บนห้างสรรพสินค้าชั้นที่เจ็ด - บนห้างสรรพสินค้าชั้นที่เจ็ด นิยาย บนห้างสรรพสินค้าชั้นที่เจ็ด : Dek-D.com - Writer

    บนห้างสรรพสินค้าชั้นที่เจ็ด

    ลองอ่านดูครับจะน่ากลัวเสียวสันหลังขนาดไหน ดีมากๆบอกตรงนะ

    ผู้เข้าชมรวม

    348

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    348

    ความคิดเห็น


    7

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  23 มี.ค. 49 / 14:37 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                     เสียงแตรรถยนต์ เสียงรองเท้าหลากหลายชนิดที่เดินย่ำไปบนพื้นทางเท้า เสียงพ่อค้า แม่ค้าที่ตะโกนเชิญชวนให้ซื้อสินค้าในร้านแผงลอยริมทาง อรอนงค์ สาวโสดวัย 35 ยืนนิ่งอยู่กับที่ หลับตาลงเหมือนจะข่มความสับสนวุ่นวายของผู้คนและเสียงจ้อกแจ้กจอแจรอบข้าง

                      และเมื่อเธอลืมตาขึ้น ภาพของห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่มีชื่อของกรุงเทพ ปรากฏตรงหน้าอยู่อีกฟากนึงของถนน  อรอนงค์ยืนนิ่งเหมือนหุ่น สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ชั้นบนสุดของห้าง ความนึกคิดเริ่มมล่องลอยออกไปไกล สามปีแล้วหลังวันนั้นที่เธอไม่เคยแวะผ่านแถวนี้เลย วันนี้จำเป็นต้องมาธุระแถวนี้ ในสายตาเธอ ภาพของห้างดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อสามปีที่แล้ว ยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอตลอด และคงจะอยู่ชั่วชีวิตของเธอ
                      
                      ใครจะเชื่อว่า ท่ามกลางความเจริญศิวิไลซ์ จะมีเรื่องประหลาดเหลือเชื่อเกิดขึ้นบนห้าง

                       อรอนงค์ลงจากรถเมล์ที่ป้ายหน้าห้าง ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ประหลาดใจที่วันนี้รถไม่ติดเหมือนทุกวันผ่านมา ทำให้เธอมาถึงก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง ล้วงมือลงในกระเป๋าถือสีดำเพื่อจะหยิบโทรศัพท์มือถือโทรถามว่า หมูหรือศิริพร สาวหาประกันระดับเหรียญทอง เพื่อนคนเก่งของเธอตอนนี้อยู่ไหน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เดินตรงไปที่ประตูห้าง เธอรู้สึกหิวน้ำอย่างฉับพลัน คอแห้งผากจนดูเหมือนมีกระดาษทรายทั้งใบไปขัดอยู่ในลำคอ
                       เมื่อเธอก้าวข้ามประตูเลื่อนเข้าไป อรอนงค์หยุดชะงักกับที่ เธอมีความรู้สึกเหมือนกับว่าได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น ยกมือซ้ายขึ้นแตะขมับ มองไปรอบข้างด้วยหวังว่า จะเห็นสิ่งที่วางอยู่บนหิ้งโชว์สั่นไหวแต่ทุกอย่างยังดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ ผู้คนยังเดินขวักไขว่ไปมา อรอนงค์บอกกับตัวเองว่า ไม่ไหวแล้ว ถ้าเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าว เธอต้องเชลงไปนั่งพับเพียบไม่เรียบร้อยที่พื้นห้างแน่นอน
                        ตรงซ้ายมือของเธอมีหลืบเล็กๆ ซึ่งตรงบริเวณนั้นมีม้านั่งยาววางอยู่ อรอนงค์เดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่ง เปิดกระเป๋าค้นหายาดม บ้าจริง มันหายไปไหนก็ไม่รู้ ยามดีล้วงทีรัยก็เจอทีนั้น พอยามต้องการ ความจนทั่วจนกระเป๋าจะทะลุก็ไม่รู้มันไปหลบอยู่ทีไหน
                        อรอนงค์ไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน มาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เธอรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรไปถ่วงอยู่ในหัวสมอง บางครั้งคล้ายๆว่ามีอะไรบางอย่างในสมองกำลังแตกสลายลง
                        เธอกางมือออกบีบขมับทั้งสองข้าง เอนหลังลงพิงพนักม้านั่ง หลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ ถ้าได้พักสายตาสักครู่ก็คงจะดีขึ้น อาทิตย์หน้าเห็นที่คงต้องไปหาหมอ ตรวจสุขภาพเสียหน่อย ภาวนาขออย่าได้เป็นโรคร้ายอะไรเลย เธอยังไม่แต่งงาน ตั้งแต่ผิดหวังกับผู้ชายรูปหล่อ(เธอคิดว่าอย่างนั้น) คนนั้นเมื่อห้าปี่ทีแล้ว เธอก็ไม่เคยข้องเกี่ยวกับผู้ชายคนไหนอีกเลย อนิจาสีดาเอ๋ย ความสวยของเธอคงจะเหี๋ยวเฉา หาใครมาดมดอมไม่ได้จริงๆ หรือ
                        
