Christmas Vampire II ของขวัญตัวแทน - Christmas Vampire II ของขวัญตัวแทน นิยาย Christmas Vampire II ของขวัญตัวแทน : Dek-D.com - Writer

    Christmas Vampire II ของขวัญตัวแทน

    โดย Blue Hawk

    ในค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองซึ่งมาพร้อมกับข่าวการตายของพี่ชาย ราวกับพระเจ้ากำลังเล่นตลกใส่ กล่องของขวัญใบใหญ่ถูกจัดส่งมาถึงหน้าประตูบ้านโดยภายในคือร่างของแวมไพร์หนุ่มที่จะมาทำหน้าแทนพี่ชายคนเดิม...

    ผู้เข้าชมรวม

    318

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    318

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    12
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  25 ธ.ค. 58 / 20:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    See you...next Christmas

    ที่มารูปจาก Deviantart.com  โดย Yuumei


    ยามค่ำคืนวันคริสมาส ขณะที่ฉันกำลังเฝ้ารอการกลับมาของพี่ชายเพื่อเริ่มต้นการเฉลิมฉลอง....

    เพียงคำอธิษฐานสั้นๆ ขอให้เขากลับมาเร็วๆ

    สิ่งที่ได้รับตอบกลับมา คือ ข่าวการเสียชีวิตของพี่ที่รักที่สุด และ กล่องของขวัญใบใหญ่จากซานต้าคลอสตาเดียวท่าทางไม่น่าไว้ใจ ราวกับแทนคำขอโทษจากพระเจ้าที่ไม่สามารถปกป้องชีวิตพี่ชายของฉันเอาไว้ได้ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า แวมไพร์จะเป็นของขวัญคริสมาสที่ดีได้สักเท่าไร เขาจะเข้ามามีความสำคัญแทนที่พี่ชาย ครอบครัวเพียงคนเดียวที่ฉันมี ได้ยังไงกัน ในเมื่อทุกสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อฉันเป็นเพียงแค่ข้อแลกเปลี่ยนสำหรับเลือดเท่านั้น...

    ฉันชื่อ อีวา กลอเรีย เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษหน้าใหม่ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน อาศัยอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ส่วนตัวร่วมกับพี่ชายเพียงสองคน เพราะแม่ของเราเสียไปตั้งแต่ฉันเกิด ส่วนพ่อก็ถูกส่งเข้าคุกตอนที่พี่เพิ่งจบจากโรงเรียนตำรวจ ดังนั้นพี่ชายจึงเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตฉัน ...จะหาว่าเป็นพวกติดพี่ ฉันก็ไม่โกรธอะไรหรอก... แต่นับจากคริสมาสคืนนี้เป็นต้นไป แมทธิว คือพี่ชายของฉัน พี่ที่จะต้องทำทุกอย่างให้เหมือนกับที่พี่คนเก่าเคยเป็น




               




    Banner




    Christmas Vampire I




    Thank!
    themy butter



     

    © themy butter
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ





      คริสมาสงั้นหรอ? มันก็เหมือนกับทุกๆปีที่เราจะซื้อของขวัญให้กัน ทานข้าวเย็นกับครอบครัว ช่วยกันตกแต่งห้องและต้นคริสมาส ร้องเพลงสรรเสริญ... แต่ฉันก็ไม่เคยเบื่อ และเฝ้ารอวันวันนี้มาตลอด เพลงเดิมๆที่ฟังซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้ง รูปแบบจัดตกแต่งห้องที่คุ้นตาอยู่ทุกๆปี ของขวัญที่มักจะได้คล้ายกันตลอด หรือว่าใบหน้าครอบครัวคนเดียวที่เห็นกันอยู่ทุกวัน

      ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลอง หิมะเกล็ดน้อยๆต่างร่วมใจกันล่วงลงมาทั่วทั้งเมืองเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศของคริสมาสให้น่าดูยิ่งขึ้น แสงไฟระยิบระยับดูงดงามตระการตาเมื่อมองออกไปจากนอกหน้าต่าง

