***สายลมแห่งรัก*** - นิยาย ***สายลมแห่งรัก*** : Dek-D.com - Writer
×

    ***สายลมแห่งรัก***

    ชาญ เด็กหนุ่มอายุสิบห้า กำลังนั่งอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบในช่วงปลายภาคเรียนของเทอมหนึ่ง บริเวณริมระเบียงทางเดินชั้นสามของหอศิลป์ ชาญเป็นเด็กชายที่ขยันเรียน ไม่ค่อยเฮฮากับเพื่อนและสังคมสักเท่าไหร่ แต่มีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขาวางใจมากที่สุด

    ผู้เข้าชมรวม

    115

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    115

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  1 ก.ย. 66 / 17:57 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                    ชาญ เด็กหนุ่มอายุสิบห้า กำลังนั่งอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบในช่วงปลายภาคเรียนของเทอมหนึ่ง บริเวณริมระเบียงทางเดินชั้นสามของหอศิลป์ ชาญเป็นเด็กชายที่ขยันเรียน ไม่ค่อยเฮฮากับเพื่อนและสังคมสักเท่าไหร่ แต่มีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขาวางใจมากที่สุด ออมสินเพื่อนของชาญเป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ดีและชอบทำให้ชาญประหลาดใจอยู่หลายเรื่องจนถึงกับต้องโกรธกันในบางครั้ง ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่อยู่มัธยมหนึ่งแล้วหล่ะ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นเด็กหนุ่มสองคนเที่ยวเตร่ไปเรื่อยตามประสาวัยรุ่น ทั้งสองมักจะหากิจกรรมที่มีประโยชน์ทำในเวลาว่างอย่างเช่น การอ่านหนังสือสอบก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ทั้งสองมักชอบทำอยู่เสมอ
     หอศิลป์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่เด็กหนุ่มทั้งสองอาศัยอยู่ แวดล้อมด้วยขุนเขา ป่าไม้เขียวขจี
    ร่มรื่นรับกับแสงอาทิตย์อ่อนในฤดูหนาว ทำให้เมืองนี้ดูน่าอยู่เสียเหลือเกิน จริงๆแล้วชาญไม่ได้เป็นคนเมืองนี้ เพียงแต่ย้ายมากับครอบครัวที่ต้องโยกย้ายไปมาเนื่องจากเป็นครอบครัวข้าราชการกันหมดทั้งพ่อและแม่ ส่วนออมสินนั้นเป็นคนที่นี่ตั้งแต่กำเนิดจึงไม่แปลกใจเลยที่ออมสินจะรักเมืองนี้เอามากๆจนไม่อยากจะย้ายไปไหน
     "หิวข้าวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะชาญ" ออมสินบ่นขึ้ยมาเมื่อถึงเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว
     "เอาสิออมสิน ฉันก็หิวเหมือนกัน แต่จะไปที่ร้านไหนกันดีหล่ะ" ชาญเอ่ยถามขณะกำลัง
    เก็บข้าวของบนโต๊ะ
     "จะที่ไหนเสียอีกหล่ะ ก็ร้านเดิมไง"
     "อ๋อ เข้าใจแล้ว"
     ร้านเดิมที่ออมสินหมายถึงก็คือร้านเย็นตาโฟของป้าสมรที่อยู่ในซอยลึกเข้าไปทางด้าน
    หลังของหอสมุด ที่ประจำที่สองเกลอมักจะไปกันเมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เป็นร้านเย็นตาโฟที่ตกแต่งอย่างหรูหราแต่ราคาประหยัด และที่สำคัญก็คือทั้งสองตกหลุมรักการทำอาหารของป้าสมรจนต้องเบิ้ลไปหลายถ้วยเลยที่เดียว
     "สวัสดีครับป้าสมร เหมือนเดิมสองนะครับ" ชาญเอ่ยปากสั่ง
     "ได้จะพ่อหนุ่มขาประจำ แหมวันนี้พากันไปไหนเนี่ยถึงได้แวะมาร้านป้าได้" ป้าสมรกล่าว
    ถาม
     "ก็มาอ่านหนังสือสอบกันนะครับ อาทิตย์หน้าก็จะสอบแล้ว ต้องขยันหน่อยครับ" ออมสิน
    ตอบ
