตัวจนได้!” ท่อนแขนกลมกลึงกอดหมับรอบตัวของอีกฝ่ายด้วยความขลุกขลักเพราะคนหลังไม่ยอมให้ความร่วมมือด้วยการยืนกอดอกนิ่งแถมติดจะเบี่ยงตัวหนีนิดๆ ด้วยซ้ำ

                คนในขบวนรถต่างหันมามองด้วยความสนใจกันพรึ่บ ก็ภาพสวยๆ อย่างงี้จะหาดูได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ ในเมื่อฝ่ายที่ถลาเข้ามากอดถ้าจะเปรียบเทียบเป็นตุ๊กตาจีน ฝ่ายที่ถูกกอดก็คงต้องเปรียบเป็นตุ๊กตาฝรั่งเศสนั่นแหละ

                ยิ่งปฏิกิริยาที่แสดงออกแบบตรงกันข้ามอย่างสุดขั้วของทั้งคู่ยิ่งเรียกความสนใจของผู้คนที่อยู่รอบข้างได้เป็นอย่างดีเพราะ ‘ตุ๊กตาจีน’ นั้นแค่ท่าทางที่แสดงออกคนที่มีตาก็ต้องรู้ทั้งนั้นว่ารักใคร่อีกฝ่ายมากเพียงไร ในขณะที่ ‘ตุ๊กตาฝรั่งเศส’ ดูเป็นตุ๊กตาอย่างแท้จริง เพราะไม่มีท่าทียินดียินร้ายกับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

                “มาได้ยังไง?”

                “นี่” ที่อยู่ในมือขาวๆ เล็กๆ ก็คือโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง “มีระบบติดตามด้วยแหละ” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจโดยไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายเริ่มจะ ‘กรุ่นๆ’ ขึ้นมาแล้ว

                ริมฝีปากอิ่มเม้มจนเป็นเส้นเดียวดวงตาคู่คมหลับปิดแน่นและเปิดออกช้าๆ คล้ายจะสะกดกลั้นอารมณ์หลายๆ อย่างที่ประเดประดังกันเข้ามา

                “อย่าทำอย่างนี้อีก พี่ไม่ชอบ” แต่เสียงที่ปล่อยออกมากลับเรียบเย็นยิ่งกว่าอยู่ในห้องเก็บศพเสียอีก

                อีกฝ่ายจึงเพิ่งจะรับรู้อารมณ์ของคนตรงหน้า ใบหน้างามแหงนเงยด้วยความตกใจ ดวงตาเรียวรีรูปเมล็ดอัลมอนด์เริ่มมีประกายแวววาวด้วยน้ำใสๆ

                “พี่จ๋าโกรธ..น้องขอโทษค่ะ..”

                ความแจ่มใสร่าเริงปลิววับไปจากใบหน้าเล็กๆ น่ารักทำให้อีกฝ่ายหัวใจหล่นวูบ ท่าทางที่พยายามแสดงออกให้เย็นยิ่งกว่าเย็นค่อยๆ ละลาย

                เสียงถอนหายใจยาวพร้อมๆ กับนิ้วเรียวสวยยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าขาวผ่องช้าๆ “พี่เคยบอกแล้วว่าถ้ามีอะไรให้ติดต่อมา แล้วพี่จะไปหา”

                ศีรษะกลมมนสั่นแรงๆ ก่อนจะซุกตัวเข้าสู่อ้อมอกของคนตรงหน้า “น้องโทรหาพี่ตั้งหลายครั้ง แต่พี่จ๋าไม่เคยรับสายน้องซักที” น้ำเสียงหวานๆ นั้นติดจะต่อว่าด้วยความน้อยอกน้อยใจ

                อีกฝ่ายได้แต่เงยหน้าขึ้นถอนใจยาวยืด..ถึงเธอจะไม่เคยรับสาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่สิ้นสุดเสียงเรียกเข้า เธอเป็นต้องกดติดต่อกลับไปยังบ้านทันทีเพราะคำๆ เดียวคือ  'เป็นห่วง' คนที่ยืนหน้างอน้อยอกน้อยใจตรงหน้านี่แหละ

                แต่จะให้รับสายได้ยังไง เพราะต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องเนรเทศตนเองออกมาจากบ้านใหญ่หลังนั้นก็เป็นเพราะเจ้าตัวน้อยที่ทำตาใสอยู่ตรงหน้านี่

                “พี่บอกว่า ถ้ามีอะไร” เน้นเสียงหนัก “แต่เท่าที่พี่รู้ ก็ไม่มีอะไรไม่ใช่หรือไง?”

