คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Devils IV : เมื่อมาถึงเผ่าอินคิวบัส
Devils IV : เมื่อมาถึงเผ่าอินคิวบัส
“เฮ้อ...สบายตัวขึ้นเยอะ...”
“และสบายจมูกพวกข้าด้วย”
เซบค้อนควบไปทางสองสาวที่นั่งอยู่ข้างกองไฟริมแม่น้ำที่เขาเพิ่งจะลงไปล้างตัว...ไม่สิ ควรจะเรียกว่าลงไปอาบน้ำแช่ตัวให้กลิ่นหายไปจากตัวให้หมดต่างหาก
“แล้วพวกเจ้าไม่ลงไปบ้างล่ะ?”
เซบถามเสียงขุ่นๆ แต่กลับได้รับนิ้วมือของวิเวียนที่ถูกยกขึ้นมาขยับไปมาพร้อมส่งเสียง ‘จุ๊ๆๆ’ ออกมาด้วย
“พวกข้าไม่ลงไปอาบน้ำต่อจากเจ้าที่เอากลิ่นเหม็นๆลงไปในน้ำแล้วหรอกนะ”
“...”
“เออ! ก็ได้! ข้าไม่เถียง แต่บอกเลยว่าถ้าจะหาแหล่งน้ำระหว่างทางอีกคงหายากแล้วนะ! ข้าเตือนแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ไม่อาบน้ำก็นอนพักเอาแรง เดี๋ยวข้าอยู่ยามเอง”
หลังจบคำ สองสาวก็เงียบไปครู่หนึ่งพลางมองหน้ากันอย่างชั่งใจ และสุดท้ายทั้งสองคนก็ยอมลงไปอาบน้ำทั้งๆที่เมื่อครู่มีท่าทีรังเกียจน้ำสะอาดที่เซบลงไปชำระร่างกายและไหลผ่านไปแล้วสุดใจ...
ในคืนนั้นทุกอย่างผ่านไปด้วยดีโดยมีเซบเป็นคนเฝ้ายาม เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน ทั้งสามก็ออกเดินทางกันอีกครั้ง และในตอนนี้พวกเขาก็กำลังเดินเข้าสู่เขตป่าที่ใกล้กับชนเผ่าของปีศาจแฝงฝันที่รู้จักกันในชื่อ ‘อินคิวบัส’ และ ‘ซัคคิวบัส’
“ไหนๆก็ไหนๆแวะเข้าไปในเมืองหน่อยได้มั้ยอ่ะ ข้าชักจะหิวๆแล้วนะ” คลาร่าที่เพิ่งจะกินอาหารเช้าไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วเริ่มเปิดประเด็น ส่งผลให้ทั้งเซบและวิเวียนพร้อมใจกันหันมามองเธอเป็นตาเดียว
“ท...ทำไมอ่ะ...”
“นี่เจ้ายังจะกินอีกหรอ...” วิเวียนถามทั้งสีหน้าที่ออกจะแขยงนิดๆ “เจ้ากินหมูป่าเข้าไปทั้งตัวคนเดียวเลยนะเมื่อกี้อ่ะ”
“อะไรเล่า ก็มันไม่อยู่ท้องอ่ะ!”
“...”
เซบและวิเวียนมองหน้ากันทีหนึ่ง
จะเอาไง?
ทำไงได้ล่ะ กระเพาะหลุมดำอย่างคลาร่าเจ้าว่าใครจะหยุดได้เรอะ?
เออ ก็จริง...
หลังจากการสื่อสารกันทางสายตา สุดท้ายทั้งสองคนก็ได้ข้อสรุปว่าต้องตามใจมังกรไฟกินจุเอาแต่ใจตนนี้ไป เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจได้เจอเรื่องวุ่นเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นกระบุง...
