++ Vampire And Angel ++ - ++ Vampire And Angel ++ นิยาย ++ Vampire And Angel ++ : Dek-D.com - Writer

    ++ Vampire And Angel ++

    มันเป็นเรื่องที่เราเอามาลงอีกทีนะ ยังไงใครอ่านแล้วก็ขอโทดด้วย แต่ใครยังไม่ได้อ่าน ก็เข้ามาอ่านนะค่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    396

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    396

    ความคิดเห็น


    7

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 เม.ย. 49 / 22:13 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      แวมไพร์ถูกพระเจ้าสาปแช่งเอาไว้ว่า ต้องดูดเลือดมนุษย์เพื่อประทังชีวิต
      และไม่สามารถที่จะเห็นพระอาทิตย์ได้ ถ้าแสงแดดส่องกระทบโดนตัวเขา
      เขาก็จะกลายเป็นเถ้าธุลีสลายหายไปกับสายลม เพราะฉะนั้นแวมไพร์ก็ได้แต่ใช้ชีวิตในยามกลางคืน
      ไล่ล่าผู้โชคร้ายที่หลงเข้าไปในความมืด

      วันหนึ่ง มีเทพผู้หนึ่งมาสู่ดินแดนแห่งมนุษย์ ใบหน้าเขาแลดูสวยยิ่งกว่าเทพอื่นๆใด
      เขาคือบุตรที่พระเจ้าโปรดปรานมากที่สุด และเขาเดินทางมาสู่โลกก็เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลาย
      เขารักษาโรคเจ็บป่วยต่างๆให้คนนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ป่วยหนักใกล้ตายแล้ว
      เขาเพียงแค่ยื่นมือมาแตะเบาๆ ก็สามารถรักษาให้หายได้ในพริบตา

      เมื่อแวมไพร์ได้รับรู้ข่าวนี้ ก็ปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดามาหาท่านเทพ องค์เทพก็รู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง
      ที่มีคนมาหากลางดึก เขามองครั้งแรกก็รู้เลยว่าเป็นแวมไพร์ปลอมตัวมา แต่เขาก็อยากรู้ว่าทำไมแวมไพร์ถึงได้กล้าหาญถึงเพียงนี้
      "ท่านมาหาเราด้วยเหตุใดหรือ?" องค์เทพถามอย่างแปลกใจ
      "ข้าป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถพบแสงอาทิตย์ได้ ขอให้ท่านเทพช่วยรักษาข้าได้ไหม?"
      แวมไพร์ตอบเช่นนี้ "เป็นเพราะโรคนี้ทำให้ข้าต้องหลบอยู่ในโลกที่มืดมน แต่...
      เพียงสักครั้งก็ยังดี ข้าอยากเห็นความงามของตะวันยามรุ่งอรุณ"

      สิ่งนี้เป็นคำขอที่ยากนัก ถึงแม้องค์เทพจะเก่งมากเพียงใด ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ไปได้ แวมไพร์ไม่สามารถพบแสงแดดได้
      ก็เพราะว่านั่นคือการลงโทษจากพระเจ้า ถ้าแวมไพร์ยังอยู่ในโลกนี้ก็จะต้องทนรับโทษไปไม่มีวันสิ้นสุด
      "เราต้องขออภัยด้วย เราไม่สามารถทำได้"
      "สักครั้งก็ไม่ได้หรือไร?"
      องค์เทพเกิดความรู้สึกว่าแวมไพร์น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เขาปลอบใจแวมไพร์ว่า
      "ถึงแม้เราไม่อาจจะทำให้ท่านเห็นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจ เรายินดีที่จะอธิบายให้ท่านฟัง"
      แวมไพร์เห็นด้วยกับความเห็นขององค์เทพ ทั้งสองนัดกันไว้ว่าในวันเพ็ญที่จะถึงนี้ ไปพบกันที่ปราสาทที่แวมไพร์
      หลบอาศัยอยู่ เมื่อวันนั้นมาถึง องค์เทพก็ไปตรงตามเวลาที่นัดไว้ เขานั่งอยู่เคียงข้างแวมไพร์
      เล่าความเกี่ยวกับตะวันรุ่งอรุณด้วยเสียงอ่อนโยน

