เรื่องสั้น ไว้อาลัยแด่เพื่อนผู้พี่ที่แสนดี
เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเพื่อรำรึกถึงรุ่นพี่ที่ได้จากไปเมื่อไม่นานมานี้
ผู้เข้าชมรวม
732
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ของขวัญหลังฝนตก
“อย่าหายไปนะ อย่าจากฉันไปไหน เราอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ได้เหรอ ทำไมล่ะ ทำไมกัน”
ฝนตกอีกแล้ว
ร่างบางในขุดคลุมท่อนเดียวยาวเลยเข่า พึมพำในใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลทองหรี่ลงเมื่อเห็นสภาพรอบตัวที่ร้างผู้คน ถนนซีเมนต์ที่เปียกแฉะ และ คู่รักหวานชื่นที่เดินเคียงกันในร่มคันเดียว เธอเบือนหน้าหนีจากภาพเหล่านั้น มือบอบบางที่บีบคันร่มสีเหลืองสดแน่น ในไม่ช้าเธอก็หมดความอดทน เธอโยนร่มคันนั้นทิ้ง แล้ววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
ทำไมกัน ฉันไม่อยากเห็น ไม่อยากนึก เกลียดที่สุด ทั้งวันนี้ และก็ฝนที่ตกลงมา อย่าซ้ำเติมกันจะได้ไหม บ้าที่สุด บ้าที่สุด!!
ร่างบางวิ่งสุดฝีเท้า เธอกำลังหนี หนีภาพหลอน หนีสิ่งที่แท้ที่จริงเธอโดนมันเล่นงานไปแล้ว ขาเรียววิ่งสุดกำลัง ไม่สนใจเนื้อตัวที่เปียกฝนจนโชก ไม่สนใจถุงเท้าที่เปื้อนโคลนเป็นหย่อมๆ ไม่สนใจเรือนผมยาวหนาที่เปียกจนลู่ลงและยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เธอกรีดร้องในใจเมื่อภาพนั้นปรากฏขึ้นมา นัยน์ตาปิดสนิทด้วยความหวาดกลัว เธอจึงไม่รู้ว่าเธอวิ่งไปทางไหน ไม่รู้ว่าเมื่อไรการหลบหนีของเธอจะจบลง รู้เพียงว่า ตอนนี้สิ่งที่เป็นของเหลวอุ่นๆได้ไหลออกมาจากนัยน์ตาที่ปิดสนิทของเธอ ไหลออกมาปะปนกับสิ่งที่เรียกว่าน้ำฝนที่เย็นเฉียบ เสียงสะอื้นเบาๆหลุดลอดออกมาจาริมฝีปากบางได้รูป
ภาพผู้ชายคนหนึ่งปรากฏในห้วงคำนึง รอยยิ้มของเขาฉาบอยู่บนหน้า แต่แล้วร่างๆนั้นก็สลายหายไปในพริบตา เห็นเพียงกองไฟที่ลุกโชติช่วง เต้นระริกอยู่ตรงหน้าเธอ
ไม่เอานะ ไม่เอาแล้ว หยุดเสียที
เธอกรีดร้องในใจ และพยายามอย่างที่สุดที่จะสลัดภาพนั้นออกจากหัว แต่มันก็ไม่สำเร็จ
เธอวิ่งต่อมาอีกได้ไม่นานนัก เธอก็หมดแรง นัยน์ตาของเธอเปิดออก แล้วภาพหลอนก็ค่อยๆจางลงจนหายไปในที่สุด เธอยืนหอบอยู่หน้าตรอกแคบๆ ที่มีหลังคาของร้านค้าต่างๆเบียดเสียดอยู่ภายใน เธอจึงตัดสินใจพักเหนื่อย อยู่ในตรอกนั้น
เธอทรุดตัวลงนั่งบนพื้นซีเมนต์ ที่แห้งสนิท ใช้หลังพิงกำแพงเย็นๆของร้านอาหาร เธอชันเข่าขึ้นมากอดไว้ ใบหน้าขาวๆซบลงบนหัวเข่า ไม่ช้าไม่นาน เธอก็หลับไปในที่สุด
“โจ้ โจ้ โจ้” เสียงร้องเรียกดังเข้ามาในโสตประสาทของเด็กสาว น้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยดูเหมือนจะมาจากที่ไกลแสนไกล พร่ำเรียกหาแต่เพียงเธอผู้เดียว
“โจ้ โจ้ โจ้” เสียงนั้นค่อยๆชัดเจนขึ้น
เรื่องจริง เหรอ?
เสียงของเขา?
เป็นไปไม่ได้!!