     "แหมพ่อหนุ่มสองคนนี่มันช่างขยันเอาการเอางานจริงๆนะ ขอให้ได้เกรดดีๆหล่ะพ่อคุณ ป้า
    เอาใจช่วย" ป้าสมรกล่าวขึ้นอย่างสนิทสนม
     "เกรดดียังไม่พอครับ ต้อง เอ เอ ด้วย" ออมสินกล่าวเสริม
     "จ๊ะ พ่อคุณ"
     วันนี้ที่ร้านป้าสมรก็คนแน่นเหมือนทุกวัน เป็นร้านที่ตกแต่งด้วยบรรยากาศสบายๆ มีต้นไม้
    ปลูกไว้อย่างร่มรื่นบวกกัมเฟอร์นิเจอร์ญี่ปุ่นราคาแพงที่ลูกชายส่งมาให้ จนหลายคนคิดว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น แต่เพราะด้วยฝีมือปลายจวักของป้าสมรไม่ธรรมดา จึงทำให้ร้านนี้มีลูกค้ามาอุดหนุนอยู่ตลอดไม่ขาดสาย 

     หลังจากที่ทั้งสองได้ทานอาหารมื้อเที่ยงอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว จึงบอกลาป้าสมรแล้วเดินไปตามทางลาดชันสู่หอศิลป์ที่มีต้นเมเปิ้ลผลัดใบสีแดงสวยงาม ทั้งสองมาแวะคุยกันถึงความไฝ่ฝันของตัวเองที่สนามเด็กเล่นก่อนจะไปอ่าหนังสือต่อ
     "ฉันอยากทำงานด้านศิลปะ เป็นนักวาดรูป ไม่งั้นก็ช่างปั้นฝีมือเอกก็ได้" ออมสินกล่าว
     "แต่ฉันว่างานด้านศิลปะสมัยนี้มันหาเงินยากนะ ทำไมไม่ลองทำงานในออฟฟิสเหมือนฉัน
    ล่ะ ได้เงินดีแล้วก็ไม่ต้องลงแรงอะไรมากด้วยนะ" ชาญพูดบ้าง
     "ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ฉันชอบการวาดรูปมากกว่านะ แต่ก็ขอบใจนายที่ให้หนทาง
    ดีๆกับฉัน ฉันจะเก็บไว้พิจารณา" ออมสินกล่าวพลางอมยิ้ม
     "เอาในสิ่งที่เราพอใจกับมันดีกว่า แล้วเราจะทำได้ดีที่สุด -- อาจจะเป็นเพราะฉันเป็นครอบ
    ครัวข้าราชการมั้ง ถึงได้มองแต่งานที่อยู่ในออฟฟิส ไม่แน่ถ้ามีสิ่งอื่นที่ฉันชอบเข้ามาทักทายฉัน ฉันอาจจะเลือกสิ่งนั้นก็ได้ นายอาจจะเห็นฉันเป็นนักเปียนโนมือเอกของประเทศก็ได้" ชาญพูด
     "นี่นายชอบเล่นเปียนโนหรือ ไม่เห็นบอกกันมั่งเลย" ออมสินกล่าว
     "เพราะฉันไม่มั่นใจตัวเองมากกว่า ว่าฉันชอบหรือเปล่า แต่วันนี้ฉันมั่นใจแล้ว ก็เลยบอก
    นายวันนี้ไง "
     "งั้นก็ยอดไปเลย ฉันก็ชอบเสียงเปียนโน ชอบมากด้วย ว่างๆนายเล่นให้ฉันฟังนะ"
     "เป็นพระคุณอย่างสูง คร้าบ" ชาญกล่าวพลางโค้งคำนับ พร้อมกับหัวเราะชอบใจที่ออมสิน
    ก็ชอบเหมือนกัน
     นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สองเกลอพูดคุยกันอย่างออกรสชาดได้ถึงขนาดนี้ มันอาจเป็นลักษณะ
    นิสัยที่ทั้งสองเข้ากันได้และถูกชะตากันตั้งแต่แรกเจอ จึงทำให้ทั้งสองสนิทกันมากจนตายแทนกันได้เลยทีเดียว ถ้าหากท่านผู้อ่านมีเพื่อนแบบนี้สักคนหรือสองคน ก็นับว่าท่านโชคดีมากทีเดียว

     หนึ่งวันนี้หมดไปกับการอ่านหนังสือสอบจนต้องกลับบ้านดึกกว่าปกติ แต่พ่อกับแม่ของทั้งสองก็เข้าใจและเชื่อใจเด็กทั้งสองพอสมควรว่าไม่ออกนอกลู่นอกทางแน่นอน และเนื่องจากเด็กทั้งสองเป็นคนที่เปิดเผย ไม่มีลับลมคมในให้ต้องสงสัยทำให้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของผู้ใหญ่ตลอดมา
     ก่อนนอนคืนนี้ ชาญขอภาวนาให้พระคุ้มครองให้ชีวิตปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งปวง และ
    ยังขอพรให้ครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรงก่อนนอนหลับฝันดีคืนนี้
     --
     เช้าวันรุ่งขึ้นได้สาดแสงส่องลงมาต้องเรือนกระจกห้องนอนของชาญทำเอาเขาสะดุ้งตื่น