                        เมื่ออรอนงค์ก้าวเข้าไปในลิฟต์ ไม่ทันที่เธอจะเอื้อมกดปุ่มเลือกชั้น ลิฟต์ก็เลื่อนขึ้น เธอก็ไม่รูเหมือนกันว่าเธอจะขึ้นไปชั้นไหน เธอยากจะเขกหัวตัวเอวสักโป๊กดังๆ หนึ่งที บ้าจริงๆ เธอนัดกับหมูไว้ แต่นึกไม่ออกว่านัดกันที่ไหน ล้วงมือจะเอาโทรศัพท์มือถือแต่เธอก็เปลี่ยนใจ เธอไม่ได้เอากระเป๋าถือมา เธอลืมไว้ที่ไหน หรือเธอไม่ได้ถือมาจากบ้าน อรอนงค์
      บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า ทำไมตัวเองถึงสับสนอย่างนี้
                         ประตูลิฟต์เปิดอ้าออก อรอนงค์เหลือบตาขึ้นดูที่เหนือประตู ดวงไฟชี้ว่านี้คือชั้นที่เจ็ด
                          อรอนงค์ก้าวออกจากลิฟต์ นึกไม่ออกว่าบนห้างสรรพสินค้าชั้นที่เจ็ดนี้ เป็นชั้นอะไร
                          อากาศบนนั้นเย็นยะเยือก มันเป็นความเย็นประหลาด มันไม่ใช่ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ
                          แต่ข้อสำคัญ แสงไฟชั้นนี้ช่างสลัวเหลือเกิน มันสลัวจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า อรอนงค์พยามมองหาแหล่งของแสงไฟ แต่ก็มองไม่ออกว่า แสงสลัวนั้นมาจากหลอดไฟอะไร
                          มีเสียงแว่วมากจากลำโพงตัวใดตัวหนึ่งที่มุมตึก มันก็คงเหมือนห้างสรรพสินค้าทั่วไป ที่ใช้เสียงเพลงคลาสสิกเบาๆสร้างบรรยากาศ ซึ่งอชอบมาก ในขณะเดียวกันก็นึกถึงห้างสรรพสินค้าอีกหลายห้างที่มักจะเปิดเพลงเร่าร้อน ตะโกนโหวกเหวกเหมือนเจ๊กตื่นไฟ(แต่เป็นฝรั่งตื่นไฟ) ซึ่งห้างดังกล่าวมักจะเป็นห้างที่วัยรุ่น วัยเอาะๆ มาเดินกัน ดังนั้นเมื่อเสียงเพลงดังขึ้น ลีลาการเดินของเขาเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนไป อาการของไส้เดือนตกบนขี้เท่าจะปรากฏออกมาเด่นชัดเจน นึกถึงตรงนี้ อรอนงค์อดยิ้มไม่ได้ ใครนะช่างคิดเปรียบเทียบเหมือนไส้เดือนตกบนขี้เท่า ทำให้มองเห็นภาพชัดเจน
                         แต่แล้วอรอนงค์ก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เสียงเพลงเย็นๆที่ได้ยินนั้น เมื่อตั้งใจฟังให้ดี มันไม่ใช่เสียงเพลงคลาสสิกตามที่เข้าใจ 
                         
                         แต่มันเป็นเสียงพระสวดมนต์!!

