มนตรามินตรา - มนตรามินตรา นิยาย มนตรามินตรา : Dek-D.com - Writer

    มนตรามินตรา

    มินตราสาวสวยนักธุรกิจผู้ที่ใคร ๆ ชอบบอกว่าเธอมีองค์ ต้องมาพบกับปัญหาเมื่อลูกพี่ลูกน้องของเธอโดน 'ของ' เธอจึงต้อง 'ลองของ'

    ผู้เข้าชมรวม

    668

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    10

    ผู้เข้าชมรวม


    668

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ธ.ค. 53 / 09:59 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    *เรื่องต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติขึ้น ไม่ได้เป็นเหตุการณ์จริงแต่อย่างใด
    หากชื่อตัวละครและสถานที่บางแห่งสอด คล้องกับผู้ใด
    ทางผู้เขียนก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

    **เรื่องนี้มีการเชื่อมโยงกับเรื่อง "ห่วง" ถ้าต้องการอ่านเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่
    http://writer.dek-d.com/joykpa/writer/view.php?id=629931 ค่ะ

    ***เรื่องนี้เป็นหนึ่งในซีรี่ส์นิยายที่ลงอยู่
    ผู้ที่อ่าน นิยายของผู้เขียนไม่ต้องแปลกใจไปที่จะมีพวกเธอเหล่านั้นมาโผล่นะคะ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      “มนตรามินตรา”


      เช้าวันใหม่ที่ไม่ค่อยแจ่มใสมาเยือนอีกครั้ง จริง ๆ ไม่ใช่ว่าตอนเช้าวันจันทร์ที่ต้องไปทำงานนั้นไม่แจ่มใสสำหรับ ‘มินตรา เทพาพิทักษ์กุล’ สาววัยยี่สิบเก้าผู้มีหน้าที่การงานเป็นถึงผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ ของบริษัทพานิชย์ไพศาลที่ทำธุรกิจส่งออกอุปกรณ์อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เพียงแต่ช่วงนี้เธอรู้สึกว่าอะไร ๆ ในกรุงเทพเมืองฟ้าอำไพดูจะไม่สดใสนัก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ หรือกีฬาสีเหลืองแดงที่เธอชอบบอกกับเพื่อนชาวต่างชาติว่าเป็นการทะเลาะกัน ของคนไทยที่ชอบไก่ย่างกับไก่ทอด มันทำให้เธออยากจะหลบไปนอนกลิ้งที่ไหนไกล ๆ อย่างยิ่ง

      มินตราลุกขึ้นจากที่นอนในเวลาตีห้าเศษ ๆ ภายในคอนโดหรูใจกลางเมืองซึ่งเธอซื้ออยู่เพียงลำพังคนเดียว ใจจริงเธออยากอยู่กับครอบครัวเสียมากกว่า แต่เพราะหน้าที่การงานที่ต้องทำในกรุงเทพ เธอจึงต้องมาอยู่เพียงลำพังคนเดียวเช่นนี้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วต้องบอกว่าเธอถูกครอบครัวบีบให้มาทำงานในกรุงเทพ และมาอยู่ในเมืองหลวงที่เธอแสนจะอึดอัดเสียมากกว่า

      เธอลุกจากเตียงเกาศีรษะที่ดูกระเซอะกระเชิงของเธอเดินมายังห้องน้ำเพื่อล้าง หน้าแปรงฟัน ก่อนที่จะมาหวีผมของเธอที่ยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนที่เกิดจากการย้อมซึ่งทำให้ เธอดูเด่นพอสมควรเวลาเดินไปไหนต่อไหน
      ด้วยผมที่ยาวจนเลยแผ่นหลังทำให้เธอเสียเวลาในการหวีมากกว่าคนอื่น ๆ แต่เธอก็พอใจที่จะไว้ผมยาวเช่นนี้ ไม่ได้รู้สึกร้อนหรือรำคาญเหมือนเช่นคนอื่น ๆ แต่อย่างใด หลังจากนั้นเธอจึงหอบเอาตัวเองในชุดนอนสีแดงดูเซ็กซี่ลงมายังชั้นล่าง มันคงเป็นภาพที่แปลกตาสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับเธอ แต่คนในคอนโดแห่งนี้ชินเสียแล้วกับภาพของเธอในชุดนอนที่เดินลงมาหาอะไรทานใน ตอนเช้า มันออกจะเป็นอาหารตาสำหรับผู้ชายที่ได้ดูสาวสวยในชุดนอนเดินไปมาในคอนโด

          บริเวณหน้าคอนโดของเธอมีร้านโจ๊กที่ขายโดยป้าวัยกลางคนซึ่งตัวเธอเป็นลูกค้า ประจำ ในแทบทุกเช้าเธอจะมานั่งทานโจ๊กพลางอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่นี่โดยไม่สนใจ สายตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เว้นแต่วันไหนที่เธอต้องไปทำงานยังต่างประเทศนั่นล่ะที่ทุกคนจะไม่ได้เห็น ภาพเช่นนี้

      “เป็นไงบ้างหนูมิ้นท์ไม่เห็นตั้งสองวัน วันนี้สีแดงสดมาเชียว ระวังโดนเหมาะว่าเป็นพวก นปช. นะจ๊ะ”

      คำทักทายด้วยการเรียกชื่อเล่นของเธอเป็นสิ่งที่แสดงความสนิทสนมของเธอและป้า ร้านขายโจ๊กได้เป็นอย่างดี แต่คำทักทายของของป้าร้านขายโจ๊กในวันนี้ช่างเป็นหนึ่งในสิ่งที่ชวนให้เธอ หงุดหงิด ด้วยในช่วงนี้เจอคำทักเช่นนี้บ่อยมาก เธอก็แค่ชอบสีแดง แล้วไงชอบแดงแล้วต้องเป็น นปช. รึยังไงกัน แม้เธอจะไม่ค่อยชอบใจนักแต่ก็เข้าใจว่าป้านั้นหวังดีกับเธอ เธอจึงทำได้แต่ยิ้มแหย ๆ ไปนั่งที่เก้าอี้แล้วสั่งโจ๊กไปเฉกเช่นปกติทุกวัน

      “โจ๊กหมูใส่ตับบด วันนี้ไม่ใส่ใข่นะคะป้า”

      “จ้า ๆ” ป้ารับคำก่อนที่จะหันไปตักโจ๊กใส่ถุงให้คนที่มาสั่งก่อนหน้า

          มินตราหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางไว้ข้าง ๆ ขึ้นมาอ่าน ข่าวแรกที่เธอสนใจไม่ใช่ข่าวเศรษฐกิจหรือการเมือง ก็เหมือนผู้หญิงทั่ว ๆ ไปที่อยากรู้ว่าวันนี้ละครเรื่องโปรดจะดำเนินไปเช่นไร แน่นอนครูกุ๊กจะถูกคุณนายอลินทำอะไรบ้างในคืนนี้ มันดูน่าสนใจกว่าเรื่องของ ปชป. และ พท. ตบตีเป็นไหน ๆ

      “สวัสดีครับคุณมิ้นท์”
      ชายหนุ่มผมสั้นสวมแว่นตาเอ่ยทักเธอด้วยน้ำเสียงที่มีอัธยาศัยอันดีต่อเธอ ทำให้มินตราต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง หากแต่ท่าทางของเธอดูจะไม่ได้ตอบรับอย่างมิตรสักเท่าไหร่ เธอมองเขาด้วยสีหน้าเบื่อ ๆ เล็กน้อยก่อนที่จะก้มลงมาอ่านหนังสือพิมพ์ต่อพร้อมทั้งเอ่ยออกไป
      “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณสิญจน์”

      ออกจะเป็นคำทักทายเรียบ ๆ เรียบเกินไปจนสิญจน์ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมคอนโดของเธอได้แต่ยิ้มแหย ๆ ก่อนที่จะนั่งลงตรงข้ามกับมินตราแล้วหันไปสั่งกับป้าร้านโจ๊ก
      “ป้าครับ ขอโจ๊กหมูใส่ไข่หนึ่งชามครับ”

      “ขอเฉย ๆ ป้าไม่ให้นะ”
      ป้าร้านโจ๊กแหย่สิญจน์กลับไปซึ่งก็ทำให้เขารู้สึกขบขันได้พอสมควรทีเดียว แต่มินตราที่นั่งฟังอยู่รู้สึกจะเฉย ๆ เธอพับแล้ววางหนังสือพิมพ์ไว้ที่โต๊ะข้าง ๆ ก่อนที่จะมองหน้าสิญจ์อยู่นาน

      สายตาของเธอที่มองนั้นทำให้สิญจน์รู้สึกประหลาด ๆ ด้วยมันไม่ใช่สายตาของคนที่มองเฉย ๆ แน่นอน
      เพราะเขาเคยชินเสียแล้วกับการถูกมองแบบปกติทั่วไป หรือมองอย่างสนใจเนื่องจากสิญจน์นั้นทำงานเป็นอาจารย์และนักวิจัยเขาจึง เผชิญกับสายตาของลูกศิษย์และผู้เข้าร่วมฟังงานวิจัยของเขาจดจ้องเป็นประจำ แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นต่อสายตาของมินตราแม้แต่น้อย

      “...” มินตราที่นั่งจ้องสิญจน์อย่างเงียบ ๆ เพ้งพินิจเขาอยู่ครู่หนึ่ง จนป้าเอาโจ๊กมาวางที่โต๊ะเธอจึงได้กลับมามองโจ๊กที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าเธอ

      “คุณสิญจน์จะไปหาข้อมูลทำงานวิจัยเหรอคะวันนี้” มินตราเอ่ยถามอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนสิญจน์แปลกใจ แต่เขาก็ตอบเธอไปด้วยไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องประหลาดอันใด

      “ครับ งานผมถูกเร่งมากทีเดียว นี่กะว่าจะหาผู้ช่วยนักวิจัยมาทำงานด้วยสักคนน่ะครับ”

      “งั้นก็...กำลังจะได้วันนี้ล่ะค่ะ ห้องคุณออกจะกว้างรับสาวมาดูแลสักคนคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ”
      มินตรากล่าวพลางเริ่มทานโจ๊กท่ามกลางความงุนงงของสิญจน์ต่อสิ่งที่เธอกล่าว ปกตินั้นมินตราก็เป็นคนแปลก ๆ สำหรับคนที่รู้จักเธออยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัยใจคอ หรือบุคลิก แต่ไม่ใช่ว่าน่ากลัวหรือไม่ดีแต่อย่างใด เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจสูง ไม่สนใจใครถ้าสิ่งที่เธอทำนั้นถูกต้องแต่ก็เป็นคนประนีประนอมพอสมควร สิ่งที่ทำให้เธอแปลกก็คงเป็นข่าวลือที่ว่าเธอมี ‘องค์’ ไม่รู้ใครเป็นต้นข่าว บางคนถึงขั้นจะมาขอหวยกับเธอ ซึ่งก็โดนเธอด่ายับเลยทีเดียว

      สิญจน์ส่ายศีรษะเล็กน้อย ด้วยสิ่งที่เธอพูดอาจจะเป็นเพียงการล้อเล่นเท่านั้นซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องใส่ ใจมากนักก็ได้ สักครู่ป้าก็เอาโจ๊กมาให้เขาซึ่งกว่าที่เขาจะเริ่มลงมือทาน มินตราก็จ้วงโจ๊กในชามของตนเองจนหมดไปเสียก่อนแล้ว
      “ป้าคะ เงินอยู่ตรงนี้นะคะ” มินตรากล่าวพลางวางธนบัตรยี่สิบไว้ใต้ชามโจ๊กก่อนที่จะหันกลับมามองสิญจน์ แล้วเอ่ยบางอย่างออกไป

      “อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด แล้วคุณจะรอดนะคะคุณสิญจน์”

      สิญจน์ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ แล้วพยักหน้ารับอย่างงง ๆ ด้วยไม่เข้าใจว่ามินตรานั้นต้องการสื่ออะไร แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไรเธอก็เดินจากเขากลับไปยังคอนโดเสียแล้ว

      “เป็นอะไรล่ะสิญจน์ โดนหนูมิ้นท์ทักเอารึไง”

      “อา...ครับ ผมจะมีเคราะห์เหรอครับ?” สิญจน์หันไปตอบป้าร้านโจ๊กพร้อมกับยิงคำถามออกไป

      ป้าร้านโจ๊กนิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงตอบเขาพร้อมกับรอยยิ้ม
      “ถ้าหนูมิ้นท์บอกทางแก้ก็ไม่ต้องกลัวไปหรอก ทำตามที่แม่หนูบอกก็คงไม่มีปัญหาล่ะมั้ง”
      สิญจน์ได้แต่ปั้นหน้ายุ่ง เพราะไอ้ที่มินตราพูดกับเขาในเช้านี้ดูจะน่าปวดหัวยิ่งกว่างานวิจัยที่เขาทำ อยู่ซะอีกด้วยเพราะสิ่งที่เธอกล่าวนั้นไม่มีทั้งเหตุผลที่มาที่ไป และไม่มีรายละเอียดอันใดที่เขาจะเข้าใจได้เลย

      ---------------------------

          มินตราที่เดินกลับมาในคอนโดเดินตรงไปที่ลิฟท์เพื่อกลับไปยังห้องของตนเอง เวลานี้เพิ่งจะหกโมงเศษ ยังเช้าพอที่เธอจะอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานได้อย่างสบาย ๆ ภายในลิฟท์ที่เธอขึ้นไปนั้นถ้าเป็นกลางคืนคงน่ากลัวพอควร ด้วยบรรยากาศภายในลิฟท์ของคอนโดที่เธออาศัยอยู่นั้นมีลักษณะที่ชวนขนหัว ลุกอย่างมาก จากข่าวลือที่ว่าตอนที่ติดตั้งลิฟท์มีคนงานเสียชีวิต แต่เธอเคยชินเสียแล้วเพราะห้องของเธอที่อยู่ชั้นที่สิบสาม ห้องสิบสามดูจะน่ากลัวกว่าไอ้ลิฟท์นี่เสียอีก

          เธอใช้เวลาในลิฟท์ไม่นานนักด้วยคอนโดที่ทันสมัย ลิฟท์จึงทำงานได้ดีและรวดเร็ว หากแต่ท่าทางของเธอที่ออกจากลิฟท์ดูจะเบื่อ ๆ อย่างบอกไม่ถูก เธอถอนหายใจเล็กน้อยพลางหันไปมองลิฟท์ที่เวลานี้ว่างเปล่า
      ก่อนที่จะเดินตรงไปยังห้องของตนเองและเข้าห้องไปเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปทำงานในทันที

          ด้วยผมที่ยาวเลยแผ่นหลังของเธอทำให้มินตราต้องเสียเวลาไดร์ผมอยู่พักใหญ่ เรียกว่าเวลาในการแต่งตัวของเธอนั้นหมดไปกับการทำผมให้แห้งเสียมากกว่า เรื่องอื่น ๆ หลังจากที่ผมเธอแห้งพอสมควร เธอจึงเลือกชุดที่จะสวมใส่ไปทำงาน ภายในตู้ของเธออุดมไปด้วยชุดสีแดงที่เธอชอบทั้งสิ้น แต่ช่วงเวลานี้เธอรู้สึกหงุดหงิดกับการที่ต้องไปเผชิญหน้ากับคำถามแบบเดียว กับที่เธอได้รับจากป้าร้านโจ๊ก เธอจึงเลือกที่จะใส่ชุดสีขาวไปทำงานแทน แต่กระนั้นเธอก็ยังคงใช้เสื้อคลุมสีแดงที่บ่งบอกความเป็นตัวเธอได้เป็นอย่าง ดี

          จากคอนโดของเธอไปยังที่ทำงานนั้นใช้เวลาไม่นานนัก ด้วยเพราะระยะทางไม่ได้ไกลกว่ากันมากเท่าไหร่ จริง ๆ แล้วเธอจะนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้ามาก็ยังได้ แต่เธอต้องเผื่อไว้ในกรณีที่ต้องออกไปรับลูกค้าหรือติดต่องานที่ไหนก็คงต้อง เอาความสะดวกสบายด้วยรถส่วนตัวไว้ก่อนอยู่ดี

          เธอมาถึงที่ทำงานซึ่งเป็นอาคารกระจกสูงใหญ่ในตอนเจ็ดโมงยี่สิบ ภายในบริษัทพนักงานมากันเพียงบางตาเท่านั้น เนื่องจากยังเช้าอยู่มาก และก็เป็นเรื่องปกติการจราจรในกรุงเทพมันดูจะเป็นสิ่งที่เป็นข้ออ้างให้แก่ พนักงานได้อย่างสบายอุรา แต่คงไม่ใช่สำหรับเธอที่ชอบจะไปที่ไหนแต่เช้าตรู่ด้วยความคิดที่ว่าไปสาย แล้วมันจะดูเคอะเขินยามที่เข้าห้องไปถึงมีคนเงยหน้ามามองเต็มไปหมด

          “สวัสดีตอนเช้าครับคุณมินตรา”
      พนักงานรักษาความปลอดภัยตรงทางเข้าทำความเคารพมินตรา ด้วยแม้ว่าตำแหน่งเธอเป็นเพียงผู้จัดการต่างประเทศ แต่ในบริษัทก็รู้กันดีว่าเธอเป็นญาติของประธานบริษัทและหุ้นที่เธอถืออยู่ใน มือก็ไม่ใช่น้อย ๆ ถ้าวันดีคืนดีเธอร่วมมือกับผู้ถือหุ้นคนอื่นเทคโอเวอร์บริษัทก็สามารถทำได้ ไม่ยากนัก แต่ดูท่าทางมินตราจะไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย เพราะเธอไม่ได้ชอบงานบริษัทสักเท่าไหร่ ใจของเธออยากจะทำงานข้าราชการเสียมากกว่า แต่เพราะทางบ้านต้องการให้เธอทำงานที่นี่เพื่อสืบทอดหุ้นส่วนต่อไปเธอจึง ต้องรับมันมาอย่างเสียไม่ได้

      “สวัสดีค่ะคุณยศ...ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่รึเปล่าคะ”

