ปฏิวัติธรรมะสูงสุดของพระพุทธเจ้า - นิยาย ปฏิวัติธรรมะสูงสุดของพระพุทธเจ้า : Dek-D.com - Writer
×

    ปฏิวัติธรรมะสูงสุดของพระพุทธเจ้า

    การเกิดเป็นทุกข์ การเจ็บป่วยเป็นทุกข์ และการตายก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่อยากเป็นทุกข์ต้องอ่านบทความนี้

    ผู้เข้าชมรวม

    774

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    774

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  1 ก.ย. 66 / 17:57 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    คำนำ

     

                            หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาโดยใช้หลัก Learning by doing  จึงอาจทำให้ไม่เหมือนกับหนังสือธรรมะทั่ว ๆ ไป  พระพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนเอาไว้ว่า  การเกิดเป็นทุกข์ ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์  ความแก่ชราเป็นทุกข์และความตายเป็นทุกข์  เมื่อคนเราเกิดมาแล้ว จะไม่เจ็บป่วย  ไม่แก่และไม่ตายไม่ได้ เป็นธรรมดาของคนที่เกิดมาแล้วต้องพบเจอและหนีไม่พ้น  แต่การเกิดนั้นสามารถป้องกันได้  ผู้ที่ไม่อยากจะเกิดเขาไม่สามารถป้องกันการเกิดให้กับตัวของเขาเองได้  เขาต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่คิดจะมีลูก  ว่าจะเลือกที่จะช่วยเขาเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทรงช่วยเหลือหลานของพระองค์  หรือเลือกที่จะทำร้ายเขาโดยไม่เจตนา

                            มีแต่ผู้ที่อยากจะเป็นพ่อเป็นแม่เท่านั้น  ที่จะป้องกันไม่ให้เขาเกิดมาได้เพราะว่าการไม่เกิดมาบนโลกนี้ เป็นเคล็ดลับธรรมะขั้นสูงสุดของพระพุทธเจ้าที่เรานับถือ  นั่นก็คือ ปรินิพพาน (การไม่เกิด)

                            และการไม่เกิดยังสามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ด้วย  เพราะถ้าทุกคนบนโลกนี้ใช้วิธีคุมกำเนิดไม่ให้ลูกเกิดมาได้  บนโลกนี้ก็จะมีแต่คนที่ทยอยตายไปเรื่อย ๆ จะทำให้คนบนโลกนี้มีจำนวนลดน้อยลง  เมื่อคนลดน้อยลงกิจกรรมที่จะทำให้โลกร้อนก็น้อยลง  โลกก็จะร้อนน้อยลงไปโดยปริยาย  ยิ่งถ้าลูกของเราไม่ได้เกิดมาบนโลกนี้ ถึงโลกนี้จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นสักปานใดก็ตาม  ลูกของเราก็ไม่ต้องเดือดร้อนไปด้วยเลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                            ผู้เขียนถือกำเนิดเกิดมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธ  ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องนับถือศาสนาพุทธตามบิดามารดาไปด้วย  ทั้ง ๆ ที่ผู้เขียนยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ศาสนาพุทธนั้นมีข้อดีอย่างไรพ่อกับแม่ถึงได้เลือกที่จะนับถือศาสนานี้  ในสมัยที่ผู้เขียนมีอายุยังไม่เกิน 25 ปี ผู้เขียนมีปัญหาสับสนในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก  ชีวิตไม่มีความสงบสุขเลย  แต่เมื่อผู้เขียนได้ไปบวชเรียนเพื่อทดแทนพระคุณของบิดามารดาตามประเพณี  เมื่ออายุ 26 ปี อยู่ที่วัดสนามใน  ทำให้ผู้เขียนได้ศึกษาธรรมะในศาสนาพุทธอย่างจริงจังจากหลวงพ่อเทียน  จนทำให้สามารถเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าได้อย่างแจ่มแจ้งไม่มีข้อสงสัยเลย  นับว่าเป็นโชคดีที่ผู้เขียนได้เกิดมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธ  เพราะศาสนาพุทธนั้นสามารถให้คำตอบกับชีวิต ช่วยปลดทุกข์ออกจากใจได้  ทำให้ผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติพ้นทุกข์ไปได้จริง ๆ ผู้เขียนจึงได้ใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าในการดับทุกข์และใช้ในการดำเนินชีวิตตลอดมา  รวมทั้งทำให้ผู้เขียนไม่ได้ก่อกรรมทำเวรกับลูกด้วยการคุมกำเนิดไม่ให้เขาเกิดมาเป็นทุกข์ด้วย

                            วันหนึ่งเมื่อปี พ.. 2550 ผู้เขียนได้พบกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมฯ ห้องเดียวกัน  ซึ่งไม่เคยได้พบกันมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว  เขาเป็นคนที่ไม่เชื่อและไม่เคยนับถืออะไรเลย  แม้แต่พระพุทธเจ้าเขาก็ไม่นับถือ  เขานับถือศาสนาพุทธแต่เพียงในทะเบียนบ้านเท่านั้น  หลังจากที่ได้พูดคุยถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว  เขาก็ถามผู้เขียนว่า ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่  ผู้เขียนก็ตอบเขาไปว่า ไม่ได้ทำงานอะไรแต่ปฏิบัติธรรมอยู่กับบ้านอย่างเดียว