                         ยิ่งเดินเข้าไปใกล้มุมตึก เสียงนี้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเสียงพระสวดมนต์แน่ๆ สำเนียงแบนี้ชินหูมากเพราะเพิ่งฟังมา 2-3 วันนี้เอง ในงานสวดศพของน้องอรสา บัญชีรุ่นน้องที่เสียชีวิติเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์
                         อรอนงค์เริ่มรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลบนชั้นนี้ เธอหันหลังเดินกลับไปที่ลิฟต์ มั่นใจว่าหมูศิริพร เจ้าหล่อนคงไม่นัดเจอเธอบนชั้นนี้แน่
                         แต่แล้วเธอกลับรู้สึกหัวเสียเอามากๆเดินกลับไปกลับมาหลายเที่ยว ไม่มีร่องรอยของประตูลิฟต์ที่นำเธอขึ้นมาบนชั้นนี้เลย
                         ดูเหมือนว่าลิฟต์ตัวนั้นจะอันตรธานไปเสียแล้ว!!
                         อรอนงค์เริ่มใจเสีย มองไปรอบข้าง เพิ่งนึกได้ถึงความผิดปรกติอกอย่างหนึ่ง นั้นคือผูคน
              
                         ตั้งแต่ขึ้นมาบนชั้นนี้ เธอยังไม่เห้นผู้คนแม้แต่คนเดียว!!

                         
      เป็นไปได้อย่างไรที่ห้างใหญ่ระดับนี้จะไม่มีผู้คน พยามนึกให้ออกว่า บนชั้นนี้เปนชั้นที่ขายสินค้าอะไร อรอนงค์ยกมือขึ้นกุมศรีษะ ทำไมนะ ทำไมวันนี้ความนึกคิดต่างๆรู้สึกสับสนไปหมด จิตใจดูเหมือนจะเบาฟ่อง ล่องลอยอยู่ในภวังค์
                         นั่นไง เธอเห็นแล้ว ห่างออกไปอีกด้านหนึ่งของผนังตึก มีพนักงานห้างผู้หญิงยืนอยู่ตรงนั้นและมีสินค้าขนาดใหญ่วางอยู่บนแท่นโชว์ อรอนงค์รู้สึกใจชื้นขึ้น เธอสาวเท้าเข้าไปหา ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เธอก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของสินค้าที่วางอยู่แล้วอรอนงค์ก็ชะงักอยู่ตรงนั้น ยกมือขึ้นทามอก เธอเห็นได้ชัดเจนแล้วว่า ของขานใหญ๋ที่วางอยู่บนแท่นโชว์มันคือ

                          โลงศพแบบจีนสีดำมะเมื่อม!!
         
                           สาวอรแทบจะกรีดร้องออกมา ห้างสรรพสินค้าบ้าอะไรขายโลงศพ เธอหันหลังวิ่งกลับไปยังที่เก่า วิ่งเลาะไปตามผนังตึก ลิฟต์...ลิฟต์...ลิฟต์ตัวที่เธอขึ้นมาอยู่ไหน อรอนงค์วิ่งวนไปรอบๆด้วยความตื่นกลัว เป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะจำทางที่ออกมาจากลิฟต์ไม่ได้ เธอหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงกระถางต้นไม้มุมหนึ่งของตัวตึก ยกมือขึ้นทาอก ระลึกถึงหลวงพ่อวักระฆังที่เธอเคารพนับถือและห้อยคออยู่ตลอดเวลา
                           โอ...พระช่วย วันนี้เธอลืมสร้อยพระไว้ที่บ้าน
           
                            อรอนงค์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เธออยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกกับเธอว่า

                            ณ เวลานี้ ดูเหมือนว่าเธอไม่สามารถแสดงอารมณ์อะไรออกมาได้ แม้แต่การเปล่งเสียงออกมา เมื่อเธอเหลือบตาไปเห็นกลุ่มคน 3-4 คน เดินอยู่ทางซ้ายมือ บริเวณที่มีแสงสีเขียวเรืองๆ ห่างออกไปราว 10 เมตร พออรอนงค์โบกมือเรียกผู้คนเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะเดินหายไปทางหลืบห้อง มันช่างหายไปรวดเร็วเหลือเกิน ราวกับเป็นการล่องลอยมากกว่าการเดิน  
                                   อรอนงค์ สาวเท้าเลี้ยวไปทางมุมตึกอีกด้านหนึ่ง เธอพึมพำอะไรในลำคอเบาๆ ตรงข้างหน้าเธอ ถ้าดูไม่ผิดพลาด น่าจะเป็นบันไดเลื่อน และ....นั่นไงหญิงสาวคนหนึ่งเดินลงไปทางนั้นจริงๆ เมื่อหณิงสาวคนนั้นเหลียวหน้ามามองเธอ อรอนงค์ขมวดคิ้วนิดนึง ถึงแม้แสงตรงหน้าจะไม่สว่างมากนัก เธอก็รู้สึกคุ้นหน้ามาก เธอสาวเท้าจนเกือบจะเป็นวิ่ง ในขณะที่นึกชื่อหญิงสาวคนนั้นออกพอดี อรอนงค์ตะโกนเรียก เสียงของเธอดังกึกก้อง แต่ฟังดูเหมือนไม่ใช่กึกก้องไปทั่งห้อง แต่เป็นเสียงกึกก้องอยู่ในหัวสมองของตัวเอง
                           "อรสา...อรสา   รอพี่ก่อน.."
                     