      “ครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ”
      พนักงานรักษาความปลอดภัยกล่าวตอบออกไปด้วยนำเสียงที่เข้มแข็ง เรื่องที่เธอถามนั้นเป็นเรื่องปกติที่เธอทำเป็นประจำ ด้วยความที่มินตรามาแต่เช้าทุกวันเธอจึงมักสอบถามเรื่องการรักษาความปลอดภัย อยู่บ่อย ๆ มินตรายิ้มรับในสิ่งที่พนักงานรักษาความปลอดภัยกล่าวแล้วจึงเดินไปขึ้นลิฟท์ เพื่อไปยังห้องทำงานของเธอในทันที

      ที่ส่วนของแผนกต่างประเทศในตอนนี้ยังไม่มีใครมาทำงาน มันเป็นเรื่องปกติที่เธอมาถึงก่อนใครทุกวันซึ่งเป็นอีกสิ่งที่เธอชินชาแล้ว และเธอก็ไม่เคยบีบบังคับให้ลูกน้องของเธอต้องมาแต่เช้าหรือมาก่อนเธอเหมือน เจ้านายบางคนที่ชอบถือว่าลูกน้องต้องมาก่อนตนเอง ด้วยเพราะเธอมองที่ตัวงานมากกว่า งานเสร็จ งานดี ทุกอย่างก็แฮปปี้ ไม่เห็นจะต้องมาเครียดกับเรื่องอื่นแต่อย่างใด

      ภายในห้องประจำตำแหน่งของเธอมีเอกสารวางกองอยู่พอสมควร ซึ่งเธอคาดว่าคงเป็นเลขาของเธอที่ทำงานจนดึกแล้วเตรียมเอกสารไว้ให้เธอเซ็น ในตอนเช้า พอตอนสายจะได้เดินเรื่องต่อไปได้ในทันที มินตราวางกระเป๋าของตนเองแล้วเดินไปเปิดเอกสารต่าง ๆ คร่าวด้วยความรวดเร็ว เรื่องส่วนมากไม่ค่อยมีอะไรมากนอกจากติดต่องานไปยังบริษัทร่วมที่อยู่ต่าง ประเทศ เธอจึงเดินไปเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าก่อนเผื่อว่าระหว่างทำงานเธอจะ ดื่มชา ด้วยปกติตอนทำงานเธอชอบที่จะหาอะไรดื่มไปด้วยเสมอซึ่งหนึ่งในนั้นคือชาร้อน ๆ มันทำให้เธอรู้สึกอุ่นอกดี และเธอชอบที่จะชงด้วยตนเองมากกว่าที่จะให้เลขาชงให้ หลังจากนั้นเธอก็เดินตรงไปยังทีวีที่ตั้งอยู่ภายในห้องเพื่อหาอะไรดูระหว่าง ที่นั่งอ่านเอกสารต่าง ๆ

      ตอนเช้า ๆ เช่นนี้ถ้าเป็นผู้บริหารทั่วไปคงเลือกที่จะดูข่าวสารต่าง ๆ แต่สำหรับมินตราแล้วถ้าเธอเลือกได้เธออยากให้ละครมาอยู่ตอนเช้าเสียจริง ด้วยกลางคืนนั้นเธอมักต้องทำงานจนดึกดื่นไม่ทันกลับไปดูละครสักเท่าไหร่เลย ต้องมีการอัดลงวีดิโอไว้บ่อยครั้ง หากแต่เธอไม่ใช่เจ้าของสถานีโทรทัศน์ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะลองตลาดด้วยวิธีแบบนี้ไปแล้ว ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองตึงเครียดเช่นนี้สิ่งที่ทำให้เธอดูจะมีความสุขในตอน เช้ามากที่สุดคงมีเพียง เรียลลิตี้หลิงปิง รายการสดดูแพนด้าขดตัวกลม ๆ กลิ้งไปมาในกรงของมัน วันดีคืนดีก็ตกต้นไม้โชว์ มันอาจจะดูเป็นเรื่องไร้สาระของเหล่านักชาตินิยมที่อยากดูเรียลลิตี้ช้าง แต่เธอว่าแพนด้ามันก็น่ารักดี บางทีเธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกที่เรียกร้องให้คนไทยกลับมาสำนึกรักช้าง ถ้ามีเรียลลิตี้ช้างจะยอมมาเกาะติดจอกันสักเท่าไหร่ เอาแค่สัดส่วนผู้บริโภคสินค้าประเภทกิฟท์ช็อปหรือตุ๊กตาตั้งแต่อดีตก่อนหลิน ฮุ้ยกับช่วงช่วงมาอยู่ไทย เธอยังไม่เคยเห็นยอดสินค้าที่เป็นรูปช้างในตลาดพวกนี้จะทำสถิติขายได้ดีกว่า แพนด้าเลยสักครั้ง

      มินตรานั่งคิกคักอยู่คนเดียวในห้องกับรายการสดที่มีเจ้าแพนด้าตัวน้อยเป็น ตัวเอกจนกระทั่งเวลาย่างเข้าเกือบแปดนาฬิกาลูกน้องของเธอจึงเริ่มมาทำงาน ซึ่งระหว่างที่เธอนั่งดื่มชาดูแพนด้าอย่างมีความสุขนั้น

      “คุณมิ้นท์คะ เซ็นเอกสารหมดรึยังคะ” อรหญิงสาวผมยาวสลวยที่เป็นเลขาของเธอถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาถามมินตราที่ ดูจะมีความสุขกับแพนด้าเสียมากกว่างานที่กองอยู่บนโต๊ะ

      “อีกแป๊บหนึ่ง ว่าแต่ไม่ต้องขยันขนาดนี้ก็ได้ เซ็นเสร็จก็โยนไปให้ฝ่ายการตลาดก็ไม่มีอะไรแล้วนี่นา”
      มินตรากล่าวพลางดื่มชาพร้อมกับรอยยิ้มยามที่มองแพนด้าตัวน้อยนอนคุดคู้ ซึ่งอรไม่เข้าใจเจ้านายของเธอสักเท่าไหร่ว่าทำไมถึงได้ดูไม่ค่อยจริงจังกับ งานนัก แถมยังชอบที่จะทำตัวเป็นเด็ก ๆ อยู่บ่อย ๆ แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบ่นอะไรเจ้านายของตนเอง ทั้งมินตราที่เห็นเหมือนไม่เอาการเอางานเช่นนี้ ยามที่ทำงานขึ้นมาจริง ๆ
      เธอจะเป็นคนที่คิดไว ทำไวแถมมีความถูกต้องแม่นยำเสียจนบางทีเธอคิดว่ามินตรานั้นน่าจะไปอยู่ฝ่าย วางแผนเสียมากกว่า
          “ว่าแต่ที่ชั้นดูมันมีเรื่องที่เกี่ยวกับการโอนย้ายพนักงานจากต่างประเทศ เรื่องนี้ยังไม่มีลายเซ็นของผู้จัดการฝ่ายบุคคลเลยนะอร”

          “อ่าค่ะ คือคุณธนาธร เขาไม่สบายมาสามสี่วันได้แล้วค่ะ หนูก็เลยข้ามเรื่องมาให้คุณมินตราเซ็นก่อนแล้วค่อยนำเรื่องส่งให้คุณธนาธร อีกที” คำตอบต่อข้อคำถามของมินตราออกจะทำให้เธองุนงงอย่างยิ่ง ด้วยเธอไม่ทราบมาก่อนเลยว่าลูกพี่ลูกน้องของเธอจะล้มป่วยเช่นนี้ ทั้งที่ปกติ ‘หมอนั่น’ ออกจะแข็งแรงคึกคักสามารถแสดงความเป็นเสือผู้หญิงได้ตลอดไม่เคยล้มป่วยเลย สักครั้ง

          ด้วยสีหน้าที่ดูงุนงงของมินตรานั้นชวนให้อรที่ชอบซอกแซกเรื่องของแผนกอื่นอด ใจที่จะนินทาหัวหน้าแผนกสุดเจ้าชู้คนนี้เสียไม่ได้ จะด้วยเพราะความสะใจที่เมื่อครั้งสมัยเธอมาทำงานใหม่ ๆ ก็เคยถูกธนาธรจีบและถึงขั้นหลอกเธอไปหลับนอนด้วย หากแต่มินตราที่เป็นหัวหน้าของเธอออกตัวช่วยไว้ได้ก่อนที่เธอจะพลาดท่าเสีย ที หรือเพราะว่าเรื่องที่ทราบมาเป็นเรื่องที่ชวนให้คันปากเธอเองก็ตอบไม่ได้ แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะเล่าให้มินตราฟังออกไป
          “คือ เขาลือกันนะคะคุณมินตรา ว่าคุณธนาธรน่ะติดโรคจากผู้หญิงที่แกไปมีอะไรด้วยน่ะค่ะ เลยทำให้แกนอนซมไม่ได้มาทำงาน เห็นว่าเมื่อสองวันก่อนรองผู้จัดการฝ่ายบุคคลต้องหอบเอกสารที่ต้องให้ผู้ จัดการเซ็นเท่านั้นตามไปหาถึงที่บ้านน่ะค่ะ”

          มินตราเงยมองเลขาผู้ที่เพิ่งจะนินทาลูกพี่ลูกน้องเธอสด ๆ ร้อน ๆ ด้วยสีหน้านิ่งเฉย ก่อนที่เธอจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยใจของมินตราเองก็รู้สึกสะใจอยู่ถ้า ‘เจ้าหมอนั่น’ จะได้รับบทเรียนที่ดูสาสมจากการที่เที่ยวส่ำส่อนไปทั่ว ทั้งยังหลอกผู้หญิงไปเสียตัวหลายต่อหลายคน จนเธอถึงขั้นเคยคิดว่า ‘หมอนั่น’ คือศัตรูตัวฉกาจของผู้หญิง แต่บางทีเธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้คนที่หน้าตาเหมือนปลาชะโดชนเขื่อนแบบนั้น ทำไมถึงได้สามารถหลอกสาว ๆ ไปเสียความบริสุทธิ์ได้มากมายเช่นนั้น
          “ว่าแต่เธอไปรู้เรื่องนี้มาจากใครล่ะ”

          “พวกที่แผนกฝ่ายบุคลากรเขาบอกมาอีกทีน่ะค่ะ” อรกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

          มินตราค่อย ๆ นั่งคิดทบทวนเรื่องที่เธอไม่ทราบว่าธนาธรป่วยมาก่อนคงเพราะตัวเธอนั้นเพิ่ง จะกลับจากต่างประเทศมาได้เพียงหนึ่งวันและปกติเธอไม่ค่อยอยากที่จะสนใจ ติดตามข่าว ‘คาว’ ของธนาธรนัก แม้กระนั้นในตอนนี้เธอก็ทราบเรื่องแล้วจะให้เธอไม่สนใจใยดีเลยก็คงจะไม่ เหมาะสมนัก ด้วยพ่อแม่ของธนาธรก็เป็นลุงเป็นป้าของเธอแถมยังเป็นคนที่รักและเอ็นดูเธอ มาก ๆ เสียด้วย

          เธอเซ็นเอกสารต่าง ๆ ที่อรจัดเตรียมไว้ให้จนเสร็จเรียบร้อยด้วยอรเล่นเฝ้ามองเธอเสียจนรู้สึกหงุด หงิด ซึ่งหลังจากที่เลขาบังเกิดเกล้าของเธอได้เอกสารที่มีลายเซ็นไปเป็นที่เรียบ ร้อยแล้วนั้นก็ขอตัวออกจากห้องเพื่อทำงานต่อไปในทันที ทำให้มินตรารู้สึกโล่งขึ้นมาก แต่เธอคงไม่มีกะจิตกะใจจะนั่งดูหลินปิงกลิ้งไปกลิ้งมาในกรงดั่งเช่นตอนเช้า อีกแล้ว เธอเปิดโทรศัพท์มือถือสีแดงของเธอขึ้นมาโทรหาพี่ชายธนาธรเพื่อถามเรื่องของ น้องเขาในทันที

          “สวัสดีครับน้องมิ้นท์” เสียงปลายสายตอบรับอย่างสุภาพด้วยชื่อที่ขึ้นในเครื่องของเขาบ่งบอกว่าเป็น มินตราลูกพี่ลูกน้องของเขาเอง

      “ค่ะ พี่ธนทัศน์ สะดวกคุยรึเปล่าคะพี่”

      “ก็คุยได้นะ แต่ตอนนี้พี่อยู่ฮ่องกง น้องถนัดคุยกับพี่รึเปล่าล่ะ”

      “โอเค อย่างเร็วเลยก็ได้ค่ะเดี๋ยวหนูเปลืองเงิน ธนาธรเค้าเป็นอะไรน่ะคะ?” มินตราเอ่ยถามด้วยสีหน้าหนักใจกับพี่ชายของธนาธรที่ยังมีกะจิตกะใจพูดเล่น สนุกสนานราวกับไม่ทุกข์ไม่ร้อนเรื่องธนาธรเลย

      “…เจ้าหมอนั่นเป็นอะไรไปน่ะ”

      “...” คำตอบของธนทัศน์ทำให้มินตรางุนงงอย่างมากที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย ข่าวของอรอาจจะผิดหรือไม่ก็เพราะความที่เป็นนักธุรกิจที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ ของธนทัศน์ทำให้เขาไม่ทราบข่าวเรื่องของน้องชาย แต่ไม่ว่าทางไหนทำให้เธอคิดจะโทรไปถามคุณลุงคุณป้าโดยตรงเลยจะดีกว่า

      “โอเคค่ะ พี่ธนทัศน์ไม่รู้เรื่องแน่ ๆ เดี๋ยวหนูได้เรื่องยังไงจะโทรไปรายงานนะคะ”

      “แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ?”

      “อย่าให้หนูเล่าตอนนี้ เว้นแต่พี่จะออกค่าโทรศัพท์ให้หนู”
      มินตรากล่าวตัดบทพร้อมกับกดวางสายในทันทีด้วยเธอไม่อยากเสียเวลาและเสียค่า โทรข้ามประเทศมากเกินความจำเป็น เธอรีบกดเบอร์บ้านของคุณลุงคุณป้าในทันทีเพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง เธอจะได้แจ้งให้ธนทัศน์ทราบและเธอจะได้ตามไปเยี่ยมสักหน่อย แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเธอจะได้แก้ความเข้าใจผิดของพนักงานและตามไปเฉ่งไอ้ ปลาชะโดชนเขื่อนที่คงอู้งานอยู่กับผู้หญิงที่ไหนสักแห่ง

          “สวัสดีค่ะบ้านพานิชย์ไพศาลค่ะ” เสียงปลายสายตอบรับกลับมาซึ่งมินตราพอจะจำเสียงของคนใช้ในบ้านคุณลุงคุณป้า ได้ เธอจึงเอ่ยออกไปในทันที

          “น้ำ! นี่ชั้นมินตราเองนะ ตามคุณป้ามารับสายที”

          “อ้ะ! คุณมิ้นท์ ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ”

          เสียงปลายสายเหมือนวางหูโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะซึ่งตัวน้ำเองคงกำลังไปตามป้าของ มินตรามาพูดสายด้วย
      ใจของเธอรู้สึกว่ามันสังหรใจอย่างบอกไม่ถูกแม้จะไม่ได้เห็นหน้าของป้าก็ตาม ที ความรู้สึกที่ว่าเรื่องยุ่งยากกำลังมาเยือนเธอแน่นอน

      แกร๊ก~

          “หนูมิ้นท์รึจ๊ะ”
      เสียงยกหูโทรศัพท์พร้อมกับเสียงกล่าวของหญิงผู้หนึ่งดังขึ้น ซึ่งเป็นเสียงป้าของเธอเอง เธอจึงตอบรับไปในทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท

      “สวัสดีค่ะคุณป้า เออ...ธนาธร เป็นยังไงบ้างคะ?” แม้เธอจะไม่มั่นใจแต่ก็ต้องการคำตอบที่รวดเร็วทันใจเธอจึงตัดสินใจถามออกไป ตรง ๆ ทันที ซึ่งเสียงปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมกับมีเสียงที่เหมือนสั่นเครือเล็ดลอด ออกมา เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่อรกล่าวไม่ได้ผิดพลาด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นดูจะร้ายแรงกว่านั้น

      “หนูมิ้นท์มาดูเองที่บ้านป้าเถอะจ๋ะ ป้าพยายามทำใจมาสองวันแล้ว”

      ‘นี่ชั้นคิดถูกคิดผิดเนี่ยที่โทรไปถามอาการอีตานั่น’ มินตราคิดในใจพร้อมกับยิ้มแหย ๆ เธอไม่ชอบที่จะไปดูอาการป่วยของใครนัก มันดูหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ถ้าจะดูก็รอให้เป็นศพเลยจะดีเสียกว่า แต่เมื่อป้าของเธอบอกมาเช่นนั้นจะให้เธอปฏิเสธคงเป็นหลานที่ใจร้ายใจดำไปสัก หน่อยกระมัง เธอจึงตอบรับออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

      “ค่ะ เดี๋ยววันนี้หนูจะขับรถไปที่บ้านคุณป้านะคะ”
      มินตรากล่าวพร้อมกับพูดปลอบใจป้าของเธออยู่อีกครู่ใหญ่ ๆ ทั้งที่เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าธนาธรเป็นอะไร แต่อาการคงจะหนักไม่ใช่เล่นป้าเธอถึงได้ทำใจเช่นนี้ จะว่าไปมันมีอาการป่วยอะไรแสดงอาการไวขนาดนี้ ถ้าตามที่อรเล่ามันเพิ่งจะแค่สามถึงสี่วันเองที่ธนาธรป่วย ถ้าเป็นอุบัติเหตุคงว่าไปอย่าง อย่ากระนั้นเลย ไปดูด้วยตาของตนเองจะดีที่สุด เธอจึงหยิบกระเป๋าของเธอแล้วเดินออกจากห้องไปทันที

