[WFcontest]อัศวินกระทะเหล็ก
นิยายประกวดโครงการ [WFcontest]อัศวินกระทะเหล็ก หัวข้อล่าอาหารแนวแฟนตาซี
ผู้เข้าชมรวม
268
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
[WFcontest]อัศวินกระทะเหล็ก
ปี 1800 ได้มีการค้นพบดินแดนใหม่ พวกเขาได้สิ่งมหัศจรรย์เข้าแล้ว พื้นที่ดังกล่าวเป็นทวีปใหญ่ที่ นั่นมีทั้งพืชและสัตว์มากกมาย ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน และที่น่าตกใจก็คือ พืชและสัตว์เหล่านั้นกลับเป็นอาหารที่เลิศรส มีสรรพคุณทางยา กลายเป็นว่าการเดินสู่ดินแดนใหม่ กลายเป็นเรื่องท้าทาย มากสำหรับคนยุคนั้น ทวีปดังกล่าวถูกเรียกว่า ทวีปแห่งอาหาร
ความนิยมในเดินทางเข้าไปนั้นยากลำบาก ในช่วงแรก ๆ ได้มีการจ้างพวกคาวบอยไปคุ้มกัน ผลที่ได้กลับไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะคุณภาพของมันไม่ได้ดั่งที่ต้องการ ยิ่งพวกเดินทางไปเกาะส่วนมากจะเป็นพวกชนชั้นสูง ทำให้ต้องมีรวมตัวของเหล่า อัศวิน ! ตั้งกลุ่มต่าง ๆ ขึ้นเพื่อรับจ้างคุ้มกันคนที่ทวีปดังกล่าว ซึ่งอัศวินเป็นผู้ที่ฝึกฝนมากกว่าเหล่าคาวบอยอยู่แล้ว แถมอัศวินยังมีอาวุธพิเศษที่เรียกว่า ศาสตร์ตราแห่งอัศวิน อีกด้วย ย่อมเหนือกว่าคาวบอย ทำให้เกิดอาชีพอัศวินรับจ้างขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นงานที่ทำเงินได้ดีสำหรับเหล่าอัศวินที่วางเว้นสงครามมานานแล้ว
ที่เมืองท่า มีเด็กสาวคนหนึ่งขี่ล่อ[1]เข้ามาในเมือง เธอเป็นผู้หญิงผิวขาวร่างเล็ก บอบบาง ผมยาวสีดำถักเป็นเปียเอาไว้ เธอน่าจะอยู่ในช่วงวัยรุ่น เธอมองไปที่ตึกหลังหนึ่งมันทำจากไม้ทั้งหลัง ที่หน้าตึกเขียนไว้ ธนาคารอัศวิน แน่นอนใครมาที่นี่จะทำอยู่สองเรื่องคือ เรื่องเกี่ยวกับการเงิน และจ้างอัศวิน
“สวัสดีครับต้องการให้ช่วยอะไรครับ” พนักงานต้อนรับถามเธอ “คือ หนูอยากจะจ้างอัศวินน่ะค่ะ” เธอตอบตะกุกตะกัก พนักงานมองเธอรู้สึกว่า จากการแต่งตัวของเด็กสาวแล้ว เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาถูก ใบหน้าก็ไร้การตบแต่ง เขาก็นึกดูแคลงอยู่ในใจ
“คุณครับ จะจ้างอัศวินไปไหนเหรอครับ”
“ไปทวีปแห่งอาหารค่ะ” เธอตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “คุณครับ ค่าจ้างอัศวินขั้นต่ำคือ 10,000 เหรียญทองนะครับ ขออภัยครับ มีหรือเปล่า” เด็กสาวอึ้งไปเธอตอบกลับไปว่า
“หนูมีแค่พันเหรียญเองค่ะ” พนักงานได้ยินก็ถอนใจแล้วบอกว่า “นี่แม่หนูออกไปเลย แค่ค่าเรือก็สองร้อยแล้ว ไม่พอหรอกนะ”
“แค่หนูจำเป็นจริง ๆ นะค่ะ ” เธอขอร้อง “ออกไปเลย อย่าให้ต้องเรียกยาม” เด็กสาวเดินหน้าจ๋อยออกไป ไม่ว่าเธอจะไปติดต่อที่ไหนก็ตาม ก็ไม่มีอัศวินที่ไหนจะรับงานนี้ เธอเลยต้องตัดสินใจ จ้างพวกคาวบอย ! ซึ่งถือว่าเสี่ยงมากเพราะนอกฝีมือพวกนี้จะไม่ดีเท่าอัศวินแล้ว ยังมีโอกาสทิ้งงานได้ทุกเวลา เธอเดินเข้าไปในบาร์เหล้าเก่า ๆ แห่งหนึ่ง ข้างในมีแต่พวกคาวบอยเต็มไปหมด แต่ละคนแสดงท่าทาง ว่าเป็นกุ้ยเต็มที่ เธอเดินเข้าไปที่เคาเตอร์มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังเตรียมเครื่องดื่มอยู่
“จะรับอะไรดี” เธอพูดห้วน ๆ ผิดกับแม่ค้าที่หญิงสาวเคยเจอ แต่ถ้าดูสภาพร้านแล้ว คงจะให้เป็นสุขภาพชนคงจะได้โดนปล้นแน่ ๆ “ขอน้ำเปล่าค่ะ” นั่นเป็นคำพูดที่แย่ที่สุดเมื่อพูดในบาร์เหล้าแบบนี้ทำให้เหล่าคาวบอยหัวเราะก๊ากออกมา หญิงสาวทำหน้าไม่ถูก
“จะหัวเราะหาอะไรพวกแกนี่” เสียงเธอโวยขึ้นพวกคาวบอยถึงได้หยุดขำ “หนูอยากจะจ้างคาวบอยสักคนค่ะ” เธอพูดกับเจ้าของร้าน เจ้าของร้านมองหน้าเธอแล้วบอกว่า “จะจ้างพวกคาวบอยน่ะ จ้างอัศวินดีกว่ามั้ย”
“หนูมีเงินไม่พอหรอกค่ะ หนูต้องไปที่ทวีปแห่งอาหาร อยากจ้างคนคุ้มครอง” หญิงสาวพูดเจ้าของมองเธออย่างสงสาร ยังไม่ทันไรก็มี พวกคาวบอยสี่คนเดินเข้ามาหาเธอ ท่าทางทั้งสามบอกได้เลยว่าเป็นพวกกุ้ย เสื้อผ้าสกปรอก เจ้าตัวหัวโจก เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ผิวเข้ม ตาโปน จมูกหัก มันยิ้มเผยให้เห็นฟันที่ไม่เป็นระเบียบอยู่เต็มปาก
“ได้ข่าวอยากได้คาวบอยไปคุ้มกันเหรอจ้ะน้อง” มันพูดด้วยเสียงแหบ ๆ ไม่น่าฟังเลยสักนิด เธอทำหน้าไม่ถูก
“ค่ะ หนูอยากได้คาวบอย”
“หนู อย่าดีกว่านะไอ้นี่มัน...” เจ้าของร้านรีบห้ามทันที พวกลูกน้องหันมาทำตาเขียวใส่เธอ
“โห เงียบเลยเธอ นี่กำลังเจรจาธุรกิจอยู่นะ คือพี่ชื่อ จอร์นนี่ ใครที่เรียกพวกเราสี่เทพบุตรหน้าหยกทั้งล่ะจ้ะ อยากลองจ้างพวกพี่บ้างมั้ยล่ะ” มันพูดด้วยท่าทางเจ้าชู้ เด็กสาวมีดวงตาเป็นประกายด้วยความหวัง แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าเธอมีเงินไม่มาก
“แต่หนูมีเงินพอจ้างแค่คนเดียวเท่านั้นค่ะ”เธอบอกด้วยน้ำเสียงผิดหวัง พวกมันหันไปพูดคุยกันสักพักแล้วหันมาบอกว่า
“น้องชื่ออะไรจ้ะ ยังไม่รู้จักชื่อกันเลยนี่” มันพูดยิ้ม ๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเจตนาร้าย
“หนูชื่อ เลม่อนค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน้อง ค่าจ้างส่วนอื่น ก็จ่ายมาเป็นตัวน้องก็ได้” มันพูดแบบนี้ เลม่อนตกใจมากเธอรีบหนีแต่ถูกคว้าแขนเอาไว้
“จะไปไหนล่ะน้องคุยกันก่อนสิ”
“ปล่อยนะ ช่วยด้วย” เลม่อนสะบัดแขนไม่หลุด เจ้าพวกนั้นหัวเราะกันดังลั่น ไม่มีใครสนใจที่จะให้ความช่วยเหลือเลยเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตน จนกระทั่ง
ปัง
เ สียงปืนดังขึ้น กระสุนปืนโดนหมวกของจอร์นนี่หลุดจากหัว พวกมันหันไปมองชายร่างสูง กำลังจ่อปืนมา เขาแต่งคาวบอยสีดำ หมวกบังหน้าของเขาจนมิด
“แกเสือกอะไรด้วยวะ คนกำลังจะมีความสุขกัน” จอร์นนี่พูด พวกลูกน้องกำลังเดินเข้ามาแต่ถูกปืนยิงสกัดเอาไว้ทำให้พวกมันกระโดดโหย่ง ๆ เหมือนจิงโจ้
“เฮ้ บราฟ จะมีเรื่องไปมีนอกร้านเซ่ แล้วนายมาสายนะ” เสียงเจ้าของร้านตะโกนชายคนนั้นขยับหมวกขึ้นเขาเป็นชายผิวขาวเหมือนไข่ปอก ใบหน้าคมคาย แฝงด้วยความแววตาที่ดูขึ้เล่น เขาทำหน้าเบื่อแล้วบอกว่า
“ก็ได้ ก็ได้ ลูซี่ เอ๊าจะรออะไรอยู่อยากมีเรื่องก็ตามสิ” เขาเดินนำ เจ้าสี่คนนั่นเดินตามออกมา
“แกกับชั้นมาดวลปืนกัน ถ้าแกชนะทุกอย่างในตัวฉันจะเป็นของแก” บราฟพูดเป็นเชิงท้าทาย
จอร์นนี่ยิ้มมุมปากและบอกว่า
“ก็ได้ เตรียมตัวเป็นศพได้เลย” จอร์นนี่แอบส่งซิกให้ ลูกน้องเตรียมตัวเล่นโกงเอาไว้แล้ว สองคนประจันหน้ากัน เมื่อสิ้นคำความชักปืน
ปัง ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนดังขึ้นสี่ครั้งติด ๆ กัน ร่างของเจ้าสี่คนล้มไปตรงหน้า บราฟยิงพวกมันร่วงไปหมด เขาเป่าปากกระบอกปืน และเก็บมันเข้าซองปืน ตอนนี้กลายเป็นว่า เจ้าสี่คนนี่กลายเป็นศพรอคนมาเก็บแล้ว
“นี่เขาฆ่าคนตายทำไมยังท่าทางเฉย ๆ แบบนั้นได้อีกล่ะ” เลม่อนตกใจมากกับภาพที่เห็น “โธ่ เด็กเอ๋ย ! ถ้าประกาศดวลปืนกันแล้วฆ่ากันตายก็ไม่มีความผิดจ้ะ และอีกอย่างพวกมันก็เตรียมจะรุมยิงบราฟอยู่แล้ว” เจ้าของร้านหรือชื่อลูซี่บอก เลม่อนกลืนน้ำลายอย่างหวาดเสียว เธอคิดบ้างอย่างออก
เมื่อบราฟมานั่งที่เคาเตอร์ “ลูซี่วันนี้มีอะไรกินบ้างเนี่ย” เขาถามเสียงเหนื่อย ๆ “อะไรกัน แล้วมีจ่ายเหรอ” ลูซี่พูดเป็นเชิงแซว บราฟส่งเหรียญทองให้เล็กน้อย เธอมองมันแล้วร้องบอกในครัวว่า
“เอาสปาเก๊ตตี้มาจาน”
“ขอโทษค่ะ” เลม่อนเรียกบราฟ เขาหันมามอง “ว่าไง แม่หนูจะขอบคุณก็ไม่ต้องนะ มันก่อกวนร้านชั้นก็เลยจัดการ ไปซะ”
“ขอบคุณค่ะ แต่หนูมีเรื่องอื่นที่อยากจะขอร้องคุณหน่อยน่ะค่ะ” เลม่อนพูดด้วยท่าทางไม่ค่อยมั่นใจ บราฟมองเธอแล้วเลิกคิ้วอย่างสงสัย “มีอะไรก็ว่ามาสิแม่หนู”
“หนูอยากจะไปทวีปแห่งอาหาร คุณจะรับงานคุ้มกันหรือเปล่าค่ะ” บราฟมองเธอด้วยสายตาที่แปลกใจผสมตกใจ
“จะไปไหนกันล่ะ”