    เพื่อน     -      มึงเป็นบ้าไปแล้วหรือ  งานการไม่ทำแต่กลับไปงมงายกับศาสนาอยู่ได้ ปฏิบัติธรรมแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา

    ผู้เขียน   -      กูเคยมีความทุกข์มาก  แต่เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วทำให้สามารถดับทุกข์ได้

    เพื่อน     -      มึงเชื่อหรือว่าพระพุทธเจ้านั้นมีจริง  กูว่าพระพุทธเจ้าไม่มีจริง ๆ หรอก  พระพุทธเจ้าเป็นเพียงเรื่องที่นักปราชญ์เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อนเขาแต่งขึ้นมา  เพื่อใช้สั่งสอนอบรมผู้คนในสมัยนั้นให้ประพฤติตนเป็นคนดี บ้านเมืองจะได้สงบสุขไม่วุ่นวายเท่านั้นเอง  เขาแต่งขึ้นมาจากจินตนาการเหมือนกับเรื่องรามเกียรติ์ที่มีพระรัก  พระราม  นางสีดา  ทศกัณฐ์ หนุมาน ฯลฯ  จนทำให้คนเชื่อไปแล้วว่า ทศกัณฐ์ หนุมาน ฯลฯ มีอยู่จริง ๆ แล้ว เช่นเดียวกับศาสนาพราหมณ์ที่มีเทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ มากมายหลายองค์ ซึ่งเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาจากจินตนาการของคนสมัยก่อนเหมือนกัน จนทำให้ผู้คนที่นับถือเชื่อแล้วว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมีตัวตนอยู่จริง  ทั้ง ๆ ที่ทุกวันนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่ามีอยู่จริง  คนก็เชื่อถือเคารพบูชากราบไหว้อ้อนวอนขอนั่นขอนี่ตั้งแต่อดีตมาจนถึงทุกวันนี้  และเป็นเพราะว่าเทพเจ้าเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมาจากจินตนาการนี่เอง  จึงทำให้ผู้คนที่นับถือไม่สามารถพ้นทุกข์  นิพพานไปได้เลยสักคนเดียว

     

     

                                    พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน มีอย่างที่ไหน เมื่อคลอดออกมาจากพระครรภ์ของมารดาแล้วเดินได้ 7 ก้าว  แล้วทำไมไม่เดินต่อ  หรือเมื่อเดินครบ 7 ก้าวแล้วกลับไปนอนแบเบาะเหมือนเด็กทารกทั่ว ๆ ไป  ที่กูเคยเห็นมามีแต่สัตว์พวกที่กินหญ้าเท่านั้น  ที่เมื่อพวกมันคลอดออกมาจากท้องแม่ของมันแล้วก็เดินได้เลย  นั่นก็เป็นเพราะว่าธรรมชาติได้สร้าง ให้พวกมันแข็งแรงตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ของมันแล้ว  เมื่อคลอดออกมาพวกมันก็แข็งแรงพอที่จะเดินและวิ่งได้เลย  เป็นเพราะพวกมันจำเป็นต้องหนีสัตว์นักล่าที่จะมาคอยกินมันเป็นอาหารให้ทัน  ส่วนลูกของมนุษย์เมื่อแรกเกิดมาตายังไม่ลืมมองทางไม่เห็น คอก็ยังไม่แข็ง ขาก็ยังไม่มีแรง  การทรงตัวก็ยังไม่ดีจะเดินได้อย่างไร  มีแต่เรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาเท่านั้นถึงจะทำให้เด็กทารกที่คลอดออกมาจากท้องของแม่แล้วเดินได้เลย  แล้วในแต่ละก้าวที่เดินไปยังมีดอกบัวมาคอยรองรับอีกนะ  ก็มีแต่เรื่องที่เขาได้แต่งขึ้นมาเท่านั้นแหละถึงจะทำให้มีดอกบัวที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนมาคอยรองรับอีกถึง 7 ดอก

    ผู้เขียน   -      กูก็ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเมื่อแรกคลอดออกมาจากพระครรภ์มารดาแล้วจะเดินได้ถึง 7 ก้าว แล้วในแต่ละก้าวยังมีดอกบัวมาคอยรองรับอีก  แต่กูคิดว่าการที่พระพุทธเจ้าเมื่อแรกคลอดออกมาแล้วสามารถเดินได้ถึง 7 ก้าว แล้วในแต่ละก้าวยังมีดอกบัวมาคอยรองรับนั้น  น่าจะเป็นปริศนาธรรมมากกว่า  แต่ว่าตอนนี้กูยังคิดไม่ออกว่าหมายความว่าอย่างไร