    อย่างห้ามไม่ได้ พลางมองดูนาฬิกา ซึ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงที่โรงเรียนจะเข้าเรียน เขาจึงรีบตื่นอย่างลุกลี้ลุกลน พลางได้ยินเสียงคุณยายบ่นมาเป็นระยะๆ ส่วนพ่อแม่ของชาญนั้น ออกจากบ้านตั้งแต่เช้าก่อนชาญจะตื่นด้วยซ้ำ
     วันนี้รถเมล์สายที่ชาญขึ้นไปโรงเรียนเป็นประจำแออัดไปด้วยผู้คนอย่างล้นหลาม มันอาจ
    เป็นวันแรกของสัปดาห์ที่ผู้คนต้องเร่งรีบในชีวิตการทำงานทำเอาชาญต้องยืนไปตลอดทาง ระหว่างที่ส่งผู้คนลงที่ทำงานแต่ละที่ ก็เหลือที่ว่างอยู่บ้างพอให้ชาญนั่งพักผ่อนกาย โชคดีที่เบาะหลังสุดไม่มีใครนั่ง เขาจึงได้ที่นั่งสบายๆสมใจอยาก
     ตึกราบ้านช่องผ่านตาเขาไปอย่างเบลอๆ จู่ๆเขาก็รู้สึกเหมือนหน้าผากไปปะทะกับอะไร
    บางอย่างที่ยืดๆหยุ่นๆ พอรู้ตัวอีกทีเขาเพิ่งรู้ว่าเผลอหลับไปจนสับผงกไปชนเบาะนั่งที่อยู่ข้างหน้าเขามองเห็นแต่เพียงเด็กสาวผมยาวที่นั่งตรงเบาะหน้าเขาเท่านั้นไม่มีผู้โดยสารเลย เด็กสาวคนนั้นก็สะดุ้งตามไปด้วย เขามองไปข้างทางพลาง ขยี้ตามองทิวทัศน์รอบๆ เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเขามาไกลจากโรงเรียนมากแล้ว เขาไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงจึงถามเด็กผู้หญิงที่นั่งเบาะด้านหน้าเขา ชาญเพิ่งรู้ว่าเธอก็ใส่ชุดฟอร์มโรงเรียนเดียวกันกับชาญเหมือนกัน
     "ขอโทษครับ กี่โมงแล้ว" เด็กหญิงคนนั้นไม่ตอบพลางยื่นนาฬิกาให้ดู ราวกับเจอระเบิดอย่างไงอย่างงั้น จู่ๆชาญก็
    อุทานออกมาอย่างเสียไม่ได้ แล้วตะโกนบอกให้คนขับรถหยุดรถ
     "จอดก่อนครับ จอดก่อน" เขารีบเดินลงรถแล้วมองไปรอบๆเพื่อให้รู้ว่าเขามาไกลแค่ไหน แล้วเด็กหญิงคนนั้นก็เดิน
    ลงตามมา ชาญหันไปอีกทีรถเมล์คันนั้นก็ไปไกลเสียแล้ว เขาเริ่มหัวเสียมากกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปและหันมามองเด็กหญิงคนนั้นอย่างโกรธเคือง
     "ทำไมคุณไม่ปลุกผม คุณก็รู้ว่าเราโรงเรียนเดียวกัน" เขาพูดเสียงเขียว แต่เด็กหญิงคนนั้น
    ไม่ตอบ
     "รู้รึปล่าว ว่าวิชาแรกของวันนี้ผมต้องเรียนอะไร คณิตศาสตร์ที่ยากมหาหินจนผมต้องสอบ
    สองรอบกว่าจะผ่าน ทำไมคุณไม่สะกิดผมให้ตื่นล่ะ ในเมื่อคุณก็มาสายเดียวกันทุกวัน" ชาญพูดเหมือนรู้จักเธอคนนั้นดี ทั้งๆที่ไม่เคยพบเธอคนนี้ด้วยซ้ำ "นี่จะไม่พูดอะไรสักคำเลยรึ -- อยู่ชั้นอะไรหล่ะครับ"
     "ชั้นอยู่ ม.3 และขอโทษด้วยที่ทำให้คุณสาย แต่ฉันไม่ได้เป็นต้นเหตุของเรื่อง คุณนั่น
    แหละที่ไม่ตั้งสติ ถ้าบอกว่าคุณหลับในนั่นไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอเพื่อให้คุณดูดีหรอกนะ"
     "งั้นถ้ามันเลยโรงเรียน ทำไมคุณไม่บอกให้คนขับรถหยุดล่ะ --ฮ่ะ" ชาญพูดดวงตาถมึงทึง
     "ฉัน -- เพิ่งมาเรียนเป็นวันแรก"
     "ว่าไงนะ นี่โรงเรียนเปิดมาตั้งกี่เดือนแล้ว คุณเพิ่งมาหรือ ขอโทษนะคุณไม่มีสิทธิสอบแล้ว
    เพราะขาดเกินร้อยละแปดสิบ -- อ๋อ ผมรู้แล้วล่ะ เพราะคุณไม่อยากมาโรงเรียนใช่ไหมล่ะ คุณก็เลยไม่สนใจว่ามันจะถึงโรงเรียนหรือเปล่า"
     "มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ"
     "เอาหล่ะ เราหยุดพูดกันดีกว่า ผมรีบ ขอตัวแล้วกัน" ชาญรีบออกเดินเพื่อมองหารถประจำ
    ทางที่ผ่านมา แต่เด็กหญิงคนนั้นก็ตามชาญมาอย่างไม่ลดละ
     "ฉันไปด้วยคน"
     "งั้นค่าแท๊กซี่ หาญครึ่ง ตกลงไหมล่ะ" ชาญพูดเด็กหญิงกลับยืนจ้องเขานิ่ง แล้วเดินตาม
    เขาไป