“ทวีปแห่งอาหารค่ะ” คำตอบทำให้ บราฟสำลักน้ำที่กำลังจะดื่มทันที “แล้วจะมาหาคนคุ้มกันในบาร์เหล้าเนี่ยนะ ทำไมไม่ไปจ้างอัศวินที่ธนาคารเล่า”
“คือหนูมีเงินไม่พอที่จะจ้างค่ะ ก็เลยมาเสี่ยงจ้างคาวบอยที่นี่” เธอตอบด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยเศร้า บราฟมองเด็กสาวตรงหน้าเขารู้สึกว่า เธอน่าสงสารและน่าเห็นใจมาก เขาเลยถามว่า “จะไปทำไมกัน”
“ไปหาวัตถุดิบค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ “ก็รู้ดูจากการแต่งตัวแบบนึ้คงไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่นั่นหรอกนะ แต่จะไปเอาอะไรบอกมาสิ จะประเมินความยากดู” เด็กหญิงยิ้มออกมาเธอหยิบสมุดบันทึกออกมาเปิดดูแล้วบอกว่า
“นมเสือแพะ ผลไม้โสม ดีของงูอิเล็กทิกโบอา น้ำผึ้งของบีซิมแฟนซีค่ะ” เมื่อได้คำตอบบราฟนิ่งไปสักพักแล้วถามต่อไปว่า “เธอมีเงินเท่าไหร่เนี่ย แต่ล่ะอย่างเนี่ยความเสี่ยงสูงทั้งนั้นเลยนะนั่น”
“คือหนูมีแค่พันเหรียญทองเท่านั้นเอง แต่หนูจำเป็นจริง ๆ นะค่ะ แม่ของหนูป่วย เราต้องใช้วัตถุดิบพิเศษมาทำอาหารรักษาโรคที่แม่ของหนูเป็นค่ะ” เธอบอกด้วยเสียงเหมือนจะร้องไห้แล้ว บราฟนิ่งไปสักพักแล้วบอกว่า “ก็ได้มีข้อแม้นะ ถ้าเกิดมีการฆ่าอะไรนอกเหนือจากที่สั่งมันเป็นของชั้น เข้าใจมั้ย ว่าแต่เธอชื่ออะไร” เมื่อได้ยินแบบนี้เลม่อนยิ้มออกมาได้
“ตกลง หนูเลม่อน แรมซี่ค่ะ”
“บราฟ กูราจ”
ทั้งสองเตรียมการเดินทาง โดยบราฟมีม้าประจำตัวไปด้วยมันเป็นม้าสีดำเหมือนกับถ่าน แต่มีดวงตาสีแดงเหมือนกับไฟที่กำลังลุก แต่รูปร่างของดูผอมชอบกล เขามองล่อของเธอแล้วก็บอกว่า
“ฉลาดดีนี่ที่ขี่ล่อมา ดีเลยด้วยให้มันลากรถขนของแล้วกัน ว่าแต่มันชื่อเจ้าล่อนั่นน่ะ” บราฟบอก เขาตบคอของม้าเบา ๆ เลม่อนมองม้าของเขาก่อนที่ตอบว่า “ล่อของหนูชื่อ เจ้าตัวเล็กค่ะ แล้วม้าของคุณล่ะค่ะ”
“มันชื่อ เมฆดำน่ะ เอาล่ะของที่ต้องเอาไป นี่บอกเลยนะ กว่าจะกล่อมขอยืม จากลูซี่มาได้กล่อมแทบตาย” เขารถลากออกมา มีหีบไม้วางอยู่ด้วยนบน “นี่หีบเย็นเหรอค่ะ”
“ใช่ทำจากหินพิเศษที่ปล่อยความเย็นออกมาเรื่อย ๆ ทำให้ขอที่ใส่สดใหม่เสมอ จริงสิเธอเป็นแม่ครัวเหรอ” บราฟถาม “ทำไมถามแบบนั้นค่ะ” เลม่อนเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ก็เธอมีมีดกับกระทะและก็หม้อสนามมาด้วยมันติดอยู่ มีแต่พ่อครัว แม่ครัวที่พกของขนาดนี้”
“เดาผิดไปนิดหนึ่งค่ะ หนูเป็นหมออาหารฝึกหัด”
หมออาหารเป็นอาชีพใหม่ ที่เกิดขึ้นหลังจาก มีค้นพบทวีปใหม่ เป็นอาชีพมีหน้าทำอาหารที่สามารถบำรุงและรักษาสุขภาพในด้านต่าง ๆ เรียกได้เป็นทั้งหมอและพ่อครัวในเวลาเดียวกันส่วนมากจะทำงานให้คนชั้นสูง การเป็นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ต้องได้รับการรับรองจากสมาคมแพทย์ด้วย บราฟมองเธออย่างสงสัย
“เป็นหมออาหาร ทำไมบอกนายของเธอล่ะต้องการอะไร ไม่เห็นต้องลำบากมาเอง อีกอย่าง อาชีพนี้ทำเงินได้มหาศาล น่าจะพอจากอัศวินนะ ถึงจะแค่ฝึกหัดก็เถอะ”
“หนูไม่มีนายหนูเป็นอิสระฝึกกับหมออาหารคนหนึ่งที่ หมู่บ้านค่ะ” คำตอบของเลม่อนทำให้ บราฟแปลกใจมาก การเป็นหมออาหารตามหมู่บ้านแทบไม่ใครทำกัน เพราะมันเกือบจะทำให้ไม่มีรายได้เลย มีคนที่มีอุดมการณ์ขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจที่ถามต่อ เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
ทั้งสองมาที่ท่าเรือ บราฟนำเลม่อนไปที่เรือโดยสารเจรจาอยู่พักแล้วบอกว่า
“เค้าบอกว่าเรางบต้องไปที่คอกสัตว์ทำใจหน่อยนะ” บราฟบอกกับเลม่อน เธอพยักหน้ารับรูป เมื่อเข้าไปที่คอกสัตว์ภายในเรือ ส่วนมากจะเป็นม้า อยู่เรียง ๆ และมีกรงมามาย กรงเหล่ากลายเป็ที่พักชั่วคราวของเหล่าคาวบอย และพวกคนจน บราฟพาเข้าไปในกรงหนึ่ง ข้างในมีแต่ฟางปูเอาไวให้เท่านั้น
“พอไหวมั้ย” เขาถาม เธอพยักหน้า “ไหวค่ะ บ้านหนูก็นอนกันแบบนี้ล่ะ”
“ก็ดีแล้วแต่อย่าห่วงขากลับจะนอนสบายกว่านี้” บราฟเอาปืนยาวออกมาตรวจสอบดู เลม่อนมองอย่างสนใจ
“สนใจเหรอ นี่เรียกว่าปืนคาร์ไบท์ อานุภาพการยิงเท่าลูกซองแต่ สามารถยิงในระยะไกลได้แต่ไม่เท่าไรเฟิร์น หรอก ไว้เสร็จงานนี้คงจะหาไรเฟิร์นดี ๆ ใช้ซะบ้าง” บราฟบอก
“ค่ะ” เลม่อนตอบรับเธอดูจะตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด “ใจเย็น มีชั้นอยู่ไม่ต้องกลัวหรอก” คำพูดง่าย ของบราฟกลับทำให้เธอสบายใจขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากเดินทางมาร่วมสามชั่วโมง ก็มาถึงที่หมาย เมื่อลองเรือ เลม่อนต้องแปลกใจเมื่อเห็นกำแพงสูงมีร้านค้ามากมายเต็มไปหมด มันผิดกับเธอคิดเอาไว้
“เรามาถูกที่หรือเปล่าค่ะ”
“ถูก แต่มันเจริญแค่นี้ล่ะ เดินไปอีกชั่วโมง ก็จะถึงเขตป่าที่นี้ล่ะของ จริง เอาล่ะ เรามีเงินไม่มาก เสบียงต้องหาเอาข้างหน้าแล้วล่ะ” บราฟขึ้นม้าและค่อย ๆ ควบไปอย่างช้า ๆ โดยเลม่อนขี่ล่อตามไป ทั้งสองเดินมาถึง ประตูขนาดใหญ่ มีป้อมสูง ๆ อยู่สามป้อมข้างบนมีป้อมปืนกลติดตั้งอยู่ เมื่อคนเฝ้าประตูเห็นมีคนเดินทางเลยเข้ามาถาม
“มากันแค่สองคนเหรอ” เขาถาม
“ใช่เปิดประตูให้หน่อยสิ” บราฟตอบ เขามองทั้งสองคนแล้วถอนใจ
“มากันแค่สองคนจะเข้าไปเนี่ยนะ อยากตายหรือไง เอาเถอะ” เขาเปิดประตู บราฟกับเลม่อนเข้าไปคราวนี้เธอตกตะลึง เห็นป่าและทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา มันช่างเป็นบรรยากาศที่สวยงามมาก เขาควบม้ามาหยุดที่ต้องไม้ต้นหนึ่ง มันต้นไม้ที่ไม่สูงมาก นักที่แปลกก็คือ ผลของมันเป็นทรงกระบอกดูเหมือนกับปิ่นโต มันคือ ต้นปิ่นโต เมื่อสุกแล้วข้างในมีอาหารอยู่ข้างในซึ่งจะไม่รู้ว่าเป็นอะไรจนกว่าจะเปิดออกมา บราฟมองดูมัน และลงจากม้า และเด็ดมาสองผล เขาส่งให้กับเลม่อนและเลือกมุมนั่งที่ใต้ต้นไม้ เขาเอามีดมาผ่าด้านบนออก ข้างในมีแซนวินอยู่ “โอว์โชคดีได้แซนวินหมู เธอล่ะ” เลม่อนเปิดดูบ้าง เธอได้พาย หลังจากกินอาหารกันไปสักพัก เขาก็เก็บไปเสบียงเพิ่มเติม
“ของชิ้นแรกที่จะหาต้องนมของแพะเสือ อันดับแรกต้องหา กัญชาแมวให้ได้ก่อนพอมันกินเข้าไปแล้วนั่นล่ะถึงยอมให้เรารีดนม” บราฟพูดขึ้นมา
“กัญชาแมวเหรอค่ะ หนูมีติดมาด้วย” เลม่อนเปิดกล่องให้ดู เขามองดูแล้วก็บอกว่า “เยี่ยมมาก ดีเลยขืนไปหาตามทางอาจจะเจออะไรที่ไม่อยากเจอก็ได้”
ทั้งควบม้าและล่อไปอย่างไม่รีบร้อน บราฟาพยายามมองไปรอบ ๆ เขาเอาม้าผูกไว้ที่จุกพักแห่งหนึ่ง โดยมีเจ้าหน้าที่เฝ้าไว้ ส่วนหีบเย็นนั้นบราฟลากไปให้ ส่วนเลม่อนมีกระเป๋าสะพายติดตัวมาด้วย แต่ที่นี่ เลม่อนเห็นมีทั้งป้อมปืนกลและปืนใหญ่เธอมองอย่างสงสัย
“คนที่เสี่ยงมาทำธุรกิจในนี้ ก็ต้องเตรียมการขนาดนี้เลยล่ะ เพราะไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรบุกมาบ้าง พวกเองก็ต้องระวังตัวเอาไว้ จำไว้อย่างหนึ่งนะ ถ้าเห็นท่าไม่ดีล่ะก็ วิ่ง ถึงเธอจะมีชั้นคุ้มกันให้ล่ะก็ แต่ไอ้สิ่งที่เธอพึ่งได้ก็คือสองขาของเธอนั่นล่ะ” เมื่อบราฟพูดจบเลม่อนก็พยักหน้ารักรู้
ทั้งสองออกเดินเท้าไปกับเลม่อนที่แหล่งน้ำหนึ่ง เขาบอกให้เธอซุ่มเอาไว้ให้ดี เธอเห็นสัตว์แปลก ๆ มากมายกำลังลงมากินน้ำที่นี่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมาก ผิดกับบราฟที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด และในที่สุดเป้าหมายก็มาถึงสัตว์ตัวหนึ่งเดินเข้ามา มันเป็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ แต่ขาหลังกลับเป็นกีบและมีเขาเหมือนแพะ การมาของมันทำให้เหล่าสัตว์ที่กินน้ำต้องรีบหนีไปทันที เลม่อนกำลังตั้งท่าจะออกไปแต่ว่า บราฟห้ามไว้ “อย่าให้เสียของ นี่มันไม่มีน้ำนมให้เราหรอก มันมีเขาแบบนี้ตัวผู้ แถมยังเด็กอยู่เลย”