      เมื่อถึงเวลาที่เขาทั้งสองต้องแยกลากัน แวมไพร์ก็พูดกับองค์เทพอีกว่า
      "ขออภัยที่ต้องขอร้องท่านอีกหน แต่เพียงสักครั้งก็ยังดี ข้าอยากเห็นความงามของตะวันยามเที่ยงตรงบ้าง"
      องค์เทพก็คงยังไม่สามารถทำตามที่แวมไพร์ขอได้ เขาก็จึงนัดแวมไพร์ให้พบกันในวันเพ็ญครั้งต่อไป
      "ถึงแม้เราไม่อาจจะทำให้ท่านเห็นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจ เรายินดีที่จะอธิบายให้ท่านฟัง"

      เมื่อถึงวันเวลาที่นัดเอาไว้ แวมไพร์ก็นั่งรอองค์เทพอย่างกระสับกระส่าย
      องค์เทพยืนอยู่ใต้แสงจันทร์อันนวลผ่อง ปีกที่ขาวบริสุทธิ์แลดูวาวระยับ
      ราวกับว่าเขาได้ใส่ผ้าคลุมสีเงินอันสวยอย่างไม่มีที่ติดังนั้น ความงามขององค์เทพทำให้แวมไพร์มิอาจเอนสายตา
      ไปทางอื่นใดได้ องค์เทพนั่งลงเคียงข้างแวมไพร์และพูดถึงตะวันที่ตั้งอยู่บนกลางท้องฟ้า
      รอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ขององค์เทพทำให้แวมไพร์หลงใหลยิ่งนัก ดังนั้นแวมไพร์จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขอร้องเป็นครั้งที่สาม
      "ขออภัยที่ต้องขอร้องท่านอีกหน แต่เพียงสักครั้งก็ยังดี ข้าอยากเห็นความงามของตะวันยามเย็นบ้าง"
      "ถึงแม้เราไม่อาจจะทำให้ท่านเห็นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจ เรายินดีที่จะอธิบายให้ท่านฟัง"
      แวมไพร์และองค์เทพก็ยิ้มให้แก่กัน คราวนี้ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากสัญญา เขาทั้งสองก็รู้ดีว่าจะมาพบกันในคืนวันเพ็ญ
      ครั้งต่อไป ต่างฝ่ายต่างก็เฝ้ารอการพบครั้งต่อไป ต่างฝ่ายต่างก็หวังให้พระจันทร์เต็มดวงเร็วๆ

      ในที่สุดก็ถึงคืนวันเพ็ญ องค์เทพนั่งอยู่เคียงข้างแวมไพร์ดังเดิม พูดถึงเกี่ยวกับตะวันตกดิน เมื่อคำสนทนาจบลง
      แวมไพร์ก็เอ่ยปากถามองค์เทพด้วยเสียงระรัว "ขอบคุณท่านมากที่เล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง ถ้าเป็นไปได้
      ท่านจะยอมรับฟังความฝันของข้าอีกสักอย่างจะได้ไหม?"
      "เราจะพยายามทำถ้าเราทำได้"
      "ข้าอยากจะพบท่านอีก ข้ารู้สึกว่าเพียงแค่ได้อยู่เคียงคู่กับท่าน แสงตะวันก็นับว่าเป็นเรื่องเล็ก
      ไม่ว่ายามรุ่งอรุณ, เที่ยงวันหรือยามเย็นก็ตาม ท่านแลดูสวยงามยิ่งกว่าแสงตะวันนัก"
      องค์เทพได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นมา "เราก็หวังที่จะทำให้ความฝันของท่านเป็นจริง
      แต่เราต้องยุติภาระในแดนมนุษย์ในวันรุ่งขึ้น และต้องกลับขึ้นไปสู่แดนสวรรค์ ไม่สามารถมาพบกับท่านได้อีก"
      เมื่อแวมไพร์ได้ยินคำปฏิเสธขององค์เทพแล้ว ก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา "อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เทียบกับที่นี่แล้ว
      สวรรค์คงเป็นดินแดนที่อบอุ่นและสว่างมากสินะ ข้าก็เป็นเพียงแค่ปีศาจที่อาศัยอยู่ในความมืดมนเท่านั้นนี่นา
      ช่วงเวลาสั้นที่ได้อยู่กับท่านก็น่าจะเพียงพอแล้ว"
      "ขอโทษนะ" องค์เทพออกไปจากปราสาทของแวมไพร์อย่างเศร้าใจ เขากลับไปสู่ดินแดนสวรรค์ของเขา