การเข้าไปในอาณาเขตของปีศาจแฝงฝันในอดีตอาจเป็นอะไรที่ยุ่งยากน่ารำคาญเพราะมีอาณาเขตกางอยู่รอบ แต่เร็วๆนี้ เผ่าปีศาจแฝงฝันเริ่มเปิดออก ต้อนรับผู้มาเยือนทุกเผ่าพันธุ์ ทั้งมาทำการค้า หรือแม้กระทั่งท่องเที่ยว
และในตอนนี้ เผ่าปีศาจแฝงฝันกลับกลายเป็นที่สนใจของปีศาจทุกเผ่าพันธุ์ กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทำการค้ากับทุกๆชนเผ่าจนปัจจุบันกลับกลายเป็นชนเผ่าที่ร่ำรวย
“ที่นี่สุดยอดไปเลยนะ” วิเวียนอดที่จะเอ่ยชื่นชมไม่ได้ ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่อยู่รอบๆตัวเธอในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่ามีทุกเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์ ลาเมีย เอลฟ์ เซนทอร์ อิมพ์ ไนท์แมร์และอีกหลายเผ่าพันธุ์ที่ไม่อาจพูดออกมาได้หมด
“ก็นะ” เซบทำท่าทางปกติ แต่ดวงตากลับกวาดมองรอบๆอย่างสนอกสนใจ ในขณะที่คลาร่าเดินเข้าไปข้างทาง เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ โดยที่ร้านที่คลาร่าเลือกเข้าทั้งหมดคือร้านของกิน...
แกร๊ก...
“หือ?” เซบชะงักร่างที่กำลังจะก้าวต่อไปข้างหน้า ถึงแม้เสียงแปลกๆเมื่อครู่จะเบาจนแทบไม่ได้ยินเพราะโดนเสียงเซ็งแซ่รอบๆกลบไปหมด แต่ความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแข็งๆอยู่ใต้เท้าเขานี่ก็ทำให้เขาต้องยกขาข้างที่เหยียบอะไรบางอย่างลงไปขึ้น และสิ่งที่ปรากฏเข้าสู่สายตาของเขาก็คืออัญมณีเม็ดหนึ่ง
แวร์วูฟหนุ่มก้มลงหยิบอัญมณีเม็ดนั้นขึ้นมา มีอะไรบางอย่างส่องแสงสีแดงเรืองๆออกมาจนเขาต้องยื่นมือออกไปปัดดินที่ติดอยู่บนตัวอัญมณีจนแทบจะมองไม่เห็นลักษณะของมัน เมื่อปัดไปได้เพียงครึ่งทางเซบก็ชะงักกึกไปอีกครั้ง
อัญมณีนั้นมีสีแดงคล้ายทับทิม แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีสีสดยิ่งกว่าทับทิมเสียอีก ตรงกึ่งกลางของมันปรากฏลวดลายเรียวเป็นเส้นสีแดงเข้มจนเกือบดำจนแลดูคล้ายกับนัยน์ตาของปีศาจ
“นั่นอะไรน่ะ? น่าขนลุกชะมัด...” วิเวียนที่เดินอยู่ข้างหลังเห็นเพื่อนหยุดอยู่กับที่ไม่ยอมเดินต่อชะโงกหน้าออกมามอง และพอสบเข้ากับอัญมณีที่ถ้าเห็นแวบๆคงนึกว่าเป็นลูกตาเข้าก็เลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสยองแปลกๆ
“ไม่รู้สิ วิเวียน เดี๋ยวเจ้าไปกับคลาร่าก่อนก็แล้วกัน ข้าจะเอาเจ้านี่ไปส่งที่ส่วนกลาง ไว้เจอกันที่ร้านกาแฟตรงหน้าประตูนะ”
“โอเคๆ ข้าว่าบางครั้งเจ้าก็เป็นคนดีไปหน่อยนะ...” วิเวียนเดินไปหาคลาร่าไปพลางบ่นไปพลาง แต่สำหรับคำบ่นเรื่องนี้คงจะพูดได้ว่าเขาด้านไปแล้ว ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาวิเวียนบ่นเรื่องนี้ใส่เขาไม่รู้กี่รอบ สุดท้ายเลยชักจะชิน ชินจนชาและสุดท้ายก็กลายเป็นด้านในที่สุด...
เซบมองส่งวิเวียนจนลับหายเข้าไปในฝูงชน จากนั้นเขาจึงเดินไปตามเส้นทางที่ยังพอจะปรากฏอยู่เลือนรางในความทรงจำ... ช่วยไม่ได้ ก็เขาเคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียวเองนี่นา!
ไม่รู้ว่าควรจะชมเรื่องดวงดีสมพงษ์กับเรื่องเส้นทาง หรือจะชมความทรงจำที่มีอยู่เลือนลางว่ามันช่วยพาเขามาถูกทางดี?? ที่สุดท้ายมันก็พาเขาเลี้ยวเข้ามาในตรอกที่กำลังมีคนกำลังรุมตื้บใครก็ไม่รู้อยู่เนี่ย!!!!