    เพื่อน     -      ส่วนวันวิสาขบูชาที่เป็นวัน ประสูติ  วันตรัสรู้และวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน จะมีก็แต่เรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาเท่านั้นถึงจะทำให้วัน ประสูติ วันตรัสรู้และวัน           ปรินิพพานตรงกันได้พอดิบพอดี  คนธรรมดา ๆ แค่วันเกิดกับวันตายยังยากที่จะตรงกัน      ได้เลย

    ผู้เขียน   -      อาจเป็นความบังเอิญก็ได้

    เพื่อน     -      วันมาฆบูชาก็เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นมา พระอรหันต์ตั้ง 1,250 องค์ จะคิด  เหมือนกันแล้วพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยมิได้นัดหมายไม่              ขาดไปเลยซักองค์เดียวได้อย่างไร

    ผู้เขียน   -      อาจเป็นความบังเอิญก็ได้

    เพื่อน    -        ที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทุกข์กิริยาอดข้าวปลาอาหารเป็นระยะเวลานานจนทำให้พระวรกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกจนเกือบที่จะสิ้นพระชนม์อยู่แล้ว  แต่เมื่อ       พระองค์ได้ทรงล้มเลิกการบำเพ็ญทุกข์กิริยา  แล้วพระองค์ได้ทรงฉันท์ข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวาย  ซึ่งเป็นอาหารมื้อแรกหลังจากที่ได้ทรงอดอาหารมานานเพียงมื้อเดียวเท่านั้นจะทำให้พระองค์ทรงมีพลกำลังปฏิบัติธรรมจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร

     

     

    ผู้เขียน   -      พระพุทธเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องทรงใช้พลกำลังมากมายอะไรเลยในการปฏิบัติธรรมเพราะว่าในการปฏิบัติธรรมของพระองค์นั้น พระองค์เพียงแต่ทรงประทับนั่งนิ่ง ๆ อยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์   แล้วพระองค์ก็ทรงใช้พระสติปัญญานึกทบทวนความคิดถึงวิธีการที่จะดับทุกข์ให้ได้  พระองค์ได้ทรงศึกษาความคิดอยู่เป็นเวลานาน จนทำให้พระองค์ทรงรู้แจ้งถึง ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ และมรรค  เมื่อพระองค์ทรงศึกษาความคิดจนพระองค์ทรงสามารถเห็นความคิด  รู้ทันความคิด ควบคุมความคิด  และหยุดความคิด อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจได้แล้ว พระองค์จึงได้ทรงดับทุกข์ ดับกิเลส ดับตัญหา ฯลฯ จนสิ้นเชิง แล้วทรงตรัสรู้ได้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา

    เพื่อน     -      การที่พระพุทธเจ้าทรงตัดสินพระทัยที่จะล้มเลิกการบำเพ็ญทุกข์กิริยาในวันใดนั้น ไม่มีใครเคยรู้มาก่อนเลยว่าพระองค์จะทรงเลิกอดอาหารวันใด แล้วนางสุชาดาจะรู้ได้อย่างไรว่าพระพุทธเจ้าจะทรงเริ่มฉันท์อาหารแล้ว  ถึงได้ทำข้าวมธุปายาสมาถวายในวันที่พระพุทธเจ้าจะทรงฉันท์อาหารพอดีถ้าไม่ใช่เรื่องที่เขาแต่งขึ้นมา

    ผู้เขียน   -      นางสุชาดานั้นได้ทำข้าวมธุปายาสมาถวายพระพุทธเจ้าเป็นปกติทุกวันอยู่แล้ว นับตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าทรงเริ่มบำเพ็ญทุกข์กิริยาอดข้าวปลาอาหาร แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะมิได้ทรงฉันท์ข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวายเลยสักครั้งเดียวก็ตาม แต่นางสุชาดาก็ยังคงทำข้าวมธุปายาสมาถวายพระพุทธเจ้าเป็นประจำทุกวัน จนกระทั่งถึงวันที่พระพุทธเจ้าทรงล้มเลิกการบำเพ็ญทุกข์กิริยาแล้วจะทรงเริ่มฉันท์อาหาร นางสุชาดาก็ได้ทำข้าวมธุปายาสมาถวายพระพุทธเจ้าเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงฉันท์ข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวายเป็นมื้อแรก หลังจากที่ได้ทรงอดอาหารมานานแล้วจนทำให้พระองค์ทรงตรัสรู้ได้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่นางสุชาดาบังเอิญนำอาหารมาถวายพระพุทธเจ้าในวันที่พระองค์จะทรงเลิกบำเพ็ญทุกข์กิริยาเพียงวันเดียวเท่านั้น