      พระเจ้าสังเกตเห็นใบหน้าของบุตรที่ท่านโปรดปรานแลดูผิดปกติ จึงถามว่า "ลูกน้อย เจ้าคิดอะไรอยู่หรือไร?"
      ใจที่องค์เทพอาทรนั้นก็มีเพียงแต่แวมไพร์ที่โดดเดี่ยวคนนั้น
      "ลูกอยู่ในแดนมนุษย์ได้พบกับแวมไพร์ตนหนึ่ง เขาอยากเห็นแสงตะวันมาก
      แววตาของเขาบ่งบอกลูกว่าเขาอยู่อย่างเงียบเหงายิ่งนัก หลายร้อยปีที่ผ่านมาเขาต้องอาศัยอยู่ในที่ที่ห่างไกลจากผู้คน
      และอยู่แต่ในความมือที่น่าเศร้าใจ" องค์เทพเอ่ยปากบอกความในใจเขาแก่พระเจ้า
      "เพราะฉะนั้น ลูกอยากจะช่วยเหลือเขา อยู่ใกล้เคียงเขา พูดคุยกับเขา เมื่อลูกบอกกับเขาว่าไม่สามารถพบกันได้อีก
      ลูกรู้ว่าเขามองส่งลูกจากไปด้วยความอาลัยจนลับตาเขา"
      "ลืมเขาเสียเถิด มันไม่มีค่าพอที่ลูกจะอาวรณ์อยู่ร่ำไป" พระเจ้ากำชับองค์เทพซ้ำแล้วซ้ำอีก
      เสมือนว่าพระเจ้ารับรู้แล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในภายหน้า
      "ลืมเขาเสียเถิด มิฉะนั้นเจ้าจะต้องเผชิญกับความทรมานยิ่งกว่านี้"

      องค์เทพยอมเชื่อฟังคำชี้แนะของพระเจ้าแต่โดยดี เขาตั้งใจว่าจะไม่นึกคิดอะไรเกี่ยวกับแวมไพร์อีก
      เขาหลบไปอาศัยอยู่ในส่วนลึกแห่งดินแดนสวรรค์อย่างเงียบๆคนเดียว
      ดำรงชีวิตไปตามปกติ มีเพียงว่าบางครั้งเขาจะปวดใจขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
      ในแดนมนุษย์ แวมไพร์ก็เป็นเช่นเดียวกับองค์เทพ ทั้งๆที่องค์เทพบอกกับเขาว่าจะไม่กลับมาอีก
      แต่แวมไพร์ก็คงยังรอคอยอยู่อย่างเดียวดายทุกคืนวันเพ็ญเช่นเดิม
      "ไม่แน่เขาอาจจะมาก็เป็นได้" แวมไพร์พึมพำเช่นนี้กับตัวเองเสมอ
      แต่สิ่งที่ได้มาจากการรอคอยของเขาก็มีแต่ความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
      หลังจากนั้นแวมไพร์ก็เปลี่ยนเป็นเฝ้ารอทุกคืนวัน เขานึกคิดไปว่าองค์เทพอาจจะเคยมาหาเขา
      และสวนทางกับเขาในเวลาที่เขาออกไปหากินเขาไม่ยอมออกไปดูดเลือดมนุษย์อีก ร่างกายเขาค่อยๆทรุดโทรมลง
      แรงพลังของเขานับวันก็ยิ่งอ่อนล้าลง เขาได้แต่นั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น รอคอยการกลับมาขององค์เทพ