      ฉันกำลังเฝ้ารอพี่ชายอยู่ภายในบ้าน อพาร์ทเม้นท์สองชั้นที่มีชื่อของพี่เป็นเจ้าของ บนโซฟาแบบถุงถั่วหนังสีครีมขาวตัวใหญ่มีเจ้าจอร์จกับจอร์เจียสองนกกระตั้วคู่รักนั่งร่วมกับฉันด้วย เสียงเพลงสรรเสริญดังคลอเบาๆชวนให้เพลิดเพลิน ทำให้พวกเรา(ฉันและคู่รักตัวจอ)สามารถนั่งรอพี่อยู่ตรงนี้นิ่งๆได้นานยิ่งขึ้น

      ครอบครัวเรามีกันแค่สองคนพี่น้อง ก่อนหน้านี้ครอบครัวเราถังแตกมากตั้งแต่ยังไม่มีลูกๆอย่างเราด้วยซ้ำ ประมาณว่าพ่อกับแม่พากันหนีออกจากบ้านตัวเองสมัยวัยรุ่นเพราะครอบครัวแต่ล่ะคนไม่ชอบขี้หน้ากัน ราวกับวรรณกรรมเรื่องโรมิโอกับจูเลียตสุดท้ายก็ล่ม... ทั้งคู่แทบไม่ได้รับความปราณีจากครอบครัวเลย พูดง่ายๆคือถูกตัดหางปล่อยวัดโดยปริยาย ซ้ำร้ายยังไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงดูกันเองอีก แต่พวกท่านก็ยังรักกันดี...นั่นอาจเป็นข้อดีที่ฉันได้ยินจากปากพี่ชายเมื่อเล่าถึงพ่อแม่ แน่นอนว่าฉันไม่ทันได้สัมผัสกับโอกาสนั่น เพราะวันที่ฉันคลอดก็เป็นวันที่เสียแม่ไปเหมือนกัน ตั้งแต่วันนั้นพ่อก็เละเทะไม่เหลือชิ้นดี จนถูกจับเข้าคุกเมื่อตอนที่พี่จบจากโรงเรียนตำรวจ ข้อหาเมาแล้วบ้าไล่ขับชนคนตายไปทั่ว ไม่ได้รับโทษประหารก็ดีแค่ไหนแล้ว

      จากที่อ่านมาจะเห็นว่าฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยมีศรัทธาต่อตัวบุพการีเท่าไร...เด็กๆอย่าเอาเป็นแบบอย่างนะจ๊ะ

      จากทั้งหมดนั้นน่าจะเป็นเหตุผลที่ดี ว่าทำไมฉันถึงรักพี่มากที่สุดกว่าใครในโลก ท่ามกลางชีวิตที่ห่วยบัดซบเพราะพ่อ พี่ชายเป็นความสุขเพียงอย่างเดียวที่ช่วยฉุดฉันขึ้นมา เขาคอยดูแลเอาใจใส่ฉันมาตลอด ทั้งปกป้องฉันเมื่อถูกพ่อทำร้าย มอบความรักที่ฉันไม่เคยได้จากแม่ พี่เป็นคนพัฒนาฐานะของครอบครัวขึ้นมาได้ จนมีอพาร์ทเม้นเป็นของตัวเองไว้ให้คนอื่นมาเช่าอาศัย พี่ตรากตรำทำงานไปด้วยระหว่างเรียน จนในที่สุดก็ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ พี่ชายคือฮีโรที่แสนดีที่สุดในสายตาของฉันตลอดมา

      ตรงหน้าเรามีทีวีจอแบนเครื่องใหญ่ดับสนิทอยู่ ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบติดตามข่าวสารโลกภายนอกหรอกนะ แต่เพราะว่าตอนนี้ฉันกำลังเปิดแทปเล็ตเล่นเกมจับผิดภาพอยู่ต่างหาก อ้ะ! นั่นไงเจออีกที่แล้ว และอีกอย่างคือถ้าเปิดดูมันคงไม่คุ้มเท่าไรหากมีแค่ฉันดูคนเดียว โดยเจ้ากระตั้วคู่รักที่ร่วมด้วยมันคงดูแล้วไม่ได้เรื่องอะไรหรอก