“ยังเด็กแต่ว่าตัวของมันใหญ่ขนาดนี้ แล้วตัวแม่ซะจะขนาดไหนกัน” เลม่อนตกใจมาก “ก็น้อง ๆ วัวนั้นล่ะ เฝ้าไว้นั่นล่ะ ถ้ามันไปจากตรงนี้ก็ตามมันไป ยังมันกลับไปกินนมแม่มันแน่” หลังจากกินน้ำเสร็จเห็นว่าเจ้าเสือแพะกำลังพยามทำท่าเหมือนจะจับอะไรในน้ำ ท่าทางของมันตอนนี่ดูเหมือนลูกแมว ทำให้เลม่อนรู้สึกว่ามันน่ารักมาก แต่แล้วก็บราฟกลับยกปืนขึ้น
“ทำอะไรจะยิงมันเหรอ”
“ไม่ใช่ดูดี ๆ สิ” เลม่อนมองที่น้ำเธอเห็นเหมือนกับหัวจระเข้โผล่ขึ้นมาจากน้ำ มันกำลังว่ายตรงมาทางเจ้าตัวน้อย เลม่อนตั้งท่าจะร้องเตือนแต่ว่า “อย่าเชียว ยังไม่แน่ว่ามันะเล่นงานเจ้าตัวนั้น” บราฟเตือน เจ้าจระเข้ใกล้เข้าและมันอ้างปากออกมา และตวัดลิ้นออกมา ลิ้นมัดขาหลังขอเจ้าเสือแพะ คราวนี้บราฟรีบยิงปืนทันที กระสุนตัดลิ้นขาดแต่นั่นก็ทำให้ เจ้าจระเข้รู้ตำแหน่งของเขา ทำให้บราฟและเลม่อนต้องออกจากที่ซ่อน “หาที่หลบเร็ว” เจ้าจระเข้กระโดดขึ้นมาจากน้ำทำให้เห็นร่างของมัน ส่วนหัวของมันเป็นจระเข้แต่ ลำตัวและขาเหมือนกับกบ มันมีหางยาวและผิวหนังเต็มไปด้วยเกล็ดราวกับเสื้อเกราะมันคือ ฟรอกโคได มันจ้องบราฟด้วยความแค้นและกระโดดเข้าใส่ชายหนุ่ม เขากระโดดหลบ แต่แรงสะเทือนจากกระโดดทำให้เขากระเด็น บราฟตั้งตัวได้และยิงสวนไปแต่ว่า กระสุนไม่อาจเจาะผิวของมันได้ ยังไม่ทันได้ตั้งตัวบราฟก็โดนฟาดด้วยหางไปเต็ม ๆ เขากระเด็นและล้มลงไป เจ้าฟอรกโคไดมองไปที่เจ้าเสือแพะที่กำลังกลัวมันเคลื่อนตัวไปหาอย่างช้า ๆ เลม่อนคิดอะไรไม่ทันเธอเลยไปยืนขว้างเอาไว้ เจ้าฟอรกโคไดใกล้เข้ามาแล้ว
ปัง เสียงปืนดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เจ้าฟรอกโคได หันมามองบราฟด้วยสายตามุ่งร้ายและกระหายเลือด มันกระโดดเข้าใส่ร่างของบราฟ ชายหนุ่มสไลร์ตัวหลบ และยิงสวนเข้าไปที่ท้องของเต็ม ๆ ร่างของล้มลงแล้วแน่นิ่งไป บราฟเดินเข้าไปดูมัน
“ตายสนิท” บราฟมองมัน เลม่อนตกใจมาก “คุณทำได้ไงกันเนี่ย”
“ก็ไม่อยาก ได้ตัวแบบนี้ช่วงท้องมักอ่อนก็เลย ใช้จังหวะตอนมันกระโดดยิงส่วนเขาหัวใจไป” บราฟอธิบายการทำแบบนี้เป็นการยิงแบบหวังผลแต่ก็เสี่ยงมาก ว่าจะกลายเป็นศพแทนเป้าหมาย
เจ้าเสือแพะส่งเสียงขู่แต่มันไม่หนีไป จากการที่มันโดนโจมตีเมื่อครู่ทำให้ขาของมันเจ็บ เด็กสาวพยายามจะเข้าไปแต่มันยังขู่ไม่หยุด
“มันไม่ใช้สัตว์เลี้ยง ยังไงมันก็ไม่ไว้ใจเธอหรอกนะ ทางที่ดีอย่าเข้าไปใกล้ดีกว่า” บราฟพูดพลางชำแหละเนื้อเจ้าฟรอกโคได เขาเอาเนื้อมาชิ้นหนึ่ง และบอกว่า “ขอกัญชาแม้วหน่อยสิ” บราฟพูดเลม่อนส่งให้ มันเป็นชนิดผง บราฟโรยลงบนเนื้อและโยนให้เจ้าเสือแพะ มันดม ๆ เมื่อได้กลิ่นกัญชาแมวมันรีบกินทันที
“ประเดี๋ยวมันจะวิ่งเล่นและลงไปนอน และจะไม่ไปไหนหรอก เดี๋ยวแม่มันคงมานะ เอาล่ะ” บราฟชำแหละเหยื่อของเขา ทำให้เลม่อนยิ่งแปลกใจเขาทำเพียงคนเดียวและใช้เวลาไม่นานเลย เขาถลกหนังของมันออกมาเก็บเอาไว้ เขาแบ่งส่วนหนึ่งใส่ในหีบเย็น และอีกส่วนเอาไว้กิน เนื้อของมันเป็นสีแดงเหมือนกับเนื้อวัวและมีไขมันแทรกอยู่เต็มไปหมด เขายิ้มอย่างพอใจตามข้อตกลงแล้วเนื้อส่วนนี้เป็นของเขา ซึ่งราคาอยู่ กิโลละหนึ่งพันเหรียญทองจากปริมาณที่เขากะดูแล้ว มันต้องได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นแน่ ๆ บราฟก่อไฟเตรียมที่ย่างแต่เลม่อนกลับบอกว่า
“เดี๋ยวก่อนจะย่างเหรอ” บราฟพยักหน้า “ย่างแบบนี้เดี๋ยวรสชาติก็เสียหมดหรอก” เลม่อนบอก เธอเอาหินแถวนั้นมาทำเป็นเตาและจุดไฟเธอเอาเนื้อไปวางบนนั้น เมื่อเนื้อต้องกับความร้อนมันส่งกลิ่นหอมฉุย ชวนให้น้ำลายไหล บราฟกลืนน้ำลายเอือก เด็กสาวย่างไปสักพักแล้วบอกว่า
“ได้ที่แล้วแบบมิเดอร์แร” เธอเอาเหล็กแหลมจิ้มและใส่จานให้กับบราฟเมื่อเขากินเขาไปแล้วถึงกับอุทานออกมา
“โอว์ อร่อยมาก เนื้อนุ่ม มีรสชาติของไขมันแทรก นี่มันอะไรกัน ปกติย่างแล้วไขมันจะน้อยลงนี่” บราฟพูด
“หนูย่างบนเตาหินค่ะ ทำให้ไม่เสียไขมัน” เธอบอกกับเขา บราฟยิ้มออกมาเขาคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเด็กสาวตรงหน้าจะมีฝีมือในการทำอาหารขนาดนี้ ทั้งสองกินอย่างเพลิดเพลิน โดยไม่ลืมที่จะโยนเนื้อใส่กัญชาแมวให้กับเจ้าเสือแพะ เลม่อนอิ่มมากจนกินไม่ไหวแต่บราฟนี่สิกินเข้าไปเกือบสิบชิ้น กว่าจะอิ่ม เจ้าเสือแพะนอนหมอบอยู่ท่านอนของมันเหมือนกับแมวไม่มีผิด หลังจากกินกันสักพักบราฟก็ส่งสัญญาณให้หาที่หลบเขาเอาเนื้อที่เหลือทาด้วยกัญชาแมวก่อนที่จะโยนทิ้งไว้ด้านนอก เสียงคำรามดังขึ้น ร่างหนึ่งเดินออกมา มันคือเสือแพะที่ ตัวใหญ่พอ ๆ กับวัว ขาหลังของเป็นกีบเหมือนกับแพะ แต่ไม่มีเขา ที่ท้องเห็นเต้านมกำลังเต็งตึง มันเข้ามา เลม่อนเย็นวาบไปทั้งตัวนี่จะต้องรีดนมจากเจ้าตัวนี้หรือเนี่ย
เจ้าเสือแพะตัวเล็กวิ่งหามัน มันคือ แม่เจ้าตัวนี้ เจ้าเสือแพะดม ๆ เนื้อกองนั้นและกินเข้าไป มันเริ่มมีอาหารสนุกสนาน บราฟค่อย ๆ คลานไปพร้อมกับขวดโหลขนาดใหญ่ เขาค่อย ๆ จับมันที่เต้านมของมันแล้วรีดอย่างชำนาญ ด้วยอำนาจของกัญชาแมวที่ผสมอยู่ในเนื้อทำให้มันไม่รู้ตัวเลย น้ำนมของมันเป็นน้ำใส ๆ เขารีดจนเต็มโหลและค่อย ๆ เดินออกมาเขาส่งขวดโหลเลม่อน เป็นภาวะที่กดดันน่าดูแต่ในที่สุดทั้งสองก็รอดมาได้
“เราทำได้ เราทำได้” เลม่อนกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ เมื่อเห็นน้ำนมของเสือแพะอยู่ในขวดโหลเธอเปิดออก มันมีกลิ่นแอลกอฮอลโชยออกมา
“ใช่จริง ๆ ด้วยน้ำนมของเสือแพะมีแอลกอฮอลผสมอยู่เล็กน้อย ถ้าเอาไปหมักอะไรก็ตามจะเพิ่มรสชาติและสรรพคุณทางยาให้มากขึ้นไปอีก” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม บราฟมองแล้วก็อมยิ้ม ตอนนี้เธอกลับกลายเป็นเด็กอีกครั้ง บราฟเลยบอกว่า “เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวขวดแตกหรอก ให้ไปรีดอีกที มันไม่ง่ายนักหรอกนะ” เธอถึงได้หยุด บราฟพาเธอไปที่ฝากม้าและตัดสินพักที่นั้นโดยใช้เต้นต์ที่เจ้าหน้าเตรียมเอาไว้ให้ นั่นทำให้เลม่อนใจเต้น แรง เธอต้องนอนร่วมเต็นต์กับผู้ชายหรือนี่ แล้วเธอจะปลอดภัยมั้ยสมองของเธอกำลังคิดแต่เรื่องน่ากลัว
“เมื่อเธอไม่มีค่าจ้างล่ะ ก็ มาเลย ฉันจะยัดเยียดความเป็นผัวให้กับเธอ ฮ่า ๆ ”
“ไม่” เลม่อนร้องลั่น
“อะไรของเธอ ร้องทำไมเนี่ย” บราฟมองเธออย่างแปลกใจ เลม่อนทำหน้าไม่ถูกทั้ง ๆ ที่นั่นเป็นความคิดของเธอเอง
“นอนในเต้นต์ไปเลยก็แล้วกัน ฉันจะเฝ้าไว้ให้ก็แล้วกัน” บราฟบอก มันผิดกับที่เธอคิดจริง ๆ
เช้าวันต่อ เลม่อนตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเธอยังคงนอนอยู่คนเดียว เธอยิ้มออกมาไม่คิดว่าบราฟจะเป็นสุภาพบุรุษแบบนี้ เลม่อนออกมาดูหน้าเต็นต์ เธอไม่เห็นบราฟตอนแรกเธอตกใจมากคิดว่า บราฟจะทิ้งไปแล้ว แต่สักพักเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับ สัตว์มาชนิดหนึ่ง มันเหมือนกับกุ้งแต่มีหัวกับหางเหมือนปลาแซลม่อน เขาได้มาเป็นพ่วงใหญ่ ใบไม้ขนาดใหญ่ประมาณผ่ามือสีเหลือง และผลไม้เปลือกนิ้มสีเหลืองทอง
“พอดีไปตามหาอาหารเช้ามาน่ะ ไม่ค่อยอยากกินผลต้นปิ่นโต แต่โชคดีแซลเตอร์มาด้วย เธอลองทำอะไรจากมันได้มั้ยเนี่ย และก็เก็บใบแผ่นเกี้ยวมาด้วย เอาผลต้นน้ำมันมาด้วย” เขาบอก เด็กสาวมองดูแล้วยิ้มออกมา เดินไปที่ล่อของเธอแล้วเอาเครื่องครัวออกมามีกระทะ และมีดอีกชุดใหญ่เธอค่อ ๆย ผ่าแซลเตอร์ ออกมามันมีไขมันแทรกตามเนื้อ แต่ไขมันเป็นสีแดงเหมือนมันของกุ้ง และมีเนื้อสีขาว เธอค่อยแล่ออกมาและห่อด้วยใบแผ่นเกี๊ยว และเอาผ่าผลน้ำมันออก ข้างในมีน้ำมันชั้นเลิศอยู่เหมือนมันเดือดก็ส่งกลิ่นหอม เมื่อเอาอาหารลงไปทอดมันก็ส่งกลิ่นหอมเข้าไปอีก มันกลายเป็นเกี้ยวสีทอง บราฟกินเข้าไป มันกรอบจนเขาเคี้ยวทำให้เกิดเสียงดัง