      เทพอื่นๆได้รับรู้สภาพความของแวมไพร์แล้ว ก็นำความนี้ไปแจ้งให้พระเจ้าทราบ
      "บนท้องฟ้าไม่สามารถมีพระอาทิตย์และพระจันทร์ปรากฏขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน
      ถ้าเขาทั้งสองต้องการจะอยู่ด้วยกันจริงๆ องค์เทพก็ต้องถูกกักขังอยู่ในราตรีเคียงคู่กับเขาตลอดไป"
      พระเจ้าไม่อาจทนเห็นบุตรที่ท่านโปรดปรานต้องไปอยู่กับแวมไพร์ในโลกที่มืดมน
      ท่านได้สั่งกับบรรดาเทพทั้งหลายไม่ให้เข้าใกล้องค์เทพ และห้ามบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์ให้เขารู้โดยเด็ดขาด

      วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แวมไพร์ทรุดโทรมมากถึงขนาดว่ากลางคืนก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปไหนได้
      เมื่อเขาใช้พลังหมดแล้ว ก็จะหมดความรู้สึกตัวไป หลับไปจนกระทั่งพลังของเขาจะเพิ่มเติมจนเต็ม
      จากแสงพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ในช่วงเวลานี้ เขาจะไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั่งความฝัน
      แวมไพร์ได้แต่นอนหลับไปเรื่อยๆ ถึงแม้เวลาจะไม่รอใคร แต่อย่างน้อยในเวลาที่แวมไพร์ยังหลับอยู่
      เขาก็ไม่ต้องทรมานกับความคิดถึงที่เขามีแก่องค์เทพ จนกว่าเขาจะตื่นขึ้นมา

      ถ้ามีใครมาจุดไฟเผาร่างเขาในเวลานี้ เขาก็จะมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีไปโดยไม่มีความเจ็บปวดใดๆ
      ทั้งสิ้น เขาไม่กลัวว่าจะถูกทำลาย เขากลัวแต่ว่าเขาจะไม่ได้พบกับองค์เทพอีก
      เขามองท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย บุคคลที่เขาคิดถึงและรอคอยอยู่ทุกค่ำคืนวัน
      อาศัยอยู่บนชั้นบนสุดของท้องฟ้าที่กว้างไกลนี้ นั่นคือดินแดนของพระเจ้า
      ดินแดนแห่งความบริสุทธิ์ ไม่ใช่สถานที่ที่ปีศาจที่สกปรกและต่ำต้อยอย่างเขาหวังจะขึ้นไปอยู่ได้

      องค์เทพตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่นะ? คงจะร้องรำทำเพลง พูดคุยกับปวงเทพอย่างสนุกสนานก็เป็นได้
      ไม่รู้ว่าเขายังจำได้หรือไม่ว่า เคยนั่งอยู่เคียงข้างเขาในคืนวันเพ็ญสามคืนนั้น?
      นั่นอาจจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งในภาระทั้งหมดที่องค์เทพต้องทำ แต่สำหรับแวมไพร์แล้ว
      ความสุขที่เขาได้ในสามคืนวันเพ็ญนั้น สามารถลบล้างความทรมานที่เกิดจากต้องทุกทนอยู่กับความเหงา
      มาหลายร้อยปีได้หมดสิ้น มีความทรงจำที่ดีๆของสมาคืนนั้นแล้ว จะให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกหลายร้อยปีก็ได้
      แต่ทว่า... เขาคงจะไม่มีเรี่ยวแรงที่จะดำรงชีวิตได้นานขนาดนั้น

      ความเศร้าของแวมไพร์ ได้แปรเปลี่ยนเป็นกระแสคลื่นส่งไปถึงใจขององค์เทพ เขาเก็บตัวอยู่อย่างเงียบๆ
      เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของพระอาทิตย์และพระจันทร์ทุกคืนวัน บางครั้งเขาก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้สาเหตุ
      เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างในร่างกายเขาได้หายไป แล้วจะเรียกให้เขาลืมสิ่งนั้นทิ้งไปให้หมดได้อย่างไร?