      ส่วนเรื่องอาหารค่ำ ฉันก็ได้ซื้อวัตถุดิบต่างๆเตรียมตามที่พี่สั่งไว้ก่อนหน้านี้แล้วเรียบร้อย แต่ยังไม่ได้ปรุงหรอกนะ แค่เตรียมไว้เฉยๆ รอให้พี่มาจัดการต่อเพราะปกติหน้าที่พ่อครัวก็เขานั่นแหละที่เป็นคนทำตลอด แล้วถ้าจะให้ฉันทำล่ะก็...ไม่! ครัวไม่ถึงกับระเบิดหรอก นั่นมันโอเวอร์เกินไปหน่อย แค่อาหารที่ได้มันจะไม่คุ้มกับต้นทุนที่ซื้อมาน่ะ ราคาอาจตกไปประมาณ 80-99% จากต้นทุนเดิม ช่างเถอะ...เราเลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว

      ถ้าถามว่าพี่ชายฉันไปไหน เขาทำงานน่ะ เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษสำหรับปราบปรามอาชญากรรมด้านยาเสพติดโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับฉัน แต่ฉันเพิ่งได้รับบรรจุตามพี่มาเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ดังนั้นจึงยังไม่ได้รับอนุญาตให้รับงานลงพื้นที่ภาคสนามครั้งนี้ร่วมกับพี่ชาย ดูเหมือนว่าจะเป็นภารกิจสำคัญส่งท้ายปีบุกกวาดล้างแก๊งค้ายารายใหญ่ในเมืองด้วย

      หวังว่าพี่จะปลอดภัย...พระเจ้าโปรดทรงคุ้มครองพี่ชายฉันด้วยนะคะ ขอให้พี่กลับมาไวๆ เราจะได้เริ่มต้นทำอาหารกันซักที...

      ติ้งหน่อง---!

      อ๊ะ! พี่มาแล้ว...ทันทีที่เสียงกริ่งดังขึ้นฉันก็รีบลุกออกจากโซฟาอย่างตื่นเต้นดีใจ จากเจ้าจอร์จกับจอร์เจียถึงกับตกใจสะบัดปีกหนี ฉันมุ่งตรงไปเปิดประตูต้อนรับพี่ชายแสนดีด้วยรอยยิ้มร่าเริงทันทีสุขสันต์วันคริสมาสค่ะ พี่แมท...เอ๋?”

      ทว่าบุคคลตรงหน้ากลับไม่ใช่คนที่หวังเอาไว้ แต่กลับกลายเป็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดเครื่องแบบติดยศสูง ชุดเครื่องแบบของเขาดูเหมือนจะสวมไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไรราวกับรีบจับมาใส่เพื่อมาที่นี่ ฉันสังเกตเห็นคราบเขม่าเปื้อนตามผิวของชายหนุ่มภายใต้ชุดแล้วก็เริ่มชักจะใจไม่ดี ใบหน้าจัดหว่าหล่อเหลาเอาการแต่ก็ไม่ตุ้งติ้งเกินความเป็นชายรอยยิ้มนั้นส่งมาให้ฉัน แต่นัยน์ตาสีออดอายเขียวน้ำตาลกลับฝืนทนกล้ำกลืนเมื่อเจอฉัน เพียงเท่านั้นแหละ...สีหน้าฉันก็ซีดสลดลงทันตา คาดเดาได้ว่าเขาจะพูดอะไร แต่ก็พยายามคิดว่านั่นต้องไม่เกิดขึ้น นั่นต้องไม่ใช่เรื่องจริง!

      บุรุษตรงหน้าก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วถอดหมวกออกมาถือไว้ ผมสีบลอนด์ทองหลุดล่วงลงมาเพราะไม่ได้เซ็ททรงไว้สุขสันต์...เขาหยุดชะงักไปเมื่อเห็นว่ามันคงไม่เหมาะสมเท่าไรหากพูดเช่นนี้พร้อมกับข่าวที่นำมา ชายหนุ่มกระแอมเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนคำพูดสายันสวัสดิ์ครับ คุณคงเป็น อีวา กลอเรีย น้องสาวของแมธธิวสินะ...