     อีกไม่กี่นาทีชาญกับเด็กหญิงคนนั้นก็มาถึงโรงเรียน ทั้งสองนั่งเงียบไปตลอดทางและก็แยกทางกันเมื่อถึงประตูโรงเรียน เขานั้นถูกลงโทษให้วิ่งรอบสนามโรงเรียนถึงห้ารอบ โทษฐานที่มาสาย ส่วนเด็กหญิงคนนั้นกลับรอดตัวไปอย่างลอยนวลทั้งๆที่เธอก็มาสายพอๆกับชาญ
     หลังจากที่การลงโทษเสร็จสิ้น ชาญก็เดินเข้าชั้นเรียนด้วยอาการหอบและเหงื่อเต็มตัว เขา
    มาสายมากแล้วล่ะ แต่ดีที่เช้านี้อาจารย์ประจำวิชาคณิตศาสตร์ยังไม่เข้าสอน
     "นี่นายไปไหนมา ฉันเป็นห่วงแทบแย่ ฉันนึกว่านายไม่สบายเสียอีก" ออมสินวิ่งมาหา
    ชาญทันทีที่เห็นหน้าเขาโผล่เข้ามาในห้อง
     "ก็ฉันแอบหลับในบนรถเมล์ ก็เลยมาสาย แล้วก็ไปเจอนักเรียนหญิงคนนึง ที่อยู่โรงเรียน
    เราบนรถด้วย" เขาพูดด้วยอาการหอบอย่างแรง
     "แล้วไง นายตกหลุมรักเธองั้นสิ"
     "ให้ฟ้าผ่าตายสิ เชื่อรึเปล่า เขาไม่บอกให้คนขับรถจอดลงที่โรงเรียนเราน่ะ ไม่รู้ว่ายัยนั่น
    คิดยังไง ถึงได้ทำแบบนั้น แล้วก็บอกว่าเพิ่งมาวันนี้เป็นวันแรก"
     "นายก็เลยมาสายงั้นสินะ -- ไม่แน่ว่าเธอคนนี้อาจจะเป็นนักเรียนใหม่ก็ได้"
     "ออมสิน นี่มันปลายเทอมแล้วนะ แล้วก็ใกล้จะสอบด้วย ถ้าย้ายมาช่วงนี้ก็คิดผิดแล้วล่ะ"

    เขาวางกระเป๋าบนโต๊ะเรียน พลางใช้แขนเสื้อปาดเหงื่อที่ย้อยมาบนคาง
     ชาญพูดยังไม่ทันขาดคำ ครูประจำชั้นก็เข้ามาและก็มีเด็กนักเรียนหญิงตามหลังมาด้วย
    เธอคนนั้นก็คือคนที่ชาญเจอเมื่อตอนเช้านี้นี่เอง
     "เอาล่ะนักเรียน วันนี้มีเพื่อนใหม่จะมาเรียนกับเรา ขอให้เพื่อนๆปรบมือต้อนรับเพื่อนใหม่
    ของเราด้วย"
     เสียงปรบมือ ดังเกรียวกราวทั่วห้อง
     "สวัสดีขะ ดิฉันชื่อนฤมล เรียกสั้นๆว่าโมก็ได้ค่ะ" เธอคนนั้นกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล นัก
    เรียนชายหลายคนจ้องมองตาไม่กระพริบ
     "เอาหล่ะ ครูขอบอกให้พวกเธอทราบว่า เพื่อนใหม่ของเราคนนี้มาจากโรงเรียนที่มีชื่อ
    เสียงทางด้านวิชาคณิตศาสตร์อย่างมากในภาคกลาง คงไม่ต้องบอกว่าโรงเรียนอะไรนะ -- และก็เคยได้แชมป์โอลิมปิกในการแข่งทักษะวิชาวิทยาศาสตร์ด้วย ใครที่ต้องการอยากจะเก่งวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ก็มาปรึกษาเพื่อนคนนี้ของเราได้นะ -- เอาหล่ะเข้าไปนั่งที่ได้"
     "ขอบคุณค่ะ" โม กล่าวขอบคุณแล้วเข้าไปนั่งกับนักเรียนหญิงคนหนึ่งใกล้ริมหน้าต่าง นัก
    เรียนชายพากันส่งเสียงเอ็ดอึงไปตลอดทางด้วยความน่ารักของโม
     "อ้าวๆ เงียบๆหน่อยพวกเธอ ดูแลเพื่อนให้ดีด้วยหล่ะ นับจากนี้ไปโมก็คือเพื่อนคนนึงของ
    ห้องเรา ดังนั้นให้ความเสมอภาคเท่าๆกันด้วยล่ะ" ครูประจำชั้นกล่าวแล้วรีบเดินออกไป
     มีนานักเรียนหญิงที่ได้ชื่อว่าไฮโซที่สุดในห้องแอบมองโมด้วยสายตาที่เย็นชา พร้อมกับ
    เพื่อนอีกสองคนที่กำลังนินทาเพื่อนใหม่อย่างลับๆ
     "ยินดีต้อนรับเข้าสู่ห้อง ม.3.1 และขอยินดีเข้าแกงค์ปาปารัสซีที่รัก" มีนาเดินมาที่โต๊ะของ
    โม พร้อมทั้งยื่นมือแสดงการสร้างสายสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ แต่โมกลับนั่งนิ่งไม่พูดจา
     "เอาหล่ะ ไม่ว่าเธอจะว่าอย่างไร เธอก็คือคนนึงในแกงค์ของเรา เพราะถ้าใครมานั่งที่โต๊ะ
    นี้แล้ว จะต้องเป็นเพื่อนกับพวกเรา" มีนายื่นหน้าแหลมๆเข้าไปหาโมใกล้ "รู้รึเปล่าว่าโต๊ะตัวนี้มาอาถรรพ์ ใครมานั่งเรียนแล้วต้อง--"