      สวรรค์นั้นดูขาวสะอาดจนเกินไป บรรดาเทพทั้งหลายในชุดหลากสี ความอ่อนโยนและ
      รอยยิ้มเหล่านั้นดูเสมือนเป็นสิ่งที่หลอกลวง ความเงียบสงบก็ดูไร้ความจริง
      ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้องค์เทพรู้สึกหมองใจจนอยากร้องไห้ออกมา แวมไพร์ผู้น่าสงสาร
      เวลานี้คงแหงนหน้ามองท้องฟ้าคิดถึงเราใช่ไหมนะ? สิ่งเดียวที่ปกป้องเขาได้ก็มีแต่ความมืด
      แท้จริงแล้วเขานั้นบอบบางและโดดเดี่ยวมาตลอด แต่เรากลับหักหลังเขา ทิ้งเขาไว้คนเดียว
      ทั้งที่ๆเขาต้องการความช่วยเหลือจากเรามากกว่าใครๆ

      น้ำตาขององค์เทพไหลหยาดสู่พื้นดิน กลายเป็นฝนแห่งความเศร้าตกลงสู่ดินแดนมนุษย์
      "เราอยากพบเขา" องค์เทพตัดสินใจดังนี้ แต่ถ้าไม่มีคำสั่งของพระเจ้า เขาไม่สามารถลงไปสู่ดินแดนมนุษย์ได้
      เขาจึงคิดจะหลบออกไปทางปลายแดนสวรรค์ คิดไม่ถึงว่าเมื่อเขากำลังจะหนีออกไป
      พระเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นมาอยู่ต่อหน้าเขา "บุตรที่ข้ารัก ทำไมเจ้าถึงอยากไปจากที่นี้หรือ?"
      พระเจ้าถามเสียงอ่อนโยน "ถ้าเจ้าไปหาแวมไพร์ตนนั้นแล้ว จะต้องอยู่แต่ในความมืดเช่นเดียวกับเขา
      ไม่สามารถกลับคืนสู่แดนสวรรค์ได้อีก และอาจจะโดนประทุษร้ายจากผู้อื่นที่คิดว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกับแวมไพร์
      ศัตรูของพวกเขา มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก" "ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราก็ขอเป็นแสงสว่างแห่งเดียวในความมืดนั้นก็เพียงพอแล้ว
      อย่างน้อยเราสามารถคอยส่องทางให้เขาได้" "ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่สามารถลืมเขาได้หรือไร?"
      "ถ้าเขาไม่รอคอยเราอีกต่อไป เราก็จะตัดสินใจลืมเขาเสีย"  "..." พระเจ้าเงียบไปครู่หนึ่ง
      ท่านเห็นใจในการตัดสินใจขององค์เทพ และสงสารที่องค์เทพจะต้องเผชิญกับสิ่งที่เลวร้าย
      "ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าขออวยพรให้เจ้านะ บุตรน้อย ถึงแม้เจ้าไม่อาจกลับคืนมาสู่สวรรค์ได้อีก
      แต่ข้าอนุญาตให้เจ้าดึงปีกของเจ้าทิ้ง ถ้าเจ้าไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ถึงเวลานั้นข้าจะให้ความสงบแก่เจ้าตลอดไป"
      และแล้วองค์เทพก็ค่อยๆบินลงไปสู่ดินแดนมนุษย์

      วันนั้นก็เป็นคืนวันเพ็ญพอดี เมื่อแวมไพร์เห็นองค์เทพปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์
      ถึงแม้ร่างกายเขาจะอ่อนเพลียมาก เขาก็ยังลุกขึ้นไปรอรับองค์เทพลงมาสู่พื้นดินด้วยความตื้นตันใจ
      "ท่านจะอยู่ที่นี้ต่อไปหรือไม่?"
      "เราไม่ต้องการจะไปไหนอีกแล้ว นอกจากอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป"
      องค์เทพร้องไห้พลางโอบกอดแวมไพร์อย่างแนบแน่น และแล้วเขาทั้งสองก็เริ่มอาศัยอยู่ด้วยกัน
      แต่แวมไพร์ก็คงยังอ่อนเพลียมาก เขาไม่สามารถลุกออกจากโลงศพไปไหนได้
      องค์เทพได้แต่นั่งเฝ้าอยู่เคียงข้างเขา พูดคุยกับเขาเมื่อเขาตื่นขึ้นมาในยามกลางคืน