      ใช่ค่ะ...ฉันพยายามเก็บอารมณ์เอาไว้แล้วแสดงท่าทีเป็นปกติที่สุด

      ผมคือ กอร์ดอน เอฟ อาร์ก เป็นกัปตันของหน่วยที่คุณกับพี่ชายสังกัดอยู่ และเป็นผู้รับผิดชอบแผนปฏิบัติการบุกจู่โจมในครั้งนี้ด้วย คุณอาจยังไม่เคยรู้จักผม แต่แมทธิวมักเล่าเรื่องคุณให้ผมฟังอยู่บ่อยๆตั้งแต่อยู่โรงเรียนตำรวจแล้วเขาหัวเราะ แต่น้ำเสียงกลับแหบแห้ง คงจะฝืนหัวเราะออกมาล่ะมั้ง

      ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรรึเปล่าคะถึงมาที่นี่ ภารกิจล่ะ พี่แมทปลอดภัยดีรึเปล่า หรือว่าบาดเจ็บอยู่โรงพยาบาล จึงรีบมาบอกข่าวนี้กับฉัน คุณจะพาฉันไปดูแลพี่ที่โรงพยาบาลใช่รึเปล่า? คุณ....ฉันรีบยั้งปากตัวเองเอาไว้ก่อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าตกตะลึง ไม่ใช่เพราะฉันร้องไห้แน่ๆเพราะฉันยังคุมสีหน้าได้อยู่ แต่เป็นเพราะได้ยินว่าฉันสังเกตเขาออก ซึ่งก็ก่นด่ากับตัวเองเรียบร้อยแล้ว...นังโง่! ตั้งสติตัวเองก่อนพูดสิย่ะ แค่อ่านจากประโยคก็ดูออกแล้วว่าเธอรู้ถึงข่าวที่เขาหิ้วมา

      แต่อีกใจหนึ่งก็ประท้วงว่ามันต้องเป็นไปตามประโยคที่พูดสิ!

      พี่แมทแค่บาดเจ็บ กัปตันแค่จะมารับฉันไปดูแลพี่ที่โรงพยาบาลเท่านั้น...

      เอ่อ...เราน่าจะเข้าไปคุยกันข้างในนะครับ ข้างนอก อากาศหนาว เสื้อผ้าที่คุณใส่ก็...ดูเขากระอึกกระอักที่จะพูดเรื่องชุด อา...ใช่ฉันใส่สายเดี่ยวกับผ้าคลุมไหล่อยู่นี่นา แต่ตอนนี้ร่างกายฉันมันเย็นยิ่งกว่าหิมะภายนอกแล้วล่ะ และฉันก็ไม่มีอารมณ์จะมาสนใจความเป็นห่วงของใครทั้งนั้นด้วย

      ไม่ฉันตอบสวนกลับทันควันจนอีกฝ่ายเบือนหน้าหนี และเป็นอีกครั้งที่ฉันด่าตัวเอง แม้น้ำเสียงที่พูดออกไปจะไม่ถึงขั้นขึ้นเสียงแต่ก็โทนต่ำจนดูออกว่าฉันกำลังสะกดกั้นอารมณ์อยู่ ฉันรีบแก้ตัวใหม่ทันทีอ่ะ...ขอโทษทีค่ะ แต่คงไม่เหมาะสมเท่าไร คือ...มีอะไรก็ช่วยบอกมาเถอะ...คงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอ้อมค้อมแล้ว

      เขาฝืนยิ้มให้ฉันอีกครั้งราวกับส่งกำลังใจให้เพื่อเตรียมตัวรับความจริงผมจะมาแจ้งข่าวว่า...แมทธิว กลอเรีย พี่ชายของคุณ เขาได้เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้แล้วครับ ต้องของแสดงความเสียใจด้วยที่ไม่สามารถปกป้องพี่ชายของคุณกลับมาร่วมคริสมาสกันได้

      ฉันสูดหายใจลึกเข้าเต็มปวด ประสาทการรับรู้ด้านชาเมื่อได้ยินเข้ากับหูตัวเอง แม้จะเดาได้ก่อนหน้านี้แล้วแต่พอได้รับการยืนยันจริงๆกลับรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างหนักหนาแสนสาหัสราวกับโลกทั้งใบแหลกสลายหายไปในพริบตา ไหล่ฉันกระตุกและกอร์ดอนรับรู้ถึงมัน เขาทำท่าทีจะเข้ามาปลอบ แต่ฉันถอยห่างออกมาเสียก่อน “...แล้วภารกิจล่ะคะ?”