     "หยุดแกล้งเขาสักทีเหอะน่า มีนา" นักเรียนหญิงที่นั่งคู่กับโมพูดขึ้น ทำเอาสีหน้าของมีนา
    เปลี่ยนไป
     "นี่ยัยอัญขึ้นอืด เห็นเพื่อนใหม่ดีกว่าเลยลืมเพื่อนเก่างั้นหรือ"
     "ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ถ้าจะแกล้งเพื่อนใหม่ก็อย่างเอาเรื่องของฉันไปเล่าเสียๆ
    หายๆสิ ไอ้เรื่องอาถรรพ์อะไรนั่นน่ะ"
     "งั้นหรือ" มีนายืนกอดอกจ้องมองเพื่อนใหม่ "เธอคงไม่อยากจะมีเพื่อนใหม่งั้นสิ" มีนาพูด
    แล้วเดินจากโมไป พร้อมกับบ่นพรึมพำไม่ได้ศัพท์
     "ฉันขอโทษด้วยที่เพื่อนฉันทำกับเธอแบบนั้น ยัยนี่มันก็ติงต๊องอย่างนี้แหละ -- ฉันชื่อ
    อัญชลี เรียกอัญนะ" อัญกล่าว พร้อมกับได้รอยยิ้มของโมตอบกลับมา ใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาของโมทำเอาหัวใจของนักเรียนชายหลายคนแทบละลาย หนึ่งในนั้นก็คือ ออมสิน
     "ว้าว น่ารักเป็นบ้าเลย ชาญ นายเห็นด้วยกับเราไหมล่ะ" ออมสินสะกิดที่สีข้างชาญ เขาไม่
    ตอบเอาแต่จ้องโมด้วยสายตาโกรธเคืองเช่นเคย
     --
     ระหว่างพักระหว่างคาบเรียน ในขณะที่โมกำลังก้าวออกจากห้องเพื่อไปซื้ออาหารว่างที่
    โรงอาหาร ชาญก็แอบตามเธอออกมาจากห้องมาหยุดที่หน้าระเบียง
     "นี่เธอ นักเรียนใหม่" ชาญตะโกนเรียก โมรีบหันกลับมามอง เธอจำได้ว่าเธอก็เจอเขาบน
    รถตอนเช้านี้เช่นกัน
     "อ๋อ นายนั่นเอง ไงล่ะไม่หลับในเหมือนตอนเช้าอีกหรือไง"
     "เชอะ!!!" เขาหันไปทางอื่น แล้วหันมาพูดกับโม "นี่เธอจะต้องมีชมรมอยู่ก่อนที่เราจะสอบ
    กัน สนใจจะเข้าชมรมอะไรบ้างล่ะ"
     "แล้วมีอะไรบ้างล่ะ"
     "เอางี้ เธอเก่งคณิตศาสตร์ งั้นลงชมรมคณิตศาสตร์แล้วกัน" ชาญรีบตอบ นึกในใจว่าคงไม่
    เจอเขาที่ชมรมแน่นอน เพราะว่าเขาน่ะเกลียดวิชานี้มากๆๆๆ
     "นักคณิตศาสตร์ไม่ได้นั่งคิดเลขเป็นงานอดิเรกหรอกนะ --" โมตอบแล้วคิดอยู่นานก่อนจะ
    ตอบว่า "ฉัน -- เข้าชมรมเปียนโน" แล้วรีบเดินจากไป
     ชาญคาดเดาจะตอบไปว่าไม่มีชมรมนี้อยู่ แต่เธอกลับรีบชิ่งหนีไปเอาดื้อๆอย่างนั้น ทำเอา
    ชาญเครียดยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเธอคนนี้จะเอาเรื่องอะไรไม่ดีมาให้เขาอีก เมื่อเช้าก็เรื่องนึงแล้ว -- อันที่จริง ชาญมักจะมีสัมผัสเกี่ยวกับลางสังหรไม่ดีบ่อยมาก เขาจึงจิงจังกับเรื่องนี้พอสมควร และที่สำคัญเขาก็อยู่ชมรมเปียนโนนี้อยู่แล้วด้วย ออมสินที่แอบฟังทั้งสองคนพูดอยู่หลังประตู แอบกระโจนเข้ามากอดคอชาญทางด้านหลังทำเอาเขาตกใจแทบช๊อก
     "นายมีอะไรปิดบังเราอยู่ บอกมาให้หมด" ออมสินพูด
     "ก็ได้ก็ได้ ปล่อยคอฉันก่อนสิ ฉันหายใจไม่ออก"
     ออมสินปล่อยคอชาญอย่างรวดเร็ว
     "คือ นักเรียนใหม่คนนี้ก็คือคนที่ฉันเจอบนรถเมล์เมื่อตอนเช่าที่ฉันเล่าให้นายฟังไงหล่ะ
    หอบแทบจะกินฉันก็เพราะเธอคนนี้แหละ "
     "แล้วนายตกหลุมรักเธอหรือเปล่า เห็นหน้าแดงซะงั้นน่ะ" ออมสินพูด ชาญรีบเช็ดหน้าให้
    หายอาการหน้าแดง
     "ที่หน้าแดงเพราะวิ่งเยอะต่างหากเล่า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับยัยนั่นเลย" เขาพูดแล้วเดินเข้า
    ห้องเรียนอย่างเร็ว
     ----
     ระหว่างพักทานอาหารกลางวันออมสินกับชาญก็เข้าห้องสมุดตามเคยแล้วไปนั่งคุยกันที่
    โต๊ะมุมสุดใกล้หน้าต่าง ที่ประจำของสองเกลอแต่พอชาญพอใครคนหนึ่งที่นั่งโตะตัวนั้น ทำเอาเขาหยุดชะงักไม่ก้าวเดินต่อ
