ปฏิวัติธรรมะสูงสุดของพระพุทธเจ้า
การเกิดเป็นทุกข์ การเจ็บป่วยเป็นทุกข์ และการตายก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่อยากเป็นทุกข์ต้องอ่านบทความนี้
ผู้เข้าชมรวม
774
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คำนำ
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาโดยใช้หลัก Learning by doing จึงอาจทำให้ไม่เหมือนกับหนังสือธรรมะทั่ว ๆ ไป พระพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนเอาไว้ว่า การเกิดเป็นทุกข์ ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ ความแก่ชราเป็นทุกข์และความตายเป็นทุกข์ เมื่อคนเราเกิดมาแล้ว จะไม่เจ็บป่วย ไม่แก่และไม่ตายไม่ได้ เป็นธรรมดาของคนที่เกิดมาแล้วต้องพบเจอและหนีไม่พ้น แต่การเกิดนั้นสามารถป้องกันได้ ผู้ที่ไม่อยากจะเกิดเขาไม่สามารถป้องกันการเกิดให้กับตัวของเขาเองได้ เขาต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่คิดจะมีลูก ว่าจะเลือกที่จะช่วยเขาเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทรงช่วยเหลือหลานของพระองค์ หรือเลือกที่จะทำร้ายเขาโดยไม่เจตนา
มีแต่ผู้ที่อยากจะเป็นพ่อเป็นแม่เท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้เขาเกิดมาได้เพราะว่าการไม่เกิดมาบนโลกนี้ เป็นเคล็ดลับธรรมะขั้นสูงสุดของพระพุทธเจ้าที่เรานับถือ นั่นก็คือ ปรินิพพาน (การไม่เกิด)
และการไม่เกิดยังสามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ด้วย เพราะถ้าทุกคนบนโลกนี้ใช้วิธีคุมกำเนิดไม่ให้ลูกเกิดมาได้ บนโลกนี้ก็จะมีแต่คนที่ทยอยตายไปเรื่อย ๆ จะทำให้คนบนโลกนี้มีจำนวนลดน้อยลง เมื่อคนลดน้อยลงกิจกรรมที่จะทำให้โลกร้อนก็น้อยลง โลกก็จะร้อนน้อยลงไปโดยปริยาย ยิ่งถ้าลูกของเราไม่ได้เกิดมาบนโลกนี้ ถึงโลกนี้จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นสักปานใดก็ตาม ลูกของเราก็ไม่ต้องเดือดร้อนไปด้วยเลย
ผู้เขียนถือกำเนิดเกิดมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธ ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องนับถือศาสนาพุทธตามบิดามารดาไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ผู้เขียนยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ศาสนาพุทธนั้นมีข้อดีอย่างไรพ่อกับแม่ถึงได้เลือกที่จะนับถือศาสนานี้ ในสมัยที่ผู้เขียนมีอายุยังไม่เกิน 25 ปี ผู้เขียนมีปัญหาสับสนในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก ชีวิตไม่มีความสงบสุขเลย แต่เมื่อผู้เขียนได้ไปบวชเรียนเพื่อทดแทนพระคุณของบิดามารดาตามประเพณี เมื่ออายุ 26 ปี อยู่ที่วัดสนามใน ทำให้ผู้เขียนได้ศึกษาธรรมะในศาสนาพุทธอย่างจริงจังจากหลวงพ่อเทียน จนทำให้สามารถเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าได้อย่างแจ่มแจ้งไม่มีข้อสงสัยเลย นับว่าเป็นโชคดีที่ผู้เขียนได้เกิดมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธนั้นสามารถให้คำตอบกับชีวิต ช่วยปลดทุกข์ออกจากใจได้ ทำให้ผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติพ้นทุกข์ไปได้จริง ๆ ผู้เขียนจึงได้ใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าในการดับทุกข์และใช้ในการดำเนินชีวิตตลอดมา รวมทั้งทำให้ผู้เขียนไม่ได้ก่อกรรมทำเวรกับลูกด้วยการคุมกำเนิดไม่ให้เขาเกิดมาเป็นทุกข์ด้วย
วันหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2550 ผู้เขียนได้พบกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมฯ ห้องเดียวกัน ซึ่งไม่เคยได้พบกันมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่เชื่อและไม่เคยนับถืออะไรเลย แม้แต่พระพุทธเจ้าเขาก็ไม่นับถือ เขานับถือศาสนาพุทธแต่เพียงในทะเบียนบ้านเท่านั้น หลังจากที่ได้พูดคุยถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว เขาก็ถามผู้เขียนว่า ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ ผู้เขียนก็ตอบเขาไปว่า ไม่ได้ทำงานอะไรแต่ปฏิบัติธรรมอยู่กับบ้านอย่างเดียว
เพื่อน - มึงเป็นบ้าไปแล้วหรือ งานการไม่ทำแต่กลับไปงมงายกับศาสนาอยู่ได้ ปฏิบัติธรรมแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา
ผู้เขียน - กูเคยมีความทุกข์มาก แต่เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วทำให้สามารถดับทุกข์ได้
เพื่อน - มึงเชื่อหรือว่าพระพุทธเจ้านั้นมีจริง กูว่าพระพุทธเจ้าไม่มีจริง ๆ หรอก พระพุทธเจ้าเป็นเพียงเรื่องที่นักปราชญ์เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อนเขาแต่งขึ้นมา เพื่อใช้สั่งสอนอบรมผู้คนในสมัยนั้นให้ประพฤติตนเป็นคนดี บ้านเมืองจะได้สงบสุขไม่วุ่นวายเท่านั้นเอง เขาแต่งขึ้นมาจากจินตนาการเหมือนกับเรื่องรามเกียรติ์ที่มีพระรัก พระราม นางสีดา ทศกัณฐ์ หนุมาน ฯลฯ จนทำให้คนเชื่อไปแล้วว่า ทศกัณฐ์ หนุมาน ฯลฯ มีอยู่จริง ๆ แล้ว เช่นเดียวกับศาสนาพราหมณ์ที่มีเทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ มากมายหลายองค์ ซึ่งเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาจากจินตนาการของคนสมัยก่อนเหมือนกัน จนทำให้ผู้คนที่นับถือเชื่อแล้วว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมีตัวตนอยู่จริง ทั้ง ๆ ที่ทุกวันนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่ามีอยู่จริง คนก็เชื่อถือเคารพบูชากราบไหว้อ้อนวอนขอนั่นขอนี่ตั้งแต่อดีตมาจนถึงทุกวันนี้ และเป็นเพราะว่าเทพเจ้าเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาจากจินตนาการนี่เอง จึงทำให้ผู้คนที่นับถือไม่สามารถพ้นทุกข์ นิพพานไปได้เลยสักคนเดียว
พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน มีอย่างที่ไหน เมื่อคลอดออกมาจากพระครรภ์ของมารดาแล้วเดินได้ 7 ก้าว แล้วทำไมไม่เดินต่อ หรือเมื่อเดินครบ 7 ก้าวแล้วกลับไปนอนแบเบาะเหมือนเด็กทารกทั่ว ๆ ไป ที่กูเคยเห็นมามีแต่สัตว์พวกที่กินหญ้าเท่านั้น ที่เมื่อพวกมันคลอดออกมาจากท้องแม่ของมันแล้วก็เดินได้เลย นั่นก็เป็นเพราะว่าธรรมชาติได้สร้าง ให้พวกมันแข็งแรงตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ของมันแล้ว เมื่อคลอดออกมาพวกมันก็แข็งแรงพอที่จะเดินและวิ่งได้เลย เป็นเพราะพวกมันจำเป็นต้องหนีสัตว์นักล่าที่จะมาคอยกินมันเป็นอาหารให้ทัน ส่วนลูกของมนุษย์เมื่อแรกเกิดมาตายังไม่ลืมมองทางไม่เห็น คอก็ยังไม่แข็ง ขาก็ยังไม่มีแรง การทรงตัวก็ยังไม่ดีจะเดินได้อย่างไร มีแต่เรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาเท่านั้นถึงจะทำให้เด็กทารกที่คลอดออกมาจากท้องของแม่แล้วเดินได้เลย แล้วในแต่ละก้าวที่เดินไปยังมีดอกบัวมาคอยรองรับอีกนะ ก็มีแต่เรื่องที่เขาได้แต่งขึ้นมาเท่านั้นแหละถึงจะทำให้มีดอกบัวที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนมาคอยรองรับอีกถึง 7 ดอก