      “อร...เดี๋ยวชั้นฝากดูปิดอะไร ๆ ในห้องให้ทีนะ ถ้ามีงานอะไรที่ไม่สำคัญมากให้รองผู้จัดการตัดสินใจไปได้เลย ส่วนพวกนัดประชุมอะไรที่มีชั้นไปเอี่ยวฝากรองผู้จัดการกับเธอเข้าไปจดบันทึก มาให้ทีนะ”

      “รู้สึกบ่ายนี้แผนกการตลาดจะเชิญคุณมิ้นท์เข้าประชุมนะคะ แล้วคุณมิ้นท์จะไปไหนรึคะ หนูจะได้แจงในที่ประชุมถูก” อรที่นั่งทำเอกสารอยู่เอ่ยถามด้วยความสงสัยในท่าทีที่ดูรีบร้อนของมินตรา เธอไม่เคยเห็นเจ้านายของเธอออกจากที่ทำงานตั้งแต่หัววันเช่นนี้มาก่อน ถ้าไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนจริง ๆ

      “ไปเยี่ยมปลาชะโดชนเขื่อนน่ะ ไม่รู้ชนเข้ากับเขื่อนซานเสี่ยต้าป้ารึยังไงกัน”

      “อาการหนักขนาดนั้นเลยรึคะ?” อรเอ่ยถามขึ้นเมื่อมินตราพูดเปรียบธนาธรว่าไปชนเขื่อนใหญ่ที่สุดในโลกเข้า แสดงว่าคงจะอาการหนักไม่ใช่เล่น ๆ

      “อืม...ฝากทางนี้ด้วยก็แล้วกัน ยังไงจะพยายามกลับมาทำงานพรุ่งนี้นะ” มินตรากล่าวทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินฉับ ๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งพอดีกับที่รองผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศเดินออกมาจากห้องเห็นมินตราเดิน ออกไปพอดี

      “อ้าว คุณมิ้นท์เธอไปไหนล่ะครับนั่น”

      “อ้าวท่านรอง คุณมิ้นท์เธอไปหาปลาชะโดน่ะค่ะ” อรเงยหน้าหันไปบอกรองผู้จัดการด้วยน้ำเสียงท่าทางติดตลก ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นคงจะงุนงง แต่รองผู้จัดการกลับประติดประต่อเรื่องได้จากประโยคสั้น ๆ ราวกับรู้เรื่องมาก่อนหน้านี้แล้ว

      “เห็นว่าไม่ค่อยถูกกับคุณธนาธร ไม่คิดนะเนี่ยว่าเวลาเขาป่วยก็ยังมีน้ำใจไปเยี่ยม”

      “แหม ท่านรองก็...คุณมิ้นท์เธอเป็นคนใจดีจะตายไป ถึงเธอจะแว้ด ๆ ใส่คุณธนาธรบ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ใจดำขนาดไม่ดูดำดูดีหรอกค่ะ” อรกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เธอรู้นิสัยของเจ้านายของเธอดีหลังจากที่ได้ช่วยเธอไว้ในครั้งนั้น มันทำให้เธอรักเจ้านายคนนี้มากแม้ว่ามินตราจะดูเป็นคนแปลก ๆ ก็ตามที

      “ว่าแต่...เลิกเรียกผมว่าท่านรองทีเถอะ ทำยังกับผมเป็นรองอธิบดีอะไรอย่างนั้นล่ะ” รองผู้จัดการกล่าวด้วยความหนักใจกับนิสัยที่ชอบแหย่คนอื่นของอร แต่เขาก็ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจอันใด เพียงแค่รู้สึกประหลาดยามที่ถูกเรียกเช่นนั้นเท่านั้นเอง

      “...หนูว่าดีออก ดูเป็นคนใหญ่คนโตดีนะคะ” อรกล่าวท่ามกลางสีหน้าที่ดูเอือม ๆ ของรองผู้จัดการต่อนิสัยที่ดูจะขี้เล่นเกินไปของเธอ

      -----------------------------------

          จากบริษัทออกไปยังบ้านป้าของมินตราในช่วงเวลาสาย ๆ เช่นนี้รถไม่ติดนักด้วยเพราะมินตรานั้นขับรถออกต่างจังหวัดไม่ได้วิ่งไปใน ตัวกรุงเทพ แต่กระนั้นมันก็ยังช้าพอสมควร นี่เป็นอีกเหตุผลที่เธอไม่ชอบกรุงเทพนักด้วยเวลาอยู่ในเมืองเธอเหยียบคัน เร่งได้ไม่เคยมิดสักที

          เส้นทางจากกรุงเทพไปสุพรรณบุรีแม้จะไกลพอสมควรต่อให้วิ่งไปทางเส้นบางบัวทอง แต่ด้วยนิสัยของเธอที่พอได้ออกสู่ถนนโล่ง ๆ ก็เหยียบคันเร่งซะมิดจนถ้าไม่มีป้ายจำกัดความเร็ว เธอจะไม่มีการผ่อนคันเร่งเลยทำให้เวลาที่ใช้ไปบนถนนนั้นสั้นกว่าปกติมาก จากกรุงเทพไปสุพรรณบุรีด้วยทางลัดจะเกือบสองชั่วโมง แต่มินตราใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษ ๆ เท่านั้นเอง

          บ้านของลุงและป้านั้นอยู่ออกไปทางชานเมืองสุพรรณ ด้วยเป็นบ้านที่มีพื้นที่กว้างพอสมควรทีเดียว ตามประสาผู้มีอันจะกินจะปลูกกัน ตระกูลเธอนั้นจริง ๆ เป็นคนพระนครศรีอยุธยาแต่ก็แยกย้ายไปอยู่ในหลายจังหวัดซึ่งลุงและป้าของเธอ ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่แยกออกมาอยู่สุพรรณบุรี แต่ก็ไปทำกิจการอยู่ที่กรุงเทพจนเห็นควรด้วยอายุมากจึงให้ลูกหลานไปสานต่อ แล้วตัวเองก็กลับมาอยู่บ้านที่ปลูกไว้ ส่วนครอบครัวมินตรานั้นยังอยู่ที่พระนคร
      ศรีอยุธยาเช่นเดิมเพราะตั้งรกรากที่นั้นมานานเรียกว่าเป็นตระกูลเก่าแก่จึง ไม่ต้องการย้ายออกไปที่ไหน

          มินตราเลี้ยงรถเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว และทันทีที่ลงจากรถก็เดินตรงเข้าไปในบ้าน ซึ่งคนที่เธอเจอเป็นคนแรกก็คือคุณป้าของเธอเอง

          “คุณป้าคะ ธนาธรเป็นยังไงบ้างคะ”
      มินตรากล่าวพลางถอดรองเท้าเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ด้วยความรีบร้อนพอควร ในขณะที่คุณป้าของเธอเช็ดน้ำตาที่เริ่มปริ่ม ๆ เล็กน้อย แต่ไม่ทันพูดอะไรชายอีกคนหนึ่งก็เดินออกมาจากเบื้องหลังป้าของเธอ

      “ไอ้ธรท่าทางจะรอดยากนะมิ้นท์” ชายหนุ่มสวมแว่นตาท่าทางภูมิฐานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูจะปลงตกต่ออาการ ของธนาธร

      “พี่หมอ...มาเป็นหมอดูแลธนาธรรึคะ?”
      มินตรากล่าวกับชายที่ปรากฏตัวออกมา เขาเป็นเพื่อนกับธนาธรแต่ก็มีอายุมากกว่าเธอ เธอจึงเรียกเขาพี่ด้วยความเคารพ เนื่องจากนิสัยของเขานั้นเป็นคนเอาการเอางาน และมีความน่าเชื่อถือจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอนับถือเขาเป็นพี่

      “จ๊ะ ทศพลเขามาช่วยดูแลเพื่อนของเขาน่ะ ป้าไม่ได้อยากให้เรื่องมันเอิกเกริกอะไร เพราะตอนแรกคิดว่าที่มันป่วยเพราะนิสัยชอบไปมีอะไรมั่ว ๆ กับผู้หญิง ที่ไหนได้ไป ๆ มา ๆ ดูท่าจะไม่ใช่ซะแล้ว”

      มินตราที่ฟังคำบอกเล่าของป้ายิ่งงงหนักกว่าเดิม ไม่ใช่อุบัติเหตุ ไม่ใช่โรคที่เกิดจากนิสัยส่ำส่อนของปลาชะโดชนเขื่อน แล้วมันจะเป็นอะไรได้อีก
      “แล้วเขาเป็นอะไรล่ะคะ?”

      ทศพลถอนหายใจในขณะที่กวักมือเรียกมินตราให้ตามเขาไป จากนั้นก็เริ่มเดินพลางอธิบายให้มินตราเข้าใจมากขึ้น แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นมากนักก็ตามที
      “พี่ก็พูดไม่ถูก อาการเหมือนร่างกายขาดสารอาหารอย่างรุนแรง จนอวัยวะต่าง ๆ ค่อย ๆ หยุดทำงาน มันเป็นเรื่องแปลกมากเชียวล่ะ ไม่ใช่เพราะโรคแต่เป็นความผิดปกติทางร่างกายที่ยังหาสาเหตุไม่ได้เลย”

      มินตราฟังสิ่งที่ทศพลอธิบายด้วยสีหน้าแหยยามนึกภาพตาม อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ธนาธรเป็นแบบนี้คงเป็นสิ่งที่ทำให้ไม่น่าเข้าไปดูสภาพ ของเขาแม้แต่น้อย แต่ออกจะสายไปเสียหน่อย ด้วยเธอเดินตามพี่หมอของเธอมาถึงห้องที่คาดว่าธนาธรพักรักษาตัวอยู่ซะแล้ว

      ป้าของเธอที่เดินตามมาเงียบ ๆ เดินแยกออกไปด้วยเพราะไม่อยากเห็นสภาพลูกชายของตนเอง ส่วนคุณลุงเท่าที่เธอถามนั้นทราบว่า คุณลุงพยายามหาทางช่วยลูกชายตนเองจนกระทั้งพึ่งเรื่องไสยศาสตร์ นี่ก็ไม่อยู่บ้านเพราะพยายามหาหมอผีเก่ง ๆ มาช่วยปัดเป่าโรคภัยให้ลูกของตนเอง ก็อย่างว่าคนไทยเวลาเข้าตาจนสิ่งที่ดูจะน่าเชื่อมากที่สุดคงเป็นไสยศาสตร์ อย่างช่วยไม่ได้ มินตราที่เดินตามทศพลเข้าไปเห็นสภาพของธนาธรก็ให้ตกตะลึงอย่างมาก ด้วยสภาพของเขาในเวลานี้ผายผอมอย่างมาก จากชายหนุ่มที่เล่นทั้งเทนนิสและกอล์ฟอยู่เป็นนิจ กลับมีสภาพผอมโซราวกับคนติดยาจนแทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ดวงตาแห้งผากดูราวกับคนที่สิ้นหวังแล้วกับชีวิตก็ว่าได้หากแต่ในยามนี้ดูเขา จะไม่รู้สึกตัวแล้วว่ามีใครมายืนจ้องเขาอยู่

      “สภาพไม่น่าดูเลยสินะ”
      ทศพลกล่าวพลางส่ายศีรษะช้า ๆ กับสภาพของเพื่อนของตนเองที่ดูไม่เหมือนชายที่ถูกเรียกว่าเป็นเสือผู้หญิงมา ก่อนเลยสักนิด หากแต่มินตราที่ตกใจในตอนแรกนั้นค่อย ๆ ทำใจให้เย็นลงเธอเริ่มเดินมาดูธนาธรใกล้ ๆ โดยไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร สายตาของเธอนั้นมีแต่ความเวทนาให้กับชายที่เธอเคยคิดว่าเป็น ‘ศัตรูของผู้หญิง’

      มินตราจดจ้องธนาธรอยู่ครู่หนึ่งจึงผละจากเขาแล้วเริ่มเดินสำรวจรอบ ๆ ห้อง ห้องนี้เดิมเป็นห้องนอนธรรมดา ๆ แต่บัดนี้ถูกเปลี่ยนให้มีอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อหวังจะช่วยยื้อชีวิตธนาธร เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ดูมากมายไปหมด แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอสนใจแต่อย่างใด เธอเดินไปหยุดที่พระพุทธรูปองค์หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้นเพียงแผ่วเบาด้วยไม่ ต้องการเสียมารยาท

      “พุทธพานิชย์จริง ๆ เลย”

      มินตราถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วจึงหันกลับจากพระพุทธรูปมายังทศพลแล้วเอ่ย ถามเขาออกไป
      “ธนาธรอาการทรุดแบบนี้เรื่อย ๆ มาตั้งแต่เมื่อสี่วันที่แล้วรึคะพี่หมอ?”

      “อืม...อาการมันหนักขึ้นเรื่อย ๆ ใครจะเชื่อว่าแค่สี่วันสภาพมันจะเป็นแบบนี้ได้ล่ะ” ทศพลกล่าวพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของเขา

      มินตรานิ่งเงียบต่อคำตอบที่ได้รับ หากแต่ในใจของเธอรู้สึกว่ามันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ไอ้ลักษณะอาการแบบนี้มันใช่โรคภัยไข้เจ็บธรรมดาเสียเมื่อไหร่ และไม่ใช่โรคเวรโรคกรรมซะด้วย แบบนี้มันอาการโดนของชัด ๆ
      เธอคิดว่าธนาธรคงไปหลอกสาวคนไหนให้ช้ำใจ แล้วสาวเจ้าไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่ยอมหง๋อให้ เธอกลับคิดแค้นจนใช้ ‘ของ’ กลับมาทำร้ายธนาธรกะให้ถึงตายเลยทีเดียว

          เธอสำรวจรอบ ๆ ห้องพร้อมกับความรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ทิ้งร่องรอยไว้ เพียงแต่ไม่ใช่สิ่งที่คนปกติทั่วไปจะมองเห็นได้ เวลานี้เธอรู้สึกว่าเรื่องมันยุ่งยากมากขึ้นด้วยไอ้เรื่องอะไรแบบนี้เธอถูก ครอบครัวสั่งห้ามไม่ให้ไปยุ่งหรือเกี่ยวข้อง แต่ครั้งนี้มันมาเอี่ยวกับญาติของเธอเองมันจึงดูไม่มีทางเลือก แม้จะเสี่ยงต่อการที่ตัวเองต้องไปเจอเรื่องอันตราย แต่ก็คงต้องขอ ‘ลองของ’ เสียหน่อยแล้ว

          มินตราเดินออกจากห้องไปหาน้ำ สาวรับใช้ที่ทำความสะอาดอยู่ที่ห้องกลาง เธอนั้นค่อนข้างรู้จักน้ำมานานเพราะสาวใช้คนนี้เป็นลูกติดของแม่บ้านที่มาทำ งานรับใช้บ้านนี้ตั้งแต่สมัยเธอยังเด็ก เธอจึงรู้สึกสนิทสนมกับน้ำพอสมควร
          “น้ำ น้ำจ๊ะ มานี่หน่อย”

          “คะ คุณมิ้นท์”
      น้ำที่ได้ยินเสียงมินตราเรียกวางไม้ขนไก่ที่เธอกำลังปัดเครื่องเรือนอยู่ แล้ววิ่งมาหามินตราในทันที ซึ่งมินตรานั้นก็ฉีกกระดาษในสมุดบันทึกที่อยู่ใกล้ ๆ สมุดโทรศัพท์ขึ้นมาจดบางสิ่งบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยื่นให้น้ำไป
      “น้ำจ๊ะ ช่วยเตรียมของตามนี้ให้หน่อย พยายามให้ได้ก่อนตะวันตกดินนะ เดี๋ยวชั้นจะบอกตาส่งให้ช่วยขับรถให้เธอตระเวนหาของพวกนี้”

      “มิ้นท์จะทำอะไรน่ะครับ”

      “ก็แค่...ทำในสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้น่ะค่ะ” มินตราหันกลับมาตอบทศพลที่เดินมาเธอมาไว ๆ ด้วยความสงสัยที่อยู่ ๆ มินตราก็เดินออกจากห้องเหมือนเร่งร้อนจะทำอะไรสักอย่าง

      “แย่ ๆ มิ้นท์จะเล่นอะไรแบบคุณลุงอีกคนรึยังไงกัน” ทศพลกล่าวพลางถอนหายใจ ด้วยความที่เขาเป็นหมอสมัยใหม่ ไอ้เรื่องอะไรทางไสยศาสตร์เขาจึงไม่ค่อยจะเชื่อนัก ยิ่งคนป่วยอาการหนักเช่นนี้ มันไม่ใช่ที่เอาการกระตุ้นกำลังใจมาช่วยได้แต่อย่างใด

      คำพูดของทศพลทำเอามินตรามองเขาแบบเซ็ง ๆ แต่มันเป็นเรื่องปกติของคนยุคใหม่ที่ส่วนมากจะไม่เชื่อเรื่องนี้จนกว่าจะได้ ประสพพบเจอเอากับตนเองตรง ๆ ประจวบเหมาะกับป้าของมินตราเดินลงมาพอดีจึงได้ยินเรื่องที่ทั้งสองคุยกัน เธอจึงเดินมาถามมินตราด้วยความสงสัย
      “หนูมิ้นท์จะทำอะไรรึจ๊ะ”

      “จะลองช่วยเท่าที่จะทำได้น่ะค่ะ ถ้าสำเร็จธนาธรน่าจะรอดนะคะ” มินตรากล่าวพลางยิ้มให้ป้าของเธอ ซึ่งดูท่าทางป้าของเธอจะยิ้มออกมาอย่างมีความหวังในทันที ส่วนหนึ่งเพราะป้าของเธอนั้นรู้ดีว่าต้นตระกูล
      ‘เทพาพิทักษ์กุล’ นั้นไม่ใช่ตระกูลทั่วไป เป็นตระกูลของผู้มีวิชาที่รับใช้ราชกุลผู้ครองเมืองในอดีตซึ่งเธอเคยรับรู้ เรื่องราวต่าง ๆ จากญาติผู้ใหญ่มาพอสมควร แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้มีชื่อเสียงในเรื่องนี้แล้วก็ตามที