     "อ๊ะ ทายซิว่าเราเจอใคร" ออมสินเอ่ย "นักเรียนใหม่ของเรา ฉันว่าเราควรจะไปทำความ
    รู้จักกับเธอหน่อยนะ" ออมสินพูดต่อ ชาญยืนแข็งทื่อมองหญิงสาวที่กำลังนั่งอ่านหนังสือ ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม
     "มาเหอะน่า นายนี่แรงเยอะจัง" ออมสินพยายามลากตัวชาญเข้าไปหาโมยังโต๊ะที่คุ้นเคย
     "เออ สวัสดีตอนกลางวันครับ นั่งด้วยคนนะครับ" ออมสินเริ่มต้นทักทาย
     "อ๋อ สวัสดีค่ะ เราอยู่ห้องเดียวกันนี่คะ เชิญนั่งเลยค่ะ" รู้สึกว่าโมจะสุภาพนุ่มนวลกับหนุ่มๆ
    ที่มาทำดีด้วยอย่างออมสิน ใบหน้าไร้เดียงสา แก้มสีชมพูนวลสดใส แววตาประกายแจ่มชัด ทำให้ชาญต้องถูกมนสะกด
     "นั่งสิชาญ" ออมสินเลื่อนเก้าอี้ให้ ชาญพยายามจะหลบหน้าโม
     "วันนี้เป็นวันแรกที่มาเรียนที่นี่ ไม่ทราบว่าโรงเรียนของเรามีอะไรที่เทียบกับโรงเรียนเก่า
    คุณได้บ้างครับ" ออมสินเริ่มต้นตั้งคำถาม
     "อืม จะว่าไปแล้ว ทุกโรงเรียนก็มีดีต่างกันคะ ฉันคงไม่กล้าที่จะเอาโรงเรียนนี้ไปเทียบกับ
    โรงเรียนอื่นนะคะ แต่ที่นี่ก็ดูโอเคดีคะ บรรยากาศดีฉันชอบ เออ!!! แล้วเพื่อนคุณคนนั้นไม่เห็นพูดจาอะไรเลยหรือค่ะ" โมกล่าวพลางพับหนังสือ
     "อ๋อ เพื่อนผมคนนี้ชื่อชาญครับ เป็นเพื่อนซี้ผมเลย แต่ที่คุณพูดมาก็ดีนะครับ รู้รึเปล่าว่า
    โรงเรียนนั่นน่ะ เป็นโรงเรียนในฝันของผมเลยนะ แต่ให้ตายสิผมไม่มีโอกาสจะได้ไป ก็เลยเสียใจจนทุกวันนี้นะครับ" ออมสินพูดอย่างมีความสุข ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าออมสินกำลังโปรยเสน่ห์ให้แม่สาวหน้าใสนักเรียนใหม่อยู่แน่ๆ --  ชาญคิด
     "คะ" โมกล่าวแล้วหันไปพูดกับชาญ "แล้ว ชาญชอบอะไรที่โรงเรียนนี้หรือค่ะ" โมพูดเ
    หมือนหยั่งเชิง
     "ฉัน -- ฉันชอบ ชอบอ่านหนังสือ แต่ฉันไม่ชอบให้คนอื่นมารบกวนเวลาว่างของฉัน ฉัน
    อาจจะเป็นคนมารบกวนเธอเสียเอง เราว่าไปนั่งอ่านที่อื่นกันเถอะนะออมสิน ไม่อยากจะรบกวนคนอื่นเพราะรู้ว่า เขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน"
     "นี่นายพูดอะไรนะชาญ ไม่เข้าใจเลย" ออมสินเกาหัวด้วยความฉงน แต่ไม่ทันได้กล่าวลา
    โม ก็พอดีถูกชาญลากให้ไปนั่งที่อื่นเข้าทันที
     "ชาญ บอกมาสิว่านายเป็นอะไร ไม่ตกหลุมรักโม ก็ไม่เห็นต้องทำแบบนี้นี่นา แต่ฉันว่าท่า
    ทางนายมันฟ้องนะ"
     "ฉัน --เอ่อ ฉันทำไม่ดีกับยัยนั่นมาตอนเช้านี้ นายไม่รู้หรอก"
     "ไม่ ดีอะไร บอกฉันมา" ออมสินตั้งหน้าตั้งตาฟัง แล้วชาญก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรื่องราวที่เขาเสีย มารยาทกับโมอย่างร้ายแรงเมื่อตอนเช้า ว่า
    เขาเสียๆหายๆซะขนาดนั้น เรื่องราวที่ชาญเล่าดูจริงจังมาก แต่ออมสินกลับเอาแต่หัวเราะชอบใจไม่หยุด
     "นี่หล่ะ คือสาเหตุที่ทำให้ฉัน ไม่กล้าพบหน้าโมเค้าน่ะ"
     "นายอาจจะสำนึกในความผิดของตัวเอง แต่นายก็ควรที่จะมีความกล้าเข้าไปขอโทษเค้านะ
    ถึงจะถูก" ออมสินปลอบ ชาญนั่งคิดอยู่นาน คิดไปคิดมา ไม่เอาดีกว่า เขาไม่อยากเสียฟอร์ม เพราะคนอย่างเขาเป็นคนขี้อายมาก ตอนอยู่ต่อหน้าสาวๆ ถึงไม่แปลกใจว่าทำไมชาญถึงยังไม่มีแฟน เลยทำให้ออมสินพลอยไม่มีแฟนไปด้วย --- 

    -- เราไม่ผิดนี่นาที่ทำแบบนั้น ดูท่าทางยัยนั่นก็ไม่ได้ติดใจอะไร แล้วเราจะเอามาใส่ใจทำไมกันเล่า -- เขานั่งคิดไปเองในชั้นเรียนวิชาศิลปะ ทำให้รูปภาพส่วนหย่อมที่แทนจะเป็นสีเขียวสดใสกลับเป็นทุ่งหญ้าแห้งๆ ไม่มีชีวิตชีวาซะงั้น