ผู้เขียน - กูก็ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเมื่อแรกคลอดออกมาจากพระครรภ์มารดาแล้วจะเดินได้ถึง 7 ก้าว แล้วในแต่ละก้าวยังมีดอกบัวมาคอยรองรับอีก แต่กูคิดว่าการที่พระพุทธเจ้าเมื่อแรกคลอดออกมาแล้วสามารถเดินได้ถึง 7 ก้าว แล้วในแต่ละก้าวยังมีดอกบัวมาคอยรองรับนั้น น่าจะเป็นปริศนาธรรมมากกว่า แต่ว่าตอนนี้กูยังคิดไม่ออกว่าหมายความว่าอย่างไร
เพื่อน - ส่วนวันวิสาขบูชาที่เป็นวัน ประสูติ วันตรัสรู้และวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน จะมีก็แต่เรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาเท่านั้นถึงจะทำให้วัน ประสูติ วันตรัสรู้และวัน ปรินิพพานตรงกันได้พอดิบพอดี คนธรรมดา ๆ แค่วันเกิดกับวันตายยังยากที่จะตรงกัน ได้เลย
ผู้เขียน - อาจเป็นความบังเอิญก็ได้
เพื่อน - วันมาฆบูชาก็เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นมา พระอรหันต์ตั้ง 1,250 องค์ จะคิด เหมือนกันแล้วพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยมิได้นัดหมายไม่ ขาดไปเลยซักองค์เดียวได้อย่างไร
ผู้เขียน - อาจเป็นความบังเอิญก็ได้
เพื่อน - ที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทุกข์กิริยาอดข้าวปลาอาหารเป็นระยะเวลานานจนทำให้พระวรกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกจนเกือบที่จะสิ้นพระชนม์อยู่แล้ว แต่เมื่อ พระองค์ได้ทรงล้มเลิกการบำเพ็ญทุกข์กิริยา แล้วพระองค์ได้ทรงฉันท์ข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวาย ซึ่งเป็นอาหารมื้อแรกหลังจากที่ได้ทรงอดอาหารมานานเพียงมื้อเดียวเท่านั้นจะทำให้พระองค์ทรงมีพลกำลังปฏิบัติธรรมจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
ผู้เขียน - พระพุทธเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องทรงใช้พลกำลังมากมายอะไรเลยในการปฏิบัติธรรมเพราะว่าในการปฏิบัติธรรมของพระองค์นั้น พระองค์เพียงแต่ทรงประทับนั่งนิ่ง ๆ อยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ แล้วพระองค์ก็ทรงใช้พระสติปัญญานึกทบทวนความคิดถึงวิธีการที่จะดับทุกข์ให้ได้ พระองค์ได้ทรงศึกษาความคิดอยู่เป็นเวลานาน จนทำให้พระองค์ทรงรู้แจ้งถึง ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ และมรรค เมื่อพระองค์ทรงศึกษาความคิดจนพระองค์ทรงสามารถเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิด และหยุดความคิด อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจได้แล้ว พระองค์จึงได้ทรงดับทุกข์ ดับกิเลส ดับตัญหา ฯลฯ จนสิ้นเชิง แล้วทรงตรัสรู้ได้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา
เพื่อน - การที่พระพุทธเจ้าทรงตัดสินพระทัยที่จะล้มเลิกการบำเพ็ญทุกข์กิริยาในวันใดนั้น ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนเลยว่าพระองค์จะทรงเลิกอดอาหารวันใด แล้วนางสุชาดาจะรู้ได้อย่างไรว่าพระพุทธเจ้าจะทรงเริ่มฉันท์อาหารแล้ว ถึงได้ทำข้าวมธุปายาสมาถวายในวันที่พระพุทธเจ้าจะทรงฉันท์อาหารพอดีถ้าไม่ใช่เรื่องที่เขาแต่งขึ้นมา