          “คุณป้าเชื่อด้วยรึครับ” ทศพลกล่าวพลางเกาศีรษะด้วยความหนักใจ

          ป้าของมินตราหันไปยิ้มกับทศพลพร้อมทั้งเอ่ยออกไปอย่างมีความหวัง
          “ก็ไม่เสียหายอะไรนี่จ๊ะ ยังไงตอนนี้เราก็อับจนหนทางแล้วนี่นา”

          “งั้นหนูไปขอให้ลุงส่งพาน้ำไปหาของที่หนูต้องการก่อนนะคะ” มิตรากล่าวพลางยิ้มและชูนิ้วเป็นรูปตัววีให้กับทศพลด้วยท่าทางทะเล้น ๆ ก่อนที่จะเดินออกไปกับน้ำเพื่อเตรียมการต่าง ๆ ในทันที

          ทศพลมองตามด้วยความรู้สึกแปลกใจระคนหนักใจ ด้วยเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสาวมั่นที่คล่องแคล่ว เป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถสูงคนหนึ่งอย่างมินตรานั้นจะมีความคิดความ เชื่ออะไรในเรื่องนี้ จนถึงขั้นทำตัวเป็นแม่หมอให้เขาเห็นเช่นในวันนี้

      ---------------------------------------------------

          ในช่วงสี่โมงเย็นใกล้จะห้าโมงน้ำที่ออกไปหาของตามใบสั่งของมินตรากลับมาด้วย ความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง ด้วยเพราะของที่เธอสั่งเป็นของที่ต้องเดินทางไปจนครบเก้าวัดในตัวสุพรรณบุรี เลยทีเดียว แม้ว่าของที่ต้องการจะไม่ได้มากมายนัก แต่เพราะการตะลอน ๆ ไปหลายที่มันก็หนักเอาการอยู่ หลังจากที่มินตราได้รับของแล้ว เธอก็ให้น้ำไปพักในทันทีเพราะเธอก็พอจะรู้อยู่ว่าของที่เธอให้ไปหานั้นแม้จะ เป็นของที่ดูธรรมดา แต่ต้องเดินทางไปหลายที่คงทำให้ผู้ที่ไปหาเหนื่อยพอดู


          มินตรานำของที่ได้มาแยกออกตามที่เธอต้องการใช้ เพื่อจะเริ่มจัดเตรียมทำพิธีกรรมของเธอในทันที ด้วยเพราะเวลานี้แม้จะยังไม่ห้าโมงเย็น แต่เธอถือว่าถ้าทำช้าจนเวลาล่วงไปจนถึงเวลาผีตากผ้าอ้อมคงไม่ดีสักเท่าไหร่ เพราะเธอไม่รู้ใจของคนที่ทำของว่าจะสั่งให้ของเริ่มทำงานตอนใหน เมื่อไหร่บ้าง

          ทศพลและป้าของมินตรานั่งมองเธอนั่งจัดข้าวของด้วยความสนใจ แต่จะให้ช่วยอะไรคงไม่ได้เพราะทั้งสองไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไรบ้าง โดยเฉพาะทศพลที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ยิ่งเห็นของยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่ ด้วยสิ่งที่เธอให้น้ำไปหามานั้นมีเพียงทรายถุงใหญ่ กับน้ำเปล่าเพียงสี่ขวดเท่านั้นเอง

          “มิ้นท์จะเอาของแบบนี้มาทำอะไรเนี่ย”
      ทศพลกล่าวพลางเกาศีรษะของตนเองด้วยความงุนงง ในขณะที่มินตราที่ถูกโยนคำถามซ้ำ ๆ ซาก ๆ ใส่ดูจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่เธอก็ไม่ได้แสดงอาการออกมาตรง ๆ ด้วยเพราะจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป และจะไปว่าทศพลผิดก็ไม่ได้ ด้วยเขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ย่อมไม่เข้าใจสิ่งที่เธอกำลังทำแน่นอน เธอจึงตอบออกไปด้วยประสงค์อย่างจะแกล้งเขานิดหน่อย

      “เอามาให้พี่หมอใช้แรงงานนั่นล่ะค่ะ เอ้า!!”
      มินตรากล่าวพลางยกถุงทรายให้ทศพลในทันที ซึ่งทศพลก็รับด้วยความงุนงงก่อนที่มินตราจะเอ่ยต่อไป

      “พี่หมอช่วยเอาไปโรยไว้รอบ ๆ บ้านทีนะคะ แต่ไม่ต้องโรยตรงบริเวณแนวที่หน้าต่างห้องธนาธรนอนอยู่นะคะ พยายามโรยให้พอนะคะ ถ้าไม่พอหนูจะให้พี่หมอบึ่งรถไปเอามาเพิ่ม” มินตรากล่าวพลางหัวเราะเบา ๆ ซึ่งทศพลที่ถูกมินตราใช้ได้แต่พยักหน้ารับ มันไม่ใช่งานยากอะไรแต่ก็ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากขึ้น ด้วยเพราะเวลาใครเขาจะปัดรังควานอะไรเขามักจะทำกันรอบบริเวณบ้าน แต่มินตรากลับเลือกให้มีช่องว่างไว้ราวกับต้องการเปิดช่องไว้สำหรับอะไรสัก อย่าง

      ทศพลเดินออกไปจัดการตามที่มินตราส่งแบบงง ๆ ซึ่งตัวมินตราเองไม่ได้รู้สึกแปลกใจต่อท่าทางของเขา ออกจะรู้สึกขบขันเล็ก ๆ ด้วยซ้ำ เพราะถ้าว่ากันจริง ๆ ทรายถุงนั้นเธอกะโรยเพียงแค่เป็นจุด ๆ ไม่ได้กะโรยรอบบ้านแต่อย่างใด เธอก็เพียงแค่อย่างแกล้งทศพลที่ชอบถามนู้ถามนี้จนเธอรู้สึกรำคาญเท่านั้นเอง

      “ให้ป้าช่วยอะไรมั้ยจ๊ะหนูมิ้นท์” ป้าของมินตราเอ่ยถามขึ้น ซึ่งมินตราได้แต่ยิ้มพลางส่ายศีรษะช้า ๆ
      พร้อมทั้งตอบออกไปในทันที

      “ไม่มีอะไรแล้วค่ะคุณป้า เดี๋ยวที่เหลือหนูจัดการเอง เออ...คืนนี้หนูขออยู่ในห้องของธนาธรเพียงคนเดียวนะคะ จะได้ทำอะไรได้สะดวก ๆ หน่อย” มินตรากล่าวพลางเก็บขวดน้ำทั้งสี่ขวดใส่ถุงเพื่อนำไปเตรียมไว้ในห้องของธนา ธร

      เวลาล่วงเลยไปจนประมาณหกโมงเศษ ๆ ทศพลเดินกลับเข้ามาในบ้านหลังจากพยายามโรยทรายที่ได้จากมิตราจนรอบบ้าน แม้บ้านของป้ามินตราจะไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่ก็ไม่ใช่พื้นที่น้อย ๆ แถมทรายที่ให้ไปดูยังไงก็ไม่น่าจะโรยได้รอบบ้าน ทำให้เขาต้องเสียเวลาคิดอยู่นานเพื่อที่จะได้สามารถทำในสิ่งที่มินตราร้องขอ ได้สำเร็จ

      ป้าของมินตราเดินมาพร้อมกับเอ่ยกับทศพลออกไปด้วยความเกรงใจ
      “ต้องให้คุณหมอลำบาก ต้องขอโทษด้วยนะคะ ไม่รู้หนูมิ้นท์นี่กะแกล้งคุณหมอรึเปล่าก็ เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตอนที่คุณหมอออกไปโรยทรายน่ะ”

      “ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วย ๆ น้องเขาหน่อย”
      ทศพลตอบพลางหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางเกาศีรษะ ด้วยเธออาจจะแกล้งเขาจริง ๆ ก็ได้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดโกรธอะไรเพราะส่วนหนึ่งเธอทำไปก็เพราะหวังดีกับธนาธร เพื่อนของเขา และจะให้ไปโกรธสาวสวยที่ยังไม่ได้ทำเรื่องเดือดร้อนใหญ่โตอะไรมันก็คงไม่ดี นักในความคิดของเขา ทศพลหันซ้ายหันขวามองหามินตราแต่ไม่เห็นเธออยู่ในห้องรับแขกเลยเขาจึงถามป้า ออกไป
      “แล้วมิ้นท์ไปใหนแล้วล่ะครับคุณป้า?”

      “อ๋อ หนูมิ้นท์เธออยู่ในห้องตาธรน่ะ เห็นเธอว่าอยากอยู่ในห้องนั้นคนเดียวน่ะ คุณหมอจะไปหาเธอรึ?”
      ป้าของมินตราตอบพลางเงยหน้าไปมองยังห้องที่ธนานธรนอนอยู่ด้วยความกังวลใจ ไม่ใช่แค่อาการป่วยของลูกชายเธอเท่านั้น หากว่ามันเป็นอาการที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์จริง ๆ การที่มินตราเข้าไปยุ่งเช่นนี้เกิดได้รับอันตรายไป เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีหน้าไปพบพ่อแม่ของมินตราได้อย่างไร

      ทศพลมองขึ้นไปที่ห้องธนาธรก่อนที่จะขอขึ้นไปหามินตรา ใจเขาไม่ได้กังวลเรื่องโดนของอะไรนั่นเพราะเขาไม่เชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เขาสนใจมากกว่าว่ามินตราคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ เขาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องของธนาธรก่อนที่จะเคาะประตูเรียกด้วยไม่แน่ใจ ว่ามินตรานั้นจะอนุญาตให้คนอื่นเข้าไปรึไม่ เพราะป้าของมินตราบอกไว้ว่าตัวเธอนั้นต้องการอยู่เพียงคนเดียว

      “ค่า~ เข้ามาได้ค่า~” เสียงตอบรับของมินตราดังออกมา ซึ่งเวลานั้นทศพลแอบนึกในใจว่ามินตราคงไม่ได้ทำห้องซะเป็นห้องพิธีกรรมอะไร ไปเสียแล้วหรอกนะ

      เมื่อทศพลเข้าไปเขาพบว่าภายในห้องไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างที่เขาคาด คิด จะมีเพียงแก้วน้ำที่ใส่น้ำไว้จนเกือบเต็ม วางอยู่รอบ ๆ ห้อง มันไม่ได้มีจำนวนมากนักเพียงแค่ฟากละสามถึงสี่ใบเท่านั้นเอง มินตรานั้นนั่งอยู่ในห้องฝั่งประตูทางเข้าห่างจากตัวของธนาธรพอสมควร ดูท่าทางเธอจะนั่งนิ่ง ๆ เช่นนี้มานานพอสมควรแล้วทีเดียว

      “โรยทรายหมดแล้วรึคะพี่หมอ?” เธอเอ่ยทักขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย

      ทศพลยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะเอ่ยตอบกลับไป
      “ครับ แต่ดูทรายมันจะน้อยเกินไปนะครับ ผมต้องค่อย ๆ โรยบาง ๆ แต่ต่อเนื่องกว่าจะรอบบ้านได้ ก็เสียเวลาน่าดูเลยทีเดียว”

      “อยากจะบอกว่า...จริง ๆ แล้วก่อเป็นกองไว้ตามมุมของบ้านก็ได้น่ะค่ะ”
      มินตรากล่าวพลางหัวเราะเบา ๆ ท่าทางของเธอดูจะชอบใจพอดูที่ได้ใช้งานทศพลและแกล้งไปเช่นนั้น จนเขายิ้มแหย ๆ ออกมาเมื่อรู้ว่าถูกแกล้งจริง ๆ แต่เขาก็ไม่ได้โกรธอะไร เขาเดินมาหามินตราแล้วเอ่ยถามถึงสิ่งที่เธอทำด้วยน้ำเสียงที่ให้ความสนใจ อย่างยิ่ง

      “ว่าแต่สรุปแล้วไอ้ของพวกนี้มันอะไรยังไงกับล่ะครับนี่”

      มินตรายิ้มรับก่อนที่จะหันไปมองธนาธรที่นอนตาค้าง แม้จะยังหายใจแต่ก็โรยรินมากแล้ว เธอจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบทศพลออกไป
      “ทรายจากวัดเก้าวัดน่ะค่ะ ของดีนะคะ ของที่คนปราถนาจะทำบุญแล้วนำมันไปบริจาคให้วัดจะมีแรงพอต้านพวกของอัปมงคล ได้”

      “เขามีแต่ขนทรายเข้าวัดไม่ใช่รึ”

      “ค่ะ เดี๋ยวก็ต้องขนไปคืนทั้ง 9 วัดล่ะค่ะ ไปถือวิสาสะเอามาแบบนี้น่ะ แต่มันจำเป็นนี่นา”
      มินตราตอบพลางทำสีหน้าหนักใจเล็กน้อย ขนทรายเข้าวัดไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ต้องไปให้ครบเก้าวัดนี่ก็คงลำบากพอดู

          “แล้วเจ้าน้ำพวกนี้?” ทศพลกล่าวพลางชี้ไปรอบห้องที่มีแก้วใส่น้ำวาเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ยกเว้นบริเวณหน้าต่างของห้อง

          “น้ำจากสระศักดิ์สิทธิ์น่ะค่ะ ดีนะคะที่อยู่สุพรรณบุรี มีของดีครบพอเอามาใช้สู้กับของที่ทำคุณไสยได้เลยทีเดียว”

          “น้ำจากสระศักดิ์สิทธิ์??”
      ทศพลสงสัยในสิ่งที่มินตราพูดถึงว่าสุพรรณบุรีมีของอะไรเช่นนี้ด้วยเช่นนั้น รึ ซึ่งมินตราที่ได้ยินการทวนคำของทศพลก็เข้าใจว่าเขานั้นไม่รู้จักเป็นแน่ เธอจึงอธิบายออกไปสั้น ๆ

      “น้ำจากบ่อที่ใช้ในพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาน่ะค่ะ มันอยู่ในตัวเมืองนี่ล่ะค่ะ ว่าง ๆ พี่หมอลองขับรถไปแวะดูสิคะ กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้วนะ”

      “มันก็แค่น้ำเฉย ๆ ไม่ใช่รึยังไงกัน”
      ถึงจะบอกว่าเป็นน้ำที่ใช้ในพิธีสำคัญ แต่เขามองว่าน้ำ ก็คือน้ำอยู่ดีนั่นล่ะ หากแต่มินตรานั้นกลับยิ้มให้กับสิ่งที่ทศพลกล่าว มันดูเป็นเรื่องธรรมดาของคนในยุคปัจจุบันเสียจริง ๆ

      “แต่หนูว่านะ มันดีกว่าไอ้พวกพระพุทธรูปที่ผลิตจำนวนมากเพื่อหาเงินเข้าวัดเสียอีกนะ ของที่บอกว่าศักดิ์สิทธิ์สมัยนี้หาที่มีพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณยากเหลือเกิน ไว้พี่หมอคอยดูก็แล้วกัน”
      มินตราตอบก่อนที่จะหันกลับไปจดจ้องที่ธนาธรก่อนที่จะเอ่ยต่อไป

      “เดี๋ยวหลังหนึ่งทุ่มขอหนูอยู่ในห้องนี้คนเดียวนะคะ แล้วก็จะดีมากเลยถ้าตอนนี้พี่หมอจะเอาข้าวมาให้หนูทานก่อนที่จะหนึ่งทุ่ม” เธอกล่าวพลางยิ้มออกมา ซึ่งทศพลก็ยิ้มพร้อมทั้งเอาไปลูบศีรษะของมินตราเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูเฉกเช่นที่เขาทำกับเธอบ่อย ๆ ตั้งแต่สมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัยก่อนที่จะตอบออกไป

      “เดี๋ยวพี่เอามาให้ก็แล้วกัน”

      ---------------------------------------

          หลังจากทานอาหารฝีมือแม่บ้านซึ่งเป็นแม่ของน้ำจนมินตราอิ่มแล้ว เธอก็ยังคงอยู่ภายในห้องเงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้ออกไปใหนแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ลุกจากเก้าอี้เสียด้วยซ้ำ ซึ่งคนอื่น ๆ เฝ้ารอดูเหตุการณ์อยู่ที่ชั้นล่างด้วยความตื่นเต้นโดยเฉพาะเหล่าคนใช้ที่มา รวมกลุ่มกับป้าของมินตาด้วยความกลัวเมื่อทราบว่า มินตราเธอจะทำพิธีอะไรสักอย่างที่เหมือนกับไล่ผี

          เวลาเดินต่อไปอย่างต่อเนื่องจนล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่ม ก็ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ซึ่งมินตรานั้นได้บอกกับป้าและทศพลไว้ว่าเธอจะอยู่ในห้องนั้นเรื่อย ๆ ถ้าเธอยังไม่ออกมาก็ไม่ต้องไปเคาะเรียกหรือเปิดเข้าไปแต่อย่างใด ทำให้ทศพลและป้าของเธอดูจะเป็นห่วงอย่างมากที่เธอเงียบไปเป็นเวลานานกว่าสาม ชั่วโมงเช่นนี้

          ภายในห้องของธนาธรนั้นมินตรานั่งอยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางไฟที่ปิดจนมืดสนิท จะมีเพียงแสงจันทร์ยามค่ำคืนเท่านั้นที่สาดส่องลงมาสลัว ๆ เธอนั่งนิ่งเช่นนั้นจนกระทั่ง

          ฟิ้ว~

          เสียงลมดังขึ้นภายในห้อง มันคงเป็นเรื่องปกติถ้าห้องนี้เปิดหน้าต่างอยู่ หากแต่ห้องของคนป่วยที่ต้องการให้ปลอดจากเชื้อโรคภายนอก จึงปิดหน้าต่างกระจกไว้ มีเพียงเครื่องปรับอากาศที่เปิดอยู่เท่านั้น การที่มีเสียงลมในห้องเช่นนี้จึงเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก

          “มาแล้วสินะ”

          มินตรากล่าวพลางจดจ้องไปยังร่างของธนาธรที่ ณ เวลานี้มีอะไรบางอย่างลอยอยู่เหนือตัวของเขา ก่อนที่จะค่อย ๆ ลงมานั่งทับ ท่าทางของเจ้าสิ่งที่ว่านั้นดูเหมือนผู้หญิงที่มีผมยาวสลวย แต่กระนั้นท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวที่อยู่ ๆ ก็มีอะไรเช่นนี้มาปรากฏตัว หญิงสาวตนนั้นนั่งทับธนาธรพร้อมกับครางออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับไม่พอใจอะไร บางอย่าง ซึ่งมินตราเองก็จับใจความไม่ได้ และดูท่าทางเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย

          แก้วน้ำจากสระศักดิ์สิทธิ์ที่วางใกล้ ๆ ตัวมินตราถูกเธอค่อย ๆ หยิบขึ้นมาก่อนที่เธอจะดูทีท่าของฝ่ายตรงข้ามอยู่พักหนึ่ง จึงได้ตัดสินใจสาดมันออกไปอย่างรวดเร็ว

          กรี๊ด!!!!!!!!!