                แก้มขาวๆ ป่องออกมาอย่างน่าเอ็นดูจนอีกฝ่ายเกือบจะยกขึ้นจิ้มด้วยความมันเขี้ยว แต่ต้องเสยกมือขึ้นไปกอดอกไว้ตามเดิม

                “ถ้างั้นตอนนี้ก็มีแล้ว! เสียงใสๆ แง่งอนเอาแต่ใจเพราะจากน้ำเสียงของพี่จ๋าทำให้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเริ่มหายกรุ่นโกรธเธอแล้ว

                “อะไร?” เสียงเรียบเฉยเปลี่ยนเป็นระวังขึ้นมาทันที

                “คุณแม่จะให้น้องไปทานข้าวกับคนของบ้านคุณลุงชาติ”

                ดวงตาคู่คมหลุบลงต่ำ แม้สีหน้าจะไม่บอกอะไรแต่บรรยากาศรอบตัวเริ่มระอุกรุ่นขึ้นมาชนิดที่คนใกล้ตัวเท่านั้นจึงจะรู้ “ก็ไปสิ”

                “พี่จ๋า!” ดวงตาราวลูกกวางน้อยเบิกกว้างเมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่แยแสของอีกฝ่าย

                “แค่ไปกินข้าว..”

                “พี่จ๋าก็น่าจะรู้ว่าไม่ใช่แค่นั้น! เสียงสั่นๆ ด้วยความน้อยใจ “เค้าจะให้น้องไปดูตัว!

                “น้องหนู” น้ำเสียงที่เข้มขึ้นทำให้คนตัวเล็กกว่าหยุดชะงัก “เราโตแล้วนะ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องตีโพยตีพาย ผู้ใหญ่ท่านเห็นว่าดีถึงได้เลือกให้เรา อย่าทำให้ท่านผิดหวังสิ”  แม้ขณะพูดความข่มกลั้นในตัวก็แทบจะหมดลง มือที่กอดอกกระชับแน่นขึ้นไปอีกทั้งที่ร่ำๆ อยากจะคว้าคนตัวเล็กกว่าตรงหน้าเข้ามาปลอบขวัญ

                “พี่จ๋าใจร้าย! รู้ทั้งรู้..” เสียงสะอึกขณะที่ยกมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ

                “รู้อะไร” เสียงที่รอดผ่านไรฟันออกมาฟังดูข่มขู่

                ใบหน้างามที่แหงนเงยขึ้นมองอีกฝ่ายดูแดงก่ำ คำพูดสั่นๆ ที่ผ่านออกมาแม้จะเบาหวิวแต่กลับมีอานุภาพสั่นสะเทือนคนตัวสูงที่ยืนกอดอกด้วยท่าทางเย็นชาจนแทบทรุด

                “น้องหนูรักพี่จ๋า รักมานานแล้ว ตั้งแต่จำความได้หัวใจของน้องก็เป็นของพี่จ๋าแล้ว”

                คนร่างสูงยืนนิ่งขึง แผ่นหลังเซไปปะทะกับกระจกเบื้องหลังความรู้สึกหลากหลายพาดผ่านบนใบหน้า แต่ผ่านไปครู่ใหญ่นิ้วเรียวยาวจึงยกขึ้นกดเปลือกตาราวกับพยายามเรียกความเย็นชากลับคืนมา