ผู้เขียน - นางสุชาดานั้นได้ทำข้าวมธุปายาสมาถวายพระพุทธเจ้าเป็นปกติทุกวันอยู่แล้ว นับตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าทรงเริ่มบำเพ็ญทุกข์กิริยาอดข้าวปลาอาหาร แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะมิได้ทรงฉันท์ข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวายเลยสักครั้งเดียวก็ตาม แต่นางสุชาดาก็ยังคงทำข้าวมธุปายาสมาถวายพระพุทธเจ้าเป็นประจำทุกวัน จนกระทั่งถึงวันที่พระพุทธเจ้าทรงล้มเลิกการบำเพ็ญทุกข์กิริยาแล้วจะทรงเริ่มฉันท์อาหาร นางสุชาดาก็ได้ทำข้าวมธุปายาสมาถวายพระพุทธเจ้าเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงฉันท์ข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวายเป็นมื้อแรก หลังจากที่ได้ทรงอดอาหารมานานแล้วจนทำให้พระองค์ทรงตรัสรู้ได้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่นางสุชาดาบังเอิญนำอาหารมาถวายพระพุทธเจ้าในวันที่พระองค์จะทรงเลิกบำเพ็ญทุกข์กิริยาเพียงวันเดียวเท่านั้น
เพื่อน - แล้วเรื่องที่พระพุทธเจ้า ทรงฉันท์ข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวาย เมื่อทรงฉันท์เสร็จแล้วแทนที่จะเอาถาดใส่อาหารคืนเจ้าของเขาไป กลับเอาถาดใส่อาหารของเขาไปอธิษฐานที่ริมแม่น้ำว่า ถ้าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำไป แต่ถ้าจะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ขอให้ถาดลอยตามน้ำไป สิ้นคำอธิษฐานถาดก็ลอยทวนน้ำไปได้ระยะหนึ่งแล้วก็จมลง มีอย่างที่ไหนฉันท์ข้าวของเขาแล้ว ยังเอาถาดของเขาไปลอยน้ำทิ้งเสียอีกไม่เกรงใจนางสุชาดาเขาบ้างเลยหรือไง ไม่มีเหตุผล ไม่เชื่อมึงลองเอาถาดไปอธิษฐานแบบพระพุทธเจ้าที่ริมแม่น้ำว่า ถ้าชาตินี้มึงต้องตายก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำไป แต่ว่าถ้าชาตินี้มึงจะไม่ต้องตายก็ขอให้ถาดลอยตามน้ำไป รับรองได้ว่าถาดต้องลอยตามน้ำไป ถาดไม่มีวันที่จะลอยทวนน้ำไปได้ แล้วชาตินี้มึงก็ต้องตายอย่างแน่นอน การที่ถาดลอยทวนน้ำไปได้นั้นเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาแน่ ๆ
ผู้เขียน - การที่พระพุทธเจ้าทรงเอาถาดใส่อาหารไปอธิษฐานที่ริมแม่น้ำ แล้วถาดสามารถลอยทวนน้ำไปได้นั้น กูก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้น่าจะเป็นปริศนาธรรมมากกว่า ถาดไม่ได้ลอยทวนน้ำไปจริง ๆ แต่เป็นพระพุทธเจ้าต่างหาก ที่ประพฤติปฏิบัติ พระองค์ทวนกระแสกิเลส ถาดหมายถึงตัวพระพุทธเจ้า ส่วนกระแสน้ำนั้นหมายถึงกระแสกิเลส การที่พระพุทธเจ้าทรงสามารถปฏิบัติพระองค์ทวนกระแสกิเลสไปได้นี่เองที่ทำให้พระองค์ทรงดับทุกข์แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด
เพื่อน - แล้วเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทุกข์กิริยา ด้วยการอดอาหารจนผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทรงกลั้นลมหายใจเข้าออกจนลมออกหู ทรงประทับนั่งนิ่ง ๆ ไม่เคลื่อนไหวจนแมงมุมชักใยที่พระวรกายของพระองค์ ทรงกำมือแน่นไม่ยอมแบเป็นเวลานานจนเล็บงอกทะลุหลังมือ ฯลฯ จะเป็นไปได้อย่างไร คนธรรมดา ๆ คงทนไม่ไหวต้องตายไปแล้ว แต่เพราะว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาจึงทำให้พระองค์ยังไม่สิ้นพระชนม์
ผู้เขียน - พวกโยคีในประเทศอินเดียสมัยก่อนเขาก็ทำกันได้
เพื่อน - ส่วนตอนที่พระพุทธเจ้ามาพบองคุลิมาลที่จะมาฆ่าพระองค์เพื่อตัดเอานิ้วมือของพระองค์ พระองค์ทรงหยุดอยู่เฉย ๆ แต่องคุลิมาลกลับไล่ฟันไม่ทัน จะเป็นไปได้ยังไง ถ้าพระพุทธเจ้าทรงหยุดอยู่เฉย ๆ องคุลิมาลคงฆ่าตายไปแล้ว แต่เพราะว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา แม้พระพุทธเจ้าจะทรงหยุดอยู่เฉย ๆ แต่องคุลิมาลก็ยังไล่ไม่ทัน