          เสียงหวีดร้องอย่างโหยหวนดังระงมไปทั้งบ้าน ทำเอาทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกแทบจะกอดกันกลม ต่างจากทศพลที่ดูจะตกใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเป็นห่วงมินตราเสีย มากกว่า เขาลุกขึ้นพร้อมทั้งวิ่งไปหามินตราที่ห้องทันที หากแต่เนื่องจากห้องถูกล็อคไว้ เขาจึงตัดสินใจพังประตูเข้าไป

          ตึง!! ตึง!! โครม!!!

          เสียงเขาพยายามกระแทกประตูอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าไปในห้องได้ พร้อมกับป้าของมินตราที่ตามมาไม่ห่าง
      ภายในห้องที่มืดมิด มินตรายืนนิ่งหันหลังให้ทศพลไม่ได้ไหวติงใด จนทศพลและป้าของเธอเป็นห่วงอย่างมากจึงตะโกนเรียกเธอออกไป

          “มิ้ทท์!!”
      “หนูมิ้นท์”

      มินตราไม่ได้ตอบรับอะไร ในมือของเธอยังคงถือแก้วน้ำไว้นิ่ง ท่าทางของเธอเหมือนกำลังจดจ้องอะไรสักอย่าง ท่าทางของเธอทำให้ทศพลตัดสินใจไปเปิดไฟห้องทันที สภาพภายในห้องไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก นอกจากมีน้ำสาดเปียกตรงบริเวณเลยข้างเตียงของธนาธร หลังจากที่ทศพลมองสำรวจอย่างรวดเร็วเขาหันไปมองมินตราที่ยืนนิ่งเงียบ ท่าทางของเธอเหมือนกับตกตะลึงอะไรบางอย่างจนพูดไม่ออก เขาจึงเข้าไปเขย่าตัวพร้อมกับเรียกเธอ
      “มิ้นท์!! ได้ยินที่พี่เรียกมั้ย!!”

      มินตรากลืนน้ำลายลงคอไปหนึ่งครั้งก่อนที่จะมีทีท่าเหมือนรู้สึกตัว เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนที่จะยิ้มให้กับทศพลแล้วตอบออกไป
      “ไม่เป็นไรค่ะ”

      จากนั้นเธอจึงผละออกจากตัวเขาแล้วเดินไปหยิบถุงที่มีทรายซึ่งเธอขยักไว้จาก ถุงใหญ่ที่ให้ทศพลไปโรยไว้เมื่อเย็น มาโรยตรงบริเวณฝั่งหน้าต่างของห้องที่เธอสั่งทศพลไว้ว่าตอนที่โรยรอบบ้านให้ เว้นจุดนี้ไว้ จากนั้นเธอจึงยืนมองออกไปยังนอกหน้าต่างครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้น
      “หนูว่า...หนูคงต้องขอตัวไปจัดการเรื่องนี้ให้จบ ๆ ก่อนล่ะค่ะคุณป้า”

      “ยังไม่เสร็จรึจ๊ะหนูมิ้นท์?”

      “ค่ะ...แต่หนูจะพยายามจบมันภายในคืนนี้” มินตรากล่าวด้วยสายตาที่ดูเคร่งเครียดยามที่มองออกไปยังนอกหน้าต่าง ด้านทศพลที่เข้าไปดูอาการของธนาธรก็ให้ประหลาดใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ธนาธรหายใจได้ดีมากขึ้น สัญญาณชีพจรดีขึ้น ดูท่าทางทุกอย่างกำลังปรับเข้าที่เข้าทางอย่างที่มันควรจะเป็น ทำให้เขาอดที่จะทึ่งในสิ่งที่มินตราทำไม่ได้ แม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้องเมื่อครู่ที่ผ่านมาก็ตามที

      มินตราค่อย ๆ เบือนหน้าจากหน้าต่างพร้อมกับเอ่ยกับป้าของเธอออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดูเคร่ง เครียด
      “คุณป้าคะ หนูขอตัวก่อนนะคะ คิดว่าธนาธรอาการจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วล่ะค่ะ หนูมีเรื่องต้องกลับไปสะสางที่กรุงเทพสักหน่อยน่ะค่ะ”

      ป้าของมินตรานั้นพอจะทราบจากสิ่งที่มินตรากล่าวมาตลอดเหมือนว่าเธอกำลังจะไป ทำอะไรสักอย่างที่เป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย ทำให้อดที่จะกล่าวออกไปด้วยความเป็นห่วงเสียไม่ได้
      “ไม่เอานะหนูมิ้นท์ ถ้ามันอันตรายก็อย่าไปทำเลย เขาคงไม่มาทำอะไรเราอีกแล้ว ต่างคนต่างอยู่เถอะ”

      “หนูไม่คิดว่าเจ้าหล่อนจะคิดอย่างนั้นหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูเอาตัวรอดได้” มินตรากล่าวพลางเดินผละจากป้าของเธอในทันที

      “มิ้นท์!!”

      มินตราหยุดเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวพร้อมรอยยิ้มกับทศพลออกไป
      “ฝากปลาชะโดชนเขื่อนด้วยนะคะพี่หมอ งวดนี้คงเข็ดไปอีกนานแน่ ๆ”

      หลังจากที่กล่าวจบเธอเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังรถเก๋งสีแดงของเธอแล้วขับรถออกจากบ้านไปท่ามกลางความรู้สึกห่วง กังวลของทั้งทศพลและป้าของเธอเอง

      ------------------------------

          จากบ้านของคุณป้านั้น มินตราเลือกที่จะใช้เส้นทางเดิมเดินทางกลับสู่กรุงเทพ เธอขับรถออกจากสุพรรณบุรีเป็นเวลานานเกือบสามสิบนาที ออกมาได้ระยะทางพอสมควรแล้ว แต่ท่าทางของเธอที่ขับรถอยู่ดูจะจริงจังและเครียดอย่างมากไม่ได้ผ่อนคลายไป กับถนนที่ดูโล่งปลอดโปร่งจนเธอเหยียบคันเร่งได้ตามพอใจไม่
      ด้วยสิ่งที่เธอเห็นในห้องธนาธรนั้นดูจะทำให้เธอตกตะลึงอย่างยิ่ง เพราะไม่คิดว่าผู้ที่ทำร้ายธนาธรจะเป็นคนที่เธอคาดไม่ถึงเช่นนั้น

          ปึง!!!!

          เสียงของอะไรบางอย่างพุ่งเข้ากระแทกท้ายรถจนตัวของมินตราที่ขับรถอยู่แทบจะ พุ่งชนเข้ากับพวงมาลัย หากแต่มันไม่ได้ทำให้เธอตกใจจนไม่เป็นอันทำอะไร มินตรายังคงขับต่อไปพลางมองกระจกมองหลังทันที ทว่ามันหาได้มีสิ่งใดอยู่เบื้องหลังท้ายรถของเธอไม่ ทำให้เธอจึงตัดสินใจหันไปมองด้วยตาของเธอเอง

          “...เอาแล้วไงชั้น”

          มินตรากล่าวด้วยสีหน้าตกใจพร้อมกับเส้นประสาทตากระตุกเมื่อได้พบภาพที่ปรากฏ อยู่ท้ายรถของเธอ เธอหันกลับมามองกระจกมองหลังอีกครั้ง ซึ่งเธอก็พบว่าภายในกระจกนั้นหาได้มีสิ่งใดปรากฏให้เห็นไม่ เธอจึงกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกหนักใจอย่างยิ่ง

          “โอเค...เดี๋ยวนี้เขานิยมส่งบริวารมาซิ่งรถแข่งกันแล้วงั้นรึเนี่ย”

          เธอกล่าวเช่นนี้ด้วยเพราะตอนที่เธอหันไปมองนั้นเธอพบกับรถเก๋งสีดำเปิดไฟ สว่างขับไล่จี้เธอมาติด ๆ ซึ่งคาดว่าสิ่งที่กระแทกเธอเมื่อครู่นี้คือรถคันดังกล่าว เพียงแต่เธอมองไม่เห็นมันในกระจกหลัง ซึ่งเธอไม่ได้แปลกใจนักเพราะกระจกไม่ได้สะท้อนทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้ แต่ดวงตาของเธอที่สามารถมองเห็นวิญญาณ ภูติผีปีศาจหรือแม้แต่สิ่งลี้ลับต่าง ๆ ได้ดูจะน่าเชื่อถือมากกว่ากระจกในเวลานี้ ที่น่าแปลกใจคือการที่เจ้าคนที่ปล่อยของมาเล่นงานธนาธรนั้นจะมาเล่นงานเธอ ด้วยวิธีการเช่นนี้ มันออกจะสมัยใหม่เกินไปหน่อยแล้ว

          มินตราพยายามเหยียบคันเร่งจนความเร็วเวลานี้ปาไปเกือบร้อยสามสิบกิโลเมตรต่อ ชั่วโมง แต่เจ้ารถผีคันนั้นยังคงตามเธออย่างไม่ลดละ ราวกับว่าพยายามจะเก็บเธอเสียให้ได้ ความเร็วที่มินตราใช้นั้นออกจะเร็วจนถ้าตำรวจมาพบคงไล่กวดแน่ ๆ หากแต่ในตอนนี้ถนนกลับโล่งอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าเธอมาอยู่ในแดนสนธยาที่ไร้ผู้คนมีเพียงเธอ กับรถผีคันนั้นเท่านั้นเอง จนเธออดที่จะโอดครวญต่อการไล่ล่าของเจ้ารถผีในยามวิกาลเช่นนี้เสียไม่ได้

          “บ้าจริงเชียว ชั้นไม่ใช่ไอ้หนุ่มขายเต้าหู้จากจังหวัดกุมมะที่จะได้มาแข่งดริฟท์กันแบบนี้ นะยะ”

          ปึง!!

          เจ้ารถผีพุ่งกระแทกเธออีกครั้ง แต่ด้วยเพราะเธอขับด้วยความเร็วสูงจึงทำได้เพียงแค่กระแทกเบา ๆเท่านั้น แต่มันก็มากพอที่จะทำให้มินตราโมโหอย่างมากจนเปิดกระจกแล้วยกมือออกไปนอก หน้าต่างพร้อมกับโชว์นิ้วกลาง ก่อนที่จะสบถในรถของตัวเอง
          “เอาเซ่ เดี๋ยวแม่จะดริฟท์ให้แกแหกโค้งไปเลย”

          กลายเป็นว่าเป็นการขับรถไล่ล่าของรถผีที่พยายามตามมินตราซึ่งเหยียบคันเร่ง จนขีดความเร็วแทบจะสุดหน้าปัด ความเร็วขนาดนี้ดูจะไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดสำหรับมินตราด้วยเพราะความที่เธอ ชอบความเร็วอย่างมาก งานอดิเรกของเธอในยามว่างจึงเป็นการขับรถแข่งในสนาม ลีลาการเข้าเกียร์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ การผ่อนคันเร่งและเหยียบเบรคจึงสามารถทำได้ดี จนรถผีคันดังกล่าวไม่ได้กินเธอง่าย ๆ

          มินตรานั้นดูจะพยายามขับทิ้งห่างมันมากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้จนดูเหมือน กับว่าเธอพยายามหนี ซึ่งรถผีก็พยายามวิ่งตามด้วยความเร็วที่สูงมากขึ้น การไล่ล่าไปตามทางหลวงเป็นไปอยู่เกือบยี่สิบนาทีจนมาถึงทางที่เป็นโค้งที่ มินตราตัดสินใจเหยียบคันเร่งเต็มที่ไม่มีการผ่อนแรงแม้แต่น้อย ซึ่งมันก็ไล่ตามเธอด้วยความเร็วไม่แพ้กัน

      “ตัดสินแล้วนะ”
      มินตรากล่าวในขณะที่ใกล้จะเข้าสู่ช่วงโค้งก่อนที่เธอจะหักพวงมาลัยเต็มที่ พร้อมกับเปลี่ยนเกียร์ และผ่อนคันเร่งอย่างรวดเร็วอย่างชำนาญ พร้อม ๆ กับเหยียบเบรคเพื่อให้ตัวรถหักเข้ากับโค้งได้ก่อนที่จะแหกโค้ง

          เอี๊ยด!!!!!!!!!!!!!!!!!

      รถของมินตราไหลกับตามทางโค้งก่อนที่จะทรงตัวไปตามทางได้ตามปกติ ในขณะที่เจ้ารถผีดูจะไม่สามารถหักเข้าโค้งได้ทันจึงพุ่งเข้าชนกับราวกันชน เต็มที่

          เอี๊ยด!!!

      มินตราเบรครถจนนิ่งสนิทก่อนที่จะเปิดประตูรถออกมาดูผลงานของตนเอง หากแต่มันหาได้มีรถคันใดปรากฏอยู่แถวนี้ไม่ ราวกับว่าสิ่งที่เธอเพิ่งขับหนีมาเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้นเอง หากแต่เธอรู้ดีว่าไม่ใช่ภาพลวงตาแน่นอน ด้วยกันชนด้านหลังรถของเธอได้รับความเสียหายพอสมควร แสดงว่าเจ้ารถผีคันนั้นมันชนเข้าจริง ๆ เพียงแต่ด้วยการที่มันพุ่งชนกับราวกันชนของทางโค้งซึ่งไม่ใช่เป้าหมายที่ เจ้านายของมันสั่งให้มาจัดการ มันจึงอันตรธานหายไปก็เท่านั้นเอง
         
          แป๊ด!!!!!!!

          เสียงแตรของรถอะไรสักอย่างดังขึ้นเบื้องหน้า ห่างจากรถของมินตราออกไปพอสมควร มันทำให้เธอต้องหันมามองด้วยความตกใจ ก่อนที่เธอจะอ้าปากค้างแล้วรีบวิ่งขึ้นรถตนเองในทันที พร้อมทั้งจับพวกมาลัยไว้แน่นและจดจ้องไปยังเบื้องหน้าของเธอซึ่ง...

          มีรถสิบล้อสองคันขับขนาบมาราวกับกำลังแข่งกันอยู่ รถทั้งสองพุ่งตรงมาที่เธอค่อย ๆ เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนมินตราเหงื่อตกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าของเธอ

          “เอาเข้าไป นี่ไม่ใช่หนังเรื่องสยึ๋มกึ๋ยนะยะ”

          มินตรากล่าวพลางนึกถึงฉากในภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเมื่อปี 2534 ที่เหล่าตัวเอกต้องเผชิญหน้ากับบริวารของหมอผีที่ถูกว่าจ้างให้มาฆ่านางเอก ซึ่งหนึ่งในฉากเหล่านั้นมีเหตุการณ์ที่พวกพระเอกต้องมาเผชิญหน้ากับรถสิบล้อ สองคันที่ขับโดยผี พยายามพุ่งเข้าชนรถของพวกเขา เฉกเช่นเดียวกันกับเธอ ณ เวลานี้ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย

          “ประสานงา...สินะ” มินตรากล่าวพลางทำสมาธิพร้อมกับเหยียบคันเร่งเตรียมพุ่งเข้าประสานงากับรถ บรรทุกทั้งสองตามภาพยนตร์ที่เธอเคยดูมา มันอาจจะดูไร้สาระที่ทำอะไรเช่นนั้น แต่เธอเชื่อว่าถ้าหากเธอไม่เชื่อในตัวตนของพวกมัน มันก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่ได้แค่พุ่งผ่านเธอไปเท่านั้น

          รถของมินตราพุ่งตรงไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับรถบรรทุกทั้งสองที่พุ่งตรงเข้ามาโดยที่เบาะที่นั่งคนขับของรถสิบล้อทั้ง สองหาได้มีคนขับไม่ก็ขับพุ่งตรงเข้าหารถของมินตราเต็มกำลังเช่นกัน

      “ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โยจามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
      ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

      ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โยจามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
      ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

      ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โยจามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
      ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ”

      มินตราท่องบทยันทุนที่ใช้สวดป้องกันอันตราย ในขณะที่เธอเหยียบคนเร่งจนมิดฝ่าเท้า จนรถของเธอพุ่งเข้าชนรถสิบล้อทั้งสองที่แล่นขนานกันมา ซึ่งมินตราได้แต่ขับตรงไปเบื้องหน้าและหลับตาทำสมาธิไม่คิดว่ามีสิ่งเหล่า นั้นอยู่เบื้องหน้าของตนเอง จนในที่สุด

          เอี๊ยด!!!!!