                “มัน..เป็นไป..ไม่ได้” เมื่อควบคุมตัวได้เสียงที่ผ่านออกมาจึงเย็นชามากกว่าเดิม

                “ทำไมคะ? ความรู้สึกรักนี่ ทำไมถึงมีความเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้?” เสียงใสๆ ถามด้วยความสงสัยอย่างแท้จริงและเริ่มใจชื้นขึ้นเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

                “น้องหนู..กลับบ้านไปซะ พี่จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว”

                “ทำไมคะพี่จ๋า?” คนตัวเล็กกว่ายังตามไม่ลดละ ถึงขั้นสวมกอดรอบลำตัวอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น “พี่จ๋าเกลียดน้องแล้วหรือคะ?”

                “พี่ไม่ได้เกลียด!” เสียงที่ตอบกลับหนักแน่น

                “แต่พี่จ๋าก็ยังออกจากบ้านมาอยู่ตัวคนเดียว ไม่ติดต่อใครในบ้าน ไม่รับโทรศัพท์ของน้อง!

                “พี่ไม่ได้เกลียด!” ย้ำเน้นหนักเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ทำให้ดวงตางามคลอน้ำใสๆ เบิกกว้าง

                “แต่พี่จ๋าก็ยังทำเหมือนหลบหน้าน้อง! แล้วยัง..ยังจะให้น้องไปดูตัวกับคนอื่นอีก!

                “กลับบ้านไปซะ พี่จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว”
                ท่อนแขนกลมกลึงถูกปลดออกไปด้วยท่าทางแข็งๆ ทำให้น้ำใสๆ ไหลพรูออกจากดวงตาคู่งามเป็นสาย เสียงสะอึกติดอยู่แค่ลำคอ

                “ก็ได้..ถ้าพี่จ๋าเกลียดน้อง ไม่รักน้อง..น้องจะ..จะแต่งงานกับคนอื่นก็ได้!” เสียงกระซิบปวดร้าวผ่านออกมาตะกุกตะกัก พร้อมๆ กับสัญญาณจากรถไฟฟ้าว่าใกล้จะถึงสถานีถัดไป

                เมื่อได้ยินประโยคนั้น ร่างสูงกลับชะงักงันทันที

                ภายในใจรู้สึกปวดหนึบ มันช่างเจ็บปวดราวกับว่ามีมือยักษ์มาแหวกทึ้งแล้วฉีกกระชากพรากเอาหัวใจออกไปจากอกขณะที่ดวงตากระพริบปริบ มองตามประตูอัตโนมัติที่ค่อยๆ เลื่อนออกและร่างบอบบางกำลังสาวเท้าจากไป ทุกอย่างดูเชื่องช้าเนิ่นนานราวกับเป็นภาพสโลว์

                แต่ก่อนที่สมองจะสั่งการ สัญชาตญาณกลับบงการให้เอื้อมมือออกไปคว้าร่างน้อยนั้นปลิวกลับเข้ามาแนบอกพร้อมๆ กับที่ประตูอัตโนมัติปิดลงอย่างรวดเร็ว

                ทั้งเจ้าของอ้อมกอดและผู้ที่อยู่ในวงแขนต่างตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูกจึงยืนนิ่งไปทั้งคู่ท่ามกลางเสียงปรบมือจากผู้คนในขบวนรถไฟฟ้าทั้งจากผู้ที่ได้รับฟังมาตั้งแต่ต้นและผู้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรที่เพิ่งก้าวเข้ามาใหม่ที่ร่วมผสมโรงกันไปจนเสียงดังกว่าที่ควรจะเป็น

                เมื่อเจ้าของอ้อมกอดได้สติจึงผลักร่างบอบบางออกไป ใบหน้าที่เคยเฉยชาอยู่เป็นนิจมาบัดนี้ติดจะแดงก่ำน้อยๆ

                “ฟังพี่นะน้องหนู” น้ำเสียงเน้นหนักเรียกให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองด้วยความเอียงอาย