     "นี่นายชาญ ฉันว่าถ้าเธอไม่อยากก็ไม่ต้องวาด กลับไปวาดที่บ้านแล้วเอามาส่งครูพรุ่งนี้ก็
    ได้นี่ ถึงยังไงอาจารย์ก็ให้เวลาเราตั้ง 1 คืนนะ!" อัญพูดขึ้นขณะเดินผ่านภาพวาดที่ชาญกำลังบรรจงสร้าง
     "เธอว่าภาพของฉันมันเป็นไงล่ะ เธอถึงได้พูดแบบนั้นน่ะ"  ชาญถาม
     "ก็ดูสิ หัวข้อที่อาจารย์ให้มามันเป็นหัวข้อเรื่อง สวนหย่อมแห่งความรักนะ ฉันว่าเธอตอนนี้
    คงไม่มีความรักและก็ไม่มีความรักแหงๆ ดูภาพฉันสิมันช่างสวยงาม ดูอบอุ่นเหมือนกุหลาบแรกแย้มอย่างนั้นแหละ เธอว่าม๊ะ " อัญชลีพูด พลางทำท่าอ่อนหวานเหมือนลังมีความรักครั้งแรกอย่างนั้นแหล่ะ
     "ก็ฉันไม่เก่งเรื่องวาดรูปเหมือนเธอนี่นา แล้วฉันก็ไม่เคยมีวคามรักด้วย"
     "รักแรกของเธอ ไม่เคยมีหรือไงกัน" อัญชลีกล่าวทำตาโต ทำเอาชาญมองหน้าอย่างเสีย
    มิได้
     "ถ้าเธอไม่ไปโกรธใครมาก่อนล่ะก็ เธอคงมีเรื่องกังวลใจอยู่ตอนนี้แน่ๆเลย -- พักก่อนเหอะ
    แล้วค่อยวาดใหม่ เธอน่ะ ทำได้ดีกว่านี้อีกนะ" อัญเอื้อมมาดูรูปวาดของชาญอีกรอบ แล้วเดินกลับไปที่เก้าอี้ตัวเอง
     อัญพูดถูก เขาคงจะคิดมากไปเพียงเพราะเขาไม่อยากให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีด้วย 'ฉันจะทำไง
    ดีนะ' อัญช่างให้เหตุผลกับเขาเหลือเกิน เพื่อนอีกคนที่ชาญคิดว่าน่าคบหาด้วยรองจากออมสินหล่อนเป็นเพื่อนที่ดีในยามยากจริงๆ
     ตอนนี้มีคนมารุมดูรูปวาดของโมกันใหญ่ รูปส่วนหย่อมที่ประดับประดาด้วยดอกไม้หลาก
    สีสันสวยงาม  กลิ่นอายของความรักโชยมาแต่ไกล แม้แต่ชาญที่ยื่นมองดูห่างๆ ก็สัมผัสได้
     'ว้าว! สวยจังเลย' นักเรียนหญิงหลายคนกล่าว
     'รูป ก็สวย คนน่ารักอีก ให้ตายสิโม เราเป็นกิ๊กกันนะ' เพื่อนชายหลายคนแซวกันยกใหญ่ แต่เหมือนมีหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง มองด้วยความอิจฉาสมกัยชื่อแก๊งส์ ปาปารัสซี่ที่รักเสียจริง
     'แหม แค่มาวันแรกก็เนื้อหอมเลยนะ แม่คุณ' ผิงเพื่อนของมีนาพูด
     'นี่มีนา ยัยนั่นมันแย่งซีนเธอไปหมดเลยนะ ตอนนี้เราก็เป็นเจ้าหญิงตกกระป๋องเลยสิ ไม่มี
    ราศีเลยนะ' แก้มเพื่อนอีกคนของมีนาพูดตอบ
     'ใช่ ตอนนี้เราตกกระป๋อง แต่มันคงไม่นานหรอกที่ยัยนั่นจะตกกระป๋องแทน พร้องกับยัย
    อัญขึ้นอืดที่หักหลังพวกเราอีกคนนึงด้วย' มีนานั่งกอดอก จับกลุ่มกันพูดหลังห้อง
     'ยัยนี่มันไม่เห็นบุญคุณของพวกเราเลย มันผ่านวิชาพละศึกษาได้ก็เพราะพวกเรา แถม
    พวกเราก็ช่วยมันทำการบ้านด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะทรยศกันได้' ผิงพูดต่อ
     'ฉันมีแผนแล้วหล่ะ หลังเลิกเรียน'
     
     ในที่สุดทั้งสามคนก็ทำตามแผนที่วางไว้ และก็เหมือนโชคก็เข้าข้างพวกเขาที่โม ไปเข้า
    ห้องน้ำหญิงคนเดียว หลังจากที่โมทธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย มีนาก็เข้ามาตีสนิทกับเธอทันที
     "โม จะกลับบ้านแล้วหรือ " มีนาพูด
     "ใช่ ฉันจะกลับแล้ว มีอะไรหรือ"
     "คือ ฉันมีอะไรจะสาระภาพกับเธอน่ะ" มีนากล่าวอย่างสุภาพทั้งๆที่เธอไม่เคยทำมาก่อน
    เลย " ฉัน ขอโทษที่ทำไม่ดีกับเธอเมื่อเช้า คือ มันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของฉันนะ ที่ฉันทำไปฉันต้องขอโทษด้วยนะ"