ผู้เขียน - องคุลิมาลเป็นคนที่ฉลาด มีความมุ่งมั่นสูง แต่หลงผิดฆ่าคนเพราะว่าถูกอาจารย์หลอกมา ด้วยมีความศัทธาในตัวของอาจารย์อย่างมากจึงหลงเชื่อ เมื่อองคุลิมาลมาพบกับพระพุทธเจ้าโดยบังเอิญ ซึ่งถ้าองคุลิมาลสามารถฆ่าพระพุทธเจ้าได้ ก็จะทำให้ครบพันคนตามที่อาจารย์หลอกมา เพื่อที่จะฆ่าพระพุทธเจ้าให้ได้ องคุลิมาลจึงขู่ให้พระพุทธเจ้าหยุด
เพื่อน - แล้วเรื่องที่องคุลิมาลได้ฆ่าคนตายไปอย่างมากมายถึง 999 คน ซึ่งถือว่าเป็นการทำบาป อย่างมาก คนที่มีบาปหนาขนาดนั้นจะสามารถสำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปได้อย่างไร แต่เพราะว่าเป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมา จึงได้แต่งให้คนที่แม้จะมีบาปหนาก็สามารถเป็น พระอรหันต์ได้
ผู้เขียน - บาปคือความไม่รู้(โง่) บุญคือความรู้แจ้ง(ฉลาด) ที่องคุลิมาลหลงผิดฆ่าคนตายไปอย่างมากมาย ก็เป็นเพราะความไม่รู้ เนื่องจากหลงเชื่อที่อาจารย์หลอกมา แต่เมื่อองคุลิมาลได้มาบวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจัง จนสามารถเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างแจ่มแจ้งโดยไม่มีข้อสงสัยเลย บาปคือความไม่รู้จึงได้สลายหายไปจากตัวของพระองคุลิมาลจนหมดสิ้น แล้วเกิดเป็นบุญคือความรู้แจ้งเข้ามาแทนที่ เมื่อพระองคุลิมาลมีความรู้แจ้งแล้ว ประกอบกับพระองคุลิมาลเป็นผู้ที่มีความเพียรเป็นอย่างยิ่ง บาปกรรม(ความไม่รู้)ที่ผ่านมาจึงไม่สามารถที่จะมาขวางกั้นความเป็นพระอรหันต์ของพระองคุลิมาลได้ สติปัญญาและความเพียรนี่เองที่ทำให้พระองคุลิมาลปฏิบัติธรรมจนสามารถเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิดและหยุดความคิดได้ พระองคุลิมาลจึงสามารถเอาชนะใจตนเอง ดับอารมณ์ ดับกิเลส ดับตัญหา ฯลฯ จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
เพื่อน - หลังจากที่องคุลิมาลได้บวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ต้องเข้าไปบิณฑบาตตาม หมู่บ้านทุกวัน แต่กลับถูกชาวบ้านที่เป็นพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมีย ญาติมิตร ฯลฯ ของคนที่เคยถูกองคุลิมาลฆ่าตายไป ใช้ก้อนหินขว้างใช้ไม้ตีพระองคุลิมาลหัวล้างข้างแตกกลับวัดมาทุกวัน ถ้าเป็นเรื่องจริงพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมีย ญาติมิตร ฯลฯ ของคนที่องคุลิมาลเคยฆ่าตายไปคงจะไม่ใช้ก้อนหินขว้างหรือใช้ไม้ตีพระองคุลิมาลหรอก พวกเขาคงใช้มีดฟันพระองคุมาลให้ตายไปแล้ว จะได้สาสมกับความแค้นที่องคุลิมาลได้เคยฆ่าคนที่พวกเขารักเอาไว้แล้วถ้าเป็นเรื่องจริง พระองคุลิมาลที่ถูกชาวบ้านมาทำร้ายร่างกายทุกวันย่อมต้องมีความโกรธแค้นขึ้นมาบ้างและต้องทำร้ายชาวบ้านกลับไปเพื่อเป็นการป้องกันตัว แต่เพราะว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา จึงแต่งให้พระองคุลิมาลทนยอมให้ชาวบ้านทำร้ายร่างกายอยู่ได้ทุกวัน โดยไม่มีความโกรธแค้นและไม่มีการตอบโต้เพื่อป้องกันตัวเลย
ผู้เขียน - ชาวบ้านเหล่านั้นล้วนเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนชาวพุทธเอาไว้ในศีลข้อ 1 ว่า ห้ามฆ่าคน ชาวพุทธในสมัยนั้นนับถือพระพุทธเจ้ามาก จึงเชื่อฟังและปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมาทุกประการ ถึงได้ไม่มีใครลงมือฆ่าพระองคุลิมาล