                “เหตุผลที่เราไม่ควรอยู่ด้วยกันมีมากมายเหลือเกิน” ข้อความที่เปล่งออกมาด้วยความอัดอั้นมานานนับสิบปีค่อยๆ พรูออกมา “อย่างแรก พี่เป็นผู้หญิงและน้องก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน..พี่ให้สิ่งที่ผู้ชายให้ไม่ได้!” เมื่ออีกฝ่ายยังตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดวงตาเป็นประกายประโยคต่อไปจึงหลุดรอดออกมา

                “อย่างที่สองคือเราเป็นพี่น้องกัน..ถึงแม้พี่จะเป็นลูกบุญธรรม แต่พี่ก็ยังใช้นามสกุลเดียวกันกับเธออยู่” ผู้พูดกลืนน้ำลายลงไปด้วยความปวดร้าวราวกับทุกคำที่เค้นออกมานั้นมันค่อยๆ ตอกย้ำและกรีดเฉือนลงไปในอกของตน

                “สุดท้าย..เพราะเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูล เป็นคนที่จะต้องสืบทอดทุกๆ อย่างเธอจึงต้อง..มีมือที่แข็งแกร่งคอยช่วยค้ำจุน..” เมื่อได้ระบายเหตุผลทุกอย่างออกมาร่างสูงโปร่งจึงเอนหลังกลับไปพิงกระจกตามเดิมราวกับการพูดประโยคเหล่านั้นได้เค้นเอาพลังกายไปจนหมดสิ้น

                “เพราะอย่างนี้ พี่จ๋าถึงได้ออกมาจากบ้านหรือคะ?” ถามด้วยดวงตาเป็นประกาย  “เพราะพี่จ๋ารักน้องถึงต้องทำแบบนี้ ไม่ใช่เพราะว่าพี่จ๋าเกลียดน้องเลย”

                “พี่จะเกลียดเธอได้ยังไง ยัยเด็กโง่!” ถึงน้ำเสียงเริ่มจะกลับไปเย็นชาเหมือนเดิมแต่หางเสียงก็ยังแฝงแววเอ็นดู

                “ถ้ายังงั้นก็สรุปได้ล่ะ!” เจ้าตัวดียิ้มกว้างน้ำตาที่คลอๆ เมื่อครู่เริ่มจางหาย เหลือเพียงความสดใสอันเป็นเอกลักษณ์

                “สรุปว่า?” นิ้วเรียวยาวยกขึ้นเกลี่ยลูกผมตามสองข้างแก้มของคนตัวเล็กกว่าอย่างเชื่องช้าราวกับอยากให้เวลายืดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

                “ว่าพี่จ๋าต้องกลับบ้านไปกับน้องน่ะสิคะ”

                คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น “ที่พี่พูดมาทั้งหมดนี่ เธอยังไม่เข้าใจอีกหรือไง?”

                “เข้าใจสิคะ เพราะเข้าใจถึงต้องให้พี่จ๋ากลับบ้านไงคะ”

                เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าคล้ายอ่อนใจ คนตัวเล็กกว่าจึงหยิบโทรศัพท์เจ้ากรรมขึ้นมาชูให้เห็นอีกครั้ง “เรื่องที่เราคุยกันเมื่อกี้ คุณพ่อกับคุณแม่รู้แล้วล่ะค่ะ! สัญญาณสีเขียวกระพริบวูบๆ บ่งบอกถึงการเชื่อมต่อกับผู้อยู่อีกด้านของปลายสาย

                ดวงตาคมสวยเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึงใบหน้าเผือดซีดที่น้อยครั้งจะมีใครเห็นอาการหลุดแบบนี้ “เธอ...ลูกหนู!