      ครับ?” ชายหนุ่มทวนคำ เขาดูประหลาดใจที่จู่ๆฉันถามเรื่องนี้

      ภารกิจในครั้งนี้...สำเร็จลุล่วงรึเปล่าคะ...? พี่แมธเขา...

      เขาทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุดและตายอย่างสมเกียติในหน้าที่ แมทธิวเป็นนายตำรวจที่กล้าหาญที่สุดที่ผมเคยเจอแล้วครับเขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นภารกิจสำเร็จลุล่วงได้เพราะมีเขา เชื่อเถอะ...แมทธิวเป็นพี่ชายที่ดีสำหรับคุณ อีวา...

      ฉันฝืนทนยิ้มออกมา อย่างน้อยนี่ก็จะเป็นข่าวดีในการสูญเสียครั้งนี้ขอบคุณที่ดูแลพี่ชายของฉันตลอดมาค่ะ กัปตันกอร์ดอน...

      เรียกผม กอร์ดอนเฉยๆก็ได้ครับ ยังไงแมทธิวก็เป็นเพื่อนสนิทของผมเช่นเดียวกันเราเขย่ามือกัน “...อีวา คุณแน่ใจนะว่าจะอยู่คนเดียว?”

      ค่ะ ฉันไม่เป็นไร

      กอร์ดอมยิ้ม สีหน้าดูลำบากใจที่จะเดินจากไป แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลั้นใจจากไปจริงๆ ฉันค่อยๆปิดประตูบ้านลงแล้วลงกลอน คู่กระตั้วรอเกาะอยู่บนชั้นวางรองเท้าอยู่แล้ว พวกมันไม่แสดงอาการเสียใจใดๆให้ฉันเห็นเลย แน่นอนอยู่แล้วกระตั้วโง่ๆมันจะคิดอะไรได้นอกจากความต้องการพื้นฐานของตัวเอง

      ทันใดนั้นขาทั้งสองข้างของฉันก็ไร้เรี่ยวแรงยืน ไม่สามารถรับน้ำหนักร่างกายได้อีกต่อไป ฉันทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นทั้งเนื้อตัวสั่นกระตุก...แต่ไม่มีน้ำตา ไม่มีแม้แต่ความชื้นเพียงเล็กน้อยให้กลั่นออกมาเป็นหยดน้ำ ฉันค่อยๆกอดเข่าตัวเองอยู่ตรงนั้น หน้าประตู ข้างชั้นวางรองเท้าและสองคู่รักนกกระตั้ว ในหัวสมองว่างเปล่า ไร้ความคิดใดๆอีกต่อไป...ราวกับตุ๊กตา....

      ชีวิตนี้ไม่มีพี่...ไม่มีสิ่งใดๆอีกต่อไป...

      จะไม่ร้องไห้สักหน่อยรึไง?”

      ฉันเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกตะลึงกับเสียงทุ้มของชายปริศนาที่จู่ๆก็ดังขึ้นมา ปรากฏร่างสูงกำยำยืนกอดอกพิงผนังห่างออกไปตรงหน้า ท่อนบนอันเปลือยเปล่าเผยมัดกล้ามแน่นบึกบึนแต่ผิวกลับซีดเซียวราวกับศพดูน่ากลัวและขับให้เส้นผมสีน้ำตาลแดงดูโดดเด่นขึ้นมา ใบหน้าคมเข้มดุดันได้รูปดูมีเสน่ห์ในแบบผู้ชายอันตรายและใจร้อนซึ่งดูเข้ากับดวงตาสีแดงดี...ฉันเผลอสังเกตรายละเอียดของบุคคลตรงหน้านานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้

      ได้สติอีกทีหนึ่งก็ตอนที่เจ้าคู่รักนกกระตั้วต่างพากันร้องเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันดั่งลั่นอย่างกับกำลังหลงใหลในเรือนร่างและรูปหน้าของชายปริศนาคนนี้ร่วมไปกับฉันด้วยก็ไม่ปาน

      แต่ต่อให้หล่อมาจากไหนก็ตามทีเถอะ...