“อร่อย ! แป้งกรอบอร่อย แต่เนื้อข้างในที่ใช้ทำไส้ ก็นิ่มและรสชาติของไขมัน โอว์สุดยอดเลย” เขาพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียเคลิ้ม
“อร่อยเหรอค่ะ น่าเสียดายนะที่ไม่ได้เก็บสมุนไพรมาด้วย ไม่งั้นจะได้อาหารบำรุงสุขภาพมากกว่านี้แน่ ๆ ” เลม่อนพูดอย่างมีความสุข
“ไม่ต้องกังวลหรอกระหว่างทางยังมีของให้หาอีกมากมาย ต่อไปเราจะ ทุ่งผลไม้ ที่นั้นจะมีผักผลมาให้เลือกมากมาย และที่นั้นล่ะที่มีผลไม้โสมแต่คราวนี้ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกนะ เพราะคราวนี้มีตัวอันตรายอยู่ที่นั้น”
“ตัวอะไรเหรอค่ะ” เลม่อนถามอย่างสนใจ “กลัวหมามั้ย” บราฟถามด้วยน้ำเสียงเรียกเฉย “ไม่นะคะ หมาน่ารักออกจะตาย” เลม่อนตอบด้วยน้ำเสียงร่างเริง “อ๋อ แต่ถ้าเป็นไอ้ที่เราเจอรับร้องว่าเธอ ยิ้มไม่ออกแน่ มันคือ หมาคันไฟ !” บราฟพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและน่ากลัว
“หมาคันไฟเหรอค่ะ” เธอตกใจมาก “ใช่ และไม่ใช่แค่ตัวเดียวด้วย มันอยู่กันเป็นฝูง อยู่แถว ๆ ต้นผลโสมนั่นล่ะ เพราะว่าพวกมันรู้ดีว่าจะมีต้องมีสัตว์มากินผลไม้โสมนี่ล่ะ เพราะมันมีรสชาติอร่อยและก็ยังรักษาอาการบาดเจ็บได้อีก ลำพังมันตัวเดี๋ยว คงไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก แต่พวกมันก็มีเหมือนมดนั่นคืออยู่กันเป็นฝูง ต่อให้สัตว์ใหญ่พวกมันก็จัดการได้ไม่ยากนักหรอก” บราฟพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“วางยามันไม่ได้หรือไงกันคะ เหมือนกับที่เราวางเจ้าเสือแพะน่ะค่ะ”
“ไม่ได้หรอก มันอยู่กันเป็นฝูงวางได้ตัวหนึ่ง อีกเป็นสิบก็เล่นงานเรา” เลม่อนหน้าเสียเธอรู้สึกเหมือนอยู่ในทางตัน แต่บราฟกลับบอกว่า “ใช่ว่าจะไม่มีวิธีหรอก นะเดี๋ยวฉันแสดงเองไม่ต้องห่วง แต่ต้องเอาโหลไปด้วยนั่นล่ะ ระวังหน่อยอย่าให้แตกด้วย งานต้องเสี่ยงกันแล้วล่ะ” บราฟบอกพลางขึ้นม้าไป โดยมีเลม่อนขี่ล่อตามไป เมื่อจุดพัก เขาบอกให้เธอผูกล่อเอาไว้ แต่เขากลับไม่ฝากม้าเอาไว้
“ทำไมยังงั้นล่ะค่ะ”
“เชื่อสิงานนี้ต้องใช้ม้าแน่นอนเอ๊าขึ้นมา” บราฟบอก “อะไรนะค่ะ” เลม่อนทำหน้าตาแปลกใจ
“ขึ้นมาเลย” เลม่อนเลยขึ้นม้าทางด้านหลัง “เอาล่ะเกาะไว้ เมฆดำเต็มที่เลย” เขากระดุกบังเหียน ม้าร้องดังลั่นก่อนจะออกวิ่งไป มันวิ่งเร็วราวกับลมพัด เลม่อนรู้สึกสายลมที่เข้ามาปะทะหน้า เธอกลัวจนกระทั่งกอดแอวเขาเอาไว้แน่น บราฟเลยหยุดม้า
“เอาล่ะถึงแล้ว ป่าแห่งผลไม้” บราฟบอกกับเธอ เลม่อนลงจากม้า เธอต้องตกตะลึงที่เต็มไปด้วยผลไม้ต่าง ๆ มีสีสันสดใสน่าทานไปหมด และอากาศที่นี่ก็เต็มไปด้วยกลิ่นผลไม้มากมาย
“เอาล่ะตอนนี้ขอกินแป๊บนะ คงไม่ว่ากัน” บราฟลงจากม้าของเขา และตบคอมันเบา ๆ เขาเด็ดผลไม้มาสองลูก มันเป็นผลไม้ที่เหมือนกับแอปเปิ้ลแต่ว่า กลับมีสีรุ้ง บราฟส่งให้เธอ เลม่อนกัดเข้าไปคำหนึ่ง เธอรู้สึกถึงความหอม อมเปรี้ยวของมัน และยังมีรสฝาดนิด ๆ และเมื่อเคยไปสักพักก็ได้รถ มันและเค็มด้วย
“อร่อยมั้ยล่ะแอปเปิ้ลรุ้งตอนนี้กินให้เต็มที่เถอะ เดี๋ยวของจริงตามมาด้วย” บราฟเก็บมาลูกหนึ่งสี่งให้กับเจ้าม้าดำลูกหนึ่ง เธอทึ่งในตัวของมันมากเพราะมันเป็นม้าที่ดูผอม ๆ แต่เมื่อกี้กลับวิ่งได้อย่างรวดเร็วและเอาเด็ดผลไม้อีกชนิดหนึ่งมันเหมือนกับพุดซาสีแดงสด เขาเด็ดมาให้เธอลองกินรสชาติของมันหวานเหมือนกับเชื่อมด้วยน้ำตาล
“ลูกพุดซาเชื่อม มันออกผลมามีรสชาติหวาน หวานเจอของชอบแล้ว” บราฟเดินที่ต้องไม้ต้นหนึ่ง มันออกผลออกมาวง ๆ สีเหลืองทอง เขาเด็ดออกมา และกินเข้า
“โอว์ต้นหัวหอมทอด นี่โดยแดดเลยทำให้รสชาตกำลังดีเลยล่ะ” เลม่อนสนใจต้นไม้อีกต้นหนึ่ง มันออกผลมาเป็นเม็ด เมื่อลองกินมันเป็นถั่วชุบน้ำตาล หลังจากกินกันจนอิ่มและบราฟก็พาเธอขึ้นม้าไปอีก ควบม้าไปเรื่อย ที่เต็มไปด้วยสัตว์กินพืชหลากชนิด บราฟไม่ได้สนใจพวกมันเลย เขาควบม้าผ่านไปเลย เลม่อนสังเกตเห็นว่า หลังจะไม่มีต้นไม้ใหญ่เลยสักต้น
“สงสัยน่ะสิว่าทำไมต้นไม้ใหญ่หายไปหมด พอเข้าเขตที่มีต้นผลโสม มันจะกินสารอาหารจากดินแยอะมาก เลยทำให้ต้นไม้ใหญ่ขึ้นไม่ได้ไงล่ะ เอาล่ะ” บราฟหยุดม้าและบอกให้เธอลงไป เขาเริ่มมองไปพื้นดีในที่สุดก็เจอ เขาขุดต้นว่านออกมาสองต้นมันว่านขนาดใหญ่เท่าฝ่ายมือ เขาโยนให้เธอต้นหนึ่ง
“เอาทาตัวซะ” เธอลองดมมันเหมือนเธอจะรู้จักมัน “ต้นว่านดีดีที ถ้าทาตัวแล้วพวกแมลงจะไม่เข้าใจ”
“แมลงไม่ชอบกลิ่นนี้ ไอ้พวกนั้นมันเป็นหมาผสมแมลง รับรองพวกมันได้กลิ่นก็จะไม่เข้าใกล้เราเอา” บราฟเอาทาให้เจ้าเมฆดำด้วยเขาพาเด็กสาวขี่ม้าไปด้วยกัน ยิ่งเดินทางเข้า บรรยากาศยิงน่ากลัว เธอได้กลิ่นเหมือนกับสมุนไพรลอยปนมากับอากาศ กลิ่นมันหอมแบบเอียน ๆ
“เราใกล้แล้วล่ะ” บราฟชี้ให้ดู มีต้นไม้ต้นใหญ่ส่องประกายสีทองอยู่ตรงหน้า เลม่อนตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็นมาก บราฟมองขึ้นไปบนเขาเห็นเมฆตั้งเค้าขึ้นมาแล้ว เขาควบม้าให้วิ่งเร็วขึ้น เลม่อนเกือบจะตกม้าแล้วเธอกอดเขาเอาไว้แน่
“ทำไมต้องรีบด้วย”
“ถ้าฝนตกก่อนล่ะ มันจะล้างยาที่ตัวออกไปน่ะสิ คราวนี้มีหวังได้แย่แน่”
ต้นไม้นั้นเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ในสายตาของเลม่อนจนกระทั่งเธอเห็นใบเขียว ๆ ของมันแล้ว และผลสีทองที่ส่องประกายแต่ว่าบราฟหยุดม้า เธอยังไม่ทันได้ถามอะไรก็ได้กลิ่นบ้างอย่างลอยมาแตะจมูก มันกลิ่นที่เหมือนกับกลิ่นของหมาและเสียงขู่คำรามที่ฟังเหมือนเสียงของหมาแต่แหลมกว่าฟังดูน่ากลัว เธอมองไปก็ต้องตกใจ สัตว์ฝูงอยู่ตรงหน้าของพวกเธอ มันหมาป่าตัวใหญ่ แต่รูปร่างของมันแปลกประหลาด มันขนเป็นสีแดงเอวของมันเล็กและมีหกขาเหมือนกับมด พวกมันส่งเสียงขู่แต่ยังไม่กล้าเข้าใกล้เพราะ กลิ่นของว่านที่ทาตัวบราฟรีบควบม้าเข้าไปพวกมันเปิดทางให้
เลม่อนกลัวจนตัวสั่นหัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้น เมื่อมาถึงมันเป็นต้นไม้ขนาดกลาง มีใบเขียวและมีผลไม้รูปร่างประหลาด ดูเหมือนเด็กทารกกำลังขดตัวอยู่ มันสีเหลืองทองส่งประกาย เลม่อนจะไปเด็ดแต่บราฟบอกว่า
“ระวังด้วยถ้ามันตกพื้นมันจะเน่าทันที และต้องตัดให้ขาดในทีเดียวไม่งั้นมันเน่า” บราฟเอามีดออกมา เขาบอกให้เลม่อนเปิดกระปุกใส่นมแพะเสือ พอเปิดกลิ่นแอลกอฮอลก็ส่งกลิ่นมา ทำให้เด็กสาวมึนหัว บราฟตัดฉับเดียวลูกผลโสมก็ตกลงไปในในโหลพอมันลงไปมันก็เริ่มละลาย เลม่อนรีบปิดฝา
“เยี่ยมแบบนี้ล่ะมันจะละลายจนเปลี่ยนน้ำเป็นสีเหลืองก็ใช้ได้” บราฟบอกเลม่อนดีใจมากที่ทำสำเร็จ ยังไม่ทันไรน้ำฝนเม็ดหนึ่งก็หยดลงมาโดนมือของเธอ บราฟตกใจมาก ฝนกำลังจะตกแล้ว
“ขึ้นม้าเร็ว” บราฟร้องบนเธอรีบขึ้นไปบนหลังเจ้าเมฆดำบราฟขึ้นตามและรีบควบหมายจะให้ทันขณะที่กำลังจะพ้นฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมา เมื่อน้ำยาถูกชะล้าง เจ้าหมาคันไฟก็วิ่งตามทันที ! บราฟเร่งม้าให้วิ่งหนีด้วยความเร็ว แต่เจ้าหมาคันไฟกลับไล่ตามมาอย่างลดละ ! มันใกล้เข้ามาแล้ว เลม่อมรู้สึกถึงกลิ่นน้ำลายและกลิ่นลมหายใจ ตามมา
ปัง ! บราฟยิงนัดแรงออกไป กระสุนทำให้เจ้าหมาคันไฟตัวนั้นล้มลงไป แต่ว่า เจ้าสัตว์ร้ายยังคงไล่ตามมาอีก
“อะไรกันพวกมันตามเราทำไม” เลม่อนถามด้วยน้ำเสียงกลัวลนลาน
“เคยเหยียบรังมดมั้ยล่ะ” เมื่อได้ยินอย่างนั้นเธอก็เข้าใจได้ทันที เจ้าหมาคันไฟตามไม่หยุด “มีอะไรบอกอีกมั้ย”
“อย่าให้มันกัดเด็ดขาด ไม่ล่ะอาจต้องตัดขาทิ้ง !” บราฟพูดและรีบควบม้าไป เจ้าหมาคันไฟยังคงตามคราวนี้มันดักหน้าบราฟยิงอีกแต่คราวนี้
แคร๊ก
อำนาจของน้ำฝนทำให้ กระสุนปืนและยิงไม่ออก เลม่อนน้ำตาไหลด้วยความกลัวเจ้าหมาคันไฟกำลังรุมทั้งสอง บราฟมองไปอีกทางเขาบอกว่า
“เกาะไว้” และควบม้าทันที เจ้าเมฆดำวิ่งไปเร็วราวกับลมพัด เลม่อมมองเห็นข้างหน้าเธอต้องตกใจจนหน้าชีดเผือดมันเป็นเหว !