เลย พวกเขาเพียงแต่ทำร้ายร่างกายพระองคุลิมาลเพื่อระบายความแค้นบ้างเท่านั้น ส่วนองคุลิมาลเมื่อได้บวชเป็นพระแล้ว ก็ได้ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัดจริงจัง จนทำให้พระองคุลิมลสามารถเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิดและหยุดความคิดได้ ทำให้พระองคุลิมาลเกิดมีปัญญาคิดขึ้นมาได้ว่า เราเคยหลงผิดไปฆ่าพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมีย ญาติมิตร ฯลฯ ของพวกเขาเอาไว้ ทำให้พ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมีย ญาติมิตร ฯลฯ ของพวกเขาเกิดความโกรธแค้น เขาเลยมาแก้แค้นกับเราในยามนี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วพระองคุลิมาลก็ปลงได้ จึงไม่โกรธแค้นและไม่ได้ทำร้ายชาวบ้านเหล่านั้นเป็นการตอบโต้เพื่อป้องกันตัว แต่ถ้าพระองคุลิมาลยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมจนเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิด และหยุดความคิดได้ พระองคุลิมาลก็ต้องคิดไปว่า เราคือจอมโจรองคุลิมาลไม่เคยยอมแพ้ใคร ฆ่าคนตายมาแล้วมากมาย พวกเจ้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ไม่มีวิชาอาวุธ ยังจะมาทำร้ายเราอีกเดี๋ยวเราฆ่าให้ตายหมดซะเลย ถ้าพระองคุลิมาลคิดขึ้นมาอย่างนี้ ก็จะทำให้พระองคุลิมาลเกิดมีความโกรธขึ้นมา แล้วลงมือทำร้ายชาวบ้านกลับไปเพื่อเป็นการป้องกันตัว พระองคุลิมาลก็จะไม่มีวันที่จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์เลย เพราะว่ายังไม่สามารถเอาชนะความคิดที่เป็นต้นเหตุของความโกรธได้ แต่เพราะว่าพระองคุลิมาลศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจนสามารถเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิดและหยุดความคิดได้แล้ว พระองคุลิมาลก็สามารถเอาชนะใจตนเอง ควบคุมอารมณ์ ดับกิเลส ดับตัญหา ฯลฯ เอาไว้ได้จนหมดสิ้น จึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้าได้ในที่สุด
เพื่อน - องคุลิมาลฆ่าคนตายแล้วตัดเอานิ้วมือมาร้อยเป็นพวงมาห้อยคอไว้นั้น มีถึง
ผู้เขียน - องคุลิมาลคงมีกรรมวิธีที่จะทำให้นิ้วมือเหล่านั้นไม่เน่าเปื่อยได้ เช่น เอานิ้วไปใส่เกลือแล้วตากแดด เหมือนการทำเนื้อเค็ม นิ้วถึงได้ไม่เน่า
เพื่อน - เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ฤทธิ์ปราบมารก็ไม่จริง เพราะตั้งแต่กูเกิดมา กูก็ไม่เคยเห็นมารตัวเป็น ๆ หรือมารที่ตายไปแล้วเลย แม้แต่ซากฟอสซิลของมารกูก็ไม่เคยเห็น กูเคยถามพ่อ แม่ ปู่ย่า ตา ยายว่าเคยเห็นมารกันมาบ้างไหม ก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีใครเคยเห็นมารกันเลย ถ้ามารมีตัวตนจริง ๆ ประวัติศาสตร์คงจารึกเรื่องของมารเอาไว้บ้างแล้วล่ะ แต่เพราะมารเป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมา มันจึงไม่มีมารจริง ๆ ให้พระพุทธเจ้าปราบ
ผู้เขียน - มารในพุทธประวัตินั้นมีจริงแน่นอน กูขอยืนยัน แต่เป็นมารทางความคิดต่างหาก ไม่ใช่มารที่แต่งขึ้นมาจากจินตนาการหรอก ความคิดที่เป็นอกุศล ความคิดที่ไม่ดี ความคิดที่ชั่วร้าย ฯลฯ ล้วนเป็นมารทั้งสิ้น และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิด หยุดความคิดได้แล้ว พระองค์ก็ทรงสามารถเอาชนะความคิดได้ ทำให้พระองค์ทรงปราบมารทางความคิดได้ด้วย