ในขณะที่เธอ คัดค้านอยู่ในใจนั้นเอง ตาเจ้ากรรมก็ดันเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ภาพเบื้องหน้าชัดเจนขึ้นทีละน้อย ใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏสู่สายตา นัยน์ตาสีน้ำทะเลคู่งามจ้องมองมายังเธอด้วยความปลื้มปีติ ใบหน้าที่ค่อนไปทางหวานมากกว่าคมเข้ม เรือนผมสีทองสุกสว่างยังรวบเป็นหางม้าง่ายๆเช่นเคย รอยยิ้มมุมปากที่ไม่ได้เห็นมานานหลายวัน ทำให้เธอตกตะลึงจนแทบจะลืมหายใจ
“ผมนึกว่าเราจะไม่ได้เจอกันแล้ว ซะอีก”
ชายหนุ่ม กล่าวขึ้น ใบหน้ายังคงฉาบด้วยรอยยิ้ม มือหนาช้อนผมของเด็กสาวที่ระบนตักของเขาขึ้นมาปอยหนึ่ง แล้วไล้มันเบาๆอย่างชื่นชม
“ราฟ ใช่ราฟจริงๆด้วย”
เธอพูดออกมาด้วยความตกตะลึง เธอลุกขึ้นนั่งแล้วโผกอดเขาจากเดิมที่นอนหนุนตักเขาอยู่ แล้วคำพูดมากมายก็เริ่มพรั่งพรูออกมาจากปากของเด็กสาว
“นายมันบ้า นายทิ้งฉัน บ้าที่สุด บ้าที่สุด” ชายหนุ่มอมยิ้มแล้วก็อดแหย่เด็กสาวขึ้นมาไม่ได้
“ใครก็ไม่รู้น้า ตอนที่ผมยังอยู่ บอกผมว่า ไปให้ไกลๆ คอยแต่จะไล่ผมอยู่เรื่อย” พูดจบชายกนุ่มก็หัวเราะเบาๆ ส่วนเด็กสาวก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง
“ฉันขอโทษ ฉันผิดเอง ผิดเองที่ไล่นาย ผิดเองที่ไม่เคยสนใจนายเลยแม้แต่น้อย ขอโทษนะ”
ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดให้กระชับยิ่งขึ้น มือหนาลูบหลังร่างบางในอ้อมกอดอย่างปลอบโยน แต่เธอยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เขาจึงกระซิบข้างหูเธอเบาๆ
“อย่าร้องไห้สิครับ ผมรู้สึกผิดเลยรู้ไหม ที่จริงผิดที่ผมต่างหาก ถ้าเชื่อที่โจ้บอกตั้งแต่แรกคงดี”
“แต่ผมดีใจมากเลยที่ได้เจอโจ้อีก อย่าร้องไห้นะครับ การจากลาเป็นเรื่องธรรมดา อย่าโทษตัวเอง ผมไม่หวังอะไรแล้วนะ ถึงเป็นจะเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แต่ผมก็ดีใจที่ได้อยู่เคียงข้างโจ้ ได้ทำอะไรเพื่อโจ้บ้าง ผมก็มีความสุขแล้วล่ะ อย่าร้องไห้อีก อย่าโทษตัวเองอีก ไม่งั้นผมคงหลับไม่สบาย” เด็กสาวกอดชายหนุ่มแน่น เธอซบใบหน้าลงบนไหล่เขา น้ำตาไหลลงมาอีกระรอก
“อย่าพูดแบบนั้นสิ มันเหมือนกับว่า... มันเหมือนกับนายจะหายไปอีก นายจะไม่ได้อยู่กับฉันอีก อย่าไปไหนอีกจะได้ไหม อยู่ข้างๆฉันตลอดไปได้ไหม...”
เด็กสาวสัมผัสได้ถึงการจากลาอีกครั้ง การจากลาที่แสนยาวนาน การจากลาที่แสนเจ็บปวด การจากลาที่เธอไม่ต้องการแม้แต่สัมผัสด้วยเสี้ยวเล็ก ๆ ของจิตใจ เธอเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกว่าอ้อมกอดของเธอว่างเปล่า ชายหนุ่มยังอยู่ที่เดิม ในอ้อมกอดของเธอ แต่ร่างของเขาโปร่งใสลงทีละน้อย ๆ เขาค่อย ๆ เอื้อนเอ่ยวาจาออกมา
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ”
ราวกลับเวลาหยุดหมุน คำพูดของชายหนุ่มทำให้ใจของเด็กสาวแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ
“คนเรามีพบกันก็ต้องมีจากกันเป็นธรรมดา มีสุขก็ต้องมีทุกข์เป็นของคู่กัน เราได้เจอกันคราวนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว ผมกำลังจะหายไป”
เด็กสาวกัดริมฝีปากแน่น น้ำตายิ่งเอ่อออกมามากกว่าเดิม นัยน์ตาของชายหนุ่มก็มีน้ำตาเอ่ออยู่เช่นกัน น้ำตาที่เขาไม่มีโอกาสได้หลั่งก่อนการจากไปคราวนั้น น้ำตาที่เก็บไว้นาน ตั้งแต่ครั้งยังมีชีวิตอยู่ แต่กระนั้นหญิงสาวก็ไม่อาจสัมผัสมันได้ มันไหลผ่านมือของเธอไป ราวกับเป็นเพียงกลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งที่จับต้องไม่ได้ ทั้งสองมองหน้ากันอย่างลาลัยอาวรณ์ ก่อนเด็กสาวจะพูดบ้างสิ่งบางอย่างออกมา มันแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบที่ปะปนด้วยเสียงสะอื้น
“ฉันรักนาย...”
ชายหนุ่มเผยยิ้มออกมาทั้งๆที่น้ำตายังไหลไม่หยุด
“ผมดีใจที่ได้ยินคำนี้อีกครั้ง และครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้ยินมัน ขอบคุณมากครับ แล้วก็สุขสันต์วันเกิดปีที่สิบห้านะครับ ผมจะอยู่ข้างโจ้...ข้างโจ้ตลอดไป”