                            แต่เมื่ออรอนงค์วิ่งมาถึงตรงนั้น เธอกลับพบว่า บริเวณนั้นไม่มีบันไดเลื่อนตามที่เธอคิด คราวนี้หญิงสาวถึงกับทรุดตัวลงนั่งพับเพียบ ยังไม่ทันจะตั้งสติดี
       อรอนงค์ต้องยกมือขึ้นปิดปาก ตาเบิกโพลงเสียงกรีดร้องดูเหมือนจะผ่านลำคอมาจุกอยู่ที่ลิมฝีปาก เธอยังจำเสียงที่ตะโกนเรียกหาอรสาได้

                             ก็อรสาคือน้องแผนกบัญชีที่เธอเพิ่งไปร่วมงานศพมา ! 

                             เรี่ยวแรงของอรอนงค์หมดสิ้นไปแล้ว เธอปล่อยโฮออกมา เป้นเสียงร้องไห้ที่ตื่นตระหนดสุดขีด เสียงร้องที่ดังกึกก้องอยู่ในความรู้สึก ไม่มีน้ำตา ไม่มีสรรพสำเนียงหลุดลอกออกมาจากลำคอ
                             เมื่ออรอนงค์เงนยหน้าขึ้น เธอก็แทบจะผงะด้วยความตกใจ หญิงวัยกลางคนใส่ชุดสีดำคนหนึ่งยืนอยู่ทีมุมตึก ดูเหมือนหญิงผมสีดอกเลาคนนี้จะพยามพูดกับเธอ แต่สรรพสำเนียงนั้นไม่ได้หลุดออกจากปาก แต่มันดังเหมือนเสียงกระซิบที่ดังเข้ามาในภวังค์
                             "เธอยังไม่ใช่พวกเราโดยสมบูรณ์ ฉันไม่รู้ว่าเธอเข้ามาได้อย่างไร กลับไป....เธอกลับไปได้แล้ว"

                              หญิงวัยกลางคนผายมือขวาไปข้างๆ อรอนงค์มองตามมือนั้นไป ตรงสุดผนังในทิศทางตามมือ อรอนงค์เห็นแสงสว่างลอดเข้ามา ดูเหมือนจะเป็นแสงสว่างจากภายนอกอาคาร
                              เธอยันกายลุกขึ้น ถึงแม้จะรู้สึกเรี่ยวแรงได้เหือดแห้งไปจากสรรพางค์ อรอนงค์ก็พยายรวบรวมพละกำลังครั้งสุดท้าย พุ่งตรงไปยังแสงสว่างนั้น
                              ใช่...มันเป็นแสงสว่างจากภายนอกจริงๆ แต่เป็นแสงที่ส่องลอดช่อมลมเล็กๆ อรอนงค์ทุบฝ่ามือลงกับผนังตึก เสียงฝ่ามือกระทบผนังคอนกรีตดังกึกก้อง จนรู้สึกว่ามันสะเทือนไปทั่ว ฝาผนังทึบแน่น ไม่มีช่องประตู...ไม่มีช่องหน้าต่าง แล้ว...แล้วเธอจะออกได้อย่างรัย
                              ชั่ววูบที่อรอนงค์รูดตัวลงไปตามผนังตึก ในขณะที่ฝ่ามือทั้งสอบแนบอยู่กับผนงปูน ก่อนที่เธอจะทรุดฮวบหมดสติ อรอนงค์ได้ยินเสียงแว่วอยู่ข้างหู
                             "...หนู...หนู..หนูเป็นอะไรจะ....พระช่วย....หนู...หนู...."

                             อรอนงค์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง สรรพสำเนียง ตลอดจนภาพต่างๆ ตรงหน้าค่อยๆ กลับคืนสู่โสตประสาท สิ่งแรกที่ดูเหมือนจะตะโกนเข้ามาในความรู้สึกก็คือ
      ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในอาคารชั้นเจ็ดอีกแล้ว...ใช่สิ..แล้วเธออยู่ไหนละ?
                             อรอนงค์ผุดลุกผุดนั่ง ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำไปว่ามีผู้หฅญิงวัยคุณป้า แต่งกายชุดผ้าซิ่นนั่งอยู่ข้างๆเล่นเอาคุณป้าผงะเล็กน้อย เมื่อเธอหันมาดู เห็นคุณป้าวึ่งใส่แว่นกรอบเงินเล็กๆ เบิกตาโพลง อ้าปากค้าง มือที่เหี๋ยวย่นตามวัยยกขึ้น ปลายนิ้วชี้มายังอรอนงค์จนสังเกตได้
                             "คุณ..คุณป้า คุณป้าช่วยหนูออกมาจากในนั้นหรอค่ะ?"  อรอนงค์หลุดคำถามออกมาแผ่วเบา
                              หญิงวัยกลางคนยังคงเบิกตาโพลงอยู่เช่นนั้นส่ายศีรษะเล็กน้อย พูดด้วยสำเนียงแหบแห้ง
                              "ช่วยหนูออกมาจากไหน....ป้า...ป้าเห็นหนูนั่งอยู่ ตรงนี้ตั้งนานแล้ว.."

