วันเกิดครั้งสุดท้าย
ของขวัญที่ผมรอคอยมาแต่เด็กคือplay3 แต่พอวันเวลผ่านไปแล้วต้องเจอเรื่องอะไรมากมาย ถึงตอนนี้ของขวัญที่ผมขอคือ ความรักและความอบอ่นจากญาติพ่อแม่พี่น้องที่จะไม่มีวันหายไป ตราบเท่าที่พวกเค้าไม่ลืมคนๆนี้
ผู้เข้าชมรวม
480
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
สังคมมนุษย์ เสียงข้างน้อยที่คนส่วนมากไม่ได้ยิน อดีคที่เป็นเพียงฝันร้ายหรือความเป็นจริงที่ชวนให้อยู่กับโลกแห่งฝันมากกว่า
ฉันไม่บ้า แม้ใครบ้า มาว่าฉัน
ก็ผู้นั้น นั่นแหละบ้า จึงว่าเขา
เราไม่บ้า แม้ใครบ้า มาว่าเรา
มันก็เข้า คนที่ว่า เป็นบ้าเอยฯ
กลอนบทนี้เป็นพระนิพนธ์ของพระนางเธอลักษมีลาวัณ ผู้ปรีชาสามารถเป็นศิลปินและกวีอย่างแท้จริง ผมจะใช้กลอนบทนี้เตือนใจเสมอเวลาที่จิตใจทนไม่ไหวแล้ว
เรื่องของผมมันไม่สนุกเท่าไหร่หรอก มันออกจะสะท้อนสังคมในสายตาของเด็กคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าของการโดนกระทำจากสังคมเสียมากกว่า นั่นก็คือตัวของผมเอง ผมเชื่อว่าตัวละครหลักของนักเขียนทุกคน เค้ามักจะใส่ความเป็นตัวของเค้าในส่วนลึกของจิตใจไว้ในตัวละครนั้นๆ ความรู้สึกของตัวละครบางตัวจะมาจากผู้เขียนนั้นเอง แต่บางทีมันก็ไม่ใช่ เพราะตัวผมเองไม่เคยมีความรัก ไม่เคยรักใครนอกจากพ่อแม่แล้วก็ญาติๆ แต่กลับแต่งเกี่ยวกับความรักได้ นั้นก็เพราะได้ดูได้เห็นได้อ่านและลองจินตนาการดูว่าถ้าเราเป็นตัวละครนี้ กำลังเจออะไรแบบนั้น เค้าจะรู้สึกอย่างไงบ้าง
บางทีก็อินจนลืมตัวและลืมไปว่าตัวตนที่แท้จริงเราเป็นเช่นไร จนบัดนี้ก็จำไม่ได้เสียแล้วว่าเคยหัวเราะเสียงแบบไหน เคยพูดแทนตัวว่าอย่างไร จนกลายเป็นว่าตัวเราได้หายไปแล้ว คนที่อยู่ตรงนี้คืออีกคนของเรา ยิ่งพูดก็ยิ่งงงไปเข้าเรื่องดีกว่า
ถ้าข้าพเจ้าแต่งไม่ดีอย่างไรต้องขออภัยด้วย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสั่นเรื่องแรกที่เคยเขียนแล้วเวลาก็มีแค่วันเดียวด้วย(ซึงพอสามปีให้หลังมาแก้อีกทีก็พบจุดบกพร่องหลายอย่างจนรู้สึกละอายกับฝีมือห่วยๆของตัวเองที่เหมือนเขียนเพื่อระบายความเก็บกดและเตือนใจตัวเองมากกว่าที่จะเป็นงานเขียนที่ให้อะไรดีๆแก่ผู้อ่านได้ ยิ่งตอนนี้การเลือกใช้คำพล็อตเรื่องและการบรรยายดูท่าจะแย่กว่าเมื่อก่อนด้วยสิ)
ถ้าดีไม่ดีติชมได้ตามสบายเลยจ๊ะ เพื่อความชื่นใจของคนเขียนที่ได้รู้ว่ามีคนอ่านจริงๆ ส่วนจะบอกถูกใจหรือไม่ชอบเลยก็ขึ้นอยู่กับความเมตตาของท่านที่จะให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้รับฟังด้วยยิ้มแก้มปริหรือไม่ ยังคงความเป็นฉบับเดิมในวันเกิดเมื่อสามสี่ปีก่อนไว้ แม้บางจุดมันจะน่าตัดออกก็เถอะ ขอบคุณที่เสียเวลาอันมีค่ามาอ่านนะขอรับ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
นิยายเรื่องสั่น
วันเกิดครั้งสุดท้าย
โดย ไร้ (ด้านมืดจากคุโรกิโจรันนอฟ)
เรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ขอให้ท่านลองอ่านดูและคิดเห็นว่า ถ้าท่านเจอเหตุการณ์เช่นนั้นๆ จะทำเช่นไร มีความรู้สึกเช่นไร แล้วผมขอว่าได้อ่านแล้ว อย่าเกลียดสังคมเช่นผมเลย เพราะทุกคนเกิดในสังคมที่แตกต่างกัน ผมเชื่อว่าบางทีผมอาจคิดไปเอง
มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่ผมคิด และขอให้ทุกคนมีความรักและเมตตาให้ใช้ความยุติธรรมและศีลธรรมในการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมสังคมโดยไม่ทำให้ใครต้องเจ็บช้ำน้ำใจ
แล้วสำหรับคนที่กำลังรุมรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ผมขอเถอะครับ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะถูกจะผิด อย่าได้รุมทำร้ายเค้าแบบนี้ ถ้าสักวันเค้ากลับมาทำร้ายคุณบ้างคุณจะรู้สึกอย่างไร บาปกรรมบางทีใช่ว่าเราทำแล้วเราต้องรับคนเดียว มันถึงลูกถึงหลานถึงคนที่รักด้วย ทุกคนก็มีพ่อแม่มีคนที่รัก ไม่ว่าใครก็ต้องการอยู่อย่างสงบกันทุกคน
ขอเถอะครับถ้ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักก็อโหสิกรรมให้เค้า หรือไม่ก็ปล่อยไปตามกฎหมาย อย่าใช่ศาลเตี้ยเลย และเมื่อคุณรุมทำร้ายเค้า ไม่ว่าจะทางตรงทางอ้อมคุณผิดนะผิดทั้งทางกรรมและทางกฎหมาย ดั่งนั้นผมขอล่ะ ถ้าคุณว่าพวกคุณเป็นคนดีของสังคมคุณก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวอย่าไปหาเรื่องอย่านินทาหรือดูถูกคนที่พวกคุณว่าเป็นคนชั่วเลย