      “...นายเข้ามาได้ยังไง? ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้...น่าแปลกที่ทั้งน้ำเสียงและคำพูดของฉันกลับเรียบเฉย ไร้การสื่ออารมณ์ใดๆ ฟังดูไม่ใส่ใจอะไรอีกต่อไป

      ชายหนุ่มชักสีหน้าไม่พอใจชัดเจน พลางแยกเขี้ยว ถูท้ายทอยตัวเองฮึ่ม! คำถามแรกฉันจะตอบให้ แต่คำสั่งที่สอง คือ ไม่! ฉันจะไม่ทำตามแน่ ถ้าจะสั่งหรือไล่ใครไปสักคน เธอช่วยแสดงท่าทางให้มันจริงจังหน่อยได้ไหม ทำตัวเป็นหุ่นยนต์ไปได้

      จริงจัง?” ฉันทวนคำพร้อมกับเลิกคิ้วมองหน้าเขา ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในบ้านตรงไปยังลิ้นชักไม้ซึ่งอยู่ข้างทีวี แต่ก็ต้องสะดุดชะงักอีกครั้งเมื่อเจอกับชายอีกคนสวมชุดซานต้าคลอสนั่งอยู่บนโซฟาถุงถั่วที่ฉันเคยนั่งอยู่แถมกำลังสูบซิการ์อย่างไม่ทุกข์ร้อนว่าตัวเองกำลังบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของคนอื่นอยู่ ฉันไม่สงสัยเลยว่าที่เขาเหลือดวงตาอยู่แค่ข้างเดียวด้วยเหตุผลอะไร

      อ้า! สุขสันต์วันคริสมาส แม่สาวน้อยนายซานต้าโบกมือทักทาย

      ฉันรีบเปิดลิ้นชัก ภายในมีปืนลูกโม่บรรจุกระสุนไว้เรียบร้อยจัดวางไว้อย่างดีพร้อมหยิบเผื่อฉุกเฉิน โดยไม่รอช้าฉันคว้ามันยกขึ้นส่องหน้าชายในชุดซานต้าพลางง้างนกโชว์ขู่ อืม...ข่มขู่ให้กลัวไว้ก่อนก็ดี ฉันไม่อยากทำความสะอาดเลือดภายในบ้านหลังจากที่พี่เพิ่งตายไปหรอกนะ

      โว้ๆ ใจเย็นๆก่อนสิจ๊ะสาวน้อยเจ้านั่นพูดอย่างอารมณ์ดีทั้งๆที่มีกระบอกปืนชี้ใส่ นั่นสร้างความหงุดหงิดให้ฉันได้ไม่น้อย แต่ก็ยังดีที่รู้หน้าที่รีบยกมือกุมหัวแล้วย้ายก้นตัวเองออกจากโซฟาของฉันไปยืนหลบอยู่ด้านหลังชายอีกคน คราวนี้ปากกระบอกปืนมาเล็งอยู่ที่กลางลำตัวของชายผิวซีดแทน และก็เช่นกัน ดูเขาจะไม่หวาดกลัวต่ออาวุธในมือของฉันเลย เขาแค่กลอกตามองซักพักก่อนจะจ้องตาฉันอีกครั้ง

      นั่นเรียกว่าจริงจังสำหรับเธอแล้วสินะ?” ชายหนุ่มยิ้มเยาะ

      แล้วนายจริงจังกับชีวิตตัวเองมาแค่ไหนกันล่ะ?” แค่กระดิกนิ้วนายก็ตายแล้ว เอาสิ...แค่ติดคุกตามพ่อไป มันคงไม่เลวร้ายเท่าไรหรอกเมื่อเทียบกับข่าวการตายของพี่