          เสียงเบรครถของมินตราดังก้องไปทั่วถนน รถของเธอหยุดก่อนที่จะชนเข้ากับราวกั้นถนนของอีกหัวโค้งเพียงไม่กี่ เซนติเมตร โดยที่รถของเธอปราศจากความเสียหายใด ๆ จากรถสิบล้อผีทั้งสองคันที่หมายจะประสานงารถของเธอ ซึ่งทันทีที่รถหยุดสงบนิ่ง มินตราก็ยิ้มออกมานิดหน่อยพร้อมกับเอ่ยขึ้นเบา

          “ไอ้ผีน่ะของจริง แต่รถมันโม้เหม็น ๆ ชัด ๆ”

          มินตรากล่าวด้วยความรู้สึกหงุดหงิดก่อนที่จะค่อย ๆ ถอยรถกลับเข้าไปอยู่ในเลนของตนเองให้ถูกต้อง พร้อมทั้งเหยียบคันเร่งอีกครั้งตรงเข้ากรุงเทพทันที ด้วยเธอเริ่มรู้สึกขี้เกียจกับการที่จะต้องมาซิ่งแข็งกับผี ๆ พวกนี้แล้ว

      -------------------------------------------

          เฉกเช่นขาไป มินตราใช้เวลาในการขับรถกลับมากรุงเทพไม่นานนัก แม้ว่าจะเจอเหตุการณ์ระทึกขวัญต่อเนื่องกันถึงสองครั้ง แต่นั่นทำให้เวลาในการเดินทางกลับไวขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่เข้ามาในเขตกรุงเทพเธอขับตรงไปยังสถานที่ซึ่งเธอคาดว่าผู้ที่ใช้ ของมาเล่นงานธนาธรและเธออาศัยอยู่ทันที

          มินตราขับรถไปเรื่อย ๆ ดูจะไม่ใจร้อนนักด้วยการจราจรในกรุงเทพแม้ว่าจะเป็นตอนตีหนึ่งรถก็ไม่ได้ลด ลงมาก เธอจึงค่อย ๆ ไป ด้วยเพราะเธอเชื่อว่าการใช้ของส่งอะไรมาเล่นงานใครในตัวกรุงเทพเป็นเรื่อง ยากกว่าต่างจังหวัดมากเนื่องจากไม่ว่าที่ใหนในกรุงเทพก็ล้วนแต่มีเจ้าที่ เจ้าทางเฮี้ยน ๆ เต็มไปหมด ไปทำอะไรทับที่ทับทางเจ้าที่พวกนี้ถ้าคนใช้ของไม่แน่จริงจะไม่ได้ตายดีเอา นั่นเป็นข้อยืนยันในระดับหนึ่งว่าคนที่ใช้ของมาเล่นงานเธอนั้นไม่ได้เป็นจอม ขมังเวทย์ที่เก่งกาจมากมายนัก ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเมื่อเธอคิดถึงภาพที่เห็นในห้องของ
      ธนาธรอีกครั้งซึ่งยืนยันตัวผู้ใช้ของ

          ดูท่าทางเธอจะเสียเวลากับถนนในกรุงเทพเสียยิ่งกว่าทางไปสุพรรณบุรีจนเธอ เริ่มหงุดหงิดนิด ๆ แต่เธอก็พยายามทำใจให้สงบเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าพอไปถึงที่หมายจะคุมสติไม่อยู่ จนเรื่องจะจบไม่สวย ด้วยเธอนั้นหวังอยู่ลึก ๆ ที่จะเจรจากับผู้ที่ใช้ของ เพราะเธอเชื่อว่า ‘เจ้าหล่อน’ คงมีเหตุผลและมีความคับข้องใจอย่างมากจึงได้ทำเช่นนี้ต่อธนาธร แต่ที่ทำกับเธอไว้บนถนนสุพรรณบุรีคงต้องขอความกระจ่างกันหน่อย ถ้าเหตุผลน่าฟังหรือน่าเห็นใจมินตราก็ว่าจะให้อภัยไปจะได้ไม่มีเหตุให้เป็น เวรเป็นกรรมต่อไปอีก

          มินตราที่หลุดจากการจราจรที่หนาแน่นมาถึงซอยแห่งหนึ่ง เธอขับรถไปตามทางที่มีแสงไฟสลัวจนมาถึงอพาร์ทเมนท์ที่เป็นอาคารสูงใหญ่ จากที่นี่ไม่ได้ห่างจากที่ทำงานของเธอมากนัก เรียกว่าถ้านั่งรถเมล์ไปก็ไม่น่าเกินยี่สิบนาทีเว้นแต่จะไปเจอรถติดเท่านั้น เธอเอารถไปจอดในจุดจอดรถแล้วลงมามองอพาร์ทเมนท์ของผู้ที่ใช้ของมาเล่นงานเธอ ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา เธอเชื่อแน่ว่าเจ้าตัวรู้ดีว่าเธอมาถึงแล้ว แต่การที่ปล่อยให้เธอมาใกล้ถึงขนาดนี้ย่อมมีเป้าหมายอะไรสักอย่างเป็นแน่ กระนั้นมินตราก็อยากจะมองโลกในแง่ดีสักนิดว่า ‘เจ้าหล่อน’ ก็คงอยากเจรจาดี ๆ กับเธอเช่นกัน

          ทางขึ้นอพาร์ทเมนท์ดูจะวังเวงกว่าที่คิดแม้จะบอกว่าเป็นเวลาตีหนึ่งที่ผู้คน ส่วนใหญ่พากันนอนหลับไปหมดแล้วก็ตามที แต่ยามก็ดันหลับไปด้วยนี่สิ ทำให้มินตราคิดอยู่ภายในใจ
          ‘เออ...โจรมันคงขนข้าวขนของกันเฮฮาล่ะนะ’

          เธอส่ายศีรษะพลางเดินไปยังประตูทางขึ้นอพาร์ทเมนท์ ทางเดินนั้นดูจะมืดและเงียบอย่างมาก แม้ว่าจะมีเสียงจากบางห้องที่ยังไม่หลับไม่นอน แต่ก็เพียงประปรายซึ่งเธอก็เดินมาเรื่อย ๆ จนมาถึงชั้นที่ห้าของอพาร์ทเมนท์ก่อนที่จะเดินตรงไปที่ห้องของผู้ใช้ของด้วย ความมั่นใจ เธอจำห้องนั้นได้แม่นเพราะครั้งที่เธอช่วยผู้ใช้ของคนนี้จากการหลอกลวงของ ธนาธรที่หมายจะเอาเจ้าหล่อนทำเมียนั้น เธอเป็นคนช่วยเจ้าหล่อนและพามาส่งยังห้องพักแห่งนี้เองกับมือ ระหว่างทางเดินเธอยังอดที่จะหวั่นใจต่อภาพที่เห็นในห้องธนาธรไม่ได้ เจ้าสิ่งนั้นที่ผมยาวสลวยเมื่อเธอสาดน้ำจากสระศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว มันก็หวีดร้องและหันมาหาเธอด้วยสายตาที่เจ็บปวดระคนความแค้น
      ใบหน้านั้นมินตราจำได้อย่างแม่นยำ มันคือ ‘ใบหน้าของอร’ เลขาของเธอเอง

          ที่หน้าห้องของอรนั้น มินตรายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอานิ้วชี้ของตนเองเขียนอะไรบางอย่าง ไว้ที่ประตู แล้วจึงกดกริ่งของห้องโดยหวังว่าอรจะมาเปิดประตูต้อนรับเธอด้วยเสียงใสเช่น ทุกครั้งที่เธอเคยมาเยี่ยมเยียน หากแต่ดูจะน่าผิดหวังที่ไม่มีเสียงตอบรับอันใด มีเพียงเสียงของลูกบิดที่ถูกปลดล็อคออกโดยอัตโนมัติ ที่ทำให้เธอคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าอรนั้นให้คาถาที่เธอมีเปิดประตูต้อนรับ เธอ

          “จะคุยกันรู้เรื่องรึเปล่านะ” มินตรากล่าวลอย ๆ ในขณะที่เปิดประตูเข้าไปในห้อง

          ห้องของอรนั้นปิดไฟไว้ทำให้ภายในมืดอย่างมาก แต่กระนั้นยังสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อยู่บ้าง เพราะหน้าต่างที่เปิดกว้างรับแสงจากด้านนอก แต่กระนั้นก็เห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นเพียงเงาทึม ๆ ไม่ใด้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน มินตราจึงเอื้อมมือไปหมายจะเปิดสวิตช์ไฟ

          “ทำไมถึงต้องขัดขวางหนูด้วยคะคุณมิ้นท์”

          เสียงของอรดังขึ้นจากภายในห้องมืด ซึ่งทำให้มินตราชะงักไป และพยายามมองหาว่าอรอยู่ที่ใหนกันแน่ เธอเห็นเงาของอะไรบางอย่างตะคุ่ม ๆ อยู่ที่กลางห้อง จากรูปร่างของมันทำให้เธอคิดว่านั่นคงเป็นอรแน่นอนเธอจึงกล่าวออกไปด้วยน้ำ เสียงขอร้อง

          “อร เรามาคุยกันดี ๆ ก่อนดีกว่ามั้ย อย่าทำอะไรแบบนี้เลย”

          “ไม่ค่ะ!!!”
      เสียงของอรตวาดดังออกมาจากตรงเงาที่ตะคุ่ม ๆ นั้นทำให้มินตรามั่นใจมากขึ้นว่าอรอยู่ที่ตรงนั้นแน่นอน เธอจึงหันกลับไปกดสวิตช์ไปเพื่อให้สว่างจะได้คุยกันได้ง่ายมากขึ้น

      ตึง!!

      ไม่ทันที่มินตราจะกดสวิตช์ไฟเธอถูกอะไรบางอย่างพุ่งตรงเข้ากระแทก หากแต่เธอรู้สึกตัวได้ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าชน เธอจึงถอยหลังหลบไปอย่างรวดเร็วส่งผลให้เจ้าสิ่นั้นพุ่งเข้าชนกับผนังห้อง เต็มแรง จนเสียงดังเหมือนใครเอาค้อนอันใหญ่ ๆ ทุบเข้าที่พนัง มันคงเจ็บไม่ใช่เล่นเลยทีเดียวถ้าเมื่อครู่เธอโดนเจ้าสิ่งนั้นไปจัง ๆ เพราะเจ้าสิ่งที่พยายามจะกระแทกเธอนั้นดูจะมีแรงมหาศาลอย่างมาก

      “ทำอะไรน่ะอร นี่ชั้นเองนะมินตราเจ้านายของเธอไง”

      “ทราบค่ะ หนูทราบดี” อรกล่าวพลางลุกขึ้นยืนช้า ๆ ด้วยผมที่ยางสลวยของเธอที่ปลิวไปตามแรงลมที่ผัดเข้ามาจากหน้าต่างทำให้ภาพ นั้นดูน่ากลัวอย่างมาก ดวงตาของเธอดูจะส่องสว่างจนเห็นได้ชัดในที่มืดเช่นนี้

      “แต่หนูไม่ทราบว่าทำไมคุณถึงต้องขัดขวางสิ่งที่หนูกำลังทำล่ะคะ”

      อรโยนคำถามใส่มินตราที่ยืนมองเธอจากประตูทางเข้า ก่อนที่เธอจะเดินช้า ๆ เหมือนพยายามจดจ้องมินตราที่ยังคงยืนนิ่งเงียบอยู่

      “มันไม่ถูกต้องไม่ใช่รึอร แม้ธนาธรจะทำผิดต่อเธอ แต่โทษของเขาไม่น่าจะต้องถึงตายนี่นา”

      “ทั้ง ๆ ที่เขาพยายามจะให้หนูทำแท้งลูกตัวเองน่ะรึคะ” อรตอบกลับในสิ่งที่มินตราตักเตือน คำพูดของอรทำให้มินตราถึงกับตะลึง ก็ในวันนั้นเมื่อเกือบหนึ่งปีที่แล้วเธอได้ช่วยอรไว้ได้ก่อนที่ธนาธรจะพาเธอ ไปหลับนอนในโรงแรมได้แล้วนี่นา

      “อะไรกัน...ทำไมเธอถึงท้องลูกของธนาธรได้อีกล่ะ”

      เรื่องต่าง ๆ ทำให้มินตรางุนงงพอสมควร จนเธอคิดได้เพียงอย่างเดียว อรยังแอบคบหากับธนาธร จะด้วยเพราะความเต็มใจหรืออะไรก็แล้วแต่ มันคงเป็นแบบนี้แน่ ๆ
      “เธอ...ไปแอบมีอะไรกับไอ้หมอนั่นรึ?”

      “ค่ะ หนูมีอะไรกับเขา...เขาสัญญาว่าจะจดทะเบียนและ...”
      ไม่ทันที่อรจะกล่าวจบมินตราก็โพล่งออกไปด้วยความโมโหทันที

      “ยัยบ้า!! ก็รู้อยู่ว่าไอ้หมอนั่นเสือผู้หญิงขนาดใหน มีผู้หญิงตั้งกี่คนที่พอมันได้สมใจก็ทิ้งไปไม่ใยดี ทำไมเธอถึงได้...”

      “คงเพราะรักล่ะมั้งคะ” เสียงของอรตอบกลับมาอย่างเศร้า ๆ

      มินตรายืนกัดฟันกรอด ๆ หากเป็นอย่างที่อรพูดจริง ๆ เธอก็เหมือนช่วยคนผิด เวลานี้เธอเข้าใจความรู้สึกของอรดี แต่กระนั้นการเอา ‘ของ’ ไปเล่นงานใครดูจะเกินกว่าเหตุไปพอสมควร และเธอก็ยังคงแปลกใจอยู่ที่อรเลือกที่จะใช้เวทมนตร์คาถาในการทำเช่นนี้ เธอจึงเอ่ยถามออกไป
      “แล้วทำไมอรถึงได้ใช้ ‘ของ’ ล่ะ ทำไมไม่บอกชั้นหรือแจ้งความจะได้จัดการให้ถูกต้องตาม...”

      “เหมือนคราวที่แล้วที่ไม่มีใครทำอะไรได้งั้นรึคะ”
      อรสวนมินตรากลับมาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งก่อน แม้อรจะรักธนาธรแต่สิ่งที่เขาทำมันดูจะเกินไป การพึ่งอำนาจอื่นดูจะไม่มีผลนักในสายตาของเธอ รวมไปถึงมินตราที่ก็เป็นญาติกับธนาธรก็คงทำอะไรไม่ได้มากเป็นแน่นอกจากจะกัน เธอไว้ห่าง ๆ จากธนาธรเฉกเช่นที่ทำมาตลอดเท่านั้นเอง

      ด้านมินตราได้แต่นิ่งเงียบไปด้วยความอึ้ง ที่อรกล่าวก็ไม่ผิดนักด้วเรื่องในครั้งนั้นแม้เธอจะโวยวายและพยายามทำอะไร หลาย ๆ อย่าง แต่มันก็ไม่ได้มากกว่าไปกันไม่ให้ธนาธรเข้ามายุ่มย่ามกับลูกน้องของเธอ โดยไม่สามารถเล่นงานธนาธรในทางกฏหมายได้เลย มันจึงไม่น่าแปลกใจถ้าอรเลือกที่จะหาความยุติธรรมให้เธอเองในวิธีที่เธอคิด ว่าดีที่สุด แต่กระนั้นแล้วทำไมตัวเธอถึงได้ถูกอรเล่นงานไปด้วยล่ะ
      “แล้วทำไมชั้นถึงได้ถูกเธอ...”

      “ถูกเล่นงานเอารึคะ?” อรกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาด ๆ ราวกับว่ากำลังหัวเราะอยู่ ทำเอามินตรานั้นขนลุกต่อเสียงนั้นอย่างมาก มันเหมือนกับว่าอรกำลังมีความสุขที่ได้ทำเช่นนั้น

      “เดิมก็ไม่ได้กะจะทำร้ายคุณมิ้นท์หรอกค่ะ แต่...มันก็น่าโมโหนะคะที่อยู่ ๆ คนที่ตัวเองเคารพรักกลับไปเข้าข้างคนผิดแบบนั้น”

      ‘ก็หล่อนไม่เคยบอกชั้นให้รู้เรื่องเลยนี่นา’ มินตราคิดด้วยความหนักใจต่อสิ่งที่อรกล่าว แต่กระนั้นก็ดูไม่ใช่เหตุผลที่เพียงพอที่อรจะเล่นงานเธอให้เลือดตกยางออก และอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตแม้แต่น้อย ระหว่างนี้เธอรู้สึกว่าอรนั้นแปลกไป น้ำเสียงที่อรพูดมันดูมีความสุขอย่างน่าประหลาดราวกับว่าเจ้าตัวกำลังพอใจ ที่จะได้เล่นงานเธอ

      “แต่ว่าตอนนี้หนูมีเป้าหมายใหม่แล้ว ฮิฮิฮิ”

      “ห...เห?” เสียงหัวเราะของอรทำให้มินตราขนลุกอย่างมาก มันไม่เหมือนอรที่เธอทำงานร่วมกันมาตลอดเลยแม้แต่น้อย จนเธอกำลังสงสัยบางสิ่ง บางสิ่งที่เธอแอบหวั่นใจว่ามันจะเกิดขึ้นกับอรด้วยเพราะผู้ใช้ของที่เป็นมือ ใหม่ส่วนใหญ่หลายคนมักจะเป็นเช่นนี้เมื่อใช้คาถาอาคมอย่างไม่ระมัดระวัง

      “หนูอิจฉานะคะ คุณมิ้นท์มีทุกอย่างดีพร้อมหมดไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การศึกษา หน้าที่การเงิน ทรัพย์สินเงินทอง หนู...อยากเป็นคุณมิ้นท์จังเลยค่ะ”
      น้ำเสียง ท่าทางและคำพูดของอรนั้นทำเอามินตราเสียวสันหลังวาบจนแทบจะอ้าปากค้าง อารมณ์เหมือนกำลังฟังตัวละครในภาพยนต์เรื่องผีคนเป็นที่พยายามทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้ตนเองนั้นกลายเป็นนางเอกของเรื่องจนถึงขั้นกลายเป็นผีแล้วก็ เข้าสิงนางเอกเพื่อให้ตัวเองได้กลายเป็นคนที่ตัวเองเทอดทูน

      ‘อย่าบอกนะว่ายัยอรคิดจะทำกับชั้นแบบนั้นน่ะ’

      “ขอให้หนูอยู่แทนคุณมิ้นท์ เป็นคุณมิ้นท์ก็แล้วกันนะคะ”