    เพื่อน     -      แล้วเรื่องที่พระพุทธเจ้า ทรงฉันท์ข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดานำมาถวาย เมื่อทรงฉันท์เสร็จแล้วแทนที่จะเอาถาดใส่อาหารคืนเจ้าของเขาไป  กลับเอาถาดใส่อาหารของเขาไปอธิษฐานที่ริมแม่น้ำว่า  ถ้าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำไป  แต่ถ้าจะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ขอให้ถาดลอยตามน้ำไป   สิ้นคำอธิษฐานถาดก็ลอยทวนน้ำไปได้ระยะหนึ่งแล้วก็จมลง มีอย่างที่ไหนฉันท์ข้าวของเขาแล้ว ยังเอาถาดของเขาไปลอยน้ำทิ้งเสียอีกไม่เกรงใจนางสุชาดาเขาบ้างเลยหรือไง ไม่มีเหตุผล  ไม่เชื่อมึงลองเอาถาดไปอธิษฐานแบบพระพุทธเจ้าที่ริมแม่น้ำว่า ถ้าชาตินี้มึงต้องตายก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำไป  แต่ว่าถ้าชาตินี้มึงจะไม่ต้องตายก็ขอให้ถาดลอยตามน้ำไป  รับรองได้ว่าถาดต้องลอยตามน้ำไป ถาดไม่มีวันที่จะลอยทวนน้ำไปได้  แล้วชาตินี้มึงก็ต้องตายอย่างแน่นอน  การที่ถาดลอยทวนน้ำไปได้นั้นเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาแน่ ๆ

    ผู้เขียน   -      การที่พระพุทธเจ้าทรงเอาถาดใส่อาหารไปอธิษฐานที่ริมแม่น้ำ  แล้วถาดสามารถลอยทวนน้ำไปได้นั้น  กูก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้  แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้น่าจะเป็นปริศนาธรรมมากกว่า  ถาดไม่ได้ลอยทวนน้ำไปจริง ๆ แต่เป็นพระพุทธเจ้าต่างหาก  ที่ประพฤติปฏิบัติ   พระองค์ทวนกระแสกิเลส ถาดหมายถึงตัวพระพุทธเจ้า  ส่วนกระแสน้ำนั้นหมายถึงกระแสกิเลส  การที่พระพุทธเจ้าทรงสามารถปฏิบัติพระองค์ทวนกระแสกิเลสไปได้นี่เองที่ทำให้พระองค์ทรงดับทุกข์แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด

    เพื่อน     -      แล้วเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทุกข์กิริยา  ด้วยการอดอาหารจนผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทรงกลั้นลมหายใจเข้าออกจนลมออกหู  ทรงประทับนั่งนิ่ง ๆ ไม่เคลื่อนไหวจนแมงมุมชักใยที่พระวรกายของพระองค์  ทรงกำมือแน่นไม่ยอมแบเป็นเวลานานจนเล็บงอกทะลุหลังมือ ฯลฯ จะเป็นไปได้อย่างไร คนธรรมดา ๆ คงทนไม่ไหวต้องตายไปแล้ว  แต่เพราะว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาจึงทำให้พระองค์ยังไม่สิ้นพระชนม์

    ผู้เขียน   -      พวกโยคีในประเทศอินเดียสมัยก่อนเขาก็ทำกันได้

    เพื่อน     -      ส่วนตอนที่พระพุทธเจ้ามาพบองคุลิมาลที่จะมาฆ่าพระองค์เพื่อตัดเอานิ้วมือของพระองค์  พระองค์ทรงหยุดอยู่เฉย ๆ แต่องคุลิมาลกลับไล่ฟันไม่ทัน จะเป็นไปได้ยังไง  ถ้าพระพุทธเจ้าทรงหยุดอยู่เฉย ๆ องคุลิมาลคงฆ่าตายไปแล้ว แต่เพราะว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา  แม้พระพุทธเจ้าจะทรงหยุดอยู่เฉย ๆ แต่องคุลิมาลก็ยังไล่ไม่ทัน

    ผู้เขียน   -      องคุลิมาลเป็นคนที่ฉลาด  มีความมุ่งมั่นสูง  แต่หลงผิดฆ่าคนเพราะว่าถูกอาจารย์หลอกมา         ด้วยมีความศัทธาในตัวของอาจารย์อย่างมากจึงหลงเชื่อ  เมื่อองคุลิมาลมาพบกับพระพุทธเจ้าโดยบังเอิญ  ซึ่งถ้าองคุลิมาลสามารถฆ่าพระพุทธเจ้าได้ ก็จะทำให้ครบพันคนตามที่อาจารย์หลอกมา  เพื่อที่จะฆ่าพระพุทธเจ้าให้ได้  องคุลิมาลจึงขู่ให้พระพุทธเจ้าหยุด  แต่พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่า  ถ้าขืนหยุดตามคำขู่ขององคุลิมาล พระองค์ต้องถูกองคุลิมาลฆ่าตายอย่างแน่นอน พระองค์จึงได้ทรงออกวิ่งหนีองคุลิมาล  แล้วร้องตะโกนบอกองคุลิมาลไปด้วยว่า  เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด  ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงวิ่งอยู่แท้ๆ  แต่องคุลิมาลหยุดอยู่เฉย ๆ ด้วยความที่องคุลิมาลเป็นคนฉลาดเมื่อได้ยินดังนั้นก็เกิดปัญญาแล้วอยากรู้ว่า เราหยุดแล้ว(เราหยุดกิเลส ตัญหา หยุดเบียดเบียนสัตว์แล้ว)แต่ท่านยังไม่หยุด(ไม่หยุดกิเลส ไม่หยุดตัญหา ไม่หยุดเบียดเบียนสัตว์)  ของพระพุทธเจ้านั้นหมายความว่าอย่างไร  และเมื่อองคุลิมาลได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว  ก็เกิดดวงตาเห็นธรรมเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธเจ้า  แล้วเลิกฆ่าคนต่อไป  ขออุปสมบทเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแ ละได้ตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัดจริงจัง  จนในที่สุดได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ทั้ง ๆ ที่ได้ฆ่าคนตายไปมากมายแต่เป็นพระอรหันต์ได้เพราะความเพียร