ถ้าเค้าทำผิดจริงสักวันบาปกรรมก็จะมาหาเค้าเองไม่ว่าจะติดคุกหรือโดนประหารชีวิต
บางคนไม่รู้ทำกรรมอะไรไว้ชาติที่แล้ว ไม่ได้ทำผิด แต่โดนใส่ร้ายจนต้องโดนประหาร
ชีวิต พอเค้าตาย ความจริงถึงเปิดเผย เค้าถึงว่าอย่าตัดสินใครจากปากชาวบ้าน
ส่วนคนที่กำลังท้อแท้เสียใจกับชีวิตกับสังคมที่คุณประสบอยู่ ผมขอให้คุณอย่าสิ้นหวังและอย่านำคำพูดหรือการกระทำของคนพวกนั้นมาจำใส่ใจให้มันหนักสมองและทุกข์ใจเลย บางครั้งการที่เราจมอยู่กับความแค้นนั้น มันกลับพาเราจมไปกับความมืดมิดของจิตใจ ทำให้ใจเราสับสนไม่อยากฆ่าตัวเองก็อยากฆ่าคนที่ทำร้ายเราและเป็นเหตุให้ขาดสติไปในที่สุด ผมขอให้คุณใจเย็นๆอย่าได้ทำร้ายตัวเองหรือใครเด็ดขาด ปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมาย หรือเวรกรรมไป ผมขอให้คุณหยุดแล้วมองดู ในความมืดนั้นมันยังมีแสงสว่างอยู่ แม้สังคมจะทำร้ายคุณ แต่ยังมีคนที่รักและรอคอยคุณอยู่นะ ไม่ว่าเพื่อน คนรัก พี่น้อง พ่อแม่ ครอบครัว ทุกคนเค้ารักคุณและต้องการให้คุณมีชีวิตที่ดีต่อไปนะ
แม้คุณจะเสียใครไปสักคน คุณก็ยังมีคนที่รักคุณอยู่อีกคุณลงมองดูสิ
แม้คุณเสียคนรัก คุณยังมีเพื่อน แม้คุณเสียเพื่อนคุณยังมีญาติพี่น้องแม้คุณเสียญาติพี่น้อง
คุณยังมีพ่อแม่ แม้คุณไม่เหลือใครเลย คุณยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ขอให้คุณสู้ต่อไปในหลักความถูกต้อง ผมเชื่อว่าการที่คุณไม่ทำร้ายใครกลับ และไม่ทำร้ายตัวเองสักวันบุญจะนำพาความสำเร็จให้คุณในที่สุด คุณเห็นมัยอย่างสองพี่น้องตระกูลไรท์ก่อนที่เค้าจะประสบความสำเร็จเค้าก็โดนอื่นว่าเค้าบ้า แต่เพราะเค้าไม่ฟังในคำพูดของคนพวกนั้นและทำในสิ่งที่เค้าทำต่อไป ในที่สุดความสำเร็จของเค้าก็เปลี่ยนคำพูดของชาวบ้านและยกย่องเค้าในที่สุด และยังมีตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จแบบนี้อีกมาก ที่เค้าต้องผ่านช่วงเวลาแย่ๆของสังคม แต่คนที่อดทนเท่านั้นจะประสบความสำเร็จได้
ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนสู้ชีวิตและก้าวต่อไป อย่าเอาเรื่องที่ขวางความสำเร็จเรามาทำให้หนักใจ สักวันที่คุณผ่านเวลานั้นได้คนพวกนั้นจะเปลี่ยนคำพุดทันที เมื่อถึงเวลานั้นคุณกลับมามองคิดถึงช่วงเวลาที่คุณเสียใจคุณจะพบว่ามันน้อยนิดมาก ขอให้ทุกคนมีความสุขและประสบความสำเร็จนะสู้ๆครับ ให้แสงสว่างของธรรมะนำทางจิตใจ^^
“น้องโจ...ตื่นได้แล้วลูก ...ตื่นสิ สายแล้วนะ 6โมงแล้ว โจ...”
หญิงสาวผู้มีความเป็นแม่ที่รักลูกยิ่งกว่าชีวิต แม้จะดูยังสาวและยังสวยแบบคมเข้มแต่เธอก็มีลูกโตเป็นหนุ่มแล้ว เธอกำลังปลุกลูกชายตัวดีที่หลับใหลอย่างหลับเป็นตายอยู่ เธอเขย่าเค้าเบาๆให้ตื่น
เด็กหนุ่มที่หลับอยู่ ค่อยๆตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย เค้ามองไปที่นาฬิกาข้างเตียง นี้พึ่งจะ6โมงเอง โรงเรียนเค้าเข้าตั้ง9โมง เค้าพูดกับแม่อย่างงัวเงียจะหลับต่อ
“คุณแม่ครับ อีกตั้ง2ชั่วโมง ผมขอหลับต่ออีกสักนิดเถอะครับ”
“ไม่ได้นะลูก... ก็เมื่อวานน้องโจบอกแม่เอง ว่าวันนี้เป็นวันสอบ แล้วให้แม่ปลุกแต่เช้า เพราะเค้าเข้าสอบกัน8โมงนี่ เดี่ยวสายก็โดนตัดสิทธิ์หรอก”
“หา....!!!!!”
เด็กหนุ่มที่ทำท่าจะนอนต่อต้องตาสว่างทันที เมื่อคำว่าวันนี้สอบออกจากปากมารดาของเค้า เด็กหนุ่มผมยาวอายุ15รีบใส่แว่นหนาที่วางกองๆไว้กับหนังสือข้างเตียง แล้วลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ผู้เป็นแม่เห็นว่าลูกรีบจนไม่ยอมอาบน้ำ จึงทัก
“น้องโจอาบน้ำก่อนไปเถอะ แม่รู้ว่าลูกรีบ แต่ก็น่าจะอาบน้ำหน่อยนะ”
“ไม่ล่ะครับคุณแม่ มันสายมากแล้ว กว่าจะดูห้องสอบและหาอีกก็เป็นชั่วโมงแล้ว
เดียวจะไม่ทันการ และโดนอาจารย์ดุเอาอีก”
เด็กหนุ่มไม่ยอมฟังใส่ชุดนักศึกษาแขนยาวสีขาวกับกางเกงยาวสีดำทันที ผู้เป็นแม่ส่ายหน้า เพราะรู้ทันว่าลูกชายของเธอเป็นโรคไม่ถูกกับน้ำและอากาศตอนเช้า เธอเดินไปหยิบน้ำหอมและมาฉีดใสเสื้อให้เค้า เด็กหนุ่มจามเล็กน้อยเพราะมันหอมมากเกินไป
“คุณแม่ครับ ผมไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย ไม่เห็นต้องฉีดน้ำหอมเลยผมยิ่งแพ้กลิ่นพวกนี้อยู่ด้วย แสบจมูกจัง ฮัดเช้ย...!!!”