      ‘เอาแล้วไง!! ไอ้เรื่องแบบนี้มันขอกันได้ที่ใหนเล่า!!’
      มินตราอ้าปากค้างแทบจะร้องออกมาทันทีที่อรกล่าวจบ ด้วยไอ้เรื่องแบบนั้นมันชวนขนลุกอย่างมาก ความหมายของมันคืออรคิดจะเก็บเธอซะแล้วอาจจะใช้ร่างของเธอ อยู่เป็นตัวเธอ ทำทุกอย่างแบบเธอ และที่เลวร้ายที่สุดอรที่ชอบพอในตัวธนาธร อาจจะเอาร่างของเธอไปออเซาะเจ้าปลาชะโดชนเขื่อนนั่น แค่คิดภาพในห้วงความคิดมันก็แทบจะทำให้มินตราลงไปดิ้นกับพื้นด้วยรับความคิด นี้ไม่ได้เลยจริง ๆ

      ความคิดแบบนี้มันเป็นความคิดของคนที่ดูจะขาดสติ มีเพียงความต้องการที่จะไขว่คว้าในสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่สนใจคนอื่น ใช่แล้วไอ้ความคิดที่เหมือนถูกอะไรบางอย่างครอบงำจนขาดสติยั้งคิดเช่นนี้มัน ทำให้มินตราคิดได้เพียงอย่างเดียวแล้วเท่านั้น

      ‘อร...เธอใช้วิชาจนวิกลจริตไปแล้วงั้นรึนี่’

      มันเป็นเรื่องปกติของคนที่เรียนเวทมนตร์คาถา โดนเฉพาะพวกคาถาอาคมของประเทศแถบภูมิภาคนี้ที่มีรูปแบบต่างจากฝั่งโลกตะวัน ตก เวทมนตร์ต่าง ๆ ของประเทศแถบนี้มักมีรูปแบบพื้นฐานของการใช้ที่ต้องระมัดระวังด้วยมันมี อำนาจมากพอที่จะสั่นคลอนจิตใจคนใช้ให้หลงระเริงไปกับอำนาจที่มี หรือไม่ก็ใช้โดยไม่ระมัดระวังจนทำให้ผู้ใช้ของหลายคนมีอาการของเข้าตัว

      “อ้า~ แค่คิดก็รู้สึกดีแล้วล่ะค่ะคุณมิ้นท์ พรุ่งนี้ที่ทำงานก็จะมีมินตราคนใหม่ที่จะไม่ทะเลาะกับคุณธนาธรแล้วนะคะ”

      “แต่ไอ้คุณธนาธรนั่นเพิ่งจะถูกเธอเล่นงานปางตายไปนะยะ ยัยอร”
      มินตรากล่าวพลางยิ้มแหย ๆ ให้กับความคิดที่ดูจะบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ ของเลขาที่เธอไว้ใจมากที่สุด หากแต่ ณ เวลานี้กลับกลายเป็นคนที่หมายจะทำร้ายเธอไปเสียแล้ว

      “เออ นั้นเป็นความผิดพลาดของ ‘ผู้หญิงที่ชื่ออร’ ค่ะ แต่พรุ่งนี้จะไม่มีอร จะมีแต่มินตราคนใหม่ยังไงล่ะคะคุณมิ้นท์”
      คำกล่าวของอรทำให้มินตราขนลุกอีกครั้ง ท่าทางของอรดูจะกู่ไม่กลับแล้วจริง ๆ มินตราสังเกตว่าแสงไฟจากข้างนอกที่สาดส่องเข้ามาให้ห้องลดน้อยลงเรื่อย ๆ ด้วยเพราะเวลาเริ่มดึกมากขึ้นแล้ว คนแถวนี้ก็เริ่มเข้านอนมากขึ้น เธอค่อย ๆ เดินไปหาสวิตช์ไฟช้า ๆ ในขณะที่อรเอาแต่บ่นพึมพำอะไรบางอย่างโดยไม่ได้สนใจสิ่งที่มินตรากำลังอยู่ นัก

      พรึ่บ!!

      มินตราที่เปิดไฟห้องได้สำเร็จสักที หันมามองภายในห้อง ภาพที่เห็นดูแล้วทำให้เธออยากกลับไปปิดไฟตามเดิม ห้องของอรที่เป็นห้องรับแขกนั้นมีรูปภาพของมินตราในอิริยาบทต่าง ๆ ติดเต็มไปหมด ยังกับว่าเธอเป็นสโตรกเกอร์ที่เฝ้าตามเธอทุกเวลาเช่นนั้นล่ะ มันยิ่งทำให้เธอขนลุกมากขึ้นไปอีก ส่วนทางด้านอรนั้นยืนอยู่ในชุดนอนสีแดงรูปแบบคล้ายกับที่มินตราชอบใส่นอน เป็นประจำ ผมของอ่อนยามปล่อยนั้นยาวสลวยจนเลยแผ่นหลัง มันเป็นเหมือนสิ่งที่บอกให้มินตราทราบว่าอรนั้นพยายามที่จะเป็นให้ได้แบบที่ เธอเป็น ไม่ว่าจะเป็นการไว้ผมหรือการแต่งกาย
      อรที่เห็นท่าทางของมินตราที่ดูตกใจนั้นก็แสยะยิ้มอย่างน่ากลัว เวลานี้เธอพยายามทำในสิ่งที่เธอหวังให้สำเร็จด้วยอาคมที่เธอมี เธอยกมือทั้งสองข้างขึ้นก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าขนลุก
      “หนูว่าควรจะได้เวลาที่หนูจะเป็นคุณเสียทีนะคะ”

      มินตราฟังคำของอรก็หันไปหมุนลูกบิดประตูห้อง แต่ลูกบิดประตูกลับไม่สามารถบิดเพื่อเปิดได้ มันเป็นไปตามที่เธอคาดไว้ก่อนหน้านี้ นี่เป็นกับดักจริง ๆ รู้สึกว่าเธอจะใจร้อนและมองโลกในแง่ดีไปสักหน่อย เพราะไม่คิดว่าอรจะกลายเป็นคนวิกลจริตที่คิดเรื่องบ้า ๆ เช่นนี้ได้

      อรที่เห็นมินตราไม่สามารถออกจากห้องได้ก็แสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัวพร้อม ทั้งกางนิ้วมือชูไปทางมินตราก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
      “ฆ่ามันซะลูกแม่”

      ‘จากคุณกลายเป็นมันไปแล้วชั้น’
      มินตราคิดในใจพลางจดจ้องไปยังอรที่จดจ้องมาที่เธอด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ ก่อนที่จะมีบางสิ่งพุ่งตรงเข้ามาหาเธอ รูปร่างของมันเหมือนกับกระบือที่มีเขาโง้งใหญ่ดูหน้ากลัว มันวิ่งเข้าใส่มินตราด้วยแววตาและท่าทางที่ดุร้าย ทว่าท่าทางของมินตรานั้นกลับยืนดูมันพุ่งเข้าชนอย่างนิ่งเฉย โดยไม่ได้แสดงท่าทางตกใจออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย จนอรที่เป็นผู้สั่งเจ้า ‘ควายธนู’ ให้ทำร้ายมินตรายังแปลกใจ

      ควายธนูร่างกายสีดำทะมึนวิ่งเข้าชนมินตราเต็มแรง หากแต่สิ่งที่อรไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น ทันทีที่ควายธนูเข้าใกล้มินตรานั้น ร่างของมันค่อย ๆ สลายไปกลายเป็นกลีบดอกบัวจำนวนมากลอยกระจายเต็มห้องไปหมด โดยที่ตัวของมินตรานั้นไร้รอยขีดข่วนใด ๆ ทั้งสิ้น

      ด้านมินตรานั้นกลับไม่ได้ตกใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย เธอยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเรียบเฉยไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ออก หากแต่ในแววตาของเธอนั้นดูจะอาลัยอาวรณ์ในตัวของเลขาคนโปรดอย่างมาก ด้วยเธอนั้นรู้สึกสงสารในชะตากรรมที่อรต้องประสพ แม้จะบอกว่าส่วนหนึ่งเพราะความดึงดันของเธอเองก็ตามที อีกอย่างมินตรานั้นชอบอรตรงที่สามารถทำงานเข้าคู่กับเธอได้อย่างดี จนเธอนั้นไว้วางใจอรให้จัดการสิ่งต่าง ๆ ในแผนกเสียยิ่งกว่ารองผู้จัดการฝ่ายเสียอีก

      เธอยืนจ้องอรอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามอรขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเย็นชา แต่ลึก ๆ นั้นเธอไม่ต้องการให้อรตอบในสิ่งเธอคาดเดาไว้แม้แต่น้อย
      “เธอ...คิดจะฆ่าชั้นจริง ๆ รึ?”

      “มาถึงตอนนี้แล้วยังมีทางอื่นอีกรึคะ”
      อรตอบพลางแสยะยิ้มอีกครั้งก่อนที่จะกางนิ้วมือขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏ ตัวของควายธนูที่ครั้งนี้เป็นสีแดงสดพุ่งเข้าชนมินตราอีกครั้ง

      ตึง!!!

      ครั้งนี้แรงปะทะดูจะมากกว่าครั้งแรกอย่างมากจึงทำให้เกิดเสียงดังขึ้น หากแต่ผลลัพท์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิมเจ้าควายธนูตัวสีแดงสดค่อย ๆ สลายไปเป็นกลีบดอกบัวลอยไปทั่วห้องก่อนที่จะร่วงสู่พื้นแล้วสลายไปหมดไม่ เหลือสิ่งใดที่บ่งบอกถึงร่างของมันเลย อรดูจะตกใจมากยิ่งขึ้นด้วยอาคมของเธอใช้กับมินตราไม่ได้ผลถึงสองครั้งซ้อนจน เธอคิดได้เพียงอย่างเดียวว่ามินตรานั้นมีของดีติดตัวอยู่ทำให้อาคมของเธอทำ ร้ายผู้ที่เธอหวังครอบครองร่างไม่ได้แม้แต่น้อย

      “ทำแบบนี้...คิดดีแน่แล้วรึอร?”
      มินตราที่เปลี่ยนท่าทางมาเป็นยืนกอดอกถามอรด้วยน้ำเสียงที่อดสมเพชต่อสิ่ง ที่อรกำลังทำอยู่ไม่ได้ ด้วยอรนั้นตกเป็นทาสอารมณ์ยังไม่พอ ยังตกไปเป็นทาสของอำนาจเวทมนตร์จนลืมจิตใจของความเป็นมนุษย์

      ด้านอรที่ถูกถามนั้นเริ่มจะไม่พอใจและโมโหต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ‘ของ’ ที่เธอใช้นั้นไม่เคยผิดพลาดจนไม่สำเร็จเช่นนี้มาก่อน ต่อให้อีกฝ่ายมีพระดังพระดีขนาดใหนก็หาได้ป้องกันวิชาและของที่เธอมีได้เลย ชีวิตของเธอตั้งแต่เริ่มฝึกวิชาพวกนี้ดูจะมีอำนาจทำอะไรก็ด้ามใจคิดจนเธอมี ความสุขมากขึ้น แต่นี่มันอะไรกัน ทำไมสิ่งที่เธอเชื่อมั่นกลับไม่อาจทำร้ายมินตราได้เลยแม้แต่น้อย แถมเจ้านายของเธอยังคงลอยหน้าลอยตาถามอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่เช่นนี้
      “ชั้นพอใจ ชั้นจะทำ ชั้นจะอยู่แทนเธอ เป็นเธอเอง”

      คำตอบของอรดูจะแน่วแน่อย่างมาก จนมินตรานั้นถอนหายใจออกมาก่อนที่จะเท้าเอวแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักใจ ต่อคำตอบที่ได้รับ ซึ่งมันจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของอร

      “ชั้นคิดว่าเราน่าจะคุยกันได้ซะอีก แต่ท่าทางเธอจะหลุดวงโคจรไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้วจริง ๆ”

      มินตรายกมือขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับปรายนิ้วมือออกไปยังเบื้องหน้าของเธอ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยภาษาบาลีพลางจดจ้องอรด้วยสายตาที่เย็นชา

      “เขตฺตํ ปิธาย”

      ทันใดนั้นห้องของอรที่เคยสว่างด้วยแสงจากหลอดไฟนีออนก็ถูกปกคลุมด้วยอะไร บางอย่างสีดำสนิท มันกลืนกินทุกสิ่งในห้องจนห้องที่มีขนาดกว่าเจ็บสิบตารางเมตรกลายเป็นห้องสี ดำสนิท แม้แต่หน้าต่างก็กลายเป็นผนังสีดำไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันแต่อย่างใด จากนั้นครู่หนึ่งสิ่งที่อยู่รอบตัวทั้งสองก็แปรเปลี่ยนไปเหมือนว่าทั้งสอง ลอยตัวอยู่ในอวกาศมืดมิดที่ไร้ขอบเขต อรที่เห็นภาพเช่นนี้ก็ตกใจถึงกับผงะถอยหลังไปเลยทีเดียว

      “เธอไม่รู้จักชั้นแม้แต่น้อย ชีวิตของชั้นแบบที่เธอคิดหรอกนะ อย่างน้อยชั้นก็ยังไม่มีแฟน...”

      “นั้นเพราะเธอไม่สนใจที่จะหาเองไม่ใช่รึยังไง”
      น้ำเสียงของอรที่ตอบแทรกขึ้นมาดูจะแข็งกร้าวอย่างมาก หากแต่สิ่งที่เธอพูดก็เป็นเรื่องจริง จนมินตราเองก็ยืนยิ้มเจื่อน ๆ ด้วยปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดมานั้นเธอดูจะเลือกผู้ชายที่จะคบหาด้วยอย่างมาก จึงไม่มีชายใดเข้าตาเธอเลยสักคนแถมเธอยังเชิดใส่ผู้ชายทุกคนที่พยายามเข้ามา จีบเธอเสียด้วยซ้ำ

      “โอเค...เราไม่พูดถึงเรื่องนั้นก็ได้ ไอ้การที่เธอคิดจะมาเป็นชั้นอะไรนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอกนา”

      ในขณะที่มินตรากำลังกล่าวอยู่นั้น อรหยิบมีดอาคมขึ้นมาฟันมินตราจากระยะห่างไปเต็มกำลัง หากเป็นคนธรรมดาที่โนมีดหมอฟันนั้น ต่อให้ไม่ถูกตัวจัง ๆ ก็จะได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ทว่าสำหรับมินตราแล้วหาได้เกิดสิ่งใดไม่ เธอยืนมองอรด้วยสีหน้าที่อ่อนอกอ่อนใจต่อความพยายามที่ดูจะไร้สาระของอรเต็ม ที่

      อรนั้นยกมือชี้มินตราอีกครั้งพร้อมกับควายธนูที่คราวนี้ออกมาถึงสองตัว มันทั้งสองพุ่งเข้าชนมินตราเต็มกำลังจนเสียงดังสนั่นไปหมด หากแต่ก็ยังคงเป็นอีกครั้งที่พวกมันทั้งหมดสลายกลายเป็นกลีบดอกบัวลอยไปรอบ ๆ บริเวณที่ครั้งนี้ห้องกลายเป็นสถานที่ ๆ กว้างใหญ่ราวกับจะไร้ขอบเขต

      “เฮ้อ...ดีนะ ที่ก่อนจะเข้ามาที่นี่เขียนอักขระมนตร์ ‘กางอาณาเขต’ ไว้ก่อน ชาวบ้านแถวนี้จะได้ไม่หนวกหูกับไอ้เสียงโครมครามที่เธอทำครั้งแล้วครั้งเล่า นี่”

      เป็นอีกครั้งที่อรผงะด้วยความตกใจ จริงอยู่เธอเคยทราบว่ามินตรานั้นเป็นคนที่เหมือนมีวิชาติดตัว เช่นที่ในบริษัทชอบบอกว่ามินตรานั้นเป็นแม่หมอบ้าง มีองค์บ้าง แถมการที่เจ้าหล่อนสามารถช่วยธนาธรได้ และยังรอดจากบริวารที่เธอส่งไปจัดการได้นั้นแสดงว่ามินตรามีวิชาที่แกร่ง กล้ามากพอดู แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันจะเกินไปเสียหน่อยแล้ว ราวกับว่าไม่ใช่แค่มีวิชาแกร่งกล้าพอดู แต่เป็นแกร่งกล้าจนหาที่เปรียบไม่ได้เลยเสียมากกว่า เธอจึงออกปามไปด้วยน้ำเสียงที่สั่น ๆ ด้วยความตกตะลึง

      “เธอเป็นใครกันแน่”

      “หือ...ก็เป็นเจ้านายของเธอไง เป็นสาวน่ารักสุดสวยที่ชอบทานโจ๊กตอนเช้า ๆ ชอบดื่มชาในเวลาทำงาน แล้วก็ชอบหลินปิงกลิ้งไปกลิ้งมา”
      มินตราตอบอย่างกวน ๆ พร้อมกับยิ้มให้กับอรที่ยังคงตกตะลึงก่อนที่เธอจะกลับมามองอรด้วยสายตาที่ เย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น

      “ชั้น...ผู้ที่ก่อนจะกลับชาติมาเกิดเป็น มินตรา เหล่าผู้คนต่างเรียกขานชั้นกันหลายนามเสียจนตัวชั้นเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดแทน ชื่อตัวเองว่าอย่างไรดี แต่ชั้นชอบชื่อที่ถูกเรียกว่า ‘พระแม่ปาราวตี’ นะ”

      พระแม่ปาราวตี นามแห่งชายาขององค์พระศิวะ การที่มินตรากล่าวเช่นนั้นออกมายิ่งทำให้อรตกตะลึงอย่างหาที่สุดไม่ได้ แม้เธอจะคิดว่ามินตรานั้นอาจจะเพียงแค่พยายามข่มเธอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่าพลังอำนาจของมินตรานั้นดูจะมาก มายล้นเหลือกว่าที่คิดจริง ๆ จนอาจจะเป็นเทวีแห่งอำนาจก็เป็นได้จริง ๆ

      “ม...ไม่น่าล่ะ”