ร่างของชาย หนุ่มสลาหายไปอย่างรวดเร็ว เด็กสาวล้มลงไปนอนกับพื้น น้ำตายังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย แต่เธอกลับกรีดร้องออกมาแทนสะอื้นร่ำไห้ ความเจ็บปวดแล่นปราดเข้ามาที่หัวของเธอ มันร้อนผ่าว ราวกับจะปริแตกออกมา เด็กสาวใช้มือเรียวกุมศีรษะไว้ เธอหลับตาแน่นด้วยความเจ็บปวด เวลานั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงของใครบางคน น้ำเสียงหวานใสแต่แฝงด้วยความเย็นชาเต็มเปี่ยม รู้สึกเหมือนมีสายตาของใครบางคนจ้องมองลงมาที่เธออย่างสมเพช
“เวลาจงหวนกลับ”
น้ำเสียงนั้นเอื้อนเอ่ยออกมา
กริ๊ง
ทันทีที่น้ำเสียงนั้นหายไป เสียงกระพรวนก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา เด็กสาวรู้สึกเหมือนตนเองตกลงไปให้ห้วงเหว และค่อย ๆ ดิ่งลึกลงไปอย่างช้า ๆ ความเจ็บปวดค่อย ๆ หายไป เธอทิ้งแขนลงตามแรงโน้มถ่วง จิตใจของเธอผ่อนคลายลง เธอไม่สามารถขยับตัวไปมาได้ในขณะที่ร่างกายดิ่งลึกลงไป แม้แต่นัยน์ตาของเธอก็ยังไม่สามารถเปิดออกได้เลย
“เจ้าเห็นหรือยัง รู้หรือยัง ว่าเจ้ามันน่าสมเพชแค่ไหน”
น้ำเสียงเดิมเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน มันกรีดลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ แต่เธอก็ไม่สามารถแสดงอาการเจ็บปวดออกมาได้ น้ำตาที่ไหลออกมายามสะเทือนใจ ตอนนี้กลับไม่ ไหลออกมา และไม่มีเสียงสะอื้นใด ๆ เล็ดลอดออกจากปากของเธออีก ใบหน้าหวานสวยเรียบสนิท เหมือนใบหน้าของตุ๊กตาที่หลับตาพริ้ม ยามนี้เธอเหมือนตุ๊กตาที่ไร้ชีวิต ต่างกันเพียงแต่เธอสามารถรับรู้เสียงของหญิงปริศนาได้เท่านั้น
“เสียใจล่ะสิ แต่ข้าจะบอกให้ว่ามันสายไปแล้ว”
น้ำเสียงแสนเย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง ร่างบอบบางยังคงนิ่งสนิท
“เจ้าทำให้ราฟาเธียร์เป็นกังวล สุดขีดระหว่างที่อยู่บนโลกหลังความตาย”
“เจ้าทำให้เขาต้องลงทุน เสี่ยงมาหาเจ้าถึงที่นี่”
“เจ้าทำร้ายจิตใจเขา”
น้ำเสียงนั้นเว้นวรรคไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยต่อไป
“รู้ไหม ว่าสิ่งที่เขาต้องชดใช้ข้าซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้คืออะไร มันคือการหลับใหลไปตลอดกาล จะไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิดอีกไงล่ะ จะต้องอยู่ในที่แคบ ๆ เย็น ๆ ไร้ซึ่งชีวิตชีวาไปชั่วกัปชั่วกัลป์ เพียงเพราะเจ้าทำตัวงี่เง่า ไร้สาระ ไม่คำนึงถึงเขาที่อยู่บนโลกแห่งความตายว่าจะรู้สึกอย่างไรที่เจ้าประพฤติตัว เยี่ยงนี้”
น้ำเสียง นั้นเว้นวรรคไปอีกสักพักหนึ่งจึงกล่าวประโยคถัดมา
“มันผิดที่เจ้า เจ้าเพียงคนเดียว ที่ทำให้เขาต้องรับชะตากรรมเช่นนี้”
จิตใจของหญิงสาวแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ หลังจากที่น้ำเสียงของหญิงปริศนาได้เอื้อนเอ่ยประโยคนั้นออกมา น้ำตายังไหลไม่ได้เช่นเคย น้ำเสียงสะอื้นยังเปล่งออกมาไม่ ได้เช่นเคย ร่างกายยังคงเคลื่อนไหวไม่ได้ราวกับว่ามันคือร่างของตุ๊กตา
ไม่จริง
มันไม่จริงใช่ไหม
ฉันทำให้เขาต้องเดือดร้อน
เพราะฉันแท้ ๆ
เธอได้แต่กรีดร้องในใจอย่างเจ็บปวด
“เจ็บใจใช่ไหมล่ะ รู้สึกผิดใช่ไหม บางทีข้าอาจจะยอมช่วยเจ้าก็ได้นะ”
น้ำเสียงเดิมกล่าวขึ้นอีกรอบ ราวกับรู้ใจเธอ
ได้เหรอ
เธอจะยอมช่วยฉันเหรอ
เด็กสาวนึกในใจอย่างมีความหวัง แล้วเสียงเดิมก็ตอบกลับมา
“ได้สิ ถ้าเจ้ายอมทำตามที่ข้าบอกนะ แล้วข้าจะยกเว้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องแบกรับ”
จริงเหรอ
ฉันจะทำ
อะไรก็ได้ ถ้าเพื่อเขาแล้ว
ฉันจะทำ!
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงมาเป็นตุ๊กตารับใช้ของข้า”
ตุ๊กตารับใช้อย่าง นั้นเหรอ
แบบที่ ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ใช่ไหม
“ใช่แล้ว แบบนี้แหละ เพียงแต่ว่าเจ้าต้องทำงานรับใช้ข้าชั่วกัปชั่วกัลป์ เพื่อตอบแทนที่ข้าจะช่วยให้เขาอยู่รอด ขอบคุณข้า แล้วเรียกข้าว่านายท่านเสียสิ นางตุ๊กตารับใช้”
ขอบคุณมากค่ะ...นายท่า..
“ยมทูต! เจ้าอย่าชักจูงจิตใจของนางให้ดิ่งลงในทางมืดสิ”
เสียงกึ่งตะคอกอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดกับข้อความ ในใจของเด็กสาวพอดิบพอดี
“ข้าสั่งเจ้าให้พานางกลับไปส่งที่เดิม ไม่ใช่ให้เจ้ามาทำเรื่องแบบนี้ เจ้าจะโดนโทษเพิ่ม ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งของข้าผู้เป็นนาย รีบๆหายตัวไปรับการลงทัณฑ์เสียสิ มามัวยืนนิ่งอะไรอยู่อีก!!”