“นี่บ้าไปแล้วหรือไง นั่นมันเหวนะ” เลม่อนพูดเสียงสั่น “เชื่อเถอะเมฆดำข้ามได้” เขาบังคับม้าให้กระโดดข้ามไปทันที เสียงเลม่อนกรี๊ดดังลั่น เจ้าพุ่งไปราวกับเหาะมันลงไปที่พื้นฝั่งตรงข้าม เสียงกีบม้ากระแทกกับดินดังสนั่น และรีบควบไปเจ้าหมาคันไฟตามมาไม่ได้ มันเห่าเสียงดังลั่น เลม่อนยังคงกรี๊ดเสียงดัง
“ปลอดภัย แล้วเลิกกรี๊ดเถอะเดี๋ยวก็มีตัวอะไรตามเสียงมาอีกหรอก” บราฟพูดด้วยเสียหัวเราะ เลม่อนลืมตาขึ้นมาเธอถอนใจเฮือกใหญ่และลงจากม้ามาจูบพื้นดิน บราฟมองแล้วก็ขำ เลม่อนยังยัวะเธอกระหน่ำมือตีเข้าไม่หยุด
“คนบ้า คนบ้า ทำแบบนี้ไม่กลัวตายหรือไงกันเนี่ย” เขาจับมือของเธอเอาไว้ และสบตาเธอ เจอสายตาของบราฟเข้าเลม่อนก็ทำอะไรไม่ถูก
“ก็ไม่ตายนี่ เจ้านี่มันม้าชั้นเลิศไม่ต้องกลัว ทำธุรกิจกับบราฟ กูราจ ไม่มีทางตายก่อนผมหรอก เอาล่ะกลับค่ายกันดีว่านะ”
“ค่ะ”
ขณะกลับที่พักบราฟยิงไก่ป่าได้หลายตัว มันเป็นไก่ป่ารูปร่างของมันเหมือนไก่ธรรมแต่ขนเป็นสีขาวและตัวอ้วนก็เท่านั้น
“นี่ไก่ธรรมนี่ ทำไมถึงได้ยิงล่ะ”
“ไม่ใช่หรอก นี่เหมือนไก่ธรรมดา แต่ลองย่างดูสิแล้วจะรู้” บราฟพูดและยิ้มให้กับเธอ เลม่อนชักเขิน ๆ มื้อเลยกินไก่ย่างกัน เมื่อย่างมันกลับมีกลิ่นของน้ำนมลอยออกมา
“นี่ไก่อะไรกันเนี่ย”
“ไก่กะทิในตัวของมัน มีน้ำนมอยู่ในตัว ดูยากนะ วิธีดูคือ มันจะน้ำนมไหลออกมาตามขนน่ะ เอารีบกินเถอะแล้วรีบนอน พรุ่งต้องตื่นแต่เช้าหาเสบียงอีกแยอะ เพราะที่เราไปคราวนี้ ของกินหายากหน่อยนะ” บราฟบอก
“ทำไมงั้นล่ะค่ะ” เลม่อนถามอย่างสนใจ “ก็ที่เจ้าอิเร็กทิกโบอาอยู่มันกลายเป็นป่าเสื่อมโทรมเพราะกระแสไฟฟ้าจากตัวมันนั่นล่ะ ก็หวังจะเจอมันตอนที่กินอิ่มแล้วนะ ไม่งั้นก็ต้องหาเหยื่อมาให้กิน ไม่งั้นก็ยากแล้ว” บราฟพูดพยามกินอาหารต่อไป “ทำไมเหรอค่ะ”
“ช่างซักถามดีนะ แต่ก็เป็นนิสัยที่ดีเหมาะกับเป็นหมออาหาร ก็เพราะนิสัยของมันเหมือนงูเหลือมถ้ามันกินอาหารเข้าไป มันต้องนอนเฉย ๆ กว่าจะย่อย แต่ก็ยังอันตรายมันปล่อยไฟฟ้าได้ ถ้าโดนเข้าทีล่ะก็เกรียมแน่รับรองได้เลย” บราฟพูดทำให้เลม่อนกลืนน้ำลายด้วยความกลัว
“กลัวล่ะดีแล้ว ถ้าคนเรากลัวไม่เป็นก็กล้าไม่เป็น” บราฟบอกกับเธอ ทำให้เลม่อนอุ่นใจมากขึ้น เธอกินได้ครึ่งตัวก็อิ่มแล้ว แต่บราฟกับกินไปเกือบสิบตัว
ในตอนเช้าวันนี้อาหารจากต้นปิ่นโตได้ ปลาย่างกับสเต๊ก หลังกินอิ่มแล้ว ก็เดินทางเอาล่อไปฝากที่จุดพัก คราวนี้บราฟต้องใช้ม้าอีกครั้งหนึ่ง และให้ม้าลากหีบเย็นไปด้วย ทำให้เด็กสาวต้องขี่ม้าดัวเดียวกับเขาอีกแล้ว ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัย ม้าวิ่งไปด้วยความเร็ว หลังจากเดินทางไปราวชั่วโมงเศษ ก็พบว่า ป่าบริเวณนี้มีแต่ต้นไม้ที่ตายแล้วทั้งนั้น แต่เธอได้กลิ่นเครื่องเทศ บราฟชี้ให้ มีน้ำพุพุ่งออกมาในบริเวณแต่มัน ไม่ได้ออกมาเป็นน้ำ มันเป็นผงสีแดง เขียว ชมพู่ ขาว
“น้ำพุเครื่องปรุง เจ้างูแม้จะทำลายป่าเก่ง แต่ว่ามันกลับกระตุ้นให้เครื่องปรุง ที่อยู่ใต้ดินพุ่งออกมาได้” บราฟเขาพูดจบก็เห็นบางอย่าง เลยลงจากม้า และไปดูร่องรอยที่พื้น “มีรอยเหมือนงูเลื้อย แต่ต้นหญ้ารอบ ๆ ตายเพราะโดนไฟฟ้าซ็อด แสดงว่ามันอยู่แถวนี้ ผ่านไปนาน”
“รู้ได้ไงค่ะ” เลม่อนรีบถาม “ยังมีกระแสไฟฟ้าหลงเหลืออยู่บ้าง และ โอว ! มีการต่อสู้ คนที่สู้ด้วย มีอาวุธเป็นปืน พวกคาวบอย” บราฟพูดพลางหยิบปลอกกระสุนขึ้นมาดู “รู้ได้ไงค่ะเนี่ย” เลม่อนถามอย่างสนใจ
“ลูกปืนราคาถูก ถ้าเป็นอัศวินก็จะใช้ลูกปืนที่แพงกว่านี้ ไม่ใช้ของถูกแบบนี้หรอก และมีร่องรอยของการหนี คิดมันน่าจะเพิ่งกินมื้อใหญ่ไป และคงจะไปได้ไม่ไกลหรอก เราโชคดีไปกันเลย” บราฟพูดและดูร่องรอยอื่นในบริเวณโดยมีข้าวของกระจัดกระจายไปทั่ว เขาเอาหีบเย็นไปซ่อนไว้โดยเอาใบไม้แห้งมากองปิดเอาไว้และตามรอยไป และที่สุดก็เจอ สิ่งอยู่ตรงหน้าทำให้เลม่อนถึงตะลึงใจหายวาบ
มันเป็นร่างของงูขนาดใหญ่กำลังขดเป็นวงขนาดตัวของมันคงราว ๆ 60 เซนติเมตร ลำตัวอ้วนใหญ่ ผิวของมันสีเหลืองและลายของมันเหมือนกับสายฟ้าฟาด และเธอยังเห็นมีเหมือนกับกระแสไฟพุ่งออกมาจากตัวของมันตลอดเวลา ยิ่งเธอนึกถึงสิ่งบราฟบอกว่ามันเพิ่งกินไปเธอไม่อยากรู้เลยว่า มันเพิ่งกินอะไรเข้าไปกันแน่ นี่คืออิเร็กทิกโบอา งูเหลือมไฟฟ้า ! บราฟเตรียมปืนคาร์ไปร์ในการจัดการกับงูนั้นต้องเล่นงานมันที่หัวเท่านั้น ในที่สุดเขายิงออกไป
ปัง เสียงปืนดังสั่น กระสุนพุ่งไปแต่แล้วกระสุนก็เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน ไปโดนที่ลำตัวแทน เขาเจ้างูยักษ์ตื่นขึ้นมาแล้ว ดวงตาของมันเป็นสีเหลืองอำพันทำให้มันยิ่งน่ากลัว มันมองบราฟ ปล่อยไฟฟ้าใส่เขาทันที บราฟรีบควบม้าหลบ ฟ้าผ่าไล่มาเรื่อย ๆ ยังดีที่เจ้าม้านั่นฝีเท้าดีเลยทำให้รอดมาได้
“หนีไปจากที่นี่เถอะ” เลม่อนพูดด้วยความกลัว “ไม่ได้ ไอ้ตัวนี้ไม่หาง่าย ๆ ไม่รู้จะเจออีกกี่วัน นั่น ยิ่งช้าแม่เธอยิ่งแย่” บราฟพูดเลม่อนคิดได้เธอเลยไม่ได้พูดอะไรต่อ บราฟเล็งปืนและยิงสวนไปอีก คราวนี้ก็ยังพลาด
“บ้าเอ๋ย กระสุนเป็นเป็นโลหะ มันมีพลังไฟฟ้าทำให้เปลี่ยนทางลูกปืนได้” บราฟพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “แล้วทำไงดีล่ะค่ะ” เลม่อนถามหน้าตื่น
“ยิงไปเรื่อย ๆ นั่นล่ะ ตอนนี้มันขยับตัวไม่ได้” บราฟตอบหน้าตาเฉย เขากระหน่ำยิงไปอีก แต่กระสุนถูกเปลี่ยนทิศทางอีก แต่บราฟก็รักษาระยะไม่ให้เข้าใกล้มัน แต่เจ้างูทำท่าเหมือนจะคายอะไรออกมา
“แย่แล้ว” บราฟตะโกนลั่น เจ้าคายเอาร่างของมนุษย์สามคนออกมา ร่างเปียกไปด้วยน้ำลายและน้ำย่อยของมันส่งกลิ่นเหม็นชวนให้อาเจียร ยังดีที่เลม่อนฝึกเป็นหมอด้วยเลยทำให้ไม่อ้วกออกมา แต่สภาพศพก็ทำให้เธอไม่อยากจะดูมันเลย
“มันคายออกทำไมจะเอาเล่นงานเราเหรอ ค่ะ”
“ตรงกันข้ามเลย มันคายออกมาเพื่อให้เคลื่อนไหวได้” เมื่อบราฟพูดจบ อิเร็กทิกโบอาเลื้อยมาอย่างรวดเร็ว บราฟรีบควบม้าหนีมันปล่อยไฟฟ้าออกมา ตลอดทาง เรียกได้ว่าอะไรผ่าน ก็โดนไฟฟ้าช็อตหมด บราฟเลยต้องเปลี่ยนทางหนี
“ทำอะไรนะบราฟกลับไปทางเก่าทำไมกัน” เลม่อนถามด้วยน้ำเสียงเลิกลั่นเธอคิดว่า บราฟบ้าไปแล้ว
“มันเลื่อยไปที่ไหนที่นั่นก็จะถูกทำลาย ต้องไม่ให้มันทำลายอะไรเพิ่ม” บราฟตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่
“แล้วพวกเราล่ะจะทำยังไง”
“ฉันจะบังคับม้าเข้าหามัน มันจะต้องชนเราให้ล้ม และหลังจากนั้น ฉันจะยิงมันระยะเผาขน” บราฟพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แล้วถ้ายิงไม่ได้ล่ะ”
“เราก็กลายเป็นแบบสองคนนั่น” คำตอบของบราฟทำให้เลม่อนไม่กล้าพูดอะไรอีก เธอหลับตาปี๋ไม่กล้ามองอะไรอีก บราฟควบม้าเข้าหามัน ยิ่งเข้าไปใกล้มันเท่าไหร่ ตัวของมันก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น มันพุ่งมาหมายจะชนให้ม้าล้ม บราฟยกปืนขึ้นและยิงออกไปทัน กระสุนพุ่งเข้าไปมันโดนหัวเจ้างูเต็ม ๆ มันปล่อยไฟฟ้าออกมาเกิดระเบิดทำให้ทั้งคนและม้ากระเด็น ยังดีที่ไม่ล้มลงเจ้างูนั้นดิ้นปัด ๆ ด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะแน่นิ่งไป
“เป็นอะไรมั้ย” บราฟถามเลม่อน เธอลืมตาขึ้นมาแล้วตอบว่า “ไม่เป็นอะไรค่ะ”
“เอาล่ะไปดูมันกันไม่ต้องกลัวกระสุนตัดสมองมันไปแล้วเต็ม ๆ มันตายแน่” บราฟพาเลม่อนเดินไปหามัน เลม่อนเห็นตัวมันยิ่งกลัวบราฟเอามีดผ่าท้องอยู่เขาก็ร้องอ๊ากขึ้นมา เลม่อนตกใจมา เธอนึกว่าเขาโดน ซ็อด แต่บราฟหันมายิ้ม
“โทษที อดเล่นไม่ได้” บราฟเปิดท้องของมันและส่งมีดให้เลม่อน เธองงมาก “หมายความว่าอะไรน่ะ”