เป็นไปได้เขาก็ไม่อยากจะมีเรื่องในสถานที่ต่างถิ่นเขาจึงตัดสินใจค่อยๆย่องออกไปจากตรอก แต่ขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าถอยเป็นก้าวที่สามนั่นเอง...
“เจ้าน่ะ! ช่วยข้าด้วยยยยยย!!”
ชะอ้าวเฮ้ย! จะหนีปัญหาไหงกลายเป็นปัญหาวิ่งเข้ามาซบล่ะ!?
“เหอ? เจ้าเป็นพวกของมันเรอะ?”
“ฮะ? เปล่าซะหน่อย”
“แต่ท่าทางมันจะรู้จักเจ้านี่จริงไหม?”
“ไม่ได้รู้จักซักกะนิด!”
“เหอะ! ไหนๆก็ไหนๆก็เอาเงินมาแล้วไสหัวไป!”
“แบบนี้มันรีดไถไม่ใช่หรือไง...” เซบเบ้หน้า ถึงเขาจะไม่อยากมีเรื่อง แต่พอเจอแบบนี้ก็ใช่ว่าเขาจะยอมให้คนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแถมไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อมาเอาเปรียบหรอกนะ!
ขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาดึงแขนเซบให้เข้าไปในตรอกลึกกว่าเดิมนั่นเอง เขาก็พลิกมือกลับมาเป็นฝ่ายจับอีกฝ่ายไว้แน่น จากนั้นก็กระชากร่างของอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ในขณะที่มืออีกข้างก็ปล่อยหมัดออกไปสุดแรงกระแทกลงที่หน้าอกของอีกฝ่ายจนลอยกระเด็นกลับเข้าไปหาพรรคพวกที่ไม่ทันแม้กระทั่งจะตั้งตัวรับเหตุการณ์ด้วยซ้ำ
“ฮ...เฮ้ย ไหวมั้ย!?”
“แบบนี้มันหาเรื่องนี่หว่า! เอ้า!! พวกเรา ลุย!!”
เส้นเลือดที่ข้างขมับของเซบแอบปูดโปนขึ้นมาเล็กๆ
...ให้มันน้อยๆหน่อย ใครกันแน่ที่หาเรื่องฟะ!!?
แม้จะคิดเช่นนั้นแต่เซบก็ยังคงยืนนิ่งให้อีกฝ่ายเข้ามาล้อมเขา อีกฝ่ายที่เห็นว่าเขายังคงยืนนิ่งคงแอบคิดกระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่าฝ่ายตนมีมากกว่าละมั้ง แต่ละคนถึงได้มีรอยยิ้มเยาะหยันประดับอยู่บนใบหน้าส่งมาให้เขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยั่วอารมณ์เขาให้ระเบิดจนสติขาดผึงเข้าไปซัดอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี
เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเขายืนนิ่งไม่ขยับเสียทีจึงมีปีศาจตนหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเขาก่อน ความเร็วที่อีกฝ่ายใช้ทำให้เห็นได้เพียงเงาเลือนรางที่วิ่งผ่านไป แต่ถึงกระนั้นเซบก็ทำเพียงขยับหลบไปด้านข้างแล้วใช้หมัดหนักๆซัดอีกฝ่ายจนกระเด็น เมื่อปีศาจตนอื่นๆเห็นดังนั้นก็เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะกรูกันเข้ามาพร้อมกันราวกับต้องการจะฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ!
เซบทำเพียงขยับหลบ ใช้มือเท้าล้วนๆในการซัดปีศาจตนแล้วตนเล่าจนกระเด็นไปทั่ว ถึงมันจะน่ารำคาญ แต่เหมือนว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ตัดปัญหาได้ดีที่สุดแล้ว
สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จบลงที่เหลือเพียงเซบที่ยืนนิ่งอยู่กลางตรอก หลังจากสำรวจจนแน่ใจว่าไม่มีใครที่จะสามารถลุกขึ้นมาหาเรื่องเขาได้อีก เซบก็เดินเข้าไปหาปีศาจตนที่ถูกหาเรื่องแล้วยื่นมือไปให้เงียบๆ
“ข...ขอบคุณ...”
“ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ แต่ช่วยบอกทางไปส่วนกลางของที่นี่ทีได้ไหม?”
“หา?”