น้ำเสียงท้ายประโยคของผู้มาใหม่กลายเป็นน้ำเสียง ตะคอก จากนั้นเด็กสาวก็รู้สึกว่าตนเองถูกประคองไว้โดยใครบางคนไม่ให้ร่างของเธอ ดิ่งลึกลงไปอีก
“ไม่ต้อง ห่วงแล้วนะ โจเอลเลีย เราจัดการกับยายนั่นเรียบร้อยแล้ว เฮ่อ นึกไม่ถึงเลยแฮะว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้”
น้ำเสียงนั้นฟังดูชัดขึ้น และดูคุ้นหูเด็กสาวอยู่ไม่น้อย แต่ที่สำคัญหล่อนรู้จักชื่อเต็มของเธอได้อย่างไรกันนะ
“เอาล่ะ เราจะพาเธอไปนั่งดื่มชาเสียหน่อย เรามีอะไรจะบอกเธอด้วย ตอนนี้ขอให้อยู่เป็นตุ๊กตาไปอีกพักหนึ่งแล้วกัน ถึงบ้านเราเมื่อไร เดี๋ยวเราถอนมนต์ให้”
เด็กสาวนิ่งไปเพราะทำอะไรไม่ถูก เธอจึงทำเหมือนกับหลับไป แต่แท้ที่จริงแล้วเธอรู้สึกตัวตลอดเวลา รู้สึกว่าตนเองเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยไม่ต้องเดินเอง
ผ่านไปราวสิบนาที ร่างของเธอหยุดเคลื่อนไปด้านหน้า เธอถูกจัดให้นั่งลงบนเก้าอี้ เธอค่อยๆได้ยินเสียงนก ละเสียงคลื่นทะเลตามมาเป็นลำดับ ร่างกายของเธอยังคงแข็งทื่อ ไม่สามารถขยับได้เองเหมือนเคย ครู่หนึ่งมือของหญิงสาวก็วางลงบนไหล่ทั้งสองข้างของเธอ เธอรู้สึกผ่อนคลายลง ร่างกายอบอุ่นขึ้น จากเมื่อครู่ที่รู้สึกเย็นเยียบ ในไม่ช้าเธอก็ขยับนิ้วได้ และกลับมาแสดงสีหน้าได้เหมือนเดิม เธอยิ้มกว้างอย่างขอบคุณ
“ลืมตาเสียสิโจเอลเลีย ตอนนี้เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วนะ”
เด็กสาวกระพริบตาถี่ ๆ แล้วค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นทีละน้อย ภาพที่ปรากฏสู่สายตาของเธอคือสวนหย่อมเล็กๆที่ตั้งอยู่หลังบ้านไม้ชั้นเดียว หลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ริมเนินเขา ซึ่งด้านล่างเป็นชายหาดสีขาวสะอาดตา น้ำทะเลสีฟ้าครามยาวสุดลูกหูลูกตา เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังมากระทบหูของเธอเป็นระยะ ๆ เคล้ากับเสียงนกที่กำลังร้องเพลง ทำให้ที่นี่เป็นเหมือนสรวงสวรรค์
โต๊ะน้ำชาของพวกเธอตั้งอยู่ตรงบริเวณที่สามารถ เห็นหาดทรายได้พอดิบพอดี เด็กสาวเบือนหน้ากลับมามองผู้ที่นั่งสนทนาตรงข้ามเธอ เธอสะดุ้งอย่างตกใจเล็กน้อย ในใจเพียรค้านในสิ่งที่คิดอยู่ตอนนี้
เป็นไปไม่ได้น่า
จะเป็นอย่างนั้นได้อย่าไรเล่า
เธอจ้องหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่วางตา แทบทุกอิริยาบถที่เธอกำลังรินชา หญิงสาววางถ้วยชาลงตรง หน้าเธอ นัยน์ตาของเด็กสาวกระตุกวูบหนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวอีกคนซ้อนทับกับใบหน้าของหญิงสาวเบื้องหน้า ใบหน้าของทั้งสองคนซ้อนทับกันได้พอดิบพอดี จนเรียกได้ว่าเป็นคนเดียวกันเลยก็ว่าได้
“เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ จ้องหน้าเราอยู่นานแล้ว”
หญิงสาวเบื้องหน้าเอ่ยถามขึ้นหลังจากเห็นว่าเด็กสาวจ้องหน้าตน เองอยู่เกือบนาที เด็กสาวหลบสายตา แล้วกล่าวอย่างเขิน ๆ ว่า
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คิดว่าพี่หน้าตาเหมือนพี่สาวของโจ้ที่ตายไปเมื่อสี่ห้าปีก่อนน่ะค่ะ”
หญิงสาวเผยรอยยิ้มบาง ๆ แล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ เป็นรอยยิ้มที่เด็กสาวรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก
“เหรอจ๊ะ เหมือนแค่ไหนกันล่ะจ๊ะ”
หญิงสาวถาม นัยน์ตามีแววขี้เล่นอยู่ในที
“เหมือนมากเลยค่ะ หน้าตาก็เหมือน น้ำเสียงก็เหมือน เวลายิ้มก็คล้าย ๆ กับที่พี่สาวโจ้ยิ้มด้วย”
เด็กสาวตอบออกมาตามความรู้สึกของเธอ สุดท้ายเธอก็กว่าวออกมาว่า
“แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ พี่สาวโจ้ตายไปแล้วนี่นา ป่านนี้ก็คงจะไปเกิดแล้ว”
หญิงสาวยิ้มอย่างนึกเอ็นดูเด็กสาวเบื้องหน้า เธอจึงกล่าวต่อไปว่า
“นั่นสิจ๊ะ เราคงบังเอิญหน้าตาเหมือนพี่สาวโจ้เท่านั้นเอง เอ้า รีบจิบชาสิจ๊ะ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”
เด็กสาวทำหน้าตาเหลอหลา เมื่อเห็นถ้วยชาที่ยังไม่ได้แม้แต่สัมผัสมันสักครั้งเดียว เธอรีบคว้ามันมาจิบ แต่แล้วเธอก็ดื่มรวดเดียวจนหมด เพราะกลิ่นที่หอมของมัน และรสชาติที่กลมกล่อมของใบชา เธอวางแก้วลงหลังดื่มหมดแล้ว พร้อมกับเอ่ยชมหญิงสาวเบื้องหน้า
“พี่ชงชาเก่งจริง ๆ รสชาติดีมากเลยค่ะ”
หญิงสาวเบื้องหน้ายิ้มรับคำชม แต่เธอก็กล่าวปฏิเสธออกมา
“เราไม่ได้ชงเอง หรอกจ้ะ แม่บ้านของเราเป็นคนชง แต่เราก็เป็นคนสอนเค้าให้ใช้สูตรนี้ล่ะจ้ะ”
“เหรอคะ ยังไงพี่ก็เก่งอยู่ดีนั่นล่ะค่ะ ที่สอนแม่บ้านได้”
หญิงสาวยิ้มรับคำชม แล้วกล่าวขอบคุณออกมา เด็กสาวเผยยิ้มออกมาอย่างสดใส
“เอ่อ พี่ชื่ออะไรหรือคะ คุยกันมาตั้งนาน ยังไม่รู้จักชื่อพี่เลย”