      "ท่านก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจว่าข้าไม่มีอะไรเลย ก่อนหน้าที่ได้พบท่าน ข้าไม่รู้ว่าข้าอยู่บนโลกนี้เพื่อใครและอยู่ไปทำไม
      แต่ท่านทำให้ข้าได้เห็นและรับรู้ในสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน" แวมไพร์บอกกับองค์เทพเช่นนี้
      "สถานที่นี้ดูงดงามมาก แต่มันก็ทำให้ข้าหวาดหวั่น ปีศาจอย่างข้ามิสมควรที่จะได้รับความสุขสำราญมากเช่นนี้
      ข้าไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ไม่แน่ว่าความสุขที่ข้ามีอยู่อาจจะหายไปในพริบตาก็เป็นได้"
      "ท่านกลัวมากหรือ?" องค์เทพยื่นมือสัมผัสมือที่เย็นเฉียบของแวมไพร์
      "ข้ากลัวว่าเราจะจากกันไป พูดได้ว่าข้ากลัวว่าข้าจะต้องเสียท่านไป ตลอดกาล ข้ากลัวการมาถึงของวันนั้น"
      "เราจะไม่จากท่านไปเป็นเด็ดขาด"
      "ถ้าคนที่จากไปคือข้าล่ะ?"
      "ท่านจะทำเช่นนั้นหรือ?"
      "ไม่ ถ้าข้าจากไปแล้ว เหลือแต่ท่านอยู่คนเดียวได้อย่างไร ท่านก็ไม่สามารถกลับสู่สวรรค์ได้อีกแล้ว"
      "ถ้าอย่างนั้น เราสองคนจับมือกันไว้ตลอดนะ อย่าปล่อยเป็นอันขาดนะ"
      องค์เทพจุมพิตมือของแวมไพร์อย่างแผ่วเบา และซบหน้าลงบนอุ้งมือของแวมไพร์

      วันหนึ่ง มีเด็กน้อยคนหนึ่งได้หลงทางในป่าและเข้ามาถึงปราสาทของแวมไพร์
      องค์เทพพาเด็กน้อยกลับไปสู่ในเมือง หลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกไปว่าองค์เทพอาศัยอยู่ในเมือง
      บรรดานักบวชและชาวบ้านก็เดินทางไปหาองค์เทพ บ้างก็ขอให้องค์เทพช่วยรักษาโรคเจ็บป่วยให้
      องค์เทพก็ช่วยตรวจดูรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ชาวบ้านในยามกลางวัน ไม่คิดที่จะสนใจบรรดานักบวชทั้งหลาย

      นักบวชคนหนึ่งที่เคยโดนองค์เทพปฏิเสธ แอบหลบเข้าไปในปราสาทในยามที่องค์เทพกำลังรักษาโรคอยู่
      เขาพบแวมไพร์อาศัยอยู่ในปราสาท หลังจากนั้นข่าวลือก็กระจายไปทั่ว
      บางคนว่าเทพองค์นี้อาศัยอยู่กับปีศาจก็คงจะไม่ใช่เทพที่ดีแน่นอน
      บางคนก็ว่าองค์เทพอยู่กับปีศาจเพื่อที่จะล้างบาปให้ปีศาจตนนั้น
      พวกข้าราชการในเมืองได้แอบตัดสินใจเอาไว้ เพราะว่าผู้คนต่างแดนที่นับถือองค์เทพได้เข้าเมืองมาเป็นจำนวนมาก
      ทำให้พวกเขากินกำไรไปได้ไม่น้อย แวมไพร์เป็นจุดด่างขององค์เทพ ไม่ว่าจะใช้วิธีใด
      พวกเขาก็จะกำจัดแวมไพร์ทิ้งไปให้ได้