“อย่างี่เง่าสิ ลูกคนนี้เป็นอย่างไงนะ กลิ่นไม่ดีไม่ได้กลิ่น แต่กลิ่นหอมๆนี้ต้องแพ้ทุกที
ลูกว่าแม่แกล้งหรอ ก็ลูกไม่ยอมอาบน้ำเองนี่ เราโตแล้วนะ น้องโจยังต้องให้แม่ว่าอีก”
“ครับๆ ผมผิดเอง ที่ทำตัวเป็นเด็กๆให้แม่คอยดุคอยว่า แต่ผมก็ขอเป็นแบบนี้ดีกว่า เป็นเด็กก็ยังได้อยู่กับแม่ ดีกว่าโตแล้วต้องทิ้งแม่ไป ผมขอเป็นเด็กแบบนี้ตลอดไปดีกว่า”
“พ่อเราสอนให้พูดหวานๆใส่แม่แบบนี้ใช่มัยนี้ เชื้อพ่อเรานี้แรงจริงนะ ผิวขาวก็ได้จากพ่อ มันสมองก็ได้จากพ่อ นิสัยก็เหมือนพ่อเราไม่ผิดเลย เอาแม่ไปไว้ไหนนี้”
“ตาโตสองข้างที่ลูกได้ใช้มองเห็นทุกสิ่งในโลกนี้ไม่ได้มาจากแม่หรอ ลูกไม่ได้จุติในท้องมารดาแล้วเติบโตด้วยนมแม่หรอ ถ้าไร้แม่แล้วจะมีโจคนนี้เกิดขึ้นมาได้หรอครับ”
โจบอกกับแม่แล้วก็กอดแม่เค้า เธอลูบหัวลูกชายและยิ้มนิดๆเพราะรู้ว่าที่ลูกชายพูดมามีความหมายอะไร เธอมองตาเค้าและยิ้ม
“พูดแบบนี้จะขออะไรแม่ในวันเกิดวันนี้ใช่มัย”
“ก็เปล่าครับ แค่ผมจะบอกว่า ถ้าผมสอบได้เกดร4แล้ว แม่อย่าลืมสัญญาที่จะซื้อplay2ให้ผมนะ ผมรอมาตั้ง5ปีแล้วนะครับ จะให้รอจนแก่ตายเลยหรือไงครับคุณแม่”
“จ้าๆ ถ้าน้องโจได้เกดร4แม่จะซื้อให้เด็กดีนะ เอ๊ะนี้มัน6โมงจะ7โมงแล้วนะแม่ว่าลูกไปให้ทันก่อนเถอะ”
“แย่แล้ว
!!!!!”
โจรีบไปคว้ากระเป๋าเก็บเอกสารของเค้า แล้วกลับมาหอมแก้มและกอดแม่เค้า
“แม่ครับอยู่บ้านดีๆนะ อย่ามีเรื่องกับใครอีกล่ะ แล้วบุหรี่ลดหน่อยนะครับ มันไม่ดีต่อสุภาพ ผมรักแม่นะครับ”
“จ้า แม่ก็รักลูกเหมือนกัน ตั้งใจทำข้อสอบให้ดีๆล่ะ ส่วนเรื่องบุหรี่ เดี่ยวเลิกแน่ เอาสอบให้ได้ก่อนเถอะ ใครว่าอะไรก็อย่าสนนะ”
“ครับ”
ที่ขาของเค้า เจ้าชิสุตัวน้อยนามว่าโจรันนอฟที่แม่เค้าจงใจเอาชื่อเค้ามาตั้งให้มัน กำลังเอาเท้าหน้ามันเขี่ยขาเค้าอยู่ เค้าลูบหัวมัน
“พี่รู้แล้วว่าเราก็รักพี่ อยู่บ้านดูแลแม่ดีๆล่ะนอฟ เดียวพี่ก็กลับมาแล้ว”
เจ้าโจรันนอฟกระดิกหางรับรู้ โจหอมแก้มแม่เค้าอีกครั้งและรีบวิ่งออกไป
***
ภายนอกตอนนี้ไม่มีใครเพราะยังเช้าอยู่ เค้าโล่งอกแล้วเริ่มวิ่งไปก่อนใครจะเห็นเข้า
สักพักใกล้ถึงปากทางแล้วอีกนิดเดียวเท่านั้น เค้าโบกมือเรียกแท็กซี่ไปถึงโรงเรียนสอบก็จบไปได้หนึ่งจุด ไปสอบโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้
แต่ว่าความคิดของเค้าต้องพังลงทันที เด็กอายุ13-14ประมาณ5คนกำลังขี่จักรยานเข้าซอย แล้วมาทางเค้าพอดี เค้าเกือบโดนชนแต่หลบได้ทันก่อนที่จะโดน ทำให้เสียหลักล้มหงายหลัง ทุกคนหยุดจักรยานแล้วหันมองเค้าที่ล้มไม่เป็นท่าพร้อมกับหัวเราะสะใจ
“ไหนพวกเราดูสิ ลูกคนบ้าวันนี้จะไปเรียนว่ะ แต่ดูท่าแล้วคงต้องวิ่งกลับเข้าบ้านไปร้องไห้กับแม่ของมันแน่เลย เดี่ยวกลับไปเล่าให้แม่ๆเราฟังดีกว่า คงชอบใจแน่เลย”
เด็กคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วมาทางโจ ด้วยการดูถูกอย่างสะใจ โจได้แต่มองเด็กคนนั้นแต่ไม่พูดอะไร ‘นี้หรือเด็กตัวเท่าลูกหมา ปากตอนนี้กลายเป็นตัวๆแล้ว
พ่อแม่ไม่สั่งสอนให้มีหัวคิดบางเลยหรือไงว่าอะไรถูกผิด รึทำตัวเป็นนักเลงแต่เด็ก
พ่อแม่ก็สั่งสอนเหลือเกิน แต่จะไปเอาอะไรกับเด็กนักหนา เรายังมีเรื่องที่สำคัญกว่า ’
เค้าสงบสติอารมณ์ก่อนจะค่อยๆยันตัวลุกขึ้น เด็กพวกนั้นนิ่งสักพักเพื่อดูการโต้ตอบจากเค้า ว่าถ้าเค้าออกหมัดชกเด็กคนที่เป็นตัวล่อไป พวกมันจะรีบเรียกคนอื่นที่เหลือที่เกลียดแม่และเค้ามารุมเค้าทันที โจสงบสติแล้วเดินไปโบกมือเรียกแท็กซี่ที่กำลังผ่านมาพอดี เด็กพวกนั้นได้ทีเห็นว่าเค้าจะไปไม่ตอบโต้อะไรก็ได้ใจเอาต่อ
“โถนึกว่าแน่ ที่แท้ก็ไอ้อ่อน ขนาดเด็กอย่างเรา มันยังกลัวไม่กล้าทำอะไรเลย มันก็เป็นแค่คนบ้าอีกคน ที่เราจะด่าจะว่าอะไรมันก็ไม่โกธรเราหรอก จริงมัยว่ะไอ้บ้า”
“ไอ้บ้าๆ ไอ้บ้าๆ ไอ้บ้าๆ”
เสียงระดมว่า มาเป็นชุดประสาเสียงให้ดังและพร้อมใจกันจ้องมองและชี้นิ้วมาที่เค้าคนเดียว เค้าเริ่มอดทนไม่ไหวแล้วมือของเค้ากำลังกำแน่นสั่นและเกร็งด้วยพยายามระงับอารมณ์ เค้าพยายามมองหาตัวช่วยที่เป็นผู้ใหญ่แถวนั้น หวังจะให้มาสั่งสองลูกหลานแทนเค้า แต่ทุกคนที่เค้ามองไป ไม่มีเลย ทุกคนต่างยิ้มสนุกสะใจที่เค้าโดนว่าแบบนี้
ไม่มีใครคิดจะสั่งสอนเด็กพวกนี้เลย มีแต่ให้ท้ายและส่งเสริมให้ทำเรื่องชั่วช้าได้ลง
รถแท็กซี่มาตรงหน้าเค้าแล้ว เค้ารีบขึ้นและปิดประตูรถอย่างแรงด้วยโทสะที่กำลังระเบิดออก รถแท็กซี่ขับออกไปแล้ว แต่เสียงพวกนั้นยังมาหลอนเค้าอยู่ดี เค้าปล่อยหมัดชกไปที่กระเป๋าของตัวเองด้วยแรงแค้นอย่างเหลืออด มันดังจนคนขับสะดุ้งและหันมองเค้าผ่านกระจกหลัง รอยโดนชกเกิดขึ้นที่กระเป๋าของเค้าสงสัยต้องไปซื้อใหม่อีกแล้ว