      เขาไม่พูดตอบโต้อะไรต่อ แต่กลับยักคิ้วท้าทายพร้อมกับก้าวเดินตรงมาหาฉัน ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่าฉันมีปืนอยู่ในมือ คิดลองดีกันอย่างนี้มันโคตรบ้าเลย... เล่นเดินเข้าหาแบบนี้คิดว่าจะทำให้ให้กลัวได้รึไง ฉันต้องไม่ก้าวถอยเพราะมันแสดงถึงความลังเลที่จะยิง ดังนั้นฉันจึงก้าวเข้าไปหาแล้วยกปากกระบอกปืนขึ้นชี้กลางหว่างคิ้วอีกฝ่ายจนชิด จากนั้นจึงกดเอาไว้ ผลักหัวเขาออกเพื่อให้ก้าวถอยไป ฉันต้องทำอย่างนี้กว่าเขาจะหยุดเดินได้ แต่รอยยิ้มและแววตาบ้าๆนั่นก็ยังคงฉายชัดอยู่ต่อหน้าฉัน

      เตือนครั้งสุดท้าย..ฉันกดเสียงต่ำ

      หึ! เอาสิมือใหญ่คว้ามือฉันข้างที่ถือปากกระบอกปืนเอาไว้ ก่อนจะให้แรงบังคับกดให้มันชี้ไปที่กลางอกเยื้องไปทางซ้ายถ้าอยากให้ฉันตายมันตรงนี้

      ฉันจ้องเขม็งเขากลับ กรามขบแน่นจนปวดตุบออกไปจากบ้านของพี่ชายฉันซะ!

      คราวนี้เขากลับเลิกคิ้วอย่างพอใจ ชายหนุ่มปล่อยมือจากกระบอกปืนพลางเอื้อมมือมาลูบหางคิ้วของฉัน ด้วยท่าทางสบายๆมันต้องอย่างนี้สิ ...ยิงเลย ฉันมันพร้อมตายตั้งแต่ถูกยัดจับใส่กล่องเฮงซวยนั่นแล้ว

      อะไรกัน...พูดอะไรแปลกชะมัด!

      ฉันกำกระบอกปืนแน่นจนมือสั่น ลมหายใจเริ่มหอบถี่เร็วแรง ...พี่ฉันเพิ่งตายไป ทำไมพวกนายสองคนถึงต้องเข้ามาก่อกวนด้วย ฉันอยากอยู่คนเดียว! เข้าใจไหม! ฉันอยากอยู่คนเดียวลำพัง!ออก-ไป...

      ไม่

      สิ้นคำตอบ สติฉันขาดผึ่งอย่างควบคุมไม่ได้อีกต่อไป เป็นความโกรธที่ไร้เปลวไฟ ความอัดอั้นทั้งหมดระเบิดออกมาโดยไร้เสียง ความรู้สึกทั้งหมดถูกถ่ายทอดลงสู่ลูกกระสุนปืนนัดนี้ มือฉันขยับเหนี่ยวไกโดยปราศจากความลังเล มีแต่โทสะล้วนๆสะสมอยู่ในนั้น ทั้งหมดจะแล่นผ่านลำกล้องทะลวงเข้าหัวใจของเขาอย่างแม่นยำ และร่างของเขาจะล้มลงกองกับพื้นสังเวยแด่ชีวิตของพี่ที่จากไป

      กริ้ก!

      ทว่ามันไม่เกิดขึ้น...