      พวกเขาได้ส่งนักบวชคนหนึ่งไปเฝ้ารออยู่ใกล้ๆปราสาท และใช้อุบายหลอกให้องค์เทพออกมา
      "แย่แล้วท่านเทพ!! ท่านรัฐมนตรีป่วยหนักมาก ขอเชิญท่านไปตรวจดูท่านรัฐมนตรีให้หน่อย"
      องค์เทพได้ยินแล้ว ก็มีความรู้สึกที่แปลกประหลาดขึ้นมาอยู่ในใจ แต่เขาก็ตามชายคนนั้นออกไปจากปราสาท
      หลังจากนั้นนักบวชทั้งหลายบุกเข้าไปในปราสาท พร้อมกับไม้กางเขนและไม้แหลมอยู่ในมือ
      พวกเขาล้อมแวมไพร์เอาไว้และสวดมนตร์ท่องคาถาต่างๆ เพื่อที่จะปลุกแวมไพร์ให้ตื่นขึ้นมา

      เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แวมไพร์คงยังอ่อนเพลียมาก แต่เมื่อเขาเห็นสถานะการณ์ที่อยู่ต่อหน้า
      เขาก็ต้องฝืนแรงหลบหนีภัย เขากัดคอฆ่านักบวชไปหลายคน เพื่อที่จะหาทางออกจากวงล้อม
      องค์เทพล่ะ? โดนคนเหล่านี้จับไปแล้วหรือ? เขาอยู่ไหน? มีอันตรายหรือไม่?
      แวมไพร์หลบหนีผู้ไล่ล่าทั้งหลาย เขารู้จักสถานที่นี้ดีกว่าใครๆ
      ไม่นานเขาก็ไปหลบอยู่ภายใต้ผ้าม่านผืนหนาในมุมมืดแห่งหนึ่ง
      "เจ้าปีศาจล่ะ?"
      "หนีไปได้เร็วจริงเชียว"
      เสียงฝีเท้าของบรรดานักบวชวิ่งผ่านตัวเขาไป ...มนุษย์ที่น่าชัง!! ถ้าไม่ใช่ว่านี่เป็นเวลากลางวัน
      ข้าจะทำให้พวกเจ้าแต่ละคนตายอย่างอนาถ... แวมไพร์พอได้มีดูดเลือดคนไปหน่อยก็รู้สึกมีพลังฟื้นขึ้นมาบ้าง
      เขาคิดวางแผนว่าเมื่อตะวันตกดินไปแล้วเขาจะพาองค์เทพหนีไปอย่างไร
      ทันใดนั้น แวมไพร์ก็สังเกตเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้สู่ตัวเขา
      ...ถ้าข้าได้ดูดเลือดเด็กคนนี้แล้ว พลังของข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นอีก...
      เขามองดูเด็กน้อยอย่างเงียบๆ เด็กน้อยค่อยๆเข้ามาใกล้ตัวเขา และแล้ว
      เขาก็อุดปากเด็กน้อยไว้และลากตัวเขาเข้าไปในที่มืด
      "อืม~อืม~อืม~"
      เมื่อมองหน้าเด็กอย่างชัดๆ แวมไพร์ก็จำได้ว่าเขาคือเด็กที่องค์เทพเคยช่วยเหลือจากการหลงทาง
      ถ้าฆ่าเขาแล้ว องค์เทพคงจะเศร้าใจแน่นอน... คิดถึงนี่แล้วแวมไพร์ก็ปล่อยมือและพูดเบาๆว่า
      "เจ้าไปเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้า"
      เด็กน้อยเบิกตาโพลง ไม่เชื่อว่าตัวเขาจะโชคดีเพียงนี้ เขาล้มลุกคลุกคลานหนีไป
      แต่สักพัก เด็กน้อยดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หันกลับมามองแวมไพร์อย่างเคียดแค้น
      "เจ้าคือปีศาจที่ทำให้องค์เทพแปดเปื้อนไปด้วยความสกปรก กำจัดเจ้าทิ้งคือของขวัญที่ดีที่สุดที่ข้ามอบให้แก่องค์เทพ!!"
      เด็กน้อยดึงผ้าม่านออกอย่างสุดแรง แวมไพร์ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ต้องโดนแสงแดดสอดส่องเขาทั้งตัว...