หญิงสาวหัวเราะออกมา เธอขำที่เด็กสาวเพิ่งจะมาถามเอาตอนนี้ อันที่จริงแล้วเธอก็ลืมแนะนำตัวไปเสียสนิท
“พี่ชื่อเจสสิการ์จ้ะ เรียกเจสก็ได้”
“เอ๋เหรอคะ ชื่อขึ้นต้นด้วยตัวเจเหมือนพี่สาวโจ้เลย เธอชื่อเจนิวาน่ะค่ะ”
“เอ๋เหรอจ้ะ บังเอิญจังเลยนะ”
ทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมกัน ทันทีที่หยุดหัวเราะได้ เจสสิการ์ก็ถามโจเอลเลียต่อไปว่า
“แล้วพี่สาว โจ้เป็นคนยังไงหรือจ๊ะ”
เด็กสาวยิ้มออกมา เมื่อนึกย้อนไปในอดีต เธอเริ่มเล่าเรื่องของเธอกับพี่สาวให้หญิงสาวฟัง
“พี่เจนเป็น คนใจดีมากเลยค่ะ ตอนเด็กๆเราอยู่ด้วยกันเสมอ คอยแชร์ความรู้สึกซึ่งกันและกัน เราทำทุกอย่างด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยมาก แต่วันหนึ่งพี่เค้าก็เหมือนมีเรื่องปิดบัง ถามว่ามีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า พี่เค้าก็ปฏิเสธตลอดเลย วันต่อมา โจ้ตื่นมาแต่เช้า พี่เจนยังไม่ตื่น จนสายแล้วก็ยังไม่ตื่น โจ้เข้าไปปลุก พี่เขาก็ไม่ตื่น และพี่เค้าก็ไม่มีวันที่จะตื่นขึ้นมาอีก หมอบอกว่าพี่เข้าตายแล้ว แต่หาสาเหตุไม่ได้”
นัยน์ตาของเด็กสาวฉายแววเศร้า ขึ้นมา แต่เธอก็เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้งเพื่อกลบเกลื่อนมัน
“บางทีเค้า อาจจะไม่อยากตายก็ได้นะ”
หญิงสาวก้มหน้าก้มตากล่าวขึ้นหลังจากฟังเรื่องที่ เด็กสาวเล่าจนจบ
“การจากไป โดยไม่ได้ล่ำลานี่น่าเศร้าใจเนอะ แต่บางทีมันอาจจะเป็นเหตุสุดวิสัยก็ได้”
“ไม่มีใครอยากตายหรอกนะคะ”
เด็กสาวกล่าวขึ้นมาลอย ๆ
“นั่นสิเนอะ เรานี่พูดอะไรแปลก ๆ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้ม แล้วหัวเราะ เด็กสาวยิ้มแล้วหัวเราะตาม
หลังจากหยุดหัวเราะได้แล้ว หญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“เรื่องของราฟาเธียร์เราจัดการให้ แล้วนะ เราส่งเขาไปในที่ของเขาแล้วล่ะ เธอไม่ต้องกังวลแล้วนะ เดี๋ยวสักครู่เราจะสร้างประตูเชื่อมให้เธอกลับไปที่เดิมแล้วกัน”
เด็กสาวยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ หญิงสาววาดมือไปในอากาศ ประตูบานหนึ่งปรากฏขึ้น เธอเปิดประตูให้เด็กสาวก้าวข้ามไป ก่อนจะจากลากันโดยถาวร หญิงสาวก็กล่าวขึ้นส่งท้ายว่า
“ขอบคุณที่มาดื่มชาคราวนี้นะ อยู่ที่นั่นอย่าทำตัวหงอยเหงาอีกล่ะ อย่าโทษตัวเองเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย แล้วก็รักษาสุขภาพให้ดี จำไว้หนึ่งอย่าง ถ้าหากราฟาเธียร์กับตัวเธอมีความสัมพันธ์กันอยู่ ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องพบเจอกันอีกครั้งแน่ อ้อ แล้วก็สุขสันต์วันเกิดปีที่สิบห้านะ ขอให้มีความสุขมากๆ ลาก่อน”
“ขอบคุณค่ะพี่ พี่ก็รักษาตัวด้วยนะคะ ลาก่อนค่ะ”
เด็กสาวยิ้มส่งท้ายแล้วเดินหายเข้าไปในประตู เมื่อบานประตูปิดลง เสียงถอนหายใจยาวของหญิงสาว ก็ดังขึ้น
“เป็นอย่าง ไรบ้างคะท่านเจนิวา”
เสียงหญิงสาวอีกคนดังขึ้นเบื้องหลังของหญิงสาว เธอถอนหายใจแล้วหันไปตอบกลับว่า
“อืม เสียดายน่ะสิ เมซ”
หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเซ็ง ๆ ผู้ที่ถูกเรียกว่าเมซจึงนั่งลงตรงข้ามกับเธอ
“แล้วทำไมไม่บอกความจริงกับเธอล่ะ คะ”
หญิงสาวถอนหายใจอีกรอบ เธอยักไหล่ แล้วตอบสาวรับใช้ไปว่า
“เธอก็ลองคิดดูสิเมซ ถ้าโจ้รู้ว่าฉันคือพี่สาวของเธอ โจ้จะทำยังไง”
“ก็คงต้องไม่ยอมกลับไปที่เดิมแน่ ๆ เลยค่ะ”
เจนิวาพยักหน้ารับเนือยๆ
“อืม ถูกต้อง เธอต้องอยู่ที่นี่ไม่ยอมกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมแน่ ๆ”
หญิงสาวฟุบลงกับโต๊ะอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะกล่าวต่อไป เรื่อยๆ
“จริงๆก็น่า เสียดายอยู่หรอก อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งที ไม่ได้มีโอกาสง่ายๆด้วย แต่ว่านะได้เจอก็ดีใจแล้วล่ะเนอะ”
หญิงสาวเผยรอยยิ้มออกมาหลังกล่าวประโยคจบ
“ค่ะนายท่าน”
“แล้วที่สำคัญฉันให้ของขวัญวัน เกิดโจ้ไปด้วย ไม่รู้ว่าจะได้รับเมื่อไร”
“ให้อะไรไปหรือคะ”
เมซทำท่าอยากรู้อยากเห็น เจนิวาเผยยิ้มออกมา
“อยากรู้ใช่ไหมล่ะ เลื่อนเก้าอี้มาทางนี้สิ”
เจนิวาชักชวนให้เมซมานั่งข้าง ๆ เมื่อเธอมาแล้ว เจนิวาก็เสกลูกแก้วออกมา เธอตั้งมันไว้บนโต๊ะ ให้เมซเห็นด้วย จากนั้นเธอก็เริ่มท่องคาถา ไม่นานนักภาพถนนสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนลูกแก้ว
“สงสัยเราต้องรอดูกันต่อไป ตอนนี้ที่โน่น ก็คงจะสว่างแล้ว”
“ค่ะ ฮิฮิ”
สองสาวหัวเราะและจับจ้องลูกแก้วกลมๆไม่วางตา เพื่อรอดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ราฟ นายอยู่ไหนน่ะ”
“ราฟ ราฟ ได้ยินแล้วตอบฉันด้วย”