                “อันที่จริง เรื่องนัดดูตัวไม่มีตั้งแต่แรกแล้วล่ะค่ะ” เจ้าตัวดียิ้มเจื่อนมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิด “น้องบอกความรู้สึกที่น้องมีให้พี่จ๋าให้คุณพ่อกับคุณแม่ฟังแล้ว แล้วท่านทั้งสองก็เข้าใจแถมยังโล่งอกด้วยนะคะ! เสียงใสๆ รีบพูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังทำท่าตกตะลึง “คุณพ่อกับคุณแม่บอกว่า ยกน้องให้กับพี่จ๋ายังดีกว่ายกให้กับไอ้หน้าไหนก็ไม่รู้แถมยังได้พี่จ๋ากลับบ้านด้วย แบบว่า..เรือล่มในหนองทองจะไปไหนน่ะค่ะ”

               “เธอ...ไปจำคำพูดพวกนั้นมาจากไหน! เสียงต่ำๆ ถามออกไปแบบสะกดกลั้นอารมณ์อย่างยิ่งยวดพร้อมกับรู้สึกคันไม้คันมืออยากดึงร่างกลมกลึงมาฟาดก้นให้น่วมกับท่าทางอวดดีของเจ้าตัวยุ่งตรงหน้า

                “จริงๆ นะคะ คุณพ่อกับคุณแม่กินไม่ได้นอนไม่หลับตั้งแต่พี่จ๋าย้ายออกไปอยู่ข้างนอก พวกท่านบอกว่าจะให้พี่จ๋าเป็นคนสืบทอดตระกูลก็เลยเลี้ยงแบบที่ผู้นำตระกูลควรได้รับ แต่จู่ๆ พี่จ๋ากลับย้ายออกไปโดยไม่บอกเหตุผลอะไรเลย พวกท่านก็เลยซึมลงทุกวันๆ” ท่าทางประกอบนั้นสมจริงจนผู้ที่เคยสัมผัสใกล้ชิดรู้สึกหมั่นไส้แกมเอ็นดู

                “น้องก็เลย..” ดวงตาคู่งามเหมือนกวางช้อนขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างปะเหลาะ “วางแผนกับคุณพ่อคุณแม่ทำอย่างงี้น่ะค่ะ”

                “เธอนี่มัน..”

                “คุยกับคุณพ่อคุณแม่นิดนะคะ” มือขาวผ่องรีบยื่นโทรศัพท์ที่ยังมีสัญญาณการเชื่อมต่อเข้ามาให้ด้วยความรวดเร็วทำเอาอีกฝ่ายทำอะไรไม่ถนัดได้แต่ส่งสายตาคาดโทษไปให้ก่อนจะรับโทรศัพท์เครื่องนั้นมาแบบหงุดหงิด

                แต่เสียงอบอุ่นจากปลายสายทำให้ใบหน้าสวยคมที่ดูโกรธขึ้งอ่อนลงอย่างรวดเร็ว

       

             ‘ไอหรือลูก’

                “ค่ะคุณแม่ คุณแม่กับคุณพ่อสบายดีหรือเปล่าคะ?” น้ำเสียงที่เคยเย็นชาและใบหน้าสวยคมจนคนรอบข้างให้สมญานามว่า ‘ราชินีน้ำแข็ง’ มาบัดนี้เปลี่ยนเป็นนุ่มละมุน

             ‘..ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่หรอกจ้ะ คิดถึงลูกเหลือเกิน กลับบ้านเราเถอะนะลูก’

                ก้อนสะอื้นติดอยู่ในลำคอเมื่อภาพของผู้เป็นบิดาและมารดาบุญธรรมปรากฏขึ้นมาในห้วงคำนึง ผู้มอบทั้งการศึกษา ฐานะอันมั่นคงทางสังคมและความรักแบบไม่มีเงื่อนไขให้กับเธอซึ่งเป็นเด็กที่ถูกแม่ที่แท้จริงทิ้งไว้ในโรงพยาบาลตั้งแต่แรกคลอด

                “แต่คุณแม่คะ...”