เพื่อน - แล้วลูกสาวมารทั้ง 3 คน ที่มาแก้ผ้ายั่วยวนพระพุทธเจ้าให้ทรงเสียสมาธินั้นก็ไม่จริง ไร้สาระ เพราะพระพุทธเจ้ามักจะทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ตามป่า แล้วในป่าจะมีผู้หญิงสาวที่ไหนมาแก้ผ้ายั่วยวนพระพุทธเจ้า แล้วยั่วยวนพระพุทธเจ้าไปเพื่ออะไร ไม่เห็นจะมีเหตุผลเลย
ผู้เขียน - เรื่องนี้เป็นปริศนาธรรมแน่นอน ลูกสาวมารทั้ง 3 คนนั้นมีชื่อว่า นางตัญหา นางราคะ และนางอรดี
ตัญหา แปลว่า ความอยาก ความใคร่ทางกาม
ราคะ แปลว่า ความกำหนัด(ความต้องการทางเพศ)
อรดี แปลว่า ความริษยา ความไม่ยินดี
ตัณหาราคะ เป็นความรู้สึกต้องการทางเพศตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับพระวรกายของพระพุทธเจ้า แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสามารถอดกลั้นความอยากความใคร่ทางกามเอาไว้ได้ ตัญหาราคะก็ต้องพ่ายแพ้ไป ความต้องการทางเพศนั้น แม้มันจะรุนแรง แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปได้เอง แล้วมันก็จะกลับมาเกิดดับเกิดดับ วนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดระยะเวลาที่มนุษย์อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ เมื่อความต้องการทางเพศมันเกิดขึ้นมา เราก็ไม่ต้องไปกินยาหรือไปให้หมอรักษา เพราะความต้องการทางเพศถึงมันจะรุนแรง แต่มันก็ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของคนเราเลย ถ้าเราสามารถอดกลั้นเอาไว้ได้สักระยะหนึ่งมันก็จะดับไปได้เอง แล้วมันก็จะกลับมาเกิดใหม่ได้อีก เพราะว่าเป็นธรรมชาติของมัน
ส่วนอรดีนั้นคือความริษยา ความไม่ยินดีที่มีต้นเหตุมาจากความคิด แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสามารถเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิดและหยุดความคิดได้แล้ว ความริษยาก็ไม่สามารถปรุงแต่งต่อไปได้ อรดีก็ต้องพ่ายแพ้ไป
เพื่อน - แล้วเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จเหาะไปเทศโปรดพระราชมารดาที่สิ้นพระชนม์ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะบนโลกนี้นอกจากสัตว์ที่มีปีกแล้ว ไม่มีสัตว์ชนิดใดจะเคลื่อนที่ไปในอากาศสวนแรงดึงดูดของโลกได้ มีแต่เรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาเท่านั้นถึงจะ ทำให้คนธรรมดาที่ไม่มีปีกเหาะได้ ในสมัยนั้นผู้แต่งเรื่องพระพุทธเจ้าคิดเอาเองว่า สวรรค์คงต้องอยู่บนท้องฟ้าอย่างแน่นอน เพราะว่าคนเมื่อ
สมัยสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน ไม่มีใครสามารถขึ้นไปบนท้องฟ้าได้เลย ทำให้บนท้องฟ้าจึงเป็นที่เร้นลับของผู้คนสมัยนั้น ผู้แต่งจึงได้จินตนาการให้พระพุทธเจ้าทรงเหาะได้ เพื่อที่จะได้เหาะไปหาพระราชมารดาที่ประทับอยู่บนสวรรค์ได้ และคนแต่งก็คาดไม่ถึงว่า อีกสองพันห้าร้อยกว่าปีต่อมา มนุษย์จะสามารถขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วออกไปอยู่นอกโลกได้ (สถานีอวกาศ) ทำให้มนุษย์สมัยปัจจุบันได้ค้นพบว่าบนท้องฟ้านั้นไม่มีสวรรค์อยู่จริง พระราชมารดาของพระพุทธเจ้าต้องไม่ได้ประทับอยู่ที่สวรรค์บนท้องฟ้าแน่นอน แต่ถ้าพระพุทธเจ้าจะทรงเสด็จไปเทศโปรดพระราชมารดาที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว และอยู่กันคนละภพภูมิกับพระพุทธเจ้าได้ ผู้แต่งควรจะต้องแต่งเรื่องเสียใหม่โดยให้พระพุทธเจ้าทรงหายตัวได้แทนการเหาะจะเหมาะกว่า เพราะจะได้เป็นการหายตัวข้ามภพข้ามชาติไปถึงสวรรค์ที่พระราชมารดาประทับอยู่ได้ นี่เป็นข้อผิดพลาดของผู้แต่ง ที่จินตนาการเอาเองว่าสวรรค์อยู่บนท้องฟ้า แล้วคงไม่มีวันที่ใครจะสามารถมาพิสูจน์ได้อย่างแน่นอน เพราะว่าคนในสมัยนั้นไม่มีใครสามารถขึ้นไปบนท้องฟ้าได้