“ไอ้การผ่าทองงูเนี่ย ฉันทำได้ แต่ตัดดีไม่ให้แตกเนี่ย ทำไม่ได้ เธอเป็นหมออาหารน่าจะทำได้นะ” บราฟพูด
“แต่ว่า หนูไม่เคยฝึกเลยนะ”
“ต้องทำ ไม่งั้นต้องไปล่ามันใหม่ อย่าให้พลาดนะ เพราะถ้าให้ล่ามันอีก เราอาจไม่โชคดีแบบนี้อีก” บราฟพูด เลม่อนจนแต้มเธอเอามีดทำครัวออกมา เธอค่อย ๆ ตัดมันอย่างเบามือ บราฟนึกชื่นชมเพราะว่ามือเธอไม่สั่นเลยสักนิด จนกระเธอตัดมันออกมาได้ถุงน้ำดีของมีขนาดเท่ากับไข่ไก่ บราฟค่อย ๆ เปิดฝา คราวนี้ยาที่ดองไว้มีกลิ่นของมันเริ่มมีกลิ่นหอม ๆ เหมือนกับยาสมุนไพร บราฟเอาดีงูใส่ลงไปพอดีโดนน้ำสีเหลืองข้างในก็กลายเป็นเป็นสีเขียว และมีกลิ่นคาว ผสมด้วยเหมือนกับเลือด
“ไม่ต้องกังวลพอได้ส่วนผสมสุดท้ายมากลิ่นของมัน ไม่เหม็นแบบนี้แล้วล่ะ และมันจะกลายเป็นสีทอง” บราฟพูด
“ค่ะใกล้ความจริงแล้ว” เลม่อนยิ้มทั้งน้ำตา
“ดีล่ะ ขอเวลาแป๊บนะ” บราฟพูดขึ้นมา เขาจัดการเอาชำแหละงูยักษ์นั่นใส่หีบ เขายิ้มอย่างพอใจเนื้อและหนังของมีราคาแพงมาก ผลก็คือ หีบเต็มแล้ว แต่มีเนื้อบางส่วน ที่เขาตัดสินใจให้ม้าแบก เลม่อนเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมา
“เดี๋ยวคืนนี้ หนูจะทำอะไรอร่อย ๆ ให้กินนะค่ะ”
“ทำตอนนี้เลยไม่ได้หรือไง ตอนนี้ไม่มีอันตรายแล้วล่ะ และการเสี่ยงตายเมื่อกี้ทำให้ฉัน หิวน่ะ” บราฟพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อย ๆ
“ได้เลยค่ะ” บราฟพยักหน้าเขาเดินไปตรงที่เจ้างูคายศพออกมา และจัดเอาพลั่กที่ตกอยู่กัลกองข้าวของที่เจอร่องรอยของอิเล็กทิกโบอา เขาจัดการขุดหลุมลึกพอสมควรและเอาศพทั้งสามลงฝังก่อนที่จะกลบหลุมและปักปืนยาวของพวกเขาไว้เป็นแทนป้ายหลุมศพ หลังจากทำงานเสร็จ เขาเดินกลับไปหาเลม่อนเขาได้กลิ่นอาหารหอมลอยขึ้นมา บราฟน้ำลายสอและรู้สึกหิว บราฟเดินเข้าไปหาเธอ เลม่อนกำลังย่างเนื้อคราวนี้เธอไม่ได้ย่างบนหินร้อน แต่เสียบไม้ย่างไฟ และโรยด้วยเครื่องเทศที่เธอเก็บมาจากน้ำพุเครื่องปรุง ในยามที่เธอกำลังทำอาหารนั้น เธอช่างดูงดงามราวกับเทพธิดา เขาไม่อาจล่ะสายตาจากเธอได้เลย เหมือนกับที่หลายคนเคยพูด ผู้หญิงจะสวยงามเมื่อได้ทำในสิ่งที่เธอถนัด จนเธอหันมาเขา ทำให้บราฟสะดุ้งออกจากพวัง
“เสร็จแล้วค่ะ เจ้างูนี่ เนื้อมีเอ็นให้เคี้ยวกรุบ ๆ ได้ ไขมันมีน้อย หนูใส่เครื่องเทศลงไปเพื่อให้รสชาติดีขึ้น ” บราฟรับมากิน รสชาติอันเผ็ดร้อนของเครื่องเทศและความนุ่มของเนื้อนั้นช่างเค้ากันเหลือเดินเกิน แถมยังรสชาตของเอ็มให้เขาเคี้ยวอย่างสนุกปากอีก นั้นทำให้บราฟต้องบอกว่า
“อร่อยมากเลย นี่ล่ะเหนื่อย ๆ ได้กินอาหารดี ๆ แบบนี้เหมือนกับสวรรค์เลย” เธอมองหน้าบราฟแล้วก็นึกถึงครอบครัวขึ้นมา หลายครั้งที่พ่อของเธอออกไปทำงาน แม่ของเธอจะเตรียมอาหารอร่อย ๆ เอาไว้ให้ทำให้พ่อมีความสุขมากเวลา แต่เธอเสียพ่อนานมากแล้ว ตอนนี้มีแต่แม่เท่านั้น เธอต้องหายามาให้ได้
“ของอย่างสุดท้ายเนี่ย หายากที่สุดเลยเหรอค่ะ”
“ไม่เลย อาจง่ายสุดก็ได้นะ พวกบีซิมแฟนซีเป็นมิตร ไม่ค่อยทำร้ายใครหรอก แค่รอให้มันหลับ แล้วก็ลอบเข้าไป ตักมาแล้วก็หนีเลย” บราฟบอก “แล้วทำไมไม่ทำตั้งแต่แรกล่ะ” เลม่อนถาม
“ถ้าทำของง่ายก่อนล่ะก็ จะไม่เห็นค่าของยากนะ” บราฟพูดพลางกินอาหาร เลม่อนสังเกตุว่าที่คอของเขามีสร้อยคอรูปขวานปลายหอก[2]ด้วย และอีกอย่างที่เธอสังเกตุเห็นว่าเขาพูดติดสำเนียงผิดกับพวกคาวบอยทั่วไปเธอเลยลองถามเขาอยู่
“คุณไม่ใช่คนที่อเมริกันใช่มั้ยค่ะ” เลม่อนถาม บราฟนิ่งไปก่อนที่จะถามว่า “ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”
“สำเนียงคุณน่ะค่ะ ไม่เหมือนพวกคาวบอย ขอโทษนะค่ะที่ถาม” เลม่อนรีบขอโทษ “ไม่เป็นไรหรอก ฉันมาจากสวิส” บราฟตอบสั้น ๆ เลม่อนไม่กล้าถามอะไรต่อเมื่อรู้สึกอิ่มเธอเลยบอกเขาว่า “รีบเดินทางเถอะค่ะ หนูอยากได้ของมาเร็ว ๆ” บราฟผยักหน้า
ทั้งสองเดินราวสามชั่วโมงก็ถึงจุดพัก ฝากม้าไว้แล้วบอกว่าคราวนี้ไม่ใช้ม้าและหีบเย็น การไปที่ทุ่งดอกไม้ต้องเดินเท้าไป ขณะที่กำลังเดินทางนั้นเลม่อนได้กลิ่นดอกไม้หลายชนิดลอยตามลมมา มันทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
“เรากำลังจะหาอะไรเหรอค่ะ”
“กุหลายไททั่น พวกบีซิมแฟนซี จะต้องไปน้ำหวานจากดอกไม้นั้นไปเก็บไว้ในรังของมัน นี่ต้นกำเนิดของน้ำหวานของมัน” บราฟบอก เลม่อน “มันเก็บจากดอกไม้นี่เท่านั้นเหรอค่ะ”
“ไม่หรอก เก็บจากผลไม้ด้วย แต่ว่าถ้าอยากเจอมันหรือรังของมัน เจอกุหลาบไททั่นนี่ล่ะจะชัวที่สุด” บราฟพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “มันอยู่ไหนกันค่ะ” บราฟชี้ให้ดูเลม่อนต้องตกตะลึงสิ่งอยู่ตรงของเธอ มันรูปร่างเหมือนกับดอกกุหลาบแต่ ขนาดของใหญ่มาก ชนิดว่าดอกของมันจะมีผู้ชายตัวโต ๆลงไปนั่งได้เลย มันสีแดงและส่งกลิ่นหอมไปทั่ว พอได้กลิ่นของมันเธอก็รู้สึกว่าผ่อนคลายจากความเครียดทั้งหมดในหัว
“เอาเฝ้าไว้ตรงนี้ล่ะไม่ต้องซ่อนตัวหรอก บีซิมแฟนซีไม่กลัวคนหรอกนะ” บราฟบอก เลม่อนนั่งรอกับเขา จนกระทั้งได้ยินเสียงเหมือนกับผึ้งกำลังบินมาแต่เสียงของมันดังมาก และสิ่งเห็นก็ทำให้เธอหน้าไม่ถูก มันเหมือนกับผึ้งแต่มันเป็นผึ้งตัวใหญ่พอ ๆ หมาตัวโต ๆ มันมีลำตัวเหมือนกับลิงและขาหลังสี่ขา และขาหน้าของเหมือนแขนของลิง ! หัวมันเป็นหัวของแมลง ที่หางเหมือนก้นของผึ้ง มันคือ ผึ้งซิมแฟนซี มันเข้าไปในดอกไม้และบินออกมา บราฟวิ่งส่งสัญญาณให้วิ่งตามไป เลม่อนวิ่งตามไปแต่พลาดล้มไป บราฟเลยอุ้มเธอ
“จะทำอะไร หนูเดินไหว”
“เดี๋ยวไม่ทันรีบไปดีกว่า ไม่ต้องบ่น” บราฟพาเธอวิ่งตามไปด้วยความเร็ว เลม่อนรู้สึกว่าร่างกายมันเบาหวิวไปหมด วิ่งตาจนกระทั้งหยุดและพาเธอซุ่ม สิ่งอยู่ตรงหน้ามันคือลานกว้าง ๆ มีหินล้อมเป็นรั้ว มีหลุดขนาดใหญ่ มีน้ำเหนียวสีทองส่งกลิ่นหอมตลบอบหวนไปทั่ว และมีเจ้าบีซิมแฟนซีอยู่เต็มไปหมดพวกมันดูจะอยู่กันเป็นฝูง
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเราจนจะมืดพวกมัน หลับกันหมด เราค่อยย่องเข้าไป อย่าทำเสียงดัง” บราฟบอกกับเลม่อนเกือบเป็นเสียงกระซิบ
“ทำไมไม่บุกเลยล่ะค่ะ เหมือนตอนหมาคันไฟ” เลม่อนถาม
“อย่าเลย เจ้าพวกมันไม่กลัวกลิ่นนั่นหรอก พวกมันฉลาดจะตายอีกอย่าง ฉันไม่อยากฆ่าถ้าไม่จำเป็น”
ตลอดเวลาที่ซ้อนอยู่มันอึดอัดมากต้องรอจนกว่าพระอาทิตย์จะตกซึ่งต้องรอไปอีกนาน มันเป็นรอที่น่าเบื่อมาก บราฟเห็นนกตัวหนึ่งบินมา เขาทำหน้าตกใจและรีบเอาหินออกมาและขว้างไปเต็มแรง ร่างของเจ้านกน้อยร่วงลงมา
“ฆ่ามันทำไมกันเนี่ย” เลม่อนถามด้วยความแปลกใจ เพราะบราฟเพิ่งจะบอกว่าจะไม่ฆ่าโดยไม่ทำจำเป็น
“คราวนี้จำเป็น นี่นกพรานผึ้ง ตัวอันตรายเลยล่ะ” บราฟพูดเขาเหงื่อแตกพลั่กด้วยความกังวล “อะไรนะค่ะ” เลม่อนงงมากเพราะนกตัวเล็ก ๆ จะมีอันตรายได้ไงกัน
“นกพรานผึ้ง มันเป็นนกจะรู้ว่าตรงไหนมีน้ำผึ้ง ปกติมันจะนำพวกสัตว์ที่กินน้ำผึ้งเป็นอาหารมา รังผึ้งพอเจ้านั้นกินเสร็จล่ะก็ มันถึงจะมากินส่วนแบ่งของมัน เศษเหลือ ๆ ของรังผึ้งนั่นล่ะ มันอาจพาตัวอะไรมาก็ได้นะ กันไว้ดีกว่า เวรล่ะ” บราฟพูดขึ้นมา ทั้งเขาและเลม่อนรู้สึกว่าแผ่นดินสะเทือนและมีเสียงดังเหมือนกับช้างร้อง แต่มันดังกว่ามาก เหล่าบีซิมแฟนซีเริ่มมีแตกตื่น
“ตัวอะไรกำลังจะมาเหรอค่ะ” เลม่อนถามเสียงสั่น ๆ เพราะไม่ว่าเป็นตัวอะไรเธอคิดว่ามันไม่มิตรแน่
“ช้างกริซลี่ย์” บราฟตอบด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด “มันเหมือนช้างหรือหมีมากกว่าค่ะ” เลม่อนพยามถามเพื่อกลบความกลัว