             ‘ลำบากใจเรื่องน้องหรือลูก? ถ้าเพราะหนูไม่สามารถตอบสนองความรู้สึกของน้องได้ก็อย่ากังวลไปเลยนะ แล้วแม่จะส่งแกให้ไปเรียนต่างประเทศ ถึงตอนนั้นแกก็คงลืมความรู้สึกพวกนี้ไปแล้ว’

                ทั้งที่อยากจะตอบรับสมอ้างแต่น้ำเสียงสั่นเครือที่มาพร้อมกับประโยคเหล่านั้นทำให้ดวงตาคู่คมปิดแน่นก่อนเปิดอีกครั้งพร้อมกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ

                “ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่เหตุผลทั้งหมดคุณแม่น่าจะได้ยินจากที่หนูคุยกับน้องไปแล้ว..เมื่อครู่”

             ‘โอ! จริงหรือจ๊ะ หนูรักน้องเหมือนกับที่น้องรักหนูจริงๆ ใช่ไหม!

                น้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความตื่นเต้นของมารดาบุญธรรมทำให้เธองันไป

             ‘ถ้าอย่างนั้นก็กลับมาเถอะลูก ความรักของพวกหนูไม่มีอะไรผิดเลยแม่กับพ่อไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะตั้งแต่แรก พ่อเค้าก็อยากให้หนูสืบทอดตระกูลของเราอยู่แล้ว!

                “แต่คุณแม่คะ..แบบนี้มันผิด..” เธออ้ำๆ อึ้งๆ

             ‘ไม่เลยจ้ะ ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ไม่มีอะไรผิดอะไรถูกหรอก เว้นแต่ว่านั่นจะเป็นความรักแบบบังคับฝืนใจอีกฝ่ายต่างหาก’

                น้ำเสียงที่ส่งออกมาราวกับหยาดน้ำฝนอันชุ่มเย็น ทำให้สิ่งต่างๆ ที่หนักอึ้งในอกที่สั่งสมมานานปีค่อยๆ ลอยหายออกไป..ทำไมเธอถึงได้ทำเหมือนดูแคลนน้ำใจผู้เป็นเสมือนบุพการีแท้ๆ ได้ลงคอนะ ทั้งๆ ที่พวกท่านเลี้ยงดูเธอมาแต่แบเบาะ เธอก็น่าจะรู้ดีกว่าใครด้วยซ้ำว่าหัวจิตหัวใจของพวกท่านนั้นประเสริฐขนาดไหน

                หลังจากคุยกับปลายสายอีกหลายประโยคและลงท้ายด้วยความนุ่มนวลก่อนจะเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่เคยสวยคมทว่าเย็นชาพลันกลับกลายเป็นอ่อนโยนนุ่มละมุนจนเจ้าของร่างเล็กที่คอยมองตามทุกอิริยาบถของอีกฝ่ายต้องหน้าแดงซ่านด้วยความอิ่มใจ

                “ยัยตัวยุ่ง...แน่ใจแล้วนะ” เสียงที่ถามเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

                “ค่ะ เกินร้อยเปอร์เซ็นต์!” รับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

                นิ้วเรียวสวยยื่นออกมาเกลี่ยไปตามใบหน้าหวานที่แหงนเงยด้วยความรักใคร่เอ็นดูเต็มเปี่ยม “จากนี้ไป วิธีเดียวที่เธอจะหนีไปจากพี่ได้คือต้องฆ่าพี่ให้ตาย จำเอาไว้!”  ประโยคที่กล่าวออกมาดูขัดกับกริยาที่แสดงออกโดยสิ้นเชิง

                รอยยิ้มหวานที่ส่งออกมาจากคนตัวเล็กดูแจ่มจรัสจนคนมองดวงตาพร่าพรายท่อนแขนกลมกลึงตวัดกอดร่างสูงโปร่งเบื้องหน้าอย่างแนบแน่น

                “และวิธีเดียวที่พี่จ๋าจะสลัดน้องทิ้งไปได้คือฆ่าน้องให้ตายเหมือนกันค่ะ!

                เสียงหัวเราะด้วยความแจ่มใสดังประสานไปทั่วขบวนรถไฟฟ้าในเช้าวันนี้ ทำให้ผู้โดยสารหลายคนรู้สึกปลาบปลื้มไปกับความรักที่ไร้พรมแดนของคนทั้งคู่ และมั่นใจว่าความรักนี้คงจะยืนยาวไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว

      *********************************************END***********************************************

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×