ผู้เขียน - ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะที่สามารถใช้ดับทุกข์ให้กับคนธรรมดา ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เท่านั้น ส่วนพระราชมารดาของพระพุทธเจ้า เมื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ทำให้ความทุกข์ทางกายและความทุกข์ทางใจนั้นดับหมดไปแล้วไม่มีเหลือ ไม่จำเป็นที่พระพุทธเจ้าจะต้องเสด็จไปเทศโปรดพระราชมารดาของพระองค์เลย เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับคนที่ตายไปแล้ว ถึงแม้พระราชมารดาของพระพุทธเจ้าจะได้ฟังเทศธรรมะจากพระพุทธเจ้า ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับพระองค์เลย
เพื่อน - แล้วเรื่องศีลข้อ 1 ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามฆ่าสัตว์นั้นก็ไม่มีเหตุผล เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุผล ถ้าพระพุทธเจ้าทรงห้ามฆ่าสัตว์ แล้วชาวพุทธในสมัยพุทธกาลเขาจะกินอะไรเป็นอาหาร เพราะแม้แต่ชาวพุทธในปัจจุบันนี้ก็ยังคงต้องกินอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์กันอยู่เลย ถ้าพระพุทธเจ้าทรงห้ามฆ่าสัตว์จริง ชาวพุทธในสมัยพุทธกาลคงจะมีความยากลำบากในการหาอาหารกินไม่ใช่น้อย การห้ามฆ่าสัตว์เป็นเรื่องที่เขาแต่งนมา เพราะว่าผู้แต่งอยากให้ชาวพุทธมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ทำบาป โดยลืมนึกถึงความป็นจริงที่ว่าชาวพุทธจะกินอะไรเป็นอาหารถ้าไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีเหตุผลเลยในข้อนี้
ผู้เขียน - พระพุทธเจ้าทรงรู้ว่าสัตว์ที่เกิดมาบนโลกนี้ ล้วนเกิดมาเพื่อเป็นห่วงโซ่อาหารทั้งสิ้นรวมทั้งคนเราด้วย ในสมัยที่มนุษย์ยังคงดำรงชีวิตอยู่ในป่าเขาตามธรรมชาติเหมือนกับสัตว์ป่าทั่วๆ ไป มนุษย์ในสมัยนั้นยังไม่มีอาวุธ มนุษย์ได้ถูกธรรมชาติจัดให้อยู่ในช่วงกลางของห่วงโซ่อาหารคือ มนุษย์สามารถจับสัตว์ที่เล็กกว่ากินเป็นอาหารได้แต่มนุษย์
ก็ต้องถูกสัตว์นักล่าที่แข็งแรงกว่าจับกินเป็นอาหารได้เหมือนกัน แต่เมื่อมนุษย์สามารถพัฒนาตนเองจนสร้างอาวุธขึ้นมาได้ ทำให้ไม่มีสัตว์นักล่าชนิดใดมากินมนุษย์เป็นอาหารได้เลย มนุษย์จึงได้ขึ้นมาอยู่ชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร ทำให้มนุษย์สามารถกินสัตว์ทุกชนิดบนโลกนี้ได้ด้วยการใช้อาวุธฆ่า
เพื่อน - ก็ในเมื่อพวกสัตว์มันต้องเกิดมาเพื่อเป็นอาหารอยู่แล้ว แล้วพระพุทธเจ้าจะไปทรงห้ามฆ่าสัตว์กินทำไม ถ้าไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นมา
ผู้เขียน - ในฐานะที่มึงยังไม่เคยบวช แล้วก็คงจะไม่บวชด้วย มึงรู้ไหมว่าการบิณฑบาตของพระสงฆ์ในตอนเช้านั้นเขาเรียกว่าอะไร
เพื่อน - กูไม่เคยบวชแต่กูเรียนหนังสือมาเหมือนกัน ครูสอนว่าการบิณฑบาตของพระสงฆ์นั้น เขาเรียกว่า การโปรดสัตว์
ผู้เขียน - ถูกต้อง เก่งมาก แล้วมึงเคยเห็นสัตว์ตัวไหนมนใส่บาตรพระได้บ้างล่ะ
ผลงานอื่นๆ ของ juthanui ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ juthanui
ความคิดเห็น