“นึกภาพช้างตัวใหญ่ มีขนสีน้ำตาล และขาหน้ากรงเล็บแบบหมีดูสิ ถ้ามาถึงรับรองว่า น้ำผึ้งหมดรังแน่ และอีกอย่างหนึ่ง ต่อไอ้พวกนี้ต่อยมันสักพันที มันก็ไม่รู้สึกหรอกหนังมันหนายังกะอะไรดี” บราฟ ลุกขึ้นเขาส่งปืนพกให้กับเลม่อน
“อะไรค่ะ เอาปืนให้หนูทำไมกัน” เลม่อนถามอย่างกลัว ๆ “ไว้ป้องกันตัว จริง ๆ ก็แทบจะไม่ประโยชน์หรอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่อะไรเลย” บราฟเดินออกไป เลม่อนรู้เลยว่าบราฟจะทำอะไร
“คุณบ้าไปแล้ว” แต่บราฟไม่ได้สนใจ เขายืนรอเจ้าสัตว์ร้ายนั่น เสียงร้องดังขึ้นมาและเจ้าช้างกริซลี่ย์ก็ปรากฎตัวมันเป็นช้างตัวใหญ่ราวภูเขาลูกใหญ่ ๆ ที่เคลื่อนที่ได้ มันขนสีน้ำปกคุมทั้งตัวและมีงวงยาว มีงาขนาดใหญ่สีขาว ที่ขาหน้าของมันเหมือนกับอุ้งตีนของหมีมีกรงเล็บ มันตบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเพียงทีเดียว ต้นไม้นั่นก็หักเป็นสองท่อนทันที
บราฟรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เหมือนกับเลือดในกายเขาแข็งไปหมด สิ่งตรงหน้าฆ่าเขาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ! บราฟยิงปืนขึ้นประทับบ่าและยิงออกไปทันทีกระสุนโดนตัวของมันเต็ม ๆ แต่มันกลับไม่ระคายผิวเลย มันเห็นบราฟก็ร้องเสียงดังลั่นก่อนที่ฟาดงวงมา บราฟกระโดดหลบได้อย่างหวุด มันตบกรงเล็บมา บราฟได้แต่หลบและพยายามยิงปืนใส่แต่มันหาได้ผลไม่ เขาเลยโยนปืนทิ้งและถอดสร้อยคอออกมา เลม่อนเห็นสิ่งบราฟทำเธอตกใจมากได้ตะโกนไปว่า
“หนีไปเถอะ เราค่อยหารังใหม่ก็ได้”
“ไม่ พลาดรังนี้ เราอาจต้องเสียเวลา ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่” สร้อยคอของบราฟเปล่งแสงออกมา ขวานด้ามยาวปรากฏขึ้นมันเป็นขวานแบบสองปีก[3] ตรงปลายมีใบหอกอยู่ มันคือ ขวานปลายหอก เจ้าช้างกริซลีย์เห็นมันก็ชะงักไป
“ถ้าแกฟังรู้เรื่องนะ ไปพ้นซะ ฉันไม่อยากฆ่าแกหรอกนะ เพราะตอนนี้ไม่มีหีบใหญ่พอจะใส่เนื้อของแกไปขาย ถอยไป !” บราฟตะโกนลั่น เจ้าช้างปีศาจกลับตะปบกรงเล็บบราฟหลบและฟาดขวานไปที่เล็บมันของข้างหนึ่ง เขาฟันเพียงครั้งเล็บก็หลุดออกมา ! เลือดไหลออกมา เจ้าช้างประหลาดร้องลั่นยังไม่ทันไร บราฟฟันซ้ำไปอีกคราวเป้าหมายคือที่ตาขวา ! คมขวานทำให้เจ้าช้างเสียตาขวาไป ความเจ็บปวดขนาดนี้ทำให้เจ้าสัตว์ร้ายต้องรีบหนีไป ทันที
“บราฟ” เลม่อนวิ่งเขากอดเขาอย่างลืมตัว พอรู้สึกตัวเธอก็มองเขาอย่างอาย ๆ “ฉันไม่เป็นไรเข้าไปเอาน้ำผึ้งกันดีกว่านะ”
“แต่ไม่รอให้มืดก่อนเหรอ” เลม่อนถามอย่างสงสัย
“ไม่ต้องแล้ว ถ้าเอาเจ้านี่ออกมา พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้หรอก จริง ๆ ไม่อยากใช้ มันต้องใช้พลังมาก” บราฟชูขวานขึ้น คมขวานต้องแสงแดดทำให้ เจ้าบีซิมแฟนซินหลบไป ทั้งสองเดินไปถึงบ่อน้ำผึ้ง เลม่อนตัดมันแล้วเทลงไปในโหล น้ำโหลกลายเป็นสีทองส่องประกายและส่งกลิ่นหอม แค่ได้กลิ่นก็รู้สึก ผ่อนคลายแล้ว
“หนูทำได้แล้ว หนูทำได้แล้ว” เลม่อนกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ใช่ทำได้แล้วรีบไปดีกว่านะ เดี๋ยวเอาไอ้ช้างบ้านั่นอาจกลับมา” บราฟบอก เลม่อนมองพวกบีซิมแฟนซีด้วยความสงสาร
“เราช่วยอะไรมันไม่ได้เลยเหรอ”
“อย่า ไม่เกี่ยวกับเรา นี่เป็นธรรมชาติของสัตว์พวกนี้เราไม่สิทธิ์ไปยุ่งมากนักหรอก” บราฟเป็นเชิงอธิบายเลม่อน พยักหน้ารับรู้ทั้งสองเดินกลับไปทันที
หลังจากที่ไปถึงท่าเรือบราฟขายเนื้อของฟร้อกโคไดได้หลายกิโล เลยทำให้มีเงินอัพเกรดห้องพักบนเรือ คราวนี้ทั้งสองได้ห้องส่วนตัวแล้ว ขณะที่กำลังรอเรือมา เลม่อนเลยถามบราฟ
“ขวานนั่นมันคืออะไรเหรอค่ะ”
“ศาตร์ตราแห่งอัศวิน” บราฟตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ทำไมคุณถึงมีล่ะ ปกติมีแต่อัศวินเท่านั้นที่มีนี่” เลม่อนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น บราฟบอกเด็กสาวทีแรกเขาไม่อยากบอกเธอ แต่เหมือนอะไรมาดลใจเขาให้บอกกับเธอ
“ฉันเคยเป็นอัศวินน่ะ”
“อะไรน่ะค่ะ” เลม่อนยิ่งตกใจ จริงอยู่บราฟอาจดูดีกว่าเหล่าคาวบอยที่เธอเคย เจอแต่เธอคิดไม่ถึงว่าเขาเคยเป็นอัศวิน
“เรื่องจริง แต่พอดีว่าตระกูลฉันน่ะ พวกปลายแถว และก็ตกต่ำ ฉันเลยมารับงานเล็ก ๆ แทน” บราฟพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า เลม่อนเลยไม่ถามต่อ ยังไม่ทันไรเรื่องช้างร้องก็ดังขึ้นมา บราฟถอนใจแล้วลุกยืน
“มันตามเหรอค่ะ” เลม่อนตกใจมาก “ใช่ ไอ้พวกนี้ถ้าทำมันเจ็บ มันหนีก็จริง แต่หลังจากนั้นมันออกล่าคนทำให้มันเจ็บ เห็นทีว่าจะต้องฆ่าแล้วล่ะ เฮ้ ! มีใครสนใจเนื้อของช้างกริซลีย์มั้ง กำลังจะมีตัวหนึ่งวิ่งมา ถ้ามีคนสนเดียวผมจะไปจัดการมันให้”
คำประกาศของบราฟหลายคนก็หัวเราะเขา แต่แล้วก็มีชายร่างเคระห์คนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ข้าสนเจ้าหนุ่มถ้าเจ้าจัดการได้จริง” เขาบอกลูกน้องให้ลากหีบใบใหญ่มา เปิดให้บราฟดู
“ทั้งหมดนี่เป็นของเจ้า” บราฟยิ้มออกมาได้ เขาขึ้นม้าและควบออกมานอกป้อม และยืนรอมันอยู่ ป้อมปืนกล กับปืนใหญ่พร้อมอยู่แล้ว บราฟกลับบอกว่า
“ถ้าผมตายค่อยยิงมัน” หลายคนคิดว่าเจ้าคาวบอยคนนี้คงจะบ้าไปแล้ว เจ้าช้างกรีซลี่ย์ปรากฎตัวขึ้นมาแล้วสายตาของมันเต็มไปด้วยความมุ่งร้ายและกระหายเลือด สัตว์ป่านั้นน่ากลัวที่สุดสามเวลาคือ หิว ติดสัตว์ และบาดเจ็บ และบราฟก็ทำให้มันบาดเจ็บ มันเลยตามกลิ่นของบราฟมาเพื่อที่จะฆ่าบราฟทิ้ง เจ้าเมฆดำเริ่มกลัว บราฟตบที่คอของมันทำให้สงบ เจ้าช้างกริซลี่ย์เมื่อเห็นเขาก็วิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง บราฟบังคับม้าหลบและยิงสวนไปคราวนี้โดนที่แผลเก่าเจ้าช้างปีศาจร้องลั่นมันตบกรงเล็บมันด้วยความรุนแรงบราฟรู้ดีกระสุนทำอะไรมันไม่ได้ เขาเลยเรียกขวานปลายหอกออกมา
คราวนี้มีเสียงฮื้อฮ่าดังขึ้นมาแล้ว หลายคนตกใจว่าเขามีอาวุธของอัศวินได้ยังไงกัน แต่หลายคนก็คิดอาวุธนั่นจะทำอะไรช้างยักษ์ได้ยังไงกัน บราฟฃควบม้าด้วยความเร็วเขาฟันที่ขาของช้างกรีซลี่ย์ทั้งสี่เจ้าช้างล้มลงไปและลุกไม่ขึ้นอีก
“ตัดเอ็น ร้อยหวาย มันทำได้ไงกันเนี่ย” เสียงของทหารยามดังขึ้นมา ตัดเอ็นร้อยหวายของช้างเป็น เทนิคที่ใช้การล้มช้างศึก แต่ก็จะทำให้สำเร็จเป็นเรื่องยากมาก เพราะถ้าพลาดล่ะก็ ถูกช้างเหยียบตายแน่ เจ้าช้างกริซลี่ย์ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก เขาตัดสินใจแทงซ้ำไปที่หัวใจของมันเจ้าช้างปีศาจแน่นิ่งไป
“มันตายแล้ว เอาให้คนเชือดได้แล้ว” บราฟพูดพลางตัดเนื้อส่วนของตัวเองมานิดหน่อยเขาเดินเข้าไปหาเลม่อน เศรษฐีสั่งให้ลูกน้องจัดการชำแหละเจ้าช้างกริซลี่ย์ และจ่ายค่าจ้างให้ ส่วนบราฟกับเลม่อนแยกกันอีกทางหนึ่ง
“ อร่อยสุดยอด ! เนื้อนุ่มหวาน กลมกล่อม” บราฟพูดขณะที่กินเนื้อของช้างกรีซลีย์ที่ เลม่อนย่างให้ขณะที่กำลังรอเรือขากลับอยู่ เธอเลยทำอาหารให้บราฟทานระหว่างรอ บราฟกินเรื่อย ๆ และบอกกับเธอว่า
“คราวนี้ขากลับล่ะอันตรายของจริง” บราฟพูดขึ้นมา เลม่อนได้ยินคำว่าอันตรายจนเหมือนจะเป็นเรื่องปกติแล้วเธอเลยถามด้วยน้ำเสียงเบื่อ ๆ ว่า
“คราวนี้ตัวอะไรอยู่ในทะเลเหรอค่ะ พวกเราก็เดินทางมาไม่เห็นมีอะไรไม่น่ากลัวเลยนี่”
“ไม่ใช่คราวนี้เป็นพวกโจรสลัด” คำว่าโจรสลัดทำให้เลม่อนสะดุ้งเล็กน้อย “พวกนี้น่ากลัวกว่าไอ้ตัวที่เราล่าซะอีก ทำไมรู้มั้ย” เลม่อนส่ายหน้า “ก็เพราะมันเป็นมนุษย์ สัตว์น่ะมันจะไม่มายุ่งกับเราหรอกถ้ามันไม่หิว แต่พวกมนุษย์ มันล่าได้ทุกเวลานั่นล่ะ ต่อให้ไม่หิวก็ตาม เพราะว่ามนุษย์มีความต้องการมากกว่าสัตว์” บราฟตอบเลม่อนชักกลัว ๆ