เด็กสาวตะโกนตามหาชายหนุ่มในอุโมงค์มืด ๆ เทียนไขในมือเป็นเพียงแสงเดียวที่เธอมีอยู่ขณะนี้ สักพักหนึ่งก็มีเสียงตะโกนเรียกเธอดังออกมาทางด้านขวาของอุโมงค์
“โจ้ ฉันเจอเขาแล้ว!!” เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้น เด็กสาวรีบเดินตามเสียงนั้นไปทันที สิ่งที่เธอเห็นคือร่างของ ชายหนุ่มที่เธอตามหา เขากำลังนอนสลบไม่ได้สติอยู่บนพื้นเย็น ๆ เธอเห็น เลือดสด ๆ ไหลซึมย้อมลงบนเสื้อเชิ้ตของเขา เธอวิ่งรี่เข้าไปหาร่างนั้น เขา หายใจรวยรินเต็มที แต่เธอก็พยายามทำทุกวิถีทางให้เข้าได้สติ ขึ้นมา
“ราฟ ราฟ ตื่นสิ” เธอเรียกชื่อเค้าแล้วตบแก้มเขาเบา ๆ ชายหนุ่ม ยังคงนอนนิ่งไม่รู้สึกตัว
“ราฟ ราฟ ตื่น” เธอเรียกชื่อเค้าแล้วสะกิดที่บ่าของเขาเบา ๆ ด้วยมือที่สันระริก ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกได้ว่ากำลังจะเสียเขาไป ทำให้เธอหลั่งน้ำตาออกมา และส่งเสียงสะอื้นเบาๆ ทันใดนั้นเอง ร่างที่นอนอยู่ก็ค่อย ๆ ขยับตัว แล้วเปิดนัยน์ตาขึ้น
“โจ้..” เขาเรียกชื่อเธอเบา ๆ เด็กสาวปล่อยโฮออกมา เธอเอื้อมมือไปจับมือเขาเบา ๆ เขาบีบมือเธอกลับมาอย่างปลอบใจ
“ฉันจะไปตามพี่โมคกับพี่ซานมา นายรออยู่ที่นี่กันสองคนนะ”
เด็กสาววิ่งจากไปด้วยความเร็วผิดกับอุปนิสัยยามปกติ ไม่นานนัก เธอก็กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มที่มีเค้าโครงหน้าคล้ายคลึง กับเธอ และหญิงสาวร่างสูงระหงสง่างามอีกคนหนึ่ง ทั้งคู่รีบทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ร่างของราฟาเธียร์ หญิงสาวผู้ มาใหม่ถอนหายใจ นัยน์ตาสีอำพันคู่สวยของเธอดูเป็นกังวล ไม่ต่างอะไรกับชายหนุ่มอีกคนที่มีความวิตกกังวลฉายบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด
“ถอดเสื้อเขาออกหน่อยสิโจ้”
หญิงสาวที่รับหน้าที่หมอจำเป็นกล่าว เด็กสาวหน้าแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยอมทำตามที่รุ่นพี่สั่งโดยดี
เสื้อเชิ้ตถูกถอดออกเผยให้เห็นร่างกำยำของชาย หนุ่ม ไหล่ทั้งสองข้าของเขาเป็นแผลเหวอะ นี่คงเป็นสาเหตุให้เสื้อเชิ้ตของเขาเปียกชุ่มด้วยเลือด แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือรอยที่คล้ายกับรอยสักรูปดอกไม้สี ม่วงดอกใหญ่กลางหน้าอกของเขา ทุกคนกำลังเหมือนเจอ ฝันร้ายที่ไม่คาดฝัน
“ใช่อย่าง ที่คิดไว้จริงด้วย เขาโดนพิษมนตร์ดำเล่นงานสินะ งานนี้คงต้องเสี่ยงกันดู ก่อนอื่นต้องรีบปิดแผลบนไหล่นั่นก่อน”
หมอหนุ่มจำเป็นกล่าว แล้วลงมือร่ายเวทมนตร์ปิดปากแผลบนไหลของร่างที่นอนอยู่บนพื้น
“จากนั้นคงต้องใช้วิธีนี้... ซานเธอถ่ายมนตร์ขาวลงไปในร่างของเขาหน่อยนะ เดี๋ยวฉันจะลองดูดมนตร์ดำที่อยู่ในร่างเขาออก น่าจะยื้อไปได้สักระยะ แล้วค่อยๆหาทางแก้พิษเอาละกัน”
“ตกลง”
ทั้งคู่ลงมือตามแผนที่วางไว้ แต่ทว่าหลังจากนั้นครู่หนึ่งเจ้าของร่างนั้นกลับกล่าวขัดขึ้นมา
“ไม่ต้องทำหรอกครับ...ผมคง...ทนไม่ไหวอีกต่อไป แล้ว”
เขากล่าวติด ๆ ขัด ๆ ที่มุมปากของเขา มีเลือดจำนวนหนึ่งไหลออกมา แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการช่วยเหลือของรุ่นพี่ทั้งสองคน เลยแม้แต่น้อย
“ไม่ได้ ขอให้เราลองดูอีกสักพัก แล้วนายจะต้องดีขึ้นเชื่อฉันสิ”
ชายหนุ่มที่ดูดมนตร์ดำออกจากร่างเบื้องหน้ากล่าว อย่างไม่ยอมแพ้
“ขอบคุณพี่ ๆ มาก...แต่...แต่ว่า...เวลาของผมใกล้หมดลงแล้ว”
“หยุดพูดเถอะน่า รีบ ๆ หายแล้วมาป่วนชีวิตฉันต่อสิ”
เด็กสาวที่นั่งหลบอยู่หลังพี่ชายมาตลอด กระเถิบตัวออกมานั่งข้าง ๆ ร่างที่นอนอยู่บนพื้น เธอก้มหน้ากล่าวออกมา ด้วยน้ำเสียงที่สุดจะทน หยดน้ำใส ๆ ไหล ทะลักออกมาจากนัยน์ตาสีน้ำตาลทอง ทำไมกันนะ ทำไมเธอต้องเจอ แต่เรื่องแบบนี้
“ไมเอาน่าครับโจ้...ผมไม่อยากเห็น...โจ้ร้องไห้ นะ แล้วก็...ผมคง...อยู่ต่อไปไม่ได้...แล้วล่ะ ครับ”
ได้ยืนดัง นั้นเส้นอารมณ์ของเด็กสาวก็ขาดผึงลงทันที
“คำก็ไม่ได้ สองคำก็ไม่ได้ แล้วที่นายพูดว่าจะรอฉันจน กว่าวันที่ฉันจะพร้อม นายโกหกฉันใช่ไหม”
เด็กสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่กะโกนออกมาด้วยน้ำเสียง สั่นเครือแฝงด้วยความเจ็บปวด มือบอบบาง กำหมัดแน่นอย่างปวดใจ ไหลบางสั่นสะท้านตามแรงสะอื้น
“โจ้ครับ...ไม่มีใคร...อยู่ค้ำฟ้า...หรอกนะครับ”
น้ำเสียงของ ชายหนุ่มแหบแห้งอย่างคนไร้เรี่ยวแรง มันแผ่วเบามาก แต่กระนั้นทุกคนก็ยังได้ยิน
“สุดท้าย...ทุกคน...ก็ต้อง...หายไปจาก...โลกแห่งนี้”
เงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง หมอหนุ่มก็ถอนหายใจพลางกล่าวออกมาว่า
“เค้าพูดถูกแล้วล่ะ พี่ช่วยอะไรเขาไม่ได้จริง ๆ เราวางมือเถอะ ปล่อยให้เขาได้ตายสงบ ๆ”
ชายหนุ่มผู้พี่กล่าว เขาวางมือจากการรักษาชายหนุ่มเบื้องหน้า หญิงสาวอีกคนหนึ่งก็ทำเช่นกัน
“อะไรกัน...”