    เพื่อน     -      แล้วเรื่องที่องคุลิมาลได้ฆ่าคนตายไปอย่างมากมายถึง 999 คน ซึ่งถือว่าเป็นการทำบาป                               อย่างมาก  คนที่มีบาปหนาขนาดนั้นจะสามารถสำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปได้อย่างไร                 แต่เพราะว่าเป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมา จึงได้แต่งให้คนที่แม้จะมีบาปหนาก็สามารถเป็น                              พระอรหันต์ได้

    ผู้เขียน   -      บาปคือความไม่รู้(โง่) บุญคือความรู้แจ้ง(ฉลาด) ที่องคุลิมาลหลงผิดฆ่าคนตายไปอย่างมากมาย  ก็เป็นเพราะความไม่รู้ เนื่องจากหลงเชื่อที่อาจารย์หลอกมา แต่เมื่อองคุลิมาลได้มาบวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจัง จนสามารถเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างแจ่มแจ้งโดยไม่มีข้อสงสัยเลย บาปคือความไม่รู้จึงได้สลายหายไปจากตัวของพระองคุลิมาลจนหมดสิ้น แล้วเกิดเป็นบุญคือความรู้แจ้งเข้ามาแทนที่  เมื่อพระองคุลิมาลมีความรู้แจ้งแล้ว ประกอบกับพระองคุลิมาลเป็นผู้ที่มีความเพียรเป็นอย่างยิ่ง  บาปกรรม(ความไม่รู้)ที่ผ่านมาจึงไม่สามารถที่จะมาขวางกั้นความเป็นพระอรหันต์ของพระองคุลิมาลได้ สติปัญญาและความเพียรนี่เองที่ทำให้พระองคุลิมาลปฏิบัติธรรมจนสามารถเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิดและหยุดความคิดได้ พระองคุลิมาลจึงสามารถเอาชนะใจตนเอง ดับอารมณ์ ดับกิเลส   ดับตัญหา ฯลฯ  จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

    เพื่อน     -      หลังจากที่องคุลิมาลได้บวชเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ต้องเข้าไปบิณฑบาตตาม         หมู่บ้านทุกวัน แต่กลับถูกชาวบ้านที่เป็นพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมีย ญาติมิตร ฯลฯ ของคนที่เคยถูกองคุลิมาลฆ่าตายไป ใช้ก้อนหินขว้างใช้ไม้ตีพระองคุลิมาลหัวล้างข้างแตกกลับวัดมาทุกวัน ถ้าเป็นเรื่องจริงพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมีย ญาติมิตร ฯลฯ ของคนที่องคุลิมาลเคยฆ่าตายไปคงจะไม่ใช้ก้อนหินขว้างหรือใช้ไม้ตีพระองคุลิมาลหรอก พวกเขาคงใช้มีดฟันพระองคุมาลให้ตายไปแล้ว  จะได้สาสมกับความแค้นที่องคุลิมาลได้เคยฆ่าคนที่พวกเขารักเอาไว้แล้วถ้าเป็นเรื่องจริง  พระองคุลิมาลที่ถูกชาวบ้านมาทำร้ายร่างกายทุกวันย่อมต้องมีความโกรธแค้นขึ้นมาบ้างและต้องทำร้ายชาวบ้านกลับไปเพื่อเป็นการป้องกันตัว  แต่เพราะว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา จึงแต่งให้พระองคุลิมาลทนยอมให้ชาวบ้านทำร้ายร่างกายอยู่ได้ทุกวัน โดยไม่มีความโกรธแค้นและไม่มีการตอบโต้เพื่อป้องกันตัวเลย

    ผู้เขียน   -      ชาวบ้านเหล่านั้นล้วนเป็นชาวพุทธ  พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนชาวพุทธเอาไว้ในศีลข้อ 1 ว่า ห้ามฆ่าคน  ชาวพุทธในสมัยนั้นนับถือพระพุทธเจ้ามาก จึงเชื่อฟังและปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมาทุกประการ   ถึงได้ไม่มีใครลงมือฆ่าพระองคุลิมาล