“เราน่ะทีหลังขึ้นแท็กซี่ก็เปิดปิดประตูเบาๆหน่อยนะ เดียวมันพังขึ้นมาจะไม่คุ้มกับแค่ค่าโดยสาร”
คนขับแท็กซี่พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเค้าสงบลงแล้ว โจตื่นจากพะวงแห่งความคิดแค้นในใจและเริ่มรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไป เค้าจึงขอโทษ
“ขอโทษครับลุงพอดีผมใช้อารมณ์มากไปหน่อย ถ้าจะคิดค่าเสียหายก็บอกผมนะ ถ้าไม่มากไปผมยังพอมีจ่าย”
“โอ๊ย...! ไม่เป็นไรหรอกเจ้าหนู ลุงแค่บอกเฉยๆ ลุงรู้ว่าเรากำลังเป็นอะไรอยู่แต่เราไม่ต้องห่วงหรอกลุงไม่ถือ นี้ลูกลุงมันก็เป็นเหมือนเราเลย”
คนขับรถเริ่มเล่าถึงลูกชายแก่ที่โดนรังแกเหมือนเค้า ทำให้เค้าสนใจ มีพวกเด็กนักเรียนขายยาบ้าในโรงเรียนที่ลูกลุงเรียนอยู่ ลูกลุงไม่ยอมซื้อยานรกของพวกมันมาเสพ แล้วนำเรื่องของคนพวกนี้ไปแจ้งให้ผอ.ทราบ พวกนั้นจึงโดนไล่ออก จากนั้นมาพวกของมันที่เหลือจึงคอยรุมรังแกลูกลุงตลอดทุกวัน พอเล่าถึงจุดนี้คนขับก็เงียบไป โจจึงสงสัย
“แล้วลูกลุงทำอย่างไงต่อครับ เค้าแจ้งผอ.ให้จับไล่ออกให้หมดทั้งกลุ่มเลยใช่มัย”
คนขับถอดหายใจและเล่าต่อ เสียงเค้าเศร้าลงตามเรื่องที่เล่า
“ตอนแรกมันก็เป็นอย่างนั้น แต่เด็กตัวหัวหน้าแก๊ง มันเป็นลูกคนมีอิทธิพลในจังหวัดทำให้ผอ.ไล่มันออกไม่ได้เพราะกลัวอิทธิพลของพ่อมันจะทำให้ผอ.ออกซะเอง จากนั้นมันก็ได้ใจก็หาพรรคพวกเพิ่ม จากแค่กลุ่มไม่กี่คน ก็กลายเป็นทั้งห้อง และทั้งโรงเรียนในที่สุด ลูกลุงถูกรังแกสารพัดจนไม่อยากไปโรงเรียนนรกนั้น แต่ลุงก็ยังพยายามให้เค้าไปให้ได้เพราะลูกลุงใกล้จะเรียนจบแล้ว จนในที่สุด....”
โจพอรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และเค้าก็ไม่อยากให้มันเป็นจริง เค้าจึงไม่ถามต่อ แต่ลุงก็เล่า
“มันไปโรงเรียนตอนเช้า เข้าไปในห้องที่ไอ้ตัวหัวหน้ามันนั่งเสพยาอยู่รวมกัน5คน
ไอ้พวกนั้นหาเรื่องและรังแกมันอีก มันขาดสติและคว้าปืนในกระเป๋านักเรียนที่มันขโมยของลุงมา ยิงพวกนั้นตายคาห้องหมดทุกคน และนัดสุดท้ายมันก็สังเวยด้วยชีวิตตัวเอง.”
ทั้งคนขับรถและเค้าไม่พูดอะไรกันอีก เค้าได้แต่คิดไประหว่างทางด้วยใจที่เศร้าหมองเห็นเป็นเค้าก็คงจะทำเช่นนั้นเช่นกัน แต่เค้าได้เห็นในส่วนที่คนคนนั้นไม่มีวันได้เห็นคือ
น้ำตาของผู้เป็นพ่อ ที่เสียให้กับลูกของเค้า เพราะลูกได้ขาดสติฆ่าคนแล้วยังหนีความผิดโดยการฆ่าตัวตายอีก ชีวิตคนเรากว่าพ่อแม่จะสร้างให้เดินด้วยตัวเองได้มันช่างยาวนานนัก แต่การตายของคนเราช่างรวดเร็วแค่วินาทีเดียวเอง
เค้าเศร้าใจและพยายามเตือนตัวเองว่า เค้าจะต้องอดทนผ่านมันไปให้ได้
เค้าไม่อยากให้พ่อแม่ต้องเสียน้ำตากับการขาดสติหรือทำอะไรโง่ๆของเค้าเด็ดขาด
***
ในที่สุดรถแท็กซี่ก็ขับมาถึงที่ที่เค้าต้องสอบแล้ว นักศึกษามากมายกำลังเข้าไปดูบอร์ดที่ติดประกาศไว้ว่าต้องเข้าสอบห้องใด รถแท็กซี่จอดใกล้แถวนั้น
“170ครับ”
คนขับบอกค่าโดยสาร โจส่งให้เค้าไป200 คนขับกำลังคว้าหาเงินทอน เค้าจึงห้ามไว้
“ไม่ต้องทอนหรอกครับลุง คิดว่าเป็นค่าที่ผมเปิดประตูแรงแล้วกัน”
“ขอบใจนะ”
ชายแก่ยิ้มออก โจจึงยิ้มรับแล้วค่อยๆลงแต่คนขับรถจับมือไว้ ทำให้เค้างง
“พ่อหนุ่มลุงขอเตือนอะไรไว้นะ สังคมมันก็เป็นแบบนี้แหละ มีทั้งคนรักและคนเกลียด
ดั่งคำว่า คนรักเท่าผืนผ้า คนชังเท่าผืนเสื่อ คนรักเท่าผืนดิน แต่คนชังเท่ามหาสมุทร
แม้คนอื่นเกลียดเราและเราแค้นแค่ไหน มองดู ดูคนที่เค้ารอคอยและจงมีสติอยู่เสมอ”
คนขับสอนเค้าเหมือนกับญาติผู้ใหญ่สอน เค้าเข้าใจความหมายดี
“ครับ ผมจำไว้ ขอบคุณครับลุง”
โจยิ้มให้ชายคนนั้นด้วยความจริงใจ และลงจากรถ เดินไปดูบอร์ดว่าเค้าสอบห้องไหน
***
เวลาผ่านไปนับสองชม.เค้าพยายามลืมทุกเรื่องและหาข้อมูลในสมองที่เค้าศึกษา
มาตอบคำถามตรงหน้าเค้า แต่ล่ะวิชาจะมีกาละบาทหรือกาครั้งละบาทที่เค้าคิดให้มันขำๆจะได้ไม่เครียดทั้งหมด60ข้อ60บาท กับตอบข้อเขียนให้เลือกหรือให้เละอีกสองข้อ เมื่อข้อไหนที่เค้าสามารถตอบได้อย่างมั่นใจสุดๆเพราะเคยผ่านตาและจำไว้ฝั่งใจ เพราะตอนสอบเก็บคะแนน ข้อนี้มันทำให้ตก จึงเจ็บแล้วต้องจำ ร่างกายจะมีอาการสั่นไหวด้วยแรงกลั่นขำอยู่ช่วงตลอดที่อ่านข้อนั้นในใจ บางคนที่นั่งสอบอยู่เห็นตัวเค้าสั่นๆก็คงคิดว่าองค์ลงจึงมองเค้ากันใหญ่ เมื่อเค้ารู้ว่ามีว่าสายตาอันไม่ค่อยประสงค์ดีเข้ามาทางเค้าเป็นจำนวนมาก เค้าก็นิ่งขรึมแล้วก็เขียนข้อต่อไปเพราะเจอข้อตอบไม่ได้พอดี ปวดหัวทันที
***
เวลาผ่านไป โจเป็นระดับต้นๆที่ต้องออกไปจากห้องสอบก่อน เพราะทำเสร็จทุกข้อแล้ว เค้าเดินออกมาจากห้องพร้อมกับเสียงเฮดังๆในใจของทุกคน เค้าคิดไปเองมากกว่า
เค้ามองดูที่บอร์ดใกล้ๆห้องสอบวิชาต่อไปที่เค้าต้องรอคือวิชาภาษาไทยเวลา15.20น
เค้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าต้องรอนานขนาดนี้ ดันจัดให้พวกม.ปลายสอบทีหลังแต่ได้กลับก่อนเฉยเลย แสดงว่าเค้าต้องรออีก6ชม.มันครึ่งหนึ่งของวันเลยนะ แต่ก็คงต้องรอ
โจเลือกขึ้นไปหามุมสงบตรงบันไดชั้น4ซึ่งชั้น3เป็นห้องสอบของเค้า ช่วงแรกเค้าเห็นว่ามีผู้หญิงไม่กี่คนนั่งรอเข้าสอบตรงนั้นเค้าจึงนั่งข้างบนอีกชั้นหนึ่งเพื่อหลบสายตาและหาเวลาอ่านหนังสือเรียนภาษาไทยอีกครั้งตั้งแต่หน้า1จนจบอย่างใช้สมาธิ เวลาผ่านไปสักพักจากที่เงียบสงบ ค่อยๆมีคนพูดขึ้น จากแค่คุยเบาๆก็ดังขึ้นจนกลายเป็นแหกปากตะโกนกันคุยในที่สุด จากที่มีผู้หญิงไม่กี่คน ก็มีคนมามากขึ้นมากขึ้น และพวกกลุ่มคนก็มากขึ้นด้วย เค้าเห็นท่าไม่ดีแล้ว เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ถูกซะตากับสังคมหมู่มาก เค้ารีบเก็บของและลุกจากที่นั่งชั้นดีที่ทำให้ใครไม่เห็นถ้าไม่ขึ้นมาจนเป็นเหตุให้รุ่นพี่ม.ปลายชายกลุ่มหนึ่งเห็นและทักทายด้วยการตะโกนบอกเพื่อนว่า
“เฮ้ย
! มีคนอยู่ตรงนี้ด้วยว้า”
ล้างร้ายบางอย่างวิ่งเข้าสู้ใจเค้า เค้ารู้ว่าคนที่พูดถึงหมายถึงเค้าแน่ ไม่ว่าจะเพราะอะไรถึงสนใจเค้ากันนัก แต่เค้าไม่อยากรู้คำตอบ แต่อยากหนีไปให้ไกลก่อนมีอะไรเกิดขึ้นดีกว่า
แต่มันช้าไปแล้ว คนเกือบสิบมารอมดักหน้าเค้าไว้ สัญชาติญาณบอกให้หลบมีคนกำลังหาเรื่องนายอยู่นะ แต่จะให้ทำอย่างไงได้ เค้ารู้ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นถ้าเค้ายังปล่อยไว้เช่นนี้
“นี้ผมมาสอบนะ
!”
ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี มันคิดได้แค่นี้ว่ามีเรื่องไม่ได้เด็ดขาด ต้องสอบให้เสร็จก่อน
“ก็มาสอบเหมือนกัน”
“ถ้าห้องสอบก็อยู่ชั้นล่าง”
เค้าเข้าใจเป็นว่า คนพวกนี้คงมาหาห้องสอบแล้วหาไม่เจอ เจอเค้าอยู่ข้างบน ก็คงคิดว่ามีห้องสอบอยู่ข้างบนอีกแต่ไม่มีแล้ว ส่วนชั้นล่างที่เค้าหมายถึงคือชั้น3ที่เค้าขึ้นมา
“ไม่ใช่
”
“แล้วตามผมขึ้นมาทำไม”
“จะหาที่สูบบุตรี”
“เออ...เชิญครับ”โจหน้าแตกด้วยความเค้าระแวงไปเอง เค้ารีบลงมาก่อนที่ใครจะหัวเราะเค้าอีก
เค้ากลับไปนั่งรอที่บันไดที่เดิม และคว้าหนังสือมาอ่านต่อ แต่มันไม่สงบเลย
เวลาที่รอคอยมันทำให้เค้ารู้สึกเจ็บปวด เค้ามองตัวเอง และคนอื่นๆ ทุกคนมีเพื่อนมีความรักมีความสุขสนุกสนาน แต่เค้าไม่มีใครเลย มีแต่ความเจ็บปวดทรมาร
คนพวกนั้นลงไปแล้ว เค้าจึงขึ้นไปเพราะไม่มีใคร คงเป็นเพราะถึงเวลาสอบเสียงต่างๆก็เงียบลงพร้อมกับใจที่เริ่มสงบและเครียดน้อยลง เค้าใช้เวลาอันมีค่าที่หากยากในสังคมนี้ รวบรวมสมาธิอ่านหนังสือต่อ แต่ก็ไม่นานนักผ่านไปน่าจะ2-3ชมถึงเวลาทุกข์ที่จะออกมาอีกแล้ว เลยเทียงไปแล้ว เค้าก็ยังไม่ไปไหนรอจะสอบอย่างเดียวทั้งๆที่ตอนเช้ารีบจนไม่ได้กินอะไรเลย ตอนนี้ที่ข้างล้างมีกลุ่มคนมากมายกำลังพูดคุยแหกปากตะโกนกันอย่างสนุกสนาน ไม่รู้เค้าอาจคิดมากไปเองว่าคนพวกนั้นกำลังสนุกกับการหาเรื่องเค้าทั้งๆที่ยังไม่รู้จัก ถึงรู้จักก็จำไม่ได้แล้ว คำว่าบ้าและชั้นต่ำกระแทกใส่หูเค้าเสมอ
และทุกครั้งที่เค้าเดินหนีคนพวกนั้นจะหัวเราะสะใจเป็นอย่างมาก
หลายครั้งที่เค้าอยากเอาหนังสือภาษาไทยที่อ่านจบไปครึ่งเล่มแล้ว โยนจากชั้น4ไปใส่พวกคนที่กำลังสนุกสนานกับการว่าเค้าเป็นบ้าและชั้นต่ำเสียจริงๆ ดูสิหนังสือภาษาไทยจะฆ่าคนได้มัย หรือไม่ก็คิดอยากตาย อยากกระโดดลงไปจากตึกชั้นสี่นี่แล้วตายไปๆจะได้จบเรื่องพวกนี้เสียที เค้าปวดหัวและสับสนมาก ทำไมเค้าไม่ค่อยรังแกล้งใครก่อน เค้าไม่ค่อยมีเพื่อนแล้วให้เพื่อนไปรังแกคนอื่น แล้วทำไม ทำไมเค้าต้องมาเป็นที่ระบายอารมณ์ความเดชฉานของคนพวกนี้นะ ทำไมๆๆ และเมื่อความคิดนั้นกำลังครอบงำ จิตใจก็ขาดสติ เค้าปล่อยหนังสือกับกระเป๋าลงพื้น และก้าวเดินไปที่ระเบียงมันง่ายมากที่จะกระโดดไปตาย แค่ข้ามไปอีกนิดก็จะจบสิ้นในชาตินี้แล้ว
~ฉัน...ไม่มีวันได้เธอคืนมา ฉันขอเวลาแค่บอกคำนั้น ที่เธอเคยต้องการ มันยังทันใช่มัย...ฉันเสียใจตลอดเวลา ที่รักษาเธอไม่ได้ สุดท้าย.. อยากให้รู้ว่ารัก...~
เสียงโทรศัพท์มือถือดั่งขึ้น ปลุกเค้าจากพะวงให้ถอยห่างจากระเบียงทันที เสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้ง เค้ารีบกดรับ
“โจลูกใช่มัย...?”
“คุณพ่อ
!”
เสียงชายวัย50ที่อยู่ปลายสายคือพ่อของเค้า เค้าดีใจเหลือเกินดีใจจนน้ำตาไหล
“ทำไมเงียบล่ะไม่ดีใจที่พ่อโทรหาหรอ”
ผู้เป็นพ่อถามด้วยเป็นห่วงที่ลูกชายเงียบไป เค้าเชิดน้ำตาและพยายามทำเสียงให้ปกติที่สุด
“ไม่มีอะไรครับ ผมดีใจมากเลยที่คุณพ่อโทรมา มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”
“ก็แม่เราน่ะสิ โทรมาบอกพ่อ ให้มาบอกเราว่าแม่ไปซื้อของ เข้าบ้านไปคนเดียวก่อนแล้วกันนะกุญแจอยู่ที่เดิม เออ... แล้วก็สุขสันต์วันเกิดนะลูก ขอให้ทำขึ้นสอบได้ล่ะ”
“ครับคุณพ่อ... ผมจะพยายามครับ...ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาครับ
ผมสัญญาจะเอาเกรดดีๆมาให้ได้ ผมจะไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องผิดหวังกลับลูกคนนี้อีกแล้ว”
“อดทนพยายามไว้นะ พ่อจะรีบกลับบ้านลูกอยากได้อะไรล่ะ”
“แล้วแต่พ่อเถอะครับ”
“นั้นเดี๋ยวพ่อรีบกลับ แค่นี้ก่อนนะลูก”
“ครับ.. คุณพ่อครับ.. .ผมรักคุณพ่อนะครับ”
“พ่อก็รักลูกเหมือนกัน เดียวเจอกันที่บ้านนะ”
“ครับ
”
เสียงสายโทรศัพท์ตัดลงพร้อมกับน้ำตาที่กลั่นไว้ไม่ไหว เค้าร้องไห้โดยไม่มีเสียง และคิดว่าตัวเองตลอดเวลา เรานี้มันช่างอ่อนแอเสียจริง เรื่องไร้สาระพวกนี้ก็ต้องเก็บมาคิดฆ่าตัวตายด้วย แล้วถ้าถึงวันที่เป็นพ่อคนแม่คนจะมีปัญญาเลี่ยงลูกให้เค้าเติบโตเป็นคนดีได้เหมือนที่พ่อแม่เของเค้ารักและสั่งสอนเค้ามาตลอด15ปีได้หรอ กว่าเค้าจะโต พ่อต้องเสียสุภาพที่แลกกับงานเพื่อเงินมาเลี้ยงดูเค้ามากเท่าไหร่ แม่ของเค้าต้องเสียน้ำตากับการเจ็บป่วยของเค้ากี่แสนครั้ง แต่เค้าจะมาทึ้งชีวิตง่ายๆกับเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอ
ใครบ้างเล่า จะเข้าใจ จิตใจข้า
เหมือนคนบ้า ที่หวาดกลัว ในความจริง
ถูกทอดทึ้ง ให้มืดมิด ในจิตใจ
ไม่ว่าใคร ก็เข้าใจ เป็นศัตรู
โจหยิบหนังสือเรียนกับกระเป๋าที่เค้าปล่อยตกพื้นขึ้นมา เค้าเดินไปนั่งที่ใหม่ที่ๆไม่มีใครแล้วก็สงบเหมาะแก่การอ่านหนังสืออย่างมากด้วย เค้ารวบรวมสมาธิตั้งใจอ่านในหน้าที่เหลือต่ออย่างตั้งใจโดยไม่สนใจเสียงนกกาที่ระรานเค้าอยู่เบื้องล่าง
***
เวลาผ่านไปพอสมควรในที่สุดเค้าก็อ่านจนจบ เค้ามองเวลา เหลือแค่1ชมเท่านั้น
เวลาที่เค้ารอคอยก็กำลังมาถึงแล้ว สำหรับเค้าแล้วการสอบกับการรอการสอบอันไหนยากกว่า เค้าคิดว่าการรอคอยคือสิ่งที่อยากกว่า มันคือช่วงเวลาที่ต้องอดทนผ่านไปให้ได้ เพราะแค่วินาทีเดียวที่ขาดสติมันคือจุดจบในชีวิตทันที แต่การสอบมันช่างง่ายเหลือเกินเมื่อเราได้ตั้งใจศึกษามาก่อน เวลาแห่งความสุขจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเราไม่ได้อ่านเข้าสมองเลย มันจะเป็นความทุกข์ที่สุด
จู่ๆท้องไส้ก็ปวดแสบคงเป็นเพราะเค้างี่เง่าไม่ยอมลงไปกินข้าวลงท้อง
มันกำลังทรมารเค้าพอสมควร อีกนิดเดียวเท่านั้น เค้าสอบเสร็จรอผลสอบก็กลับได้แล้วพรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องมาอีก ไข้เจ้ากรรมก็ดันมาขึ้นเป็นแบบนี้ทุกทีที่เค้าต้องออกนอกบ้าน
***
ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง กระดาษข้อสอบถูกเตรียมไว้ตามโต๊ะแต่ล่ะอันข้อสอบจะไม่เหมือนกัน โจยิ้มทันทีที่ก้าวเข้าห้องสอบ บรรยากาศมันช่างเหมาะกับคนอย่างเค้าจริงๆเลย ทุกคนตั้งใจทำข้อสอบของใครของมัน ไม่มีการพูดคุยมีแต่การใช้สมองเป็นอาวุธในสงครามแห่งปํญญานี้ เค้านั่งลงที่โต๊ะของเค้าที่ถูกเตรียมไว้ เมื่อเค้าอ่านข้อสอบ
“ข้อใดไม่ใช่คำราชศัพท์
ก.ทรงศีล
ข.ทรงม้า
ค.ทรงเจ้า
ง.เสวย”
เค้ากลั้นขำจนตัวสั่นไหวเหมือนคนองค์ลง ตามคำตอบทำให้ใครๆที่หันมาดู รู้ทันทีว่าข้อนี้แน่ๆ แม้ไม่มีเค้าคงก็ไม่มีใครผิดข้อนี้ได้ง่ายๆแน่ ครูผู้คุมมองดุเค้าเล็กน้อยที่เสียมารยาท เค้ารู้ว่าผิดจึงยอมสงบแต่โดยดีแต่ก็มีแอบขำๆอีกตามเคย
***
เค้ากลับมาถึงบ้านด้วยใจที่เบิกบานหลังจากผลสรุปเกรดออกมาเป็น3.5ซึงเค้าดีใจมากๆ พอลงจากรถแท็กซี่เค้าก็รีบวิ่งเข้าบ้านให้เร็วที่สุดจะได้ไม่เจอใครอีก เมื่อเข้ามาในบ้าน คนแรกที่เค้าอยากเจอที่สุดก็คือแม่ของเค้า
“คุณแม่ครับผมกลับมาแล้ว”
เสียงดังของอะไรบ้างอย่างกำลังลงบันไดมาเค้าว่าต้องเป็นแม่ของเค้าแน่ๆ
แต่ปรากฏว่าเป็นเจ้าโจรันนอฟลูกหมาชิสุตัวน้อยของเค้าที่มาต้อนรับ
“นอฟเองหรอ คุณแม่ล่ะ ยังไม่กลับหรอ แย่จัง ทั้งที่พี่มีข่าวดีมาเล่าให้ฟังแท้ๆ”
เค้าลูบหัวมันและอุ้มขึ้นไปชั้นบนด้วยใจที่ผิดหวัง
***
เวลาผ่านไปเปล่าประโยชน์เค้ารอแล้วรอเล่าก็ไม่กลับมาสักที นี้ก็2ทุ่มแล้วนะ
หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่หรือบางทีคุณแม่อาจจะกำลังซื้อของให้เค้าจนลืมเวลา
เบอร์ของญาติพี่น้องคุณยายและน้าๆจะคอยขึ้นโทรมาเสมอ
ทุกครั้งที่ทุกคนบอกสุขสันต์วันเกิดและขอให้เค้ามีความสุขมากๆ
น้ำตาของเค้าจะไหลออกมาด้วยความปีติและซาบซึ้ง เค้ามักจะพูดกลับไปว่า
นึกว่าทุกคนจะลืมวันเกิดเค้ากันเสียอีก
และคำตอบคือ เราไม่ลืมวันเกิดของพี่โจหรอก
พวกเค้ามักถามว่าเค้าอยากได้อะไรเป็นของขวัญ
สำหรับเค้าตอนนี้คงไม่ต้องการอะไรไปมากว่าความและรักและความอบอุ่นของครอบครัว ญาติพี่น้องแล้ว ที่จะทำให้มีกำลังใจและอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
เค้ามักตอบไปว่าไม่ต้องการอะไรมากขอแค่ความรักของทุกคนที่เค้ารักไม่น้อยลงไปเท่านั้น หรือไม่ก็ขอเป็นปากกาหรือสร้อยรูปดาบกางเกนมันมีค่าทางใจของเค้า
เค้ารับความอวยพรจากญาติๆที่เค้ารักจนครบหมด เหลือแต่พ่อและแม่ของเค้าเท่านั้น
เค้ารอจนหลับไปในที่สุดโดยมีเจ้าโจรันนอฟนอนเคียงข้าง
***
“ฉัน...ไม่มีวันได้เธอคืนมา ฉันขอเวลาแค่บอกคำนั้น ที่เธอเคยต้องการ มันยังทันใช่มัย...ฉันเสียใจตลอดเวลา ที่รักษาเธอไม่ได้ สุดท้าย.. อยากให้รู้ว่ารัก....”
เสียงเพลงดังขึ้นปลุกให้เค้าตื่นนี้เป็นเวลาตี1แล้ว เค้ารีบรับโทรศัพท์ด้วยใจคอไม่ดี
“คุณพ่ออยู่ไหนครับ ทำไมมีเสียงคนเต็มไปหมดเลย”
“โจ ใจเย็นๆนะลูก ตอนนี้โรคมะเร็งปอดแม่เค้ากำเริบมากขึ้นถึงขั้นสุดท้ายแล้ว
ต้องทำการเปลี่ยนปอดทันทีเลย ลูกเอาเอกสารสำคัญของแม่มาที่รพ.เร็วๆนะ”
สายตัดลงพร้อมกับใจที่หายไปทันที แม่เค้ากำลังจะตายหรอ....มันไม่จริงใช่มัย...
“ทำไมฟ้าจึงไม่ยุติธรรมเลย ทำไม ทำไมไม่เอาลูกไป ถ้าท่านต้องการชีวิตเราสองแม่ลูกก็ของให้เอาชีวิตลูกไปแทนแม่เถอะ”
เค้าพยายามตั้งสติหาเอกสารสำคัญให้เร็วที่สุด เค้ารีบวิ่งออกไปด้วยใจร้อนรน
จนลืมปิดไฟในบ้าน เมื่อมาถึงปากซอยผู้คนบางตา เค้ามองหารถ แต่ไม่เจอเลยสักค้น
เค้าจึงตัดสินใจจะข้ามถนนไป แต่ไม่รู้กรรมอะไร คนเมาขาดสติด้วยสุราขับรถเข้าซอยด้วยความเร็วสูงและไม่ได้ระวัง ทุกอย่างกลายเป็นสีขาว เสียงกรีดร้องของคนมากมาย กับโลหิตที่ไหลกระอักภายในผ่านคอออกปากอย่างทรมารจะภาพสุดท้ายที่เค้าเห็นคืนคุณแม่ที่นอนป่วยอยู่บนเตียงโดยมีคุณพ่อของเค้าจับมือให้กำลังใจคุณแม่เค้าไว้
***
“สุขสันต์วันเกิดนะน้องโจ นี้ไงplay2ที่ลูกอยากได้แม่ซื้อให้ถูกใจมัยน้องโจ”
“ขอบคุณครับคุณแม่ โจรักคุณแม่ที่สุกเลย”
เด็กชายโจอายุ12รีบกอดผู้เป็นแม่ด้วยความรัก เธอกอดแล้วลูบหัวเค้า
“เอาล่ะนั้นแม่ต้องไปแล้ว เด็กดี”
เธอทำท่ากำลังจะเดินจากไปแต่มือของเด็กชายรั้งไว้
“คุณแม่ยังไปไม่ได้นะครับ โจยังไม่ได้ให้อะไรคุณแม่เลย”
หญิงสาวหยุดและยิ้มให้เค้า
“แม่ไม่ต้องการอะไรจากลูกหรอก แค่ลูกเป็นคนดีและรู้คุณคนรู้จักเลือกทางเดินไปถูกทางได้แม่ก็ดีใจมากแล้ว”
“ไม่ได้ครับอย่างไง โจต้องให้คุณแม่ นี้คือของขวัญชิ้นสุดท้ายที่จะให้คุณแม่ได้
โจรักคุณแม่นะครับ โจขอโทษที่ทำให้คุณแม่ต้องเสียใจครับ”
สายลมสีฟ้าปกคลุมทั่วร่างเด็กน้อย กลายเป็นเด็กหนุ่มคนเดิม เค้ามองผู้เป็นแม่ด้วยความรักและโหยหา เค้ามองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเป็นฝ่ายจากไปเอง...
***
โจถูกปลุกโดยการเลียหน้าของเจ้านอฟ เค้าลุกขึ้นอย่างตกใจและมองไปรอบๆพบว่าคือห้องนอนของเค้า สงสัยคงฝันไป มันช่างเป็นฝันร้ายที่เหมือนจริง
เค้ามองเวลาอีก1ซม.วันที่เค้าสมควรจะมีความสุขตลอดปีกำลังจะจากเค้าไปด้วยความทุกข์ที่มีแทนที่แล้ว และของขวัญที่เค้าอยากได้คงไม่มีวันเป็นจริงแน่ แม้แต่เค้กก็คงไม่มี
เค้าถอนหายใจและเริ่มกลุ้มอีกครั้ง เค้าลุกจากเตียงเพื่อจะไปล้างหน้า ทันทีที่เปิดประตูห้องน้ำตาเค้าก็ไหลทันที
“Happy Birthday to you
Happy Birthday to you...
Happy Birth
day Happy Birth
day
Happy Birthday to
you
”
ตรงหน้าเค้ามีคุณพ่อคุณแม่กำลังยืนยิ้มถือเค้กซ็อกโกแลคที่เป็นเค้กวันเกิดของเค้า
มันถูกปักด้วยเทียนวันเกิดที่จุดไฟแล้ว16เล่ม มันสวยและน่ากินมากเลย
เหล่าญาติพี่น้องของเค้ากำลังประสาเสียงร้องเพลงอันไพเราะด้วยเพลงที่ขอให้เค้ามีความสุขในวันเกิดของเค้า ทุกคนต่างยิ้มและรอให้เค้าเป่าเค้ก
“พี่โจ ดีใจจนน้ำตาไหลอีกแล้ว ถูกใจมากใช่ม๊า... แต่เราเป็นลูกผู้ชายเจ้าน้ำตาแบบนี้เดียวหาแฟนไม่ได้หรอก ผู้ชายต้องเข้มแข็งสิครับ อย่างผมนี้ไง”
เจ้าลิงน้องชายที่คอยช่วยพี่ตลอดแซวด้วยความรักพี่ชายไม่ให้เค้าร้องไห้ เค้าพยักหน้ารับ
“พี่โจอธิษฐาน แล้วก็เป่าเค้กสิค่ะ ถ้าเป่าหมดในทีเดียว คำอธิษฐานจะเป็นจริงนะค่ะ”
น้องสาวที่เป็นญาติสนิทของเค้าบอก โจพยักหน้ารับและตั้งจิตอธิฐาน เค้าเป่าเค้กด้วยลมหายในทั้งหมดที่สามารถเปาออกมาได้ เทียนทุกเล่มดับลงพร้อมกับที่ทุกคนปรบมือยินดี ทุกคนต่างอวยพรและให้ของขวัญที่มีค่าที่สุดแก่เค้า มันไม่ใช่สิ่งของที่อาจซื้อด้วยเงิน แต่มันเป็นความรักความอบอุ่นและความจริงใจ ที่ทุกคนมีให้เค้า เค้าจะไม่ลืมเลย
“อาโจ อธิษฐานอะไรหรอ”
หลานชายวัย5ขวบของเค้าถามด้วยความสงสัย ซึ่งก็ทำให้น้องคนอื่นสนใจเช่นกัน
“ใช่แล้ว ปีนี้พี่โจขออะไหรอ play2อีกอ่ะเปล่าถ้าได้แล้วแบ่งหนูเล่นบ้างนะ”
น้องชายอีกคนของเค้าถาม เค้ายิ้มและส่ายหน้า เค้าตอบน้องๆเป็นด้วยรอยยิ้ม
“เป็นความลับทางราชการของโจรันนอฟคนนี้จ้า บอกไม่ได้หรอก ถ้าอยากรู้ก็หาคำตอบเอาเอง”
“โถ....พี่โจก็เอามุขนี้มาเล่นทุกปีแหละไม่ถามแล้วก็ได้”
น้องๆรักที่อยากรู้พุดเป็นเสียงเดียวกัน เค้าขำด้วยใบหน้าที่ยิ้มมีความสุข
“แล้วที่พี่โจขอจะเป็นจริงมัยค่ะ”
น้องสาวอีกคนถาม เค้าทำท่าใช้ความคิด และตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“ไม่รู้สิ บ้างทีมันก็เป็นจริง บ้างที่มันก็เป็นแค่ความฝัน ไม่ว่าจริงหรือฝันขอให้เรารับรู้แค่นี้ก็สุขใจแล้ว”
“เอาอีกแล้ว ชอบตอบไม่ได้ใจความแล้วทำให้งงทุกทีไม่อยากยุ่งกับพี่โจแล้ว”
น้องๆพูดเป็นเสียงเดียวกันอีกครั้ง เค้าหัวเราะด้วยความสุข
มันจะจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้นอกจากตัวของเค้าเอง และตอนนี้เค้าก็รู้คำตอบแล้ว
***
ณ.ห้องไอชียูในรถพยาบาลแห่งหนึ่ง ห้องผู้ป่วยที่มีญาตินับยี่สิบคนมาอำลาด้วยน้ำตาครั้งสุดท้าย โดยมีคุณแม่ที่หายจากโรคมะเร็งปอดแล้วเพราะเธอได้รับการเปลี่ยนจากลูกชายที่ขอไว้ก่อนเข้าห้องผ่าตัดว่า ให้นำปอดเค้าข้างหนึ่งไปเปลี่ยนให้แม่ ส่วนถ้าเค้าเสียชีวิตเมื่อไหร่ให้บริจาคอวัยวะต่างๆของเค้าให้แก่โรงพยาบาลเพื่อคนที่ต้องการอวัยวะ
แม่ของเค้ากอดร่างที่ไม่ได้สติของเค้าและร้องไห้แทบใจจะขาดตาม โดยมีพ่อของเค้าคอยปลอบโยนแต่ท่านก็เสียใจไม่แพ้กันที่ต้องเสียเค้าไปเช่นนี้ เหล่าญาติพี่น้องต่างพากันร้องไห้กับการเป็นตายของเค้า ในห้องที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจของการจากไปของผู้เป็นที่รัก กลับมีรอยยิ้มกับน้ำตาแห่งความปีติไหลออกที่ตาที่หลับสนิทของใครบางคน ใครบางคนที่ทำให้ทุกคนต้องมาเสียน้ำตากลับกำลังมีความสุข แม้มันแค่ความฝันแต่เค้าก็สมหวังกับคำอธิษฐานของเค้าแล้ว
เค้าขอให้ความรักและความอบอุ่นของครอบครัวคนที่รักเค้าไม่มีวันจางหาย ขอให้ทุกคนมีความสุขและมีความรักที่ยืนยาวตราบเท่าฟ้าดินสลาย ทุกครั้งที่มองขึ้นไปบนฟ้าขอให้คิดถึงและไม่ลืมความรักที่ทุกคนเคยมีต่อเค้า และเค้าจะไม่จากทุกคนไปตราบเท่าที่พวกเค้าไม่ลืมเค้า
เสียงลากยาวของชีพจรหยุดเต้นดังขึ้นให้ทุกคนรับรู้ ทุกคนต่างร้องไห้และเสียใจกับการจากไปของเค้ามากขึ้น แต่รอยยิ้มและน้ำตาแห่งความปีติของผู้จากไปนั้น
ทำให้ทุกคนที่รักเค้าสบายใจได้ว่าเค้าได้จากไปอย่างมีความสุขแล้ว
วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน มีเกิดและก็ต้องมีตาย
ขอให้คนที่อยู่จนอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข
และขอให้คนที่จากไปจงจากไปอย่างสงบและหมดห่วง
ผลงานอื่นๆ ของ จอมขี้เกียจผู้เพ้อฝัน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ จอมขี้เกียจผู้เพ้อฝัน
ความคิดเห็น