“พอดีข้าเก็บของหายได้เลยจะเอาไปแจ้ง”
“อ...อ้อ...ได้ๆ ตามข้ามาเลย ข้านัดเพื่อนไว้ที่นั่นพอดี”
“ขอบคุณ”
หลังจากบทสนทนาสั้นๆจบลงอีกฝ่ายก็เริ่มนำทางเขาด้วยการเดิน...ไม่สิ...กระโดดนำออกไปจากตรอก เป็นตอนนั้นเองที่เขาได้สังเกตอีกฝ่ายชัดๆ
ถึงว่าทำไมโดนหาเรื่อง ที่แท้ก็ปีศาจกระต่าย พวกรักสันติเห็นๆ
หลังจากเดินตามหลังอีกฝ่ายมาได้สักพัก ในที่สุดอาคารสูงตระหง่านที่สร้างจากการนำหินมาก่อก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
“ที่นี่ล่ะ”
“ขอบคุณมาก”
“อื้อ ไม่เป็นไร ก็เจ้าช่วยข้าไว้นี่นา ข้าไปก่อนนะ”
“ขอให้โชคดี”
เซบมองส่งอีกฝ่ายครู่หนึ่งจึงได้หันกายเดินเข้าไปในตัวอาคาร เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจที่ด้านนอกดูเบาลงทันตาเมื่อเสียงด้านในนี้ฟังดูดังยิ่งกว่า อาจเพราะเป็นสถานที่ปิดด้วยส่วนหนึ่ง แต่ถึงยังไงเสียงมันก็ยังฟังดูดังกว่าข้างนอกอยู่ดี...
แวร์วูฟหนุ่มเบ้หน้ามองแถวยาวเหยียดของคนที่ทั้งทำของหายและเจอของหาย พอเห็นแบบนี้แล้วเขาล่ะอยากจะหันหลังเดินออกจริงๆให้ตาย...
ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้าไปยืนอยู่ท้ายแถวที่ดูจะสั้นกว่ากันไม่กี่คน แต่หลังจากทนยืนมองแผ่นหลังของคนข้างหน้าได้ไม่นานเขาก็เริ่มเบื่อ เลื่อนสายตาไปทางซ้ายทีขวาทีจนสุดท้ายก็มองขึ้นด้านบน...
อ้าว? ที่นี่เป็นอาคารเพดานสูงแฮะ...
เขาคิดเล่นๆก่อนจะเลื่อนสายตาไปตามระเบียงทางเดินที่วนขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดของตัวอาคาร ตามผนังมีชั้นวางหลายร้อยหรือหลายพันชั้นตั้งเอาไว้สำหรับเก็บของ มีอินคิวบัสและซัคคิวบัสที่มีหน้าที่ดูแลที่นี่เดินหาของกันอยู่ชั้นละสี่คน แถมยังมีเชือกที่ใช้ส่งกระเช้าผูกระโยงระยางไปทั่ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้บดบังทัศนวิศัยที่จะมองลวดลายที่ถูกวาดไว้ที่เพดานของอาคารเลยแม้แต่น้อย
“ไม่รับเรื่อง!? หมายความว่าไง!!?”
“ก็ของที่เจ้ามาฝากเรื่องมันอันตรายเกินไปนี่!! อีกอย่างถ้ามีคนเก็บได้แล้วเอามาให้ที่นี่ก็โง่สุดๆไม่ก็เป็นคนดีสุดๆแล้ว!”
“ก็แค่ทับทิมที่มีลวดลายแปลกๆเจ้าจะอะไรนักหนา หา!!!?” คนพูดเอ่ยพลางตบโต๊ะเสียงดังสนั่น
“ที่เจ้าบอกมามันอัญมณีเวทไม่ใช่หรือไง!! ไม่ใช่อัญมณีธรรมดานะเว้ย!!!”
“ฮึ่ย!!”
เสียงโวยวายที่ดังมาจากหัวแถวข้างๆเรียกความสนใจให้เซบต้องหันไปมองเหตุการณ์
ที่หน้าโต๊ะรับเรื่องที่ถูกสร้างให้ยาวไปตลอดแนวปรากฏร่างของชายหนุ่มเส้นผมสีแดงแสบตามัดรวบยาวลงมาถึงเอว มีส่วนปลายของเส้นผมเป็นสีส้มเพลิง เท่าที่กะจากสายตาคิดว่าคงจะสูงกว่าเขาอยู่ซักประมาณหนึ่งช่วงหัว...
...ไอ้หมอนั่นจะสูงไปไหน...