     

                            เลย  พวกเขาเพียงแต่ทำร้ายร่างกายพระองคุลิมาลเพื่อระบายความแค้นบ้างเท่านั้น ส่วนองคุลิมาลเมื่อได้บวชเป็นพระแล้ว ก็ได้ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัดจริงจัง จนทำให้พระองคุลิมลสามารถเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิดและหยุดความคิดได้ ทำให้พระองคุลิมาลเกิดมีปัญญาคิดขึ้นมาได้ว่า เราเคยหลงผิดไปฆ่าพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมีย ญาติมิตร ฯลฯ ของพวกเขาเอาไว้ ทำให้พ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมีย  ญาติมิตร ฯลฯ ของพวกเขาเกิดความโกรธแค้น เขาเลยมาแก้แค้นกับเราในยามนี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วพระองคุลิมาลก็ปลงได้  จึงไม่โกรธแค้นและไม่ได้ทำร้ายชาวบ้านเหล่านั้นเป็นการตอบโต้เพื่อป้องกันตัว แต่ถ้าพระองคุลิมาลยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมจนเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิด และหยุดความคิดได้ พระองคุลิมาลก็ต้องคิดไปว่า   เราคือจอมโจรองคุลิมาลไม่เคยยอมแพ้ใคร  ฆ่าคนตายมาแล้วมากมาย พวกเจ้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ไม่มีวิชาอาวุธ ยังจะมาทำร้ายเราอีกเดี๋ยวเราฆ่าให้ตายหมดซะเลย ถ้าพระองคุลิมาลคิดขึ้นมาอย่างนี้ ก็จะทำให้พระองคุลิมาลเกิดมีความโกรธขึ้นมา แล้วลงมือทำร้ายชาวบ้านกลับไปเพื่อเป็นการป้องกันตัว พระองคุลิมาลก็จะไม่มีวันที่จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์เลย  เพราะว่ายังไม่สามารถเอาชนะความคิดที่เป็นต้นเหตุของความโกรธได้  แต่เพราะว่าพระองคุลิมาลศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจนสามารถเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิดและหยุดความคิดได้แล้ว  พระองคุลิมาลก็สามารถเอาชนะใจตนเอง ควบคุมอารมณ์ ดับกิเลส ดับตัญหา ฯลฯ เอาไว้ได้จนหมดสิ้น จึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้าได้ในที่สุด

    เพื่อน     -      องคุลิมาลฆ่าคนตายแล้วตัดเอานิ้วมือมาร้อยเป็นพวงมาห้อยคอไว้นั้น มีถึง 999 นิ้ว เมื่อเวลาผ่านไปนิ้วมือเหล่านั้นย่อมต้องเน่าเปื่อยไปตามธรรมชาติ  แล้วองคุลิมาลจะทนเหม็นเน่า  ทนแมลงวันที่มาไต่ตอมนิ้วมือเน่า ๆ นั้นไปได้อย่างไร แต่เพราะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา จึงแต่งให้นิ้วมือเหล่านั้นไม่เน่าเปื่อย

    ผู้เขียน   -      องคุลิมาลคงมีกรรมวิธีที่จะทำให้นิ้วมือเหล่านั้นไม่เน่าเปื่อยได้ เช่น เอานิ้วไปใส่เกลือแล้วตากแดด เหมือนการทำเนื้อเค็ม นิ้วถึงได้ไม่เน่า

    เพื่อน     -      เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ฤทธิ์ปราบมารก็ไม่จริง  เพราะตั้งแต่กูเกิดมา กูก็ไม่เคยเห็นมารตัวเป็น ๆ หรือมารที่ตายไปแล้วเลย  แม้แต่ซากฟอสซิลของมารกูก็ไม่เคยเห็น กูเคยถามพ่อ        แม่  ปู่ย่า ตา ยายว่าเคยเห็นมารกันมาบ้างไหม  ก็ได้รับคำตอบว่าไม่มีใครเคยเห็นมารกันเลย  ถ้ามารมีตัวตนจริง ๆ   ประวัติศาสตร์คงจารึกเรื่องของมารเอาไว้บ้างแล้วล่ะ  แต่เพราะมารเป็นเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมา  มันจึงไม่มีมารจริง ๆ ให้พระพุทธเจ้าปราบ

     

     

    ผู้เขียน   -      มารในพุทธประวัตินั้นมีจริงแน่นอน  กูขอยืนยัน  แต่เป็นมารทางความคิดต่างหาก  ไม่ใช่มารที่แต่งขึ้นมาจากจินตนาการหรอก  ความคิดที่เป็นอกุศล  ความคิดที่ไม่ดี  ความคิดที่ชั่วร้าย  ฯลฯ  ล้วนเป็นมารทั้งสิ้น  และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิด  หยุดความคิดได้แล้ว  พระองค์ก็ทรงสามารถเอาชนะความคิดได้  ทำให้พระองค์ทรงปราบมารทางความคิดได้ด้วย