      ไม่ใช่เพราะกระสุนหมด ไม่ใช่เพราะลืมขันนก(เพราะฉันทำไปแล้ว) บัดนี้ร่างกำยำของชายหนุ่มยังคงยืนอยู่ส่งสายตาท้าทายแก่ฉันปากกระบอกปืนก็ยังคงจ่ออยู่กลางอกดังเดิม เพียงแต่มีมือของชายในชุดซานต้าวางอยู่บนกระบอกปืนแทน โดยที่นิ้วโป้งของเขาเกี่ยวอยู่ที่ไกนก เขาเอื้อมมือเข้ามาหยุดยั้งการฆ่าครั้งนี้ไว้ได้ก่อนที่บ้านอันแสนสุขสบายของพี่จะแปดเปื้อนเลือด เขาเข้ามาขวางอย่างรวดเร็วและเงียบกริบโดยที่ฉันไม่ทันสังเกตเลยแม้แต่น้อย คงอาศัยช่วงที่ฉันโมโหจนขาดสติรีบโผล่พรวดเข้ามาปลดไกไว้ แต่นั้นก็ยังน่าทึ่งอยู่ดีที่คนธรรมดาจะมีทักษะอย่างนี้ได้

      ฉันเริ่มรู้สึกว่าร่างกายสั่นเทาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความโกรธอย่างครั้งที่แล้ว แต่เป็นเพราะ...บางอย่างที่ทำให้จิตใจฉันบีบรัดแน่นอีกครั้ง ฉันไม่อยากยืนอีกต่อไปแล้วแต่ก็ต้องฝืนทนเพราะมีคนแปลกหน้าอยู่มองดูด้วย ฉันไม่อยากเปิดเผยความอ่อนแอให้ใครเห็นทั้งนั้นแม้แต่กับตัวเองก็ตามที พี่ชายฉันเพิ่งตาย แต่ฉันจะเข้มแข็ง...ต้องไม่รู้สึกอะไร ต้องไม่ใส่ใจ....

      ฆ่ากันในค่ำคืนอันศักดิ์สิทธิ์มันเป็นบาปหนานะ”  เสียงของนายซานต้าสะท้อนเข้ามาให้โสตประสาท เขากำลังพูดกับฉันอยู่ แต่ฉันไม่สนใจประโยคแรกเท่าไร ทว่าประโยคหลังกลับชวนให้หูผึ่งเรียกสติฉันให้กลับมาครบสามสิบสองอีกอย่างเธอก็ยังไม่มีสิทธิฆ่าหมอนั่นด้วย ถ้าหากยังไม่ได้เซนสัญญารับของขวัญ

      ชิ...ขอให้ยอมเซนรับล่ะกัน ยัยกำพร้าพี่ชายเอ้ย!ชายอีกคนบ่นอุบ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังกล่องใบใหญ่ซึ่งตกแต่งเป็นสีขาวแดงและมีริบบิ้นอันใหญ่ผู้เอาไว้ ร่างกายอันใหญ่โตมุดเข้าไปในกล่องนั้นอย่างยากลำบาก สายตาของเขาเหลือบมาสบตากับฉันอีกครั้งหนึ่ง แต่ภายในแววตาสีแดงเลือดนั้นกลับให้อารมณ์อันคุ้นเคยอย่างที่พี่ชายมักมองมาที่ฉัน ปลุกให้หัวใจเต้นด้วยจังหวะแสนประหลาด

      เมื่อหันกลับมาเอกสารชุดหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้ฉันทันที ฉันมองหน้าซานต้าคนนั้นอย่างไม่ไว้ใจ แต่ก็รับมันมาไว้ก่อน เขาก็พูดพร่ำเพรื่ออะไรไม่รู้ยาวเหยียดซึ่งมันแทบไม่ทะลุเข้าแก้วหูข้างไหนของฉันเลยซักนิด ควันบุหรี่ลอยฟุ้งจนฉันชักรำคาญ

      เฮ้ นี่เธอฟังที่ฉันอยู่อยู่รึเปล่า?” นายซานต้าสะกิดเรียก

      ฉันเงยหน้าขึ้นมองอืม ฟังอยู่ เล่าต่อสิแน่นอนว่านั่นเป็นคำโกหก แต่ก็เป็นคำโต้ตอบที่ฉันมักใช้ตัดปัญหานี้ได้บ่อยๆ แต่ไม่ใช่กับคนคนนี้

      “...นี่เรื่องสำคัญนะ อุตส่าห์ขอกับพระเจ้าแล้วพระองค์ก็ตอบรับคำขอ ช