ขณะที่เซบแอบคิดแขวะอีกฝ่ายอยู่ในใจ อีกฝ่ายเองก็เดินสวนออกมาพอดี
“ชิ แค่นัยน์ตาปีศาจที่มีรูปร่างเป็นทับทิมนิดเดียวก็ไม่ได้ เวรเอ๊ย...”
ฮะ? นัยน์ตาปีศาจ?? รูปร่างเหมือนทับทิม???
เซบเลิกคิ้วขณะมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไป มือที่ถืออัญมณีอยู่อดที่จะลูบมันเบาๆไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ผละออกมาและตัดสินใจตามอีกฝ่ายไปแทน
“เฮ้! เจ้าน่ะ!! เฮ้!!” เซบรีบตะโกนเรียกอีกฝ่ายเมื่อออกมาพ้นจากตัวอาคารส่วนกลาง แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน หรือไม่ก็ได้ยินแต่คิดว่าเรียกคนอื่น ร่างของอีกฝ่ายจึงยังคงเดินลงส้นอย่างอารมณ์เสียต่อไป
แวร์วูฟหนุ่มขมวดคิ้วแล้วรีบตามอีกฝ่ายต่อไป เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเลี้ยวเข้าไปในร้านขายของร้านหนึ่งเซบจึงรีบเลี้ยวตามเข้าไปและเห็นอีกฝ่ายกำลังเลือกสร้อยขึ้นมาจากกองสร้อยหลายสิบเส้น
เซบใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ยังคงวุ่นอยู่กับการเลือกสร้อยแล้วสะกิด
“เฮ้ เจ้าน่ะ”
“หา?” หน้าบอกบุญไม่รับของอีกฝ่ายหันมามองเขา เซบถึงได้เป็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ
ถ้าพูดกันตามจริงอีกฝ่ายอาจเรียกได้ว่ามีใบหน้าที่หล่อเหลาจนผู้ชายด้วยกันก็ยังอิจฉา ไม่ว่าจะจมูกโด่งสัน ดวงตาสีโลหิตเรียวคม ริมฝีปากบางได้รูป เมื่อประกอบกับรูปหน้าอีกฝ่ายก็หล่อเหลาจนสาวๆที่เห็นอาจหัวใจละลายเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าใบหน้าครึ่งซ้ายจะถูกเส้นผมปิดไปจนมองไม่เห็นก็เถอะ
“แล้วสรุปว่าเจ้ามีอะไร?” อีกฝ่ายที่เห็นท่าทางเซบก็ขมวดคิ้วแล้วหันกลับมากอดอกมองเขาพลางพิงร่างเข้ากับโต๊ะตัวใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง
“อ...อ้อ...” เซบที่มัวแต่พิจารณาอีกฝ่ายได้สติ “เอ่อ...ข้าเจอนี่น่ะ ของเจ้าหรือเปล่า??” เอ่ยพลางยื่นอัญมณีในมือไปให้อีกฝ่ายได้เห็นชัดๆ และเมื่อนัยน์ตาสีโลหิตมองลงมายังสิ่งที่อยู่ในมือของเขา อยู่ๆเซบก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างฟาดมือเขาป้าบหนึ่งแล้วก็ดึงเอาสิ่งที่อยู่ในมือข้างนั้นไปเฉย!
“เฮ้ย!”
“ขอบใจก็แล้วกัน” อีกฝ่ายกล่าวเสียงเบาก่อนจะเลื่อนนัยน์ตาสีโลหิตสบกับนัยน์ตาสีทองของเซบ “เจ้าอยากให้ข้าตอบแทนเจ้ายังไง??”
“ห...หา? ไม่ๆ ไม่ต้องตอบแทนก็ได้...”
“เอาเถอะน่า ข้าอยากตอบแทนที่เจ้าเอาของสำคัญมาคืน สรุปว่าจะให้ข้าทำอะไรดี??”
“เอ่อ...” เซบทำหน้านึกพลางมองไปรอบๆตัวที่...มีแต่ผนังกับชั้นวาง... เฮ้อ...ก็ตอนนี้เขาคิดไม่ออก แถมไม่รู้ด้วยว่าจะให้อีกฝ่ายทำอะไร ตอบปัดๆไปได้มั้ยเนี่ย??
“ข้ายังคิดไม่ออก”
“ไม่เป็นไร งั้นข้าจะตามเจ้าไปเรื่อยๆจนกว่าเจ้าจะคิดออก”
“หา!?”
ความคิดเห็น