    เพื่อน     -      แล้วลูกสาวมารทั้ง 3 คน ที่มาแก้ผ้ายั่วยวนพระพุทธเจ้าให้ทรงเสียสมาธินั้นก็ไม่จริง ไร้สาระ  เพราะพระพุทธเจ้ามักจะทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ตามป่า  แล้วในป่าจะมีผู้หญิงสาวที่ไหนมาแก้ผ้ายั่วยวนพระพุทธเจ้า แล้วยั่วยวนพระพุทธเจ้าไปเพื่ออะไร  ไม่เห็นจะมีเหตุผลเลย

    ผู้เขียน   -      เรื่องนี้เป็นปริศนาธรรมแน่นอน  ลูกสาวมารทั้ง 3 คนนั้นมีชื่อว่า นางตัญหา  นางราคะ และนางอรดี

                                                    ตัญหา    แปลว่า   ความอยาก  ความใคร่ทางกาม

                                                    ราคะ      แปลว่า   ความกำหนัด(ความต้องการทางเพศ)

                                                    อรดี        แปลว่า   ความริษยา  ความไม่ยินดี

                                    ตัณหาราคะ เป็นความรู้สึกต้องการทางเพศตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับพระวรกายของพระพุทธเจ้า  แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสามารถอดกลั้นความอยากความใคร่ทางกามเอาไว้ได้   ตัญหาราคะก็ต้องพ่ายแพ้ไป  ความต้องการทางเพศนั้น แม้มันจะรุนแรง  แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้น  ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปได้เอง แล้วมันก็จะกลับมาเกิดดับเกิดดับ วนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดระยะเวลาที่มนุษย์อยู่ในวัยเจริญพันธุ์  เมื่อความต้องการทางเพศมันเกิดขึ้นมา  เราก็ไม่ต้องไปกินยาหรือไปให้หมอรักษา  เพราะความต้องการทางเพศถึงมันจะรุนแรง  แต่มันก็ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของคนเราเลย  ถ้าเราสามารถอดกลั้นเอาไว้ได้สักระยะหนึ่งมันก็จะดับไปได้เอง  แล้วมันก็จะกลับมาเกิดใหม่ได้อีก เพราะว่าเป็นธรรมชาติของมัน

                                    ส่วนอรดีนั้นคือความริษยา  ความไม่ยินดีที่มีต้นเหตุมาจากความคิด  แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสามารถเห็นความคิด รู้ทันความคิด ควบคุมความคิดและหยุดความคิดได้แล้ว ความริษยาก็ไม่สามารถปรุงแต่งต่อไปได้ อรดีก็ต้องพ่ายแพ้ไป

    เพื่อน     -      แล้วเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จเหาะไปเทศโปรดพระราชมารดาที่สิ้นพระชนม์ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว  ก็ไม่ใช่เรื่องจริง  เพราะบนโลกนี้นอกจากสัตว์ที่มีปีกแล้ว  ไม่มีสัตว์ชนิดใดจะเคลื่อนที่ไปในอากาศสวนแรงดึงดูดของโลกได้  มีแต่เรื่องที่เขาแต่งขึ้นมาเท่านั้นถึงจะ              ทำให้คนธรรมดาที่ไม่มีปีกเหาะได้  ในสมัยนั้นผู้แต่งเรื่องพระพุทธเจ้าคิดเอาเองว่า สวรรค์คงต้องอยู่บนท้องฟ้าอย่างแน่นอน เพราะว่าคนเมื่อ

     

     

                            สมัยสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อน  ไม่มีใครสามารถขึ้นไปบนท้องฟ้าได้เลย ทำให้บนท้องฟ้าจึงเป็นที่เร้นลับของผู้คนสมัยนั้น  ผู้แต่งจึงได้จินตนาการให้พระพุทธเจ้าทรงเหาะได้  เพื่อที่จะได้เหาะไปหาพระราชมารดาที่ประทับอยู่บนสวรรค์ได้  และคนแต่งก็คาดไม่ถึงว่า อีกสองพันห้าร้อยกว่าปีต่อมา   มนุษย์จะสามารถขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วออกไปอยู่นอกโลกได้ (สถานีอวกาศ) ทำให้มนุษย์สมัยปัจจุบันได้ค้นพบว่าบนท้องฟ้านั้นไม่มีสวรรค์อยู่จริง  พระราชมารดาของพระพุทธเจ้าต้องไม่ได้ประทับอยู่ที่สวรรค์บนท้องฟ้าแน่นอน  แต่ถ้าพระพุทธเจ้าจะทรงเสด็จไปเทศโปรดพระราชมารดาที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว  และอยู่กันคนละภพภูมิกับพระพุทธเจ้าได้  ผู้แต่งควรจะต้องแต่งเรื่องเสียใหม่โดยให้พระพุทธเจ้าทรงหายตัวได้แทนการเหาะจะเหมาะกว่า   เพราะจะได้เป็นการหายตัวข้ามภพข้ามชาติไปถึงสวรรค์ที่พระราชมารดาประทับอยู่ได้   นี่เป็นข้อผิดพลาดของผู้แต่ง ที่จินตนาการเอาเองว่าสวรรค์อยู่บนท้องฟ้า  แล้วคงไม่มีวันที่ใครจะสามารถมาพิสูจน์ได้อย่างแน่นอน  เพราะว่าคนในสมัยนั้นไม่มีใครสามารถขึ้นไปบนท้องฟ้าได้