เด็กสาวมองรุ่นพี่สองคนอย่างหมดหวัง
ชายหนุ่มผู้พี่แตะบ่าน้องสาวอย่างปลอบใจ เธอร้องไห้ไม่หยุด แต่เสียงสะอื้นของเธอนั้นเบามาก
ร่างที่ใกล้จะถึงวาระสุดท้ายเต็มทีเบือนหน้ามาหารุ่นพี่ ทั้งสองแล้วกล่าวขอร้องออกมา
“ขอผม...อยู่กับโจ้สองคนนะครับ”
รุ่นพี่ทั้งสองพยักหน้ารวมทั้งชายหนุ่มอีกคนด้วย พวกเขาเดินออกจากที่นั่นไป ทิ้งให้เด็กสาวอยู่กับชายหนุ่มอีกคนเพียงลำพัง
“โจ้นอนลงข้าง ๆ ผมสิครับ”
ชายหนุ่มกล่าวพยายามเต็มที่เพื่อไม่ให้น้ำเสียขาด ห้วง
เด็กสาวเงย หน้าขึ้นเช็ดน้ำตาออก แล้วนอนลงข้างกายเขา ชายหนุ่มยิ้ม แล้วค่อยๆเอ่ยบางอย่างออกมา
“โจ้มองดู...ตรงนั้นสิครับ”
เขากล่าวพลางชี้ไปยังช่องระบายอากาศเล็ก ๆ บนเพดานอุโมงค์ด้วยมือที่สั่นเทาแทบจะยกไม่ไหว
เบื้องหลังลูกกรงเหล็ก นั้นคือท้องฟ้ายามใกล้รุ่งที่ยังคงมีดวงดาวทอแสงระยิบระยับ
“ผมกำลังจะ...เป็นดาวพวกนั้น”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง แหบแห้ง และขาดเป็นห้วง ๆ
“ผมขอ อะไร...หนึ่งอย่างได้ไหมครับ”
ชายหนุ่มฝืนกล่าวต่อไป ทั้ง ๆ ที่อยากพักผ่อนเต็มที
เด็กสาวพยักหน้า พยายามอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“...บอกรักผมที”
เด็กสาวไม่ อาจข่มกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป มันไหลเอ่อออกมาอีกครั้ง น้ำตาแห่งการจากลา น้ำตาแห่งความอาวรณ์ น้ำตาที่เธอไม่อยากจะหลั่งมันออกมา ณ เวลานี้
“ฉัน...รักนาย”
เธอกล่าวเสียงเบาจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ แล้วกล่าวทวนซ้ำอีกครั้ง
“ฉันรักนาย ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วันกี่เดือนหรือกี่ปี...ฉันก็จะยังคงรักนาย!!”
หญิงสาวตะโกนออกมาสุดเสียง และปิดท้ายด้วยเสียงสะอื้น
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่ม กล่าวเบา ๆ เขาปิดเปลือกตาลงช้าๆ และทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ตราตรึงในใจของเด็กสาวก่อนที่จะจากลาไปตลอดกาล
“สิ่งที่ผมเชื่อ...ว่าจะยังคง อยู่...คือ...ตัวผม...ที่จะอยู่ในความ ทรงจำของโจ้...ตลอดไป”
หลัง จากกล่าวประโยคนี้ออกมาแล้ว ลมหายใจของเขาก็สิ้นสุดลง ร่างกำยำค่อย ๆ เลือนหายไป โดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย
“ไม่จริง...”
หญิงสาวพึมพำออกมาเบา ๆ
“นายทิ้งฉัน...”
“นายผิดสัญญา”
“นายมันบ้า สุดท้ายก็หลอกลวงให้ฉันหลงเชื่อ ลอกให้ฉันหลงรัก บ้าที่สุด บ้าที่สุด!!”