                              อรอนงค์ลงบันไดเลื่อนลงไปยังชั้นใต้ดิน ศิริพรเพื่อนสนิทของเธอเพิ่งโทนเข้ามือถือเมื่อสักครู่นี้เอง ประโยคแรกคือต่อว่าค่อนข้างไปทางด่า หาว่าเธอไปตายที่ไหนนะหล่อน โทรเข้ามาเป็นสิบเที่ยวก็ไม่รับสาย เจ้าตัวไปนั่งรออยู่ในฟูดคอร์ตจนก้นขึ้นสนิมแล้ว(ยายหมูพูดอย่างนั้นจริงๆ)

                             "เธอไปตายที่ไหนนะหล่อน..."

                               อรอนงค์นึกถึงคำพูดตรงนี้ ขนที่แขนก็ดูเหมือนจะลุกชันขึ้นมา จริงสินะ คุณป้าคนที่เธอเพิ่งเดินจากมา บอกว่าเห็นเธอนั่งหลับอยู๋ตรงม้านั่ง ตอนที่คุณป้า เดินมาตรงนั้น เธอยังแปลกใจ ม้านั่งตัวนั้นคือตัวเดียวกันกับที่เดินเข้ามาให้ห้างแล้วเกิดอาการเหมือนแผ่นดินไหว จนเธอต้องลงนั่งพักสายตา ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนเธอจะหลับไปครู่ใหญ่ ก่อนที่จะขึ้ยลิฟต์ไปชั้นเจ็ด แล้วพานพบกับเหตูการณ์ที่ตื่นเต้นหวาดผวาที่เธอนึกไม่ถึงเลยว่าจะเจอ แต่เมื่อเธอหลุดออกมาได้และพบกับคุณป้าคนนั้นที่อยู่ข้างๆ เธอพบอาการตื่นผวาของคุณป้าพูดกับเธอก่อนจะลุกเดินจากไปก็คือ

                              คุณป้าพบว่าเธอตายแล้ว!!
                              
                              อรอนงค์เดินอย่างเหม่อลอยผ่านประตูเข้าไปยังฟู้ดคอร์ต ตอนนี้เธอไม่แน่ใจแล้วว่าหลังจากที่เธฮตื่นขึ้นมาจากการงีบหลับที่ม้านั่งแล้วก้เดินไปขึ้นลิฟต์ไปชั้นเจ็ด หรือเธอยังนั่งหลับอยู่ตรงม้านั่งนั้นตลอดเวลา ถ้าเช่นนั้นเธอขึ้นไปบนชั้นเจ็ดได้อย่างไร ฝันไป? อรอนงค์บอกกับตัวเองอย่างเชื่อมั่นว่า สิ่งที่พบเห็นนั้น ไม่ใช่คว่มฝันอย่างแน่นนอน...................




                              อรอนงค์สะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อได้ยินเสียงแตรรถยนต์ดังอยู่ข้างๆ นึกไม่ออกว่า เธอยืนนิ่ง จ้องมองดูห้างสรรพสินค้าตรงข้ามนานแค่ไหน เธอหันหลังเดินอย่างช้าๆไปตามทางเท้า นี่คือครั้งหนึ่งในชีวิตที่เธอไม่อยากเชื่อเลยว่า เธอพบเห้นสภาพที่น่ากลัวนั้นได้อย่างไร ในวันนั้นเมื่อพบศิริพรที่ฟู้ดคอร์ต เธอก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง ทุกอย่างยังคงถูกเก็บอยู่ในความทรงจำของเธอคนเดียว
                             ความทรงจำของเหตุการณ์ประหลาดเมื่อเธอขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นเจ็ด.........
                             ทั้งๆที่ห้างสรรพสินค้านั้นมีเพียงหกชั้นเท่านั้น!!!
       
                                     
       

                       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×