      อรกล่าวออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว ไม่ผิดแน่นอน มินตรานั้นเป็นพระแม่ปาราวตีกับชาติมาเกิดแน่ ๆ ด้วยเพราะเท่าที่เธอศึกษามานั้น พระแม่ปาราวตีมีปาง ๆ หนึ่งที่ทุกคนเรียกว่า เจ้าแม่กาลี ซึ่งมีอำนาจในการลบล้างอาคม คุณไสย มนตร์ดำและอาถรรพ์ต่าง ๆ ได้ทั้งหมด ซึ่งมินตราได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ‘ของ’ ทั้งหมดที่เธอพยายามโจมตีใส่มินตราล้วนไร้ผลทั้งสิ้น

      “ชั้นเนี่ยนะ แม้จะเป็นคนสวยน่ารักก็ตามทีน่ะนะ แต่ก็มีนิสัยเสียอยู่มากนะ”

      มินตรากล่าวพลางปรายตามองอรด้วยดวงตาที่เย็นชาพร้อมที่จะเล่นงานเลขาคนโปรด ได้ทุกเมื่อ เธอเดินมองอรอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อไป แม้จะรู้ว่าเธอคงไม่เข้าใจแน่นอน
      “ชั้นเนี่ยไม่ได้เป็นคนใจเย็น เอาน้ำเย็นเข้าลูบแบบยัยกระต่ายเอ๋อ ฉะนั้นจริง ๆ แล้วถ้าใครทำอะไรไม่ถูกใจชั้นและเป็นคนไม่ดีแล้วล่ะก็...ใช้ไม่ละเว้นหรอกนะ ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็เถอะ”

      มินตรากล่าวพลางเดินเข้าหาอรอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าและท่าทางที่เอาจริงเอาจัง
      “แล้วก็...ชั้นไม่ได้เป็นพวกฆ่าใครแบบให้สิ้นใจตายในทีเดียวแบบยัยแวมไพร์โล ลิต้าคอมเพล็กซ์ด้วย ออกจะชอบทรมานเหยื่ออยู่ไม่ใช่น้อย ๆ เลยทีเดียวล่ะ”

      จากคำที่มินตรากล่าวแทบทำให้แรงปราถนาของอรดับวูบลงไปในทันที บัดนี้เธอได้ใช้ ‘ของ’ กับคนผิดเสียแล้ว ด้วยเพราะแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวของมินตรานั้นดูน่ากลัวอย่างยิ่ง แม้ว่าเจ้าหล่อนจะไม่ได้แปลงกายเป็นเจ้าแม่กาลีที่ใคร ๆ ว่าน่ากลัวก็ตามที

      บนพื้นที่เดิมเป็นสีดำสนิทบัดนี้เกิดวงกลมสีแดงขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมกับตัว อักษรขนาดใหญ่ใต้พื้นที่เธอยืนอยู่ ซึ่งเป็นภาษาที่เธอไม่รู้จักหน้าตาเหมือนภาษอินเดียโบราณอะไรสักอย่าง

      “หวังว่าชาติหน้าเธอจะไม่ต้องพบกับเรื่องอะไรแบบนี้ จนกลายเป็นคนที่มีความคิดบิดเบี้ยวและคิดที่จะฆ่าใครต่อใครอีกนะอร”

      มินตราที่พูดจบก็เอ่ยต่อด้วยคำบาลีสั้น ๆ
      “อคฺคิกฺขนฺโธ!!!”

      ทันทีที่มินตรากล่าวจบเปลวเพลิงขนาดมหึมาก็ถาโถมขึ้นจากเบื้องล่างตามรอย ของวงกลมและอักขระสีแดงบนพื้นจนลุกท่วมร่างของอรที่ไม่ทันระวังตัว เปลวเพลิงอันร้อนแรงแผดเผาเธออย่างต่อเนื่องจนอรได้แต่กรีดร้องและดิ้นทุรน ทุราย ไม่อาจเอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมาได้แม้แต่คำร้องขอชีวิต

      มินตรามองอรที่ถูกไฟเผาด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง ราวกับไร้ความรู้สึก ๆ ใดต่อหญิงผู้ครั้งหนึ่งเคยเป็นเลขาที่เธอเอ็นดูและโปรดปรานมากที่สุด แต่กระนั้นใจเธอกลับตรงข้ามกับสีหน้า เธอยังคงสงสารต่อชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับอร หากแต่เธอก็ไม่อาจให้อรอยู่ต่อไปได้เนื่องจากอำนาจของอวิชาที่อรฝึกหัดนั้น ทำให้อรเปลี่ยนแปลงไปจนมีจิตใจที่บิดเบี้ยวจนยากแก่การที่จะกลับมาเป็นผู้ เป็นคนแบบปกติธรรมดาได้แล้ว

      เปลวไฟลุกโชนอย่างต่อเนื่องนานกว่าสิบนาที จนอรสิ้นใจคาที่ด้วยฤทธิของไฟที่โหมกระหน่ำ หากแต่เปลวไฟก็ยังไม่ดับมอดลง มันกลับลุกโชนหนักกว่าเดิมแผดเผาจนศพของอรนั้นกลายเป็นกองขี้เถ้าอยู่บนพื้น นั่น
      มินตราที่เห็นว่าอรนั้นได้สิ้นชีวิตแล้วแน่นอนถอนหายใจออกมาดัง ๆ ด้วยความหนักใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนที่เธอจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
          “เขตฺตํ มุญฺจติ”

          สิ้นเสียงของมินตราห้องที่มืดมิดกลับเป็นห้องของอรที่สว่างไสวด้วยแสงไฟอีก ครั้ง บนพื้นที่เดิมอรเคยยืนอยู่บัดนี้เหลือเพียงเถ้าถ่านของหญิงสาวที่ชื่ออรเท่า นั้น มินตราเดินเข้าไปหยิบเถ้าถ่านของอรไว้หนึ่งกำมือ ก่อนที่จะมีลมผัดผ่านจากด้านหลังของมินตราราวกับพายุขนาดย่อม ๆ หากแต่มันกลับไม่ทำให้สิ่งของในห้องไหวติงแม้แต่น้อย มีเพียงเถ้าถ่านของอรที่ถูกพัดออกนอกหน้าต่างไปเท่านั้น

          มินตราที่กำเถ้าถ่านของอรไว้ในมือเดินไปนอกหน้าต่าง เธอมองออกไปด้วสีหน้าที่ดูเศร้าใจก่อนที่จะยกมืออกนอกหน้าต่าง แล้วคลายมือที่กำเถ้าของอรออกจนลมพัดมันหายไปในท้องฟ้าของกรุงเทพ

          “ชั้นเสียใจกับเธอด้วยนะอร”

          มินตรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าสร้อยก่อนที่จะหันหลังกลับแล้วเดินไปปิด สวิตช์ไฟก่อนออกจากห้องของอร ระหว่างที่เดินลงจากอพาร์ทเมนท์เธอได้แต่คิดหวังว่าเวรกรรมที่ธนาธรทำไว้จน ส่งผลให้ผู้หญิงคนหนึ่งเสียศูนย์จนเดินไปตามทางอวิชากลายเป็นคนที่มีความคิด บิดเบี้ยวเป็นอันตรายต่อคนอื่นเช่นนั้น จะส่งผลคืนกลับไปหาเขาบ้างก็ยังดี ไม่เช่นนั้นก็เหมือนคนชั่วที่ไม่ได้รับผลแห่งกรรมเลย

      -----------------------------------------------------

          สายวันรุ่งขึ้น มินตราเดินทางไปทำงานด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จริง ๆ เธออยากจะนอนพักสักวัน แต่การที่อรไม่อยู่อะไร ๆ ในที่ทำงานคงวุ่นวายน่าดูเธอจึงยังต้องออกไปทำงานตามปกติ
      ระหว่างที่ออกจากคอนโดเธอสังเกตเห็นสิญจน์ที่นั่งทานโจ๊กกับผู้หญิงผมยาวคน หนึ่งท่าทางเซี่อง ๆ
         
          มินตราที่เห็นภาพนั้นหัวเราะในลำคอเบา ๆ ด้วยความรู้สึกพอใจต่อภาพที่เห็น
      ‘คนฉลาดและมีความดีเป็นเกราะป้องกันตัว เจอเคราะห์อะไรก็ยังคงเอาตัวรอดได้เสมอและยังช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจาก ทุกข์ได้อีกด้วย’

      มินตราคิดในใจก่อนที่จะยิ้มที่มุมปากแล้วขับรถตรงไปยังบริษัททันที ที่ห้องทำงานของเธอนั้นยังคงจัดทุกอย่างเป็นระเบียบ แฟ้มเอกสารถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย พร้อมกระดาษแผ่นน้อยที่วางอยู่บนโต๊ะ

      ‘คุณมิ้นท์คะ ช่วยเซ็นให้เรียบร้อยด้วยนะคะ มีเรื่องด่วนอยู่หลายเรื่องเลยทีเดียวค่ะ
      อร        ’

          มินตราอ่านพร้อมกับน้ำตาที่ปริ่ม ๆ ออกมาก่อนที่จะขยี้ตาแล้วเดินออกจากห้องไปหารองผู้จัดการทันที

          “อ้าวคุณมิ้นท์ วันนี้มาสายนะครับเนี่ย พายุหิมะต้องตกในกรุงเทพแน่ ๆ เลย”

          “ไม่เอาน่ะคุณอนันต์”
      มินตรากล่าวพลางส่ายศีรษะช้า ๆ ถ้าเป็นวันปกติเธอคงจะยิ้มรับแต่วันนี้เธอยิ้มไม่ออกจริง ๆ

      “มีอะไรรึเปล่าครับคุณมิ้นท์”

      “อรลาออกแล้ว”
      มินตราตอบสั้น ๆ พลางเบือนหน้าหลบรองผู้จัดการด้วยไม่อยากให้เขาเห็นสีหน้าที่ดูเศร้าของเธอ

      “หา!!” รองผู้จัดการร้องขึ้นด้วยความตกใจ เพราะเมื่อวานเขายังพูดเล่นพูดหัว และเข้าประชุมพร้อม ๆ กับอรอยู่เลย ซึ่งเธอไม่มีทีท่าว่าจะลาออกแต่อย่างใด การที่อยู่ ๆ เธอลาออกมามันเป็นเรื่องประหลาดมากจริง ๆ

      “ฝากคุณช่วยประสานกับฝ่ายบุคคลรับสมัครเลขานุการคนใหม่ที บอกเขาด้วยว่าชั้นจะเป็นหนึ่งในผู้สัมภาษณ์เอง” มินตรากล่าวพร้อมกับเดินออกจากห้องของรองผู้จัดการไป

      “เออ...แต่คุณมิ้นท์ครับตอนนี้ผู้จัดการฝ่ายบุคคลยังป่วยอยู่ เรื่องอาจจะช้าสักหน่อยนะครับ”

      “ไม่เป็นไรค่ะ ดิชั้นรอได้”
      มินตรากล่าวสั้น ๆ ก่อนที่จะเดินกลับห้องของตนเองไป เธอกลับมานั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดอย่างมากกับการ เสียลูกน้องมือดีไป จนวันนี้เธอแทบไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานทำการใด ๆ แล้ว

      ติ้ ติง ตือ ตื้อ*~

      ระหว่างที่มินตรานั่งไถลตัวไปกับเก้าอี้ด้วยความเบื่อหน่าย เสียงโทรศัพท์มือถือสีแดงของเธอก็ดังขึ้น ด้วยเสียงดนตรีที่เธอใช้ถูกตั้งไว้แบ่งไปตามประเภทบุคคล ดนตรีที่ดังขึ้นเป็นเพลงที่เธอตั้งไว้สำหรับเพื่อน ทำให้เธอคาดว่าคงเป็นเพื่อนคนใดคงหนึ่งโทรมาหา มินตราที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูชื่อผู้โทรปั้นหน้ายุ่งทันทีที่เห็นชื่อที่ ขึ้นในหน้าจอโทรศัพท์ ‘LILITH’ แต่ในเมื่อเจ้าตัวโทรมาแล้วจะไม่รับเลยคงไม่ดี ด้วยเป็นสายจากระยะไกลและยังเป็นคนโทรมาเองซึ่งเธอไม่ต้องเสียเงินแต่อย่าง ใด จึงรับไปตามารยาท

      “ไง ยัยแม่ม่ายสามีทิ้ง” มินตรากล่าวทักเสียงปลายสายไปก่อนที่อีกฝั่งจะได้กล่าวสิ่งใดออกมา และทันทีที่เธอเอ่ยจบ เธอก็หันลำโพงโทรศัพท์ออกด้านนอกจนสุดแขนของเธอเพื่อรอรับสิ่งที่เกิดขึ้น

      “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

      เสียงกรีดร้องยาวออกมาจากโทรศัพท์ ถ้านี่เป็นการคุยกันตรง ๆ เธอคงต้องอุดหูแน่นอน หลังจากเสียงเงียบไปแล้วเธอจึงกลับมาเอาโทรศัพท์แนบหูแล้วคุยตามเดิม

      “ว่ายังไงลิลิธ ...นึกยังไงถึงได้โทรมาได้ล่ะ”

      “ว่าแต่หล่อนเถอะไปกินรังแตนที่ใหนถึงมาลงเอากับชั้นยะ” เสียงปลายสายที่ถูกเรียกว่าลิลิธตอบรับด้วยความไม่พอใจที่ถูกเรียกว่า ‘แม่ม่ายผัวทิ้ง’ แต่ดูท่าทางเธอจะรู้ดีว่ามินตรานั้นมีเรื่องอะไรบางอย่างจึงได้มาลงเอากับ เธอเช่นนี้

      “นิดหน่อยน่ะ เสียลูกน้องคนสำคัญให้ผู้ชายเลว ๆ คนหนึ่งไป ก็เลยเซ็ง ๆ เท่านั้นเอง” มินตราตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อยเธอคิดว่าคงใช้เวลาทำใจพอสมควร แม้ว่าเธอจะเป็นคนลงมือฆ่าคนที่เธอบอกว่าสำคัญแต่เธอก็ยังทำใจรับกับสิ่งที่ เกิดขึ้นไม่ค่อยได้นัก

      “...งั้นไปเที่ยวทะเลไทยให้รู้สึกสดชื่นกันดีกว่า ลืมเรื่องยุ่ง ๆ แล้วมาปวดหัวด้วยกันกับชั้นนะ”

      “ใครจะไป หล่อน หรือยัยอนาคิมกันแน่ แถมไปกันแค่สามคนจะไปสนุกอะไรเท่าไหร่ล่ะ” มินตรากล่าวพลางถอนหายใจเล็กน้อย

      “ใครบอกล่ะว่าสามคนเดี๋ยวชั้นแนะนำเพื่อนเก่าแก่ของชั้นที่อยู่อเมริกาให้ รู้จักเอง ท่าทางจะเข้ากับเธอได้ดีเชียวล่ะ แถมอนาคิมน่ะจะพาแฟนมาเที่ยวด้วยน่ะ”

      โครม!!!

      มินตราที่นั่งไถลไปกับเก้าอี้ ลืมยันพื้นจนหล่นลงมานั่งกับพื้นเบื้องล่างด้วยสีหน้างง ๆ ต่อสิ่งที่ลิลิธกล่าว
      “ว่าไงนะยะ ยัยกระต่ายเอ๋อนั่นมีแฟนแล้วเรอะ!!”

      “อืม หนุ่มสวิสเจี๋ยมเจี้ยม เนื้อคู่ของเจ้าตัวน่ะล่ะ” ลิลิธกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูหนักใจเพราะเธอคิดว่ามินตราที่ยังไม่มีแฟนคง โกรธจนควันออกหูแน่ ๆ ที่อนาคิมซึ่งดูบ๊อง ๆ ต๊อง ๆ จะมีแฟนก่อนได้

      มินตราค่อย ๆ ลุกขึ้นพลางเดินไปยังหน้าต่างของห้องทำงานมองออกไปข้างนอกก่อนที่จะตอบลิลิ ธกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
      “อยากไปใหนก็บอกมาละกัน แต่ที่แน่ ๆ ไม่น่าใช่ช่วงหนึ่งถึงสองเดือนนี่นะ ชั้นคงยุ่ง ๆ กับการหาเลขาคนใหม่มาแทนคนเก่าแน่ ๆ”

      “อืม...แล้วเธอเถอะปาราวตี เธอไม่ได้ว่างงานเหมือนพวกชั้น ทำงานให้เสร็จก่อนก็ได้ แล้วก็มีอะไรทุกข์ใจก็เล่าให้ฟังบ้างก็ได้ มีเพื่อนไว้แบ่งเบาความทุกข์นะยะ ไม่ใช่มีไว้ประดับเฉย ๆ”

      มินตรายิ้มรับกับคำตอบของลิลิธที่ดูเหมือนจะพยายามปลอบใจเธอ เธอเพียงแค่เสียลูกน้องมือดีไปให้กับอวิชาและความผิดพลาดที่เกิดจากชายชั่ว เพียงคนเดียว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่เธอต้องเอาชีวิตทั้งชีวิตไปจมอยู่กับมัน อย่างน้อยเธอยังมีเพื่อนที่พร้อมจะช่วยเหลือเธออยู่แน่นอน
      “ขอบใจนะลิลิธ”

      “อืม...แต่เธอต้องโทรมาเองนะปาราวตี ชั้นไม่เสียเงินค่าโทรไปฟังเธอบ่นแน่ ๆ”

      “...”
      เวลานี้มินตราอยากจะคืนความรู้สึกดี ๆ นั่นกลับไปเสียเหลือเกิน แต่เธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลิลิธทำให้ชีวิตที่กำลังจะเหี่ยวแห้งของเธอกลับมี ชีวิตชีวาอีกครั้ง

      ‘เอาเถอะคือว่าตอบแทน ที่โทรมากวนอารมณ์ให้มีแรงเต้นได้ ไม่โกรธก็แล้วกัน’
      มินตรายังคงคุยโทรศัพท์ต่อไปอีกพักใหญ่ ก่อนที่จะกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานอีกครั้ง เพื่อที่จะได้ขอนอนหลับยาวจากความเพลีย เพื่อรอรับวันพรุ่งนี้ที่คงไม่ใช่วันที่แจ่มใสเหมือนเช่นทุกวันที่เธอรู้สึก เช่นเดิม

       

      ---------------------------End

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×