      องค์เทพรู้สึกปวดหน้าอกขึ้นมาโดยกระทันหัน เหมือนกับว่าโดนกระชากอะไรไปสักอย่าง
      เขาปวดมากจนล้มฟุบลงกับพื้น ชายผู้นำทางถามองค์เทพอย่างตกใจ "ท่านเทพ ท่านเทพเป็นอย่างไรหรือ?"
      องค์เทพรู้ว่ามีบางสิ่งที่ร้ายแรงเกิดขึ้น เขารีบย้อนกลับ กางปีกบินกลับไปสู่ปราสาท
      ไม่ว่าชายผู้นั้นจะร้องเรียกอย่างไร เขาก็ไม่สนใจ ภายในปราสาทคล้ายกับว่ามีงานเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่าง
      เด็กน้อยคนหนึ่งโดนผู้คนโยนขึ้นโยนลงด้วยความปีติ พวกเขาหัวเราะเฮฮา พูดชมถึงความกล้าหาญของเด็กน้อย
      "ควรจะทำตราประทับให้เด็กน้อยผู้นี้นะ"
      "เป็นเกียรติของพวกเราอย่างยิ่ง เจ้าปกป้องคนทั้งเมืองจากหายนะ"
      "ดูสิ!! ท่านเทพมาแล้ว!!" มีคนเห็นองค์เทพยืนมองพวกเขาอยู่ไม่ไกล
      บรรดาผู้คนพากันเดินเข้าใกล้องค์เทพ บอกกับองค์เทพด้วยความยินดี
      "เด็กคนนี้ได้กำจัดปีศาจทิ้งไปแล้ว"
      "ท่านเทพโปรดอวยพรให้เขาด้วย"
      "นี่คือพลังที่ยิ่งใหญ่ทำให้เรากำจัดปีศาจได้ เป็นเวลาที่น่าระทึกใจ พวกเราควรจะสลักหินบันทึกเก็บเอาไว้"
      องค์เทพผลักผู้คนออก เขาวิ่งไปสู่กลางสนามที่ที่มีด้ายแดงล้อมบางสิ่งอยู่
      ภายในวงล้อมนั้นมีเพียงแต่กองเถ้าธุลี เสียงระเบิดดังขึ้นในสมองเขา...

      "ข้าป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถพบแสงอาทิตย์ได้ ขอให้ท่านเทพช่วยรักษาข้าได้ไหม?"
      "...อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เทียบกับที่นี่แล้ว สวรรค์คงเป็นดินแดนที่อบอุ่นและสว่างมากสินะ..."
      พระเจ้าผู้เป็นใหญ่ แวมไพร์เขาอยากพบเห็นแสงตะวันมากยิ่งนัก แต่ดูสิว่าแสงตะวันให้อะไรกับเขา?
      องค์เทพร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น บรรดาชาวบ้านได้แต่มองหน้ากัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี?
      "เราไม่ต้องการจะไปไหนอีกแล้ว นอกจากอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป"

      องค์เทพแลมองรอบๆอย่างสลดใจ แล้วก็ดึงปีกอันขาวบริสุทธิ์ที่กลางหลังเขาออกอย่างแรง
      เลือดของเขาทะยักไหลออกม่ไม่หยุด ไหลรินลงบนเถ้าธุลีกองนั้น
      องค์เทพล้มนอนลงบนกองธุลี และไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย
      ลมคงจะรับรู้ถึงความรู้สึกขององค์เทพ พัดพาธุลีสีแดงปลิวไปตามสายลม
      คงจะเป็นเพราะโดนลมพัดเถ้าเข้าตาก็เป็นได้ ผู้คนที่ล้อมรอบเดินจากไปพร้อมน้ำตา...

      ถ้ามีกัลปาวสานจริงๆ...
      ขอให้ฉันได้รักเธอ... ทุกๆวัน...ตลอดไป...

      ถ้ากัลปาวสานไม่มีจริง...
      ขอให้เวลาหยุดลงตรงนี้... วินาทีนี้ที่ฉันได้รักเธอ...

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×