เฮือก
เด็กสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอนั่งอยู่ในตรอกเดิม แต่นี่ก็เช้าวันใหม่แล้ว เธอพยายามสลัด ความรู้สึกที่มีต่อฝันนั้นออกไปเสียสิ้นด้วยการหาวแล้วบิด ขี้เกียจตามความเคยชิน
หลับไป ยาวเลยแฮะ น้ำท่าก็ไม่ได้อาบ สถาบันก็ไม่ได้กลับ ป่านนี้อาจารย์คงหาเราทั่วแล้วมั้ง แถมยัง ฝันในเรื่องที่ไม่อยากจะจำอีก เอ้อ แต่วันนี้วันหยุดนี่นา ไปหาอะไรทำแก้เซ็งแล้วค่อยกลับไปที่สถาบันดีกว่า
เธอคิดในใจ จิตใจเริ่มเบิกบานขึ้นบ้าง
หาหนังสืออ่านเล่นดีกว่า
คิดได้ดังนั้น เธอจึงเดินออกจาก ตรอก แล้วตรงไปยังร้านหนังสือทันที
ตอนนี้เธอพักและเรียนหนังสืออยู่ที่สถาบันวิจัยแห่งหนึ่ง พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตในสงครามพร้อมกับญาติพี่น้องคนอื่น ๆ เธอจึงถูกส่งตัวข้ามมิติมาอยู่อาศัยที่นี่ จากเดิมที่เคยอยู่ในมิติที่มีเวทย์มนตร์ เด็กหลาย ๆ คนก็พบชะตากรรมเช่นเดียวกับเธอ และทุกคนก็ถูกส่งมาที่สถาบันนี้ เช่นกัน เธอจึงมีเพื่อนร่วมชะตากรรมหลายคน หนึ่งในนั้นคือราฟาเธียร์ รุ่นพี่ที่ไม่ยอมให้เธอเรียกว่าพี่ เธอกับเขาสนิทกันมาก จนวันหนึ่งเขาก็บอกรักเธอ เธอปฏิเสธเขาทันที แต่เขาก็ยังคงตามตื้อเธอไม่เลิก เขาเป็นคนดีมาก แต่เธอไม่อยากรั้งตัวเขาไว้ เพราะเธองานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาว่างให้เขาในช่วงหลัง ๆ สุดท้ายเขาก็ตายโดยที่เธอไม่ได้ตอบแทนอะไรเขาสักอย่าง มันคือเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกผิดมากมาจนถึงเวลา นี้
หลังจากที่ จ่ายเงินค่าหนังสือแล้ว เธอก็เดินไปนั่งที่ม้านั่งข้างถนนก่อนหน้าร้านหนังสือไปราวสองช่วงตึก ในขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสืออยู่นั้นเอง ก็มีเสียงใครบางคนเรียกเธอให้ตื่นจากภวังค์
“ขอโทษนะครับ ร้านหนังสือที่ใกล้ที่สุดไปทางไหนครับ”
เด็กสาวที่นั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ชะงัก การอ่านนิดหนึ่ง ก่อนตอบโดยไม่ละสายตาจากหน้าหนังสือไปว่า
“เดินไปตามถนนเจอหัวตึกเมื่อไรให้ เลี้ยวขวา จากนั้นเดินไปเรื่อยๆก็จะเห็นร้านหนังสือเองค่ะ”
เธอไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมาสบตาชายหนุ่มที่เข้ามา ถามเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาลังเลที่จะถามเธอในอีกเรื่องหนึ่ง
“เอ่อ...”
เข้าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี จึงยืนอึ้งอยู่พักหนึ่ง
“มีอะไรก็ว่ามาเถอะค่ะ มัวแต่เอ่ออ่า ฉันจะรู้เรื่องที่คุณอยากถามได้อย่างไร”
ชายหนุ่มเกาท้ายทอยแกรก ๆ แก้เก้อ แล้วถามเด็กสาวไปว่า
“ไม่รู้ว่า ผมจำคนผิดหรือเปล่านะครับ แต่เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”
ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าแล้วกล่าวออกมาจนได้ เด็กสาวก้มหน้านิ่ง สายตายังคงอยู่ที่หน้าหนังสือ แต่ถ้าหากสังเกตดี ๆ จะรู้ว่าเธอไม่ได้อ่านมันอีกต่อไปแล้ว
“ฉันจะไปรู้จักคนที่สวนกันข้างถนน อย่างคุณได้อย่างไรกันละคะ อีกอย่างเราเพิ่งคุยกันเมื่อตะกี้”
ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วหันหลังให้เด็กสาวที่ยังคง นั่งก้มหน้า มือไม้ของเธอตอนนี้แทบคุมอาการสั่นไม่อยู่
“โจ้คงไม่ยกโทษให้คนอย่างผมอีก แล้วสินะครับ”
ชายหนุ่มพึมพำเบา ๆ อย่างผิดหวัง โดยไม่เห็นเลยว่าเบื้องหลังเขาเด็กสาวกำลังบีบขยี้หนังสือจนยับยู่ยี่ หยาดน้ำใส ๆ จำนวนมากหยดเผาะลงบนหน้าหนังสือ
“มันคงสายไปสำรับการที่ ผมจะแก้ตัวแล้วสินะครับ”
หญิงสาวไม่ตอบ และพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเต็มที่เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มได้ยิน
“เราไม่มีวันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ใช่ไหมครับ”
ชายหนุ่ม ตั้งคำถามขึ้นมา โดยไม่ทันได้คิดเด็กสาวก็รีบตอบกลับไป
“ไม่ ฉันไม่มีวันยกโทษให้คนที่ทิ้งฉันอย่างนาย!”
กว่าเธอจะรู้ว่ากล่าวอะไรลงไปมันก็สายไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มถอนใจแล้วกล่าวบางอย่างออกมา
“งั้นผมคงต้องขอโทษที่มารบกวนนะครับ ผมไปล่ะ”
เขากล่าวก่อนจะเดินจากไปอย่างผิด หวัง
“เดี๋ยว!”
หญิงสาวตะโกนรั้งเขาเอา ไว้ เขาหยุดเดินโดยไม่หันหลังกลับมา
“ถึงฉันจะยกโทษให้นายไม่ได้ แต่จำได้ไหมว่าฉันรักนาย!”
เด็กสาวตะโกนออกมา ชายหนุ่มเผยยิ้มออกมาโดยไม่ให้หญิงสาวเห็น แล้วกล่าวต่อไปว่า
“งั้นเห็นทีเราคงต้องไปกินข้าวด้วยกันหน่อย เพื่อปรับความเข้าใจอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง”
เด็กสาวยิ้มออกมาทั้งน้ำตาแล้ววิ่งมา เกาะแขนชายหนุ่ม ทั้งคู่เดินเคียงกันไปบนถนนที่ทอดยาวอย่างมี ความสุข โดยที่ไม่รู้เลยว่ายังมีนัยน์ตาอีกสองคู่จ้องมองพวกเขา อยู่ เจ้าของนัยน์ตาทั้งสองคู่นั้นกำลังยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อเห็น ภาพเบื้องหน้าผ่านทางวัตถุลูกกลมๆ
ต่อจากนี้ นับตั้งแต่วินาทีนี้ เขาและเธอจะต้องเดินไปบนเส้นทางของความสุขแน่ ๆ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคแบบไหน พวกเขาก็ไม่หวั่นเกรง เพราะพวกเขาจะมี ‘กันและกัน’ ตลอดไป
ผลงานอื่นๆ ของ ไต้สู่จัง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ไต้สู่จัง
ความคิดเห็น