     "อืม ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้ติดใจเอาอะไรกับเธอเลยนะ"
     "แล้วเธอให้อภัยฉันหรือเปล่าล่ะ"
     "ทำไมฉันต้องให้อภัยเธอล่ะ ในเมื่อเธอไม่ได้ทำผิดอะไรเลย"
     "ถ้างั้น หมายความว่าเธอให้อภัยฉันแล้ว ถ้างั้นฉันจะเลี้ยงเธอเป็นการตอบแทนนะ ที่เธอ
    ไม่ติดใจเอาเรื่องฉัน"
     "ไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้"
     "เหอะน่า ฉันอยากทำให้เธอจริงๆนะ"
     สุดท้าย โมก็ปฏิเสธไม่ได้มีนาจึงลากเธอไปที่บ้านของผิงซึ่งเตรียมการเรียบร้อยแล้ว 
     ในบ้านเล็กๆแสนอบอุ่นของผิง มีตุ๊กตาน่ารักเต็มไปหมด โซฟาสิชมพู โคมไฟรูปหัวใจ
    และผนังห้องที่มีโทนสีอ่อนๆ ทำให้รู้ว่าครอบครัวของผิงเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปคือเวลาที่มีให้กันและพ่อที่จากไปมีครอบครัวใหม่ ทำให้ในใจของผิงลึกๆแล้วอยากได้พ่อคืนมา แต่สุดท้ายเธอก็ต้องอยู่กับแม่ที่ทำงานหนักจนต้องกลับบ้านหลังสี่ทุ่มทุกคืน และความว่างเปล่านี่เองที่เพื่อนๆของเธอเข้ามาเติมเต็มให้หัวใจไม่ว่างเปล่า
     "ขอต้อนรับเข้าสู่แก๊งส์ ปาปารัสซี่ที่รักอย่างสมบูรณ์แบบ" แก้มเอ่ยขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศ
     "และขอต้อนรับ หญิงโม สมาชิกคนใหม่สู่บ้านที่อบอุ่นหลังนี้" ผิงกล่าวอย่างเรียบๆ
     "เห็นไหมจ๊ะ เพื่อนๆของฉัน เขาน่ะอยากรู้จักเธอจะตาย และก็อยากเป็นเพื่อนกับเธอด้วย
    นะ" มีนาเข้ามาโอบไหล่ของโม ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูกเลย "เอาล่ะ ที่นี้เรามาดื่มฉลองกันให้เต็มที่ไปเลยนะ"
     "เอ่อ ขอโทษนะฉันดื่มไม่ได้ -- หมายถึงเหล้าน่ะ" 
     "ไม่ได้หรอ" แก้มกับผิงพูดพร้อมกัน พลางทำตาโต
     "คือ ฉันไม่เคยดื่ม แต่รู้ว่ามันไม่ดี ก็เลยไม่ดื่มดีกว่า ขอเป็นน้ำส้มแทนเถอะนะ"
     "ไม่ได้นะ นานๆจะมีเพื่อนใหม่มาบ้านทั้งที ต้องดื่มให้กันหน่อยดิ แบบว่าหลายๆแก้วเลย"
    ผิงพูดพลางยกแก้วขึ้นฟ้า
     โมทำท่าจะปฏเสธ แต่มีนากลับขัดขึ้นมาทันที 
     "เออนี่ เพื่อนๆ ฉันว่าโมเขาดื่มไม่ได้จริงๆก็ได้นะ ะเอาเป็นว่าฉันดื่มแทนเธอก็ได้นะ ตกลง
    ไหมล่ะ"
     "อืม -- อืม" โม กล่าวรีบคว้าแก้วน้ำส้มและขนมเข้าปากทันที
      คืนนั้น ทั้งสี่สาว ทั้งดื่ม ทั้งร้องเพลงจนถึงสามทุ่ม ซึ่งก็ดึกมากแล้วโมจึงขอลากลับ เธอ
    ขอ ให้มีนาดิ่มให้เธออีกหนึ่งแก้วเพื่อเป็นการตอบแทนที่เลี้ยงเธอ แล้วจึงขอลากลับ เธอรู้ดีว่าการดิ่มเหล้าเป็นสิ่งที่ไม่ได้ แต่เธอก็ทำผิดที่ปล่อยให้เพื่อนๆดื่มกันเองโดยไม่ท้วงอะไรเลย --แต่จะทำอย่างไรได้หล่ะ ในเมื่อเขาอุตส่าห์เลี้ยงฉัน -- เธอคิดในใจ ที่บ้านของชาญ เขากำลังนั่งวาดรูปสวนหย่อมให้สวยงามอีกครั้ง ซึ่งก็คงเป็นแผ่นที่สามแล้วที่เขาพยายามวาดออกมาให้เป็น สวนหย่อมแห่งความรัก แต่ในใจก็มีเรื่องราวของนักเรียนใหม่วกเข้ามาให้กวนหัวใจอีกครั้ง
     -- พรุ่งนี้ ฉันจะทำยังไงดี ถ้าฉันเจอหน้าโม จะขอโทษดี หรือ ปล่อยให้มันเป็นเหมือนเดิม
    ฉันรู้ดีว่ายัยนั่นไม่ได้คิดอะไร แต่ฉันต่างหากที่คิดไปเอง
     ในที่สุด เขาตัดสินในที่จะบอกโมไปว่า เขาเสียใจและขอโทษที่ทำไม่ดีกับเธอเมื่อเช้านี้
    เขาปิดไฟเข้านอน ตอนประมาณห้าทุ่ม พร้อมกับหลับอย่างสนิท

    >>>โปรดติดตามตอนต่อไป<<<

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น