การเดินทางในครั้งนี้บราฟได้จองห้องส่วนตัว เลม่อนตอบปฎิเสธเพราะเธอคงมีเงินไม่พอ แต่บราฟ บอกว่าคิดซะเป็นว่าของแถม เลม่อนได้นอนในห้องที่เตียงนุ่ม ๆ และสะอาดให้นอนและเธอก็ได้อาบน้ำตหลังสามวันที่ผ่านมาเธอไม่อาบน้ำเลย สำหรับผู้หญิงแล้วการอาบน้ำเป็นความสุขที่สุด หลังจากอาบน้ำเสร็จเธอก็ได้แต่งตัวใหม่ เธอเปิดประตูเห็นบราฟยืนอยู่
“นี่มายืนหน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เลม่อนทำหน้างง ๆ “ก็นานพอที่จะได้ยินเธอร้องเพลงในห้องน้ำนั่นล่ะ” เลม่อนหน้าแดงด้วยความอาย “จะมาบอกอย่าออกจากห้องเด็ดขาดเข้าใจนะ นอกจากฉันจะมาเคาะประตูดูแลโหลไว้ดี ๆ ด้วย” บราฟพูดแค่นี้เขาก็เดินไปด่านนอกของเรือ ในที่สุดสิ่งที่เขากังวลก็มา
เรือใบขนาดใหญ่ลำหนึ่งกำลังเคลื่อนที่มาอย่างช้า ๆ มันเป็นเรือที่มีใบเรือสีดำ มันมีธงกระโหลกคาบสมอเรือติด มันคือเรือของกัปตันสมอ เป็นโจรสลัดที่คุมทะเลแถบนี้พวกมันดักซุ่มอยู่นานแล้ว มันมีสมาชิกสามสิบกว่าคน กัปตันเรือเป็นชายร่างสูงใหญ่วัยประมาณสามสิบเศษ ผมยาวและหนวดเครารุงรัง มันแบกสมอเรือมาเป็นอาวุธ คนเลยเรียกมันว่ากัปตันสมอ แต่เดิมมันเป็นทหารเรือ แต่พลาดไปฆ่ผู้บังคับบัญชาเลยหนีมาตั้งกลุ่มโจร มันเอาเหล่าโจรสลัดเทียบเรือได้แล้ว คนบนเรือเริ่มการต่อสู้ทันทีแต่ว่า อาวุธที่ก็เป็นแค่ปืน กัปตันสมอใช้สมอเรือของมันปัดกระสุนได้ทั้งหมด
“ถ้าไม่อยากตาย ก็ส่งของมีค่ามาโว้ย พวกเราไม่อยากทำร้ายใครทั้งนั้น” มันประกาศแต่ยังไม่ทันลูกน้องของมันถูกยิงบาดเจ็บไปหลายคน บราฟเป็นยิง กัปตันสมอบราฟแบบเหยียด ๆ เขาคิดว่าบราฟเป็นแค่พวกเคาบอยธรรมดาเท่านั้น อัศวินที่อยู่บนเรือส่วนมากก็บาดเจ็บ เลยทำให้มันไม่กลัวบราฟ
“ไอ้หนู ถอยไปดีกว่า ฉันไม่อยากทำให้ใครต้องเจ็บตัว”
“ไม่ล่ะ พอดีว่าคนจ้างฉัน ให้โบนัสมาแยอะ เลยต้องบริการดีหน่อย เอาล่ะ พวกแกไปดีกว่านะ ฉันไม่อยากยิงคนว่ะ” บราฟพูดกวน ๆ
“ปากดีเหลือเกินนะ พวกเรายิงมันให้พรู” ลูกน้องโจรสลัด กระหน่ำปืนทันที บราฟเรียกขวานปลายหอกออกมาปัดกระสุนทิ้งทั้งหมด กัปตันสมอเห็นอาวุธเท่านั้นมันก็ตาโต ศาสตราแห่งอัศวินอยู่ตรงหน้าแล้ว เท่ากับว่าไอ้คนที่อยู่ตรงนี้เป็นอัศวินแน่นอน
“แกเป็นอัศวินเหรอ”
“ก็แล้วแต่จะคิด แต่ถ้าแกรู้จักอาวุธก็ถอยไปซะ ถ้ายังรักชีวิตอยู่นะ” บราฟพูดเป็นเชิงขู่ แต่ว่า กัปตันสมอกลับฟาดอาวุธมา บราฟหลบได้อย่างหวุดหวิด
“ฉันน่ะชอบฆ่าพวกอัศวินที่สุด มันทำให้ฉันตกอับแบบนี้ ตายซะ !” มันฟาดสมอมาไม่หยุด บราฟหลบไปมาเขาเลยต่อรอง
“เอางี้มั้ย ถ้าแกชนะฉันได้อาวุธนี่เป็นของแก รวมทั้งทุกอย่างในเรือด้วย ! แต่ถ้าฉันชนะแกก็ไสหัวไป” บราฟประกาศเสียงคนในเรือฮื้อฮ่าขึ้นมา เป็นเชิงว่า ทำไมต้องยอม
“หุปปากเถอะ ยังดีกว่าจะต้องตายกันทั้งลำไม่ใช่เหรอ” คำพูดของบราฟทำให้ทุกคนเงียบ
“น่าสนุกดีนี่ ได้ข้ารับปาก”
กัปตันสมอเหวี่ยวอาวุธมาก่อนบราฟเอาขวานปลายหอกรับเอาไว้ เสียงอาวุธกระทบกันเสียงดังสนั่น มันทำให้เขาแขนชา จนเกือบจะขยับแขนไม่ได้ แต่ก็แข็งใจฟันสวนไป แต่อีกฝ่ายก็ยังรับมือได้ มันฟาดอาวุธมาบราฟได้แต่ตั้งรับ พละกำลังกัปตันสมอไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
“เป็นไงล่ะคิดว่าจะรับมือข้าได้หรือกันไอ้หน้าโง่” หลังต้องรับน้ำหนักของอื่นฝ่ายร่างเขาก็กระเด็น และกระอักเลือด แต่บราฟกลับหัวเราะเหมือนกับว่าเขาไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลย
“เด็ก ๆ ว่ะ ฉันเคยโดนของหนักกว่านี้เป็นร้อยเท่า ยังไม่เป็นอะไรเลย เอาล่ะหมดเวลาแล้ว” บราฟฟาดขวานกลับไปบ้าง กัปตันเอาก็ยกสมอขึ้นรับ แต่มันกลับเซไปหลายก้าว ยังไม่ทันไรบราฟก็กระหน่ำฟันอาวุธไปอีกชุดใหญ่ มันทั้งรวดเร็วและรุนแรงจนทำให้กัปตันสมอ ยิ่งรับมือกลับยิ่งลนลานทำให้เซไปหลายก้าว
“เก่งจริงนะดีล่ะ” มันรวมพลังไปที่แขนทั้งสองข้างและฟาดสมอเรือไปอย่างแรงบราฟกระโดดหลบ แรงฟาดทำให้เรือสั่นไปทั้งลำ
“แกคิดว่าจะทำอะไรได้หรือไง ข้าน่ะแข็งแรงที่สุดแล้วโว้ย” กัปตันรวมพลังและฟาดมาอีกคราวนี้ บราฟเอาขวานปลายหอกรับเอาแรงกระแทกทำให้เขาถึงกับทรุด
“คิดว่าเก่งหนักหรือวะ ไอ้หนู” มันออกแรงกด แขนของบราฟสั่นไปทั้งแขน บราฟออกแรงต้าน พลังของเขาทั้หมดและเหวี่ยงไปอย่างแรงเหวี่ยงของเขาทำให้ สมอเรือหักเป็นชิ้น ๆ และคมขวานก็ฟันกัปตันเข้าที่อกเลือดไหลสาด มันล้มลงไป การบาดเจ็บแบบนี้ทำให้มันลุกขึ้นมาไม่ได้อีก บราฟยกขวานขึ้นหมายจะฟันซ้ำแต่ว่า
“หยุดนะ” เสียงของเลม่อนดังขึ้นมา “อะไรห้ามทำไมกัน” บราฟถามอย่างไม่ค่อยพอใจ
“เขาแพ้แล้ว ปล่อยเขาไปเถอะ หนูไม่อยากให้คุณฆ่าคน” เลม่อนบอกเป็นเชิงขอร้อง บราฟลดอาวุธลง กัปตันพยายามยืนขึ้นมา แต่มันบาดเจ็บหนักเลม่อนวิ่งมาดู เธอเอากระติกใบเล็กส่งให้เขา
“ดื่มเถอะ มันช่วยได้” กัปตันสมอมองเธออย่างแปลกใจ “ทำไมช่วยข้าทำไม”
“หนูเป็นหมออาหารทนเห็นคนบาดเจ็บตรงหน้าไม่ได้หรอก” กัปตันสมอกินยาเข้าไป มันยาที่พวกเขาหามา ทำให้แผลของเขาหายไปในพริบตา พอมันลุกขึ้นมาได้ กัปตันสมอมองเลม่อน สายตาของเธอช่างอ่อนโยนและมีเมตตาทำให้เขารู้สึกว่าไม่อยากทำร้ายผู้หญิงคนนี้ บราฟยืนคุ้มเชิงอยู่ กัปตันสมอโค้งให้ เลม่อนและบอกลูกน้องว่า
“พวกเราถอย”
“อะไร จะถอยทำไม พวกเราต้อง” ยังไม่ทันที่เจ้าลูกน้องจะพูดอะไรต่อก็ถูกชกกระเด็น “พวกมึง ต้องทำตามกู อย่าเสือกขัดคำสั่งไม่งั้นตาย !”พวกลูกน้องรีบวิ่งขึ้นเรือ กันหมด เหล่าโจรสลัดรีบขึ้นเรือไป เสียงเฮดังขึ้นมา ทุกคนมองบราฟอย่างชื่นชม
“ช่วยมันแบบนี้ไม่กลัวมันจะปล้นใครเขาอีกเหรอ” บราฟถาม เลม่อนหันมาที่เขาและบอกว่า
“หนูมีหน้าที่ช่วยชีวิตคนค่ะ เขาจะเป็นยังไงก็แล้วเขาเถอะ หนูมีหน้าที่แค่ช่วยชีวิตเท่านั้น” บราฟมองแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของเธอแล้วก็ได้พยักหน้ารับรู้
เมื่อเรือเทียบท่า เลม่อนกับบราฟก็ลงจากเรือ กลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย “เสร็จงานแล้วสินะ เธอจะทำไงต่อล่ะ” บราฟถามเธอ
“หนูก็คงจะเดินทางกลับนั่นล่ะค่ะ” เลม่อนพูดด้วยรอยยิ้ม บราฟมองเธอ “งั้นก็ เดี๋ยวชั้นไปส่งนะ”
“ว่าอะไรนะค่ะ” เลม่อนทำเสียงเหมือนกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ก็จะไปส่งส่ะสิ ถือของราคาเป็นล้านแบบนี้ มีหวังได้โดนปล้นน่ะสิ” บราฟพูดเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ “แต่หนูไม่มีเงินจ้างคุณต่อแล้วนะค่ะ” บราฟเอานิ้วแตะปากเธอ เลม่อนทำหน้าไม่ถูก “ไอ้ของที่ได้มาเนี่ยพอแล้ว และอีกอย่างระหว่างทางเธอก็ทำอาหารอร่อย ๆ ให้ฉันแล้วกัน เป็นการตอบแทน” เมื่อได้ยินแบบนี้เลม่อนก็ยิ้มออกมา แล้วตอบทันที
“ค่ะ” และทั้งคู่ก็ขึ้นพาหนะของตัวเองและเดินทางต่อไปด้วยกัน
จบ
[1] สัตว์พันธุ์ผสมระหว่างลาตัวผู้กับม้าตัวเมีย นิยมเอาใช้ในการเดินทางไกลเพราะมีอดทนสูงกว่าม้าและลา แต่ล่อมักจะเป็นหมัน
[2][2] ขวานปลายหอกเป็นอาวุธที่ผสมระหว่างหอกกับขวาน มันเป็นขวาน และที่ปลายด้านบนจะมีหอกอยู่ เป็นอาวุธที่นิยมใช้ต่อสู้กับทหารม้า หรือให้ทหารยามถือเอาไว้ ส่วนมากจะใช้ในกองทัพสวิสสมัยโบราณ ในปัจจุบันยังเห็นองค์รักษ์สวิสถือประการอยู่ที่วาติกัน
[3] ขวานสองปีก คือ ขวานที่ด้านคมทั้งสองด้าน
ผลงานอื่นๆ ของ มหัทธนา ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ มหัทธนา
ความคิดเห็น