    ผู้เขียน   -      ธรรมะของพระพุทธเจ้า  เป็นธรรมะที่สามารถใช้ดับทุกข์ให้กับคนธรรมดา ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เท่านั้น  ส่วนพระราชมารดาของพระพุทธเจ้า  เมื่อสิ้นพระชนม์ไปแล้ว  ทำให้ความทุกข์ทางกายและความทุกข์ทางใจนั้นดับหมดไปแล้วไม่มีเหลือ  ไม่จำเป็นที่พระพุทธเจ้าจะต้องเสด็จไปเทศโปรดพระราชมารดาของพระองค์เลย  เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับคนที่ตายไปแล้ว   ถึงแม้พระราชมารดาของพระพุทธเจ้าจะได้ฟังเทศธรรมะจากพระพุทธเจ้า  ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับพระองค์เลย

    เพื่อน     -      แล้วเรื่องศีลข้อ 1  ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามฆ่าสัตว์นั้นก็ไม่มีเหตุผล เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุผล  ถ้าพระพุทธเจ้าทรงห้ามฆ่าสัตว์ แล้วชาวพุทธในสมัยพุทธกาลเขาจะกินอะไรเป็นอาหาร  เพราะแม้แต่ชาวพุทธในปัจจุบันนี้ก็ยังคงต้องกินอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์กันอยู่เลย   ถ้าพระพุทธเจ้าทรงห้ามฆ่าสัตว์จริง  ชาวพุทธในสมัยพุทธกาลคงจะมีความยากลำบากในการหาอาหารกินไม่ใช่น้อย  การห้ามฆ่าสัตว์เป็นเรื่องที่เขาแต่งนมา เพราะว่าผู้แต่งอยากให้ชาวพุทธมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ทำบาป  โดยลืมนึกถึงความป็นจริงที่ว่าชาวพุทธจะกินอะไรเป็นอาหารถ้าไม่กินเนื้อสัตว์  ไม่มีเหตุผลเลยในข้อนี้

    ผู้เขียน       -  พระพุทธเจ้าทรงรู้ว่าสัตว์ที่เกิดมาบนโลกนี้ ล้วนเกิดมาเพื่อเป็นห่วงโซ่อาหารทั้งสิ้นรวมทั้งคนเราด้วย ในสมัยที่มนุษย์ยังคงดำรงชีวิตอยู่ในป่าเขาตามธรรมชาติเหมือนกับสัตว์ป่าทั่วๆ ไป มนุษย์ในสมัยนั้นยังไม่มีอาวุธ มนุษย์ได้ถูกธรรมชาติจัดให้อยู่ในช่วงกลางของห่วงโซ่อาหารคือ มนุษย์สามารถจับสัตว์ที่เล็กกว่ากินเป็นอาหารได้แต่มนุษย์

     

                            ก็ต้องถูกสัตว์นักล่าที่แข็งแรงกว่าจับกินเป็นอาหารได้เหมือนกัน แต่เมื่อมนุษย์สามารถพัฒนาตนเองจนสร้างอาวุธขึ้นมาได้ ทำให้ไม่มีสัตว์นักล่าชนิดใดมากินมนุษย์เป็นอาหารได้เลย มนุษย์จึงได้ขึ้นมาอยู่ชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร ทำให้มนุษย์สามารถกินสัตว์ทุกชนิดบนโลกนี้ได้ด้วยการใช้อาวุธฆ่า

    เพื่อน         -  ก็ในเมื่อพวกสัตว์มันต้องเกิดมาเพื่อเป็นอาหารอยู่แล้ว แล้วพระพุทธเจ้าจะไปทรงห้ามฆ่าสัตว์กินทำไม ถ้าไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นมา

    ผู้เขียน       - ในฐานะที่มึงยังไม่เคยบวช แล้วก็คงจะไม่บวชด้วย มึงรู้ไหมว่าการบิณฑบาตของพระสงฆ์ในตอนเช้านั้นเขาเรียกว่าอะไร

    เพื่อน     -      กูไม่เคยบวชแต่กูเรียนหนังสือมาเหมือนกัน ครูสอนว่าการบิณฑบาตของพระสงฆ์นั้น เขาเรียกว่า   การโปรดสัตว์

    ผู้เขียน   -      ถูกต้อง เก่งมาก แล้วมึงเคยเห็นสัตว์ตัวไหนมนใส่บาตรพระได้บ้างล่ะ

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น