ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันธนาการร้ายหัวใจพ่ายรัก (มี E-Book)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่3 แพรวารินทร์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 908
      27
      3 ส.ค. 63

    บทที่3 แพรวารินทร์

     

    เวลาต่อมา

    ห้องผ่าตัด

    หลังจากรถพยาบาลพาคนเจ็บมาถึงโรงพยาบาลหญิงสาวก็ถูกนำตัวเข้าทำMRIทันทีและผลก็ออกมาว่ามีเลือดคั่งอยู่ในสมองบริเวณจุดสำคัญพอดีจึงถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัดทันทีโดยมีพงศ์พยัคฆ์เป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด โชคดีที่ไม่มีเนื้องอกอย่างที่พงศ์พยัคฆ์กังวลแต่คนเจ็บก็มีเลือดคั่งมาก่อนหน้านี้แล้ว

    “การผ่าตัดครั้งนี้อันตรายมากเราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษขอให้ทุกคนอย่าประมาท เอาล่ะก่อนอื่นเราจะเปิดกะโหลกเพื่อระบายเลือดที่คั่งออกทุกคนพร้อม” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยขึ้นทุกคนพยักหน้าก่อนที่การผ่าตัดจะเริ่มขึ้นอย่างระมัดระวังจนกระทั่งสิ้นสุดการผ่าตัด ร่างอันเหนื่อยล้าก้าวออกจากห้องผ้าตัดก่อนที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยล้าและโล่งใจ

    “เป็นไงบ้างวะเสือ ปลอดภัยแล้วใช่มั้ย” ปัญจวัตรเอ่ยถามเพื่อนรักหลังจากให้การกับตำรวจเท่าที่เห็นและพาเด็กน้อยที่ดูท่าจะหิวไปทานข้าวเพราะตนกับกุมารแพทย์สาวก็ทานไปได้ไม่ถึงสามคำก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นซะก่อนจากนั้นชายหนุ่มจึงขับรถกลับมาที่โรงพยาบาลพร้อมกับฟ้ารดาและเด็กหญิงตัวน้อยที่หยุดร้องไห้แล้ว

    หมอหนุ่มพยักหน้าก่อนที่จะสอบถามถึงการติดต่อญาติคนไข้ “ปลอดภัยแล้วการผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดีแล้วมีญาติมารับแม่หนูนี่รึยัง”

    “เดี๋ยวพ่อของน้องน้ำก็คงมา”ปัญจวัตรเอ่ยบอก คำตอบสั้นๆ ของปัญจวัตรทำให้เพื่อนหนุ่มทำหน้างุนงงพร้อมกับพูดออกมา “น้องน้ำ?”

    “ใช่น้องเขาชื่อน้องน้ำแล้วบังเอิญมากว่ะ น้องน้ำเป็นลูกไอ้ไมค์” ปัญจวัตรเอ่ยไขข้อสงสัยของเพื่อนรักในตอนที่ตนหยิบโทรศัพท์ของคนเจ็บขึ้นมาจะโทรหาคนรู้จักได้เห็นรูปของหญิงสาวกับชายหนุ่มที่รู้จักอุ้มเด็กหญิงอยู่พอฟ้ารดาเอ่ยถามเด็กน้อยก็บอกว่าเป็นคุณพ่อทำให้ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาโทรอย่างไม่ลังเล

    “ลูกไอ้ไมค์เหรอเนี่ย...สวัสดีครับน้องน้ำ อาชื่อเสือนะอาเป็นเพื่อนกับพ่อของหนูตอนนี้แม่หนูปลอดภัยแล้วนะครับ” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยบอกแก่เด็กน้อยที่เพิ่งรู้ว่าเป็นลูกเพื่อนสนิทอีกคนแต่เพราะตนและปัญจวัตรเรียนแพทย์ส่วนพิชัยพลหรือไมค์นั้นเรียนวิศวะฯ ทำให้ห่างกันไปจนกระทั่งได้ข่าวว่าเพื่อนสนิทแต่งงานและมีลูกแล้วแต่เพราะงานและหลายๆ เรื่องทำให้ทั้งสามไม่ได้ติดต่อกันแม้มีเบอร์โทร

    ในขณะพงศ์พยัคฆ์มองหนูน้อยอย่างเอ็นดูอยู่นั้นร่างของพิชัยพลก็เดินเข้ามา

    “เสือ นุชเป็นไงบ้างวะ” พิชัยพลรีบตรงมาหาเพื่อนสนิททันทีพร้อมกับตำรวจที่มาสอบปากคำ ชายหนุ่มผู้มาใหม่รีบรับลูกสาวไปอุ้มและปลอบทันทีขณะที่พงศ์พยัคฆ์มองภาพนั้นอย่างเอ็นดูและชื่นชมในบรรยากาศของพ่อลูกก่อนจะตบไหล่เพื่อน

    “ปลอดภัยแล้วอีกสองสามวันคงฟื้น”

    “เกิดอะไรขึ้นวะ” พิชัยพลเอ่ยถามอย่างสงสัย ตอนที่รู้เรื่องเขาตกใจจนแทบตั้งสติไม่ได้ พอได้สติก็รีบมุ่งตรงมาทันทีด้วยความห่วงลูกและภรรยา

    “เมียนายขับย้อนศรแล้วรถก็ชนประสานงากับรถของคู่กรณีที่ขับมาด้วยความเร็วเกินกำหนด” พงศ์พยัคฆ์ที่เห็นเหตุการณ์เต็มสองตาเอ่ยบอกเพื่อนและนายตำรวจที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

    นายตำรวจหนุ่มฟังแล้วขมวดคิ้วเพราะจากคำให้การของคู่กรณีไม่ตรงกับที่หมอหนุ่มพูดจนต้องเอ่ยถามขึ้น “ขอโทษนะครับคุณเห็นเหตุการณ์รึเปล่าเพราะคู่กรณีของคุณนุชตรีญาบอกว่าเขาขับตามกฎหมายกำหนดแต่คุณนุชตรีญาขับย้อนศรมาด้วยความเร็ว”

    “ผมนั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านหน้าจุดเกิดเหตุหันหน้าเข้าทางถนนจุดที่ชนก็หน้าร้านพอดี รถคันนั้นขับมาด้วยความเร็วเกินที่กฎหมายกำหนด ส่วนรถของนุชตรีญาขับย้อนศรมาไม่เร็วมาก แล้วก็นะคุณตำรวจฝ่ายคู่กรณีไม่ได้เป็นอะไรมากแต่คุณนุชตรีญาถูกชนจนศีรษะไปกระแทกกับอะไรบางอย่างจนหัวแตก เลือกออกทางจมูกความน่าจะเป็นมันเป็นได้มากกว่าว่ารถของคุณนุชตรีญาถูกชนกระแทกอย่างแรงนะครับ หรือถ้าคุณตำรวจไม่เชื่อที่ผมพูดตรวจสอบกล้องวงจรปิดหน้าร้านได้นะผมจำได้ว่าตอนเข้าไปผมเห็นอยู่” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยบอกแก่นายตำรวจหนุ่มด้วยน้ำเสียงเรียบและเยือกเย็นหลังจากนายตำรวจหนุ่มพูดเป็นนัยๆ ว่าตนพูดเข้าข้างภรรยาของเพื่อนสนิท

    นายตำรวจหนุ่มได้แต่นิ่งไปก่อนที่ลูกน้องจะโทรศัพท์เข้ามาบอกสิ่งที่เห็นในกล้องวงจรปิดของทางร้านซึ่งตรงกับที่ศัลยแพทย์หนุ่มเอ่ยบอกจนต้องกล่าวขอโทษขอโพย

    “ผมต้องขอโทษจริง ๆ นะครับที่พูดเหมือนกับว่าคุณหมอปกป้องเพื่อนเพราะคู่กรณีเป็นลูกชายคนใหญ่คนโตทำให้ผมเชื่อว่าฝั่งคุณผิดไปก่อนจะเห็นหลักฐาน”

    “งั้นก็สรุปว่าผิดทั้งคู่แต่ผิดคนละอย่างใช่มั้ยครับ” พิชัยพลเอ่ยถาม

    “ใช่ครับผิดทั้งคู่แต่ผิดคนละกระทง คงต้องเรียกมาเซ็นรับทราบข้อกล่าวหาและเสียค่าปรับและดำเนินการตามความผิดครับ คงต้องรอให้คุณนุชตรีญาหายดีแล้วค่อยเข้าพบเจ้าพนักงานนะครับ” 

    “ขอบคุณครับ ขอบใจนายด้วยว่ะเสือถ้าไม่ได้นายแล้วก็อีกสองคนช่วยฉันคงเสียนุชกับน้องน้ำไป” พิชัยพลเอ่ยขอบคุณนายตำรวจหนุ่มก่อนหันมาขอบคุณเพื่อนที่เข้าไปช่วยไว้ทัน

    “เปลี่ยนคำขอบใจเป็นเลี้ยงข้าวได้ป่ะไอ้เสือมันยังไม่ได้กินอะไรเลยคำแรกกำลังจะเข้าปากดังโครมซะก่อนดีนะก่อนมาเนี่ยฉันแวะพาน้องน้ำกับหมอฟ้าทานข้าวก่อนไม่งั้นละก็แย่แน่” ปัญจวัตรเอ่ยขึ้นเพราะจำได้ว่าเพื่อนรักยังไม่ได้ทานอะไร

    “งั้นฉันเลี้ยงข้าวนายแล้วกันไอ้เสือแล้วก็เลี้ยงกาแฟนายกับคุณหมอคนนี้ด้วยไอ้ปัญจ์ ตอบแทนที่ช่วยดูแลน้องน้ำให้ ไปกัน” พิชัยพลเอ่ยบอกและชวนทั้งสามไปทานข้าวที่ร้านของผู้เป็นพี่สาวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล

    “คราวนี้อย่าให้มีเหตุแบบเมื่อกี้อีกแล้วกัน สัญชาตญาณของหมอจะได้ไม่ต้องทำลายการทำงานของกระเพาะอาหารโรคกระเพาะจะได้ไม่ถามหา” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยอย่างขำขันทว่าใบหน้าเฉยชาก่อนเดินตามเพื่อนสนิทไปติดๆ ตามด้วยสองหนุ่มสาวที่เดินตามหลังไป

    อีกฟากหนึ่ง

    ร่างบางที่คล่องแคล้วกระฉับกระเฉงปลายสายตามองเวลาที่ค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ ด้วยความนิ่งสงบ เธอไม่ขยับตัวไปไหนเลยราวกับว่าได้กลายเป็นรูปปั้นไปแล้วท่าทีของเธอทำให้บรรดาคนรับใช้ที่พากันยืนเรียงอยู่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับแขกของเจ้านายถึงกับพูดไม่ออก

    คงไม่มีใครที่ไหนนั่งนิ่งได้เท่าเธอคนนี้หลังจากที่รอมากว่า3ชั่วโมง...เธอคนนี้ทำได้ยังไงกัน?

    “เอ่อ...คุณรับเครื่องดื่มอะไรเพิ่มมั้ยคะ?” มาลี หญิงชราวัยหกสิบเศษผู้เป็นหัวหน้าแม่บ้านเอ่ยถามขณะที่สายตายังคงจ้องมองร่างบางด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือความรู้สึกทึ่งที่อีกฝ่ายสามารถนั่งนิ่งได้ขนาดนี้ทั้งที่เจ้านายของพวกเธอให้รอนานกว่า3ชั่วโมง...จะหลุดด่าออกมาสักคำก็ไม่มี น่าทึ่งจริง ๆ 

    “ไม่เป็นไรค่ะ แค่น้ำเปล่าแก้วนี้ก็พอแล้ว” แพรวารินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพไร้ซึ่งความถือตัวก่อนจะนิ่งเงียบคล้ายจมอยู่กับตัวเองอีกครั้ง แม้ท่าทีที่แสดงออกจะไม่ต่างอะไรกับรูปปั้นหินทว่าภายในใจของหญิงสาวนั้นเดือดดาลอยู่ไม่น้อย เธอไม่มีปัญหากับการต้องรอลูกค้า แต่การที่ลูกค้าปล่อยให้รอทั้งที่เป็นคนนัดเวลาเองแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการกลั่นแกล้งและนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกค้าคนนี้กลั่นแกล้งเธอ

    เป็นครั้งที่3แล้วที่เธอต้องมาที่นี่เพราะลูกค้าคนพิเศษของบริษัทอยากจะปรับแก้แบบร่างที่เธอนำเสนอ ครั้งแรกเขาพอใจ แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ครั้งที่สองเขาบอกว่าไม่พอใจ แต่จะไม่เอาแบบแรก ให้เธอแก้อีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็บอกว่าอยากลองดูแบบแรกดูอีกครั้ง...ช่างเป็นลูกค้าที่เรื่องมากจนไม่อยากจะเสวนาพาที

    แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกค้าที่มองอย่างไรเธอก็ปลื้มไม่ลงเธอก็ไม่อาจจะแสดงท่าทีอะไรออกไปได้ แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็เป็นคนที่เก็บอารมณ์ความรู้สึกได้ดีอยู่แล้วหญิงสาวจึงรู้ดีว่าไม่ควรแสดงออกท่าทีไม่พอใจ และถึงแม้จะอยากแสดงออกสักเพียงใดก็คงทำไม่ได้

    ทำไมน่ะเหรอ?...ก็ลูกค้าพิเศษคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกับบอสของเธออย่างไรล่ะ

    เพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องเรื่องมากของบอสใหญ่เธอจึงทำให้ทุกอย่างพังไม่ได้ ทำได้เพียงแค่อดทนเท่านั้น เพราะถ้าขืนเธอทำมันพังคนที่ต้องเข้ามาดูแลแทนก็คือพิมพ์พิชชาเพื่อนสนิทของเธอ คนที่ทั้งบริษัทยกให้เป็นยัยตัวแสบประจำบริษัท

    เธอจะไม่ยอมให้ยัยตัวแสบมาที่นี่แน่ ๆ ล่ะ...ดังนั้นเธอจึงต้องอดทนและแสดงออกให้มากที่สุดว่าไม่สะทกสะท้าน คนขี้แกล้งจะได้หยุดแกล้งสักที

    กริ๊ง ๆ 

    ตาคู่หวานมองไปยังหน้าจอสมาร์ทโฟนที่เธอวางไว้บนโต๊ะก่อนจะหยิบขึ้นมารับสายทันทีที่รู้ว่าปลายสายคือใคร

    “ค่ะแม่พราว แพรยังอยู่บ้านลูกค้าเลยค่ะ”

    “อ้าว!!! ยังไม่เสร็จงานเหรอลูก ไหนว่าบ่ายนี้มีแค่นัดพบลูกค้าคนเดียวไง” ปลายสายอย่างคุณหญิงพราวกะรัตซึ่งมีศักดิ์เป็นแม่สามีของคู่สายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดูและแปลกใจ แพรวารินทร์ลอบถอนใจก่อนจะตอบไป

    “ลูกค้าติดธุระด่วนน่ะค่ะ ก็เลยต้องรอ แม่พราวไปก่อนก็ได้นะคะ เสร็จงานแล้วแพรจะรีบตามไปค่ะ”

    “ไม่ต้องรีบก็ได้ลูก ไว้หนูเสร็จงานแล้วกลับบ้านเปลี่ยนชุดเรียบร้อยเราค่อยไปพร้อมกันก็ได้ งานนี้แม่บอกแล้วไงว่าแม่จะควงหนูไป จะให้แม่ไปก่อนได้ยังล่ะ” ปลายสายตอบกลับมาอย่างไม่ยินยอมกับสิ่งที่แพรวารินทร์เสนอ หญิงสาวหลุดยิ้มเมื่อนึกขึ้นมาได้ งานที่แม่สามีพูดถึงก็คืองานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนสนิทของคุณหญิงพราวกะรัตที่โทรศัพท์มารบเร้าให้คุณหญิงพราวกะรัตพาเธอไปด้วยให้ได้เพราะว่าลูกสาวของอีกฝ่ายนั้นอยากจะปรึกษาเธอเรื่องการรีโนเวทบ้าน เมื่อเพื่อนรบเร้ามาคุณหญิงพราวกะรัตจึงตอบตกลงไปและยังบอกอีกว่าจะควงเธอไปโชว์ให้ทุกคนได้เห็นเป็นบุญตาเสียอีกด้วย...ถ้าไม่ควงเธอไปจริง ๆ ก็คงจะขายหน้าแย่ จะทำให้แม่สามีที่รักเธอเหมือนลูกสาวแท้ ๆ เสียหน้าได้ยังไงกันล่ะ

    “งั้นแม่พราวรอแพสักแป๊บนะคะ แพรจะรีบกลับไปให้ทันค่ะ” 

    “ได้จ้ะ แม่จะรอนะ” ปลายสายตอบกลับเพียงเท่านั้นการสนทนาก็ยุติ แพรวารินทร์เก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าก่อนจะมองดูเวลาอีกครั้งและหันไปยังแม่บ้านวัยชรา “รบกวนคุณแม่บ้านช่วยโทรศัพท์ถามคุณทอมให้หน่อยได้มั้ยคะว่าเขาสะดวกคุยงานกับดิฉันรึเปล่า ถ้าวันนี้ไม่สะดวกจะได้นัดเวลากันใหม่” 

    “เอ่อ... สักครู่นะคะคุณ” มาลีรับคำก่อนจะหายไปโทรศัพท์หาคนเป็นเจ้านาย เพียงไม่นานก็กลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี 

    “เขาว่ายังไงคะคุณแม่บ้าน?”

    “คือ...คือว่า เอ่อ คุณทอมเธอกำลังจะขึ้นเครื่องไปตรวจโครงการที่ฮ่องกงน่ะค่ะ เธอบอกให้คุณมัณฑนากรกลับไปก่อนได้เลย เธอกลับมาจะนัดคุยอีกทีค่ะ”

    หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งกับคำตอบที่ได้รับทว่าไม่มีท่าทีไม่พอใจแสดงออกมาให้ใครได้เห็น แพรวารินทร์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ราวกับไม่ได้เพิ่งพบเจอกับเรื่องชวนโมโห “อย่างนั้นเหรอคะ โอเคค่ะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” 

    แพรวารินทร์เดินออกไปลับตาแล้วทว่ามาลียังคงมองตามอย่างนึกชื่นชมในความอดทนของอีกฝ่าย “น่าทึ่งจริง ๆ”

    “นั่นน่ะสิป้า นอกจากคุณปรียาก็มีคุณมัณฑนาการคนนี้ล่ะที่ทนต่อการกลั่นแกล้งของคุณทอมได้” มารินีหลานสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากมาลีเอ่ยแสดงความคิดเห็นก่อนจะหันกลับไปเก็บแก้วน้ำ มาลีฟังคำของหลานแล้วก็ขบคิด น่าทึ่งที่มัณฑนากรสาวไม่แสดงกิริยาไม่พอใจออกมาเลยแต่ก็ใช่ว่าจะมีเพียงหญิงสาวที่พบเจอการกลั่นแกล้งของเจ้านายบ้านนี้แล้วยังทนได้ ยังมีอีกคนที่ทนได้และน่าแปลกที่ทั้งคู่ดูคล้ายกันมาก แม้จะไม่เหมือนกันซะทีเดียวก็ตาม...หวังว่าเธอคนนี้คงไม่ถูกดึงเข้ามาเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งอีกคนนึงของเจ้านายบ้านนี้นะ

    “ตายแล้วป้า คุณมัณฑนากรเธอลืมของไว้”

    “อะไรล่ะ?”

    “เหมือนจะเป็นสมุดโน๊ตนะป้า ทำยังไงดีป้า เธอกลับไปแล้วด้วยสิ” มารินีถามอย่างกังวลใจ มองดูก็พอจะรู้ได้ว่าสมุดโน๊ตนี้เป็นของสำคัญสำหรับมัณฑนากรสาว เธอและคนเป็นป้าก็ไม่รู้ว่าหญิงสาวเป็นใครมาจากไหนจะส่งของคืนคนก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปคืนที่ไหน

    “เอามาให้ป้า เดี๋ยวคุณทอมมาป้าจะเอาให้คุณทอม ให้คุณทอมเอาไปฝากคุณพีร์คืนให้” 

    “แต่เมื่อกี้ป้าว่า...”

    “คุณทอมเธอให้ป้าบอกคุณมัณฑนากรไปแบบนั้น กำหนดไปฮ่องกงน่ะพรุ่งนี้”

    “อ้าวป้า ทำไมคุณทอมทำแบบนี้ล่ะ” คนเพิ่งรู้ความจริงรู้สึกทั้งตกใจทั้งนึกไม่พอใจแทนคนโดนแกล้งเอ่ยพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจ “ทำไมคุณทอมถึงได้กลายเป็นคนใจร้ายแบบนี้ คุณมัณฑนากรเธอรอตั้งนาน น่าสงสารเธอจริง ๆ”

    “เงียบไว้เถอะนา ถึงแกจะโตมาพร้อมคุณทอม และคุณทอมเห็นแกเป็นเพื่อนแต่อย่าลืมว่าคุณทอมเธอเป็นเจ้านาย แล้วก็พ่อแม่ของเธอมีบุญคุณส่งเสียเลี้ยงดูแกให้แกได้เรียน ได้มีความรู้ติดตัว จะว่าอะไรเธอก็คิดถึงข้อนี้บ้าง” 

    “ไม่รู้ด้วยแล้ว แต่ถ้าครั้งหน้าคุณมัณฑนากรโดนแกล้งอีกรินีจะฟ้องคุณปรียา คุณทอมรักคุณปรียา คุณปรียาต้องช่วยคุณมัณฑนากรได้แน่ ๆ”

    “ฉันก็หวังว่าคุณทอมเธอจะไม่เอาคุณมัณฑนากรมาประชดลองใจคุณปรียาจนผู้หญิงสองคนต้องผิดใจกันนะ” มาลีเอ่ยก่อนจะหยิบสมุดโน๊ตมาจากมือหลานสาวและเดินจากออกไปทิ้งความงุนงงไว้ให้หลานสาววัยสามสิบเศษที่ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่คนเป็นป้าคิด แต่ถึงจะไม่เข้าใจแต่มารินีก็รู้สึกชื่นชอบมัณฑนากรสาวเป็นอย่างมาก หมายมาดว่าถ้ามัณฑนากรสาวโดนแกล้งครั้งต่อไปเธอจะต้องช่วยให้ได้ 

    หลายคนหลายความคิด มารินีและมาลีมีความคิดของตัวเอง แพรวารินทร์เองก็มีความคิดเป็นของตัวเอง หญิงสาวไม่ได้มุ่งตรงกลับบ้านในทันทีที่ออกมาจากบ้านลูกค้าระดับvipทว่าเธอขับรถมาจอดยังสวนสาธารณะของหมู่บ้านที่เป็นที่ตั้งของบ้านสัตยบดินทร์...ที่ตรงนี้เป็นสถานที่ที่เธอมาเสมอเมื่อมีเรื่องทุกข์ใจ หรือไม่พอใจ 

    เธอปล่อยทุกอารมณ์ความรู้สึกทิ้งไว้ที่นี่และกลับไปที่บ้านสัตยบดินทร์ด้วยรอยยิ้มเสมอไม่ว่าจะเจอะเจออะไรข้างนอกก็ตาม...ไม่ว่าจะไม่สมอารมณ์แค่ไหนก็จะไม่แสดงกิริยาอาการให้คนที่รักเธอเหมือนลูกไม่สบายใจเป็นอันขาด

    ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าครั้งนี้โดนกลั่นแกล้งแต่เธอก็ไม่คิดที่จะโวยวายอะไรเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นแล้วเรื่องนี้ถือว่าจิ๊บจ๊อยไปเลยเธอถึงไม่คิดถือสาอะไร...เทียบกับการได้ยินคนนินทาระยะเผาคนเรื่องพงศ์พยัคฆ์แล้วมันกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปเลยล่ะ

    ร่างบางนั่งลงบนชิงช้าที่ว่างอยู่แกว่งไปมาพร้อมกับเหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่มีนกฝูงใหญ่กำลังบินกลับรังกันอย่างไร้อุปสรรค “เป็นนกนี่ดีจังเนาะ อยากไปไหนทำอะไรก็ได้มีอิสระเป็นของตัวเอง ดูมีความสุขซะจริง”

    ทันทีที่พูดจบร่างบางก็ขยับลุกขึ้นและเดินกลับไปที่รถในทันทีโดยไม่ได้มองเลยว่าชิงช้าตัวข้าง ๆ ที่มีคนนั่งหันไปฝั่งตรงข้ามกับเธออยู่ก่อนหน้าที่เธอจะนั่งนั้นเป็นใคร...แพรวารินทร์ไปแล้วทว่าชายหนุ่มที่ได้ยินคำรำพึงรำพันของหญิงสาวนั้นยังอยู่

    เขาไม่ใช่ใครที่ไหน นายแพทย์พงศ์พยัคฆ์นั้นเอง ในทุก ๆ วันก่อนกลับบ้านเขามานั่งคิดอะไรที่นี่เสมอแต่วันนี้เขาได้กลับบ้านเร็วกว่าทุกวันอันเนื่องมาจากไม่มีธุระที่ไหนต่อชายหนุ่มจึงได้ยินถ้อยคำที่ฟังแล้วรู้สึกสะเทือนไปทั้งใจ แม้จะไม่ได้หันไปมองแต่แค่เสียงเขาก็จำได้ดีว่าใคร...ภรรยาตามกฎหมายของเขาอย่างไรล่ะ

    พงศ์พยัคฆ์นิ่งคิดด้วยความรู้สึกที่หลากหลายไม่เคลื่อนไหวไปไหน กว่าจะสลัดความคิดสับสนได้และคิดขึ้นมาได้ว่าวันนี้เขาสัญญากับคนเป็นแม่ไว้ว่าจะรีบกลับและไปงานกับท่านฟ้าก็มืดเสียแล้ว...คุณหญิงพราวกะรัตควงแขนลูกสะใภ้ไปงานกันแค่สองคนโดยไม่รอเขาเสียแล้ว

    พงศ์พยัคฆ์อาจจะยังคิดไม่ตกทว่าเรื่องของโชคชะตานั้นคนบนฟ้าได้กำหนดเอาไว้แล้วและเรื่องราวบทสรุปของเขาและภรรยาในนามที่ไม่รู้ว่าควรจะดำเนินไปในทิศทางไหนก็กำลังจะดำเนินไปตามที่คนบนฟ้าได้กำหนดเอาไว้แล้วโดยที่เขาและเธอไม่ทันรู้ตัว...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×