ความในใจก่อนที่ประวิติศาสตร์จะลบเลือน- DWA'53 - ความในใจก่อนที่ประวิติศาสตร์จะลบเลือน- DWA'53 นิยาย ความในใจก่อนที่ประวิติศาสตร์จะลบเลือน- DWA'53 : Dek-D.com - Writer

    ความในใจก่อนที่ประวิติศาสตร์จะลบเลือน- DWA'53

    เกียรติภูมิ...ที่กำลังจะหายไป

    ผู้เข้าชมรวม

    606

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    606

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 ก.ย. 52 / 08:51 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    เมื่อห้าสิบปีที่แล้ว สถานศึกษาเล็กๆแห่งนี้ ได้ถือกำเนิดขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ที่แห่งนี้ได้ผลิตปัญญาชนออกสู่สังคมมากมาย แล้วทำไม เราจึงยังไม่ควรภูมิใจ กับสิ่งที่เรามีเล่า ?
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      โบราณว่า ไวน์ยิ่งหมักไว้นานเพียงใด ก็จะยิ่งเพิ่มพูนคุณค่า และราคาของมัน มากขึ้นเท่านั้น...
      โรงเรียนดาวรุ่งวิทยา เป็นอีกสถานศึกษาหนึ่งบนเกาะชายฝั่งอันดามัน  ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 55 ปี เนื่องในโอกาศสุวรรณเบญจสมโภชน์คราวนี้ ผมจึงขอท้าวความถึงประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของโรงเรียนดาวรุ่งวิทยา

      ปี พ.ศ.2497 คณะมิชชันนารีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์(Stigmartin father and brother of italy) ได้เดินทางมาที่เกาะภูเก็ต เพื่อวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก และได้ก่อตั้งสถาบันการศึกษาขึ้น เช่นเดียวกับที่คณะเซนต์กาเบรียลได้ก่อตั้งโรงเรียนอัสสัมชัญ ไปก่อนหน้านั้นแล้ว โดยให้ชื่อสถานศึกษานี้ว่า "Morning Star School" หรือแปลว่า "โรงเรียนดาวรุ่งวิทยา" โดยมีพระนางมารีอา พระมารดาแห่งพระเยซูเป็นองค์อุปภัมภ์ ของโรงเรียน และมีนักบุญกัสปาร์ แบร์โทนี เป็นอธิการคนแรกของโรงเรียน

      เวลาผ่านมานานกว่าห้าสิบปี แม้ในตอนแรกนั้น โรงเรียนจะไม่มีความเสถียรภาพนัก เนื่องจากเป็นสถานศึกษาเปิดใหม่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทางผู้ปกครองเห็นแล้วว่า มิชชันนารีที่ทำการสอนอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้มีความสามารถมากพอ ไม่จำเป็นต้องส่งบุตรหลานไปเรียนไกลถึงเกาะปีนัง เนื่องจากในสมัยนั้น การเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ หรือภาษาอังกฤษในบ้านเมืองเรายังไม่ก้าวหน้านัก ทำให้ผู้มีฐานะต้องส่งบุตรหลานตนเองไปเรียนที่ประเทศนอก เพื่อให้มีความรู้มาบริหารกิจการของทางครอบครัว เมื่อได้ยินว่ามีคณะนักบวชมาเปิดทำการสอนที่นี่ จึงพาบุตรหลานของตนมาฝากเรียนเป้นจำนวนมาก ผลที่ได้รับคือ เด็กที่มาเรียนในโรงเรียนดาวรุ่งวิทยานั้น มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษสูงมาก เนื่องจากในสมัยนั้น ภาระการสอนทั้งหมด เป็นของคุณพ่อ และภราดาจากประเทศอิตาลี ทำให้การสอนทุกสาระวิชา เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เด็กนักเรียนโรงเรียนดาวรุ่งวิทยาจึงมีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษดีมาก แม้กระทั่งโรงเรียนสตรีภูเก็ต ซึ่งในขณะนั้นก็เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดอยู่ ยังเทียบไม่ติด

      แต่แล้วคราววิปโยคของโรงเรียนก็มาถึง เนื่องจากทางผู้ตรวจราชการพบว่า ทางโรงเรียนทำงบขาดดุลไป จึงทำให้ไม่โปร่งใสในการบริหารงาน จึงได้มีคำสั่งปิดโรงเรียน เป็นเวลาหลายปี ซึ่งช่วงเวลาหลายปีนี้เอง ที่ทำให้มารตรฐานของโรงเรียนต้องเสื่อมหายไป เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงเริ่ม แห่งการแข่งขันทางวิชาการในประเทศไทย ทำให้ทางโรงเรียนไม่มีศักยภาพเพียงพอ จนเมื่อโรงเรียนได้เปิดทำการ และได้รับรองวอทยาฐานะ เป็นโรงเรียนเอกชน ขึ้นตรงกับสำนักงานการศึกษาเอกชน จึงได้มีการฟื้นฟูรรมเนียม และระเบียบการต่างๆขึ้นมาใหม่ และมีการเปิดรับครูที่จบจากวิทยาลัยครู ให้มาสอนในโรงเรียน 

      หลายคนอาจจะคิดว่า จุดนี้น่าจะเป็นคราวพัฒนาของทางโรงเรียนได้บ้างแล้ว แต่กลับไม่เป้นเช่นนั้น เพราะจากวันนั้นถึงวันนี้ เป้นเวลาเกือบๆ 30 ปี มาตรฐานของโรงเรียนก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เนื่องจากเด็กหลายๆคนเริ่มจะไม่สนใจในเกีรติภูมิ แห่งสถาบัน ที่สั่งสมมานานกว่า 55 ปี และเริ่มประพฤติออกนอกลู่นอกทาง ประกอบกับคุณพ่อหลายท่าน ได้มรณะภาพไป ทำให้ประเพณีที่เป็นการหล่อหลอมจิตใจชาวขาว-น้ำเงิน ก็ได้สูญหายตามพวกท่านไปด้วย โดยพิธีกรรมที่เคยมี และเริ่มสูญหายไป มีดังนี้

      1.พิธีประดับเข็มโรงเรียน - เป็นพิธีที่จะแสดงว่า ครูทุกคน รับเด็กคนนั้น เป็นศิษย์ของตนแล้ว โดยนักเรียนชายประดับเข็มที่อกซ้ายเหนืออักษรย่อ ด.ร. นักเรียนหญิงประดับบนเนคไท เข็มดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นรูปโล่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียน แต่ปัจจุบัน ได้มีการยกเลิกไป โดยไม่ทราบสาเหตุ แต่โรงเรียนในเครือเดียวกัน เช่นอัสสัมชัญ บางรัก ยังคงมีพิธีกรรมนี้อยู่  และเข็มที่ว่านั้นปัจจุบัน ขายอันละ 55 บาทอยุ่ที่ห้องสหการโรงเรียน แต่ถ้าดุจากความสำคัญ จะเห็นเลยว่า คุณค่าทางจิตใจนั้น ต่างกัน มากมายนัก...

      2.บูมโรงเรียน - หลายคนอาจจะไม่รู้ ว่าบูมโรงเรียนคืออะไร แต่หลายๆคนอาจจะเคยทราบหรือเคยเห็นแล้ว ว่ามันคือการที่ให้คนกลุ่มหนึ่งยืนตรงกลาง ที่เหลือก็กอดคอกัน แล้วตะโกนอะไรบางอย่างใส่คนที่อยู่ตรงกลางบ้างอาจจะมีกาโยกตัวขึ้นลงตามจังหวะ หรือกระทืบเท้าด้วยเพื่อทำให้เสียงดังมากที่สุด ซึ่งพบเห็นได้มากมาย ตามสถาบันอุดมศึกษาทั่วไป  กล่าวโดยทั่วไปนั้น บูม หมายถึงการทำเสียงดัง เพื่อเรียกกำลังใจในการเชียร์กีฬาของทางต่างประเทศ อย่างที่บางคนคงเคยได้ยินเนื้อเพลง (ถ้าเกิดทัน) ว่า Boom Balaka Ha Ha Ha - Boom Ba la ka Ha Ha Ha !! จัดว่าเป็นเพลงเชียร์อย่างหนึ่ง  โดยเข้ามาในไทยผ่านโรงเรียนในเครือคาทอลิก เนื่องจากหากมีการแข่งขันกีฬา คุณพ่อจะนำเชียร์โดยมีการสั่งบูมโรงเรียน ตามที่ท่านเคยทำในต่างประเทศ โดยคาดว่า บูมที่เก่าแก่ที่สุดในไทย น่าจะเป็นบูมอัสสัม ของโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ที่มีอายุกว่า 120 ปี แล้วโรงเรียนอะไรล่ะ ที่มีบูมบ้าง สิ่งนี้ไม่อาจทราบได้แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ คือกลุ่มโรงเรียนจตุรมิตรสามัคคี (สวนกุหลาบ,เทพศิรินทร์,อัสสัมชัญบางรัก,กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย) นั้น มีอย่างแน่นอน 

      แล้วจะบูมตอนไหนล่ะ ได้หลายโอกาศนะครับ เช่น แข่งกีฬาชนะ ก่อนลงสนาม เพื่อนแข่งวิชาการชนะมา ก่อนเรียนจบ บูมรับน้อง บุมเฉยๆเอามันส์ก็ยังได้ ขอแค่เพียงเรามีความกล้า และภูมิใจในเกีรติสถาบันเท่านั้นเองครับ ไม่เกี่ยวกับว่า ด้านรึไม่ด้าน เพราะการบูมต้องตะโกนดังมากกก แต่เกี่ยวกับที่ว่า คุณ มีความกตัญญู ต่อสถานที่ ที่ให้ความรู้คุณมาก แค่ไหน คุณ กล้าที่จะทำ เพื่อดรงเรียนมั๊ย เท่านั้นเอง

      ซึ่งบูมโรงเรียน เนื้อเก่าที่สุด ที่หามาได้ ก็น่าจะเป็นดังนี้ครับ

      2 - 4 - 6 - 8  Whom do you appliciate !!

      Dowroong Dowroong   LA LA LA !!!


      เห็นมั๊ยครับ ว่าสั้นมาก สองบรรทัดเท่านั้น ง่ายกว่าจำชื่อกับเรื่องย่อนิยายเกาหลีด้วยซ้ำไป ความจริงผมก็อยากจะทำใหม่นะครับ แต่ยังคิกไมใออกเลย แหะๆ :P

      สุดท้ายนี้ ในฐานะรุ่นพี่ปีสุดท้าย ที่กำลังจะจบ ม.6 ในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ขอฝากโรงเรียนแห่งนี้ ไว้ในมือน้องๆทุกคนด้วย พี่เชื่อ ว่าลูกพ่อกัสปาร์ทุกคน ไม่ใช่คนที่ไร้ความสามารถ แต่เราใช้ความสามารถที่เรามีแล้วหรือยัง พี่หวังว่า เมื่อพี่กลับมา รั้วขาว - น้ำเงิน แห่งนี้ จะเปิดรับพี่ เหมือนทุกวันนี้ และจะไม่หายไปไหน แม่นานเท่าใดก็ตาม

      One For All ... All for One


      DWA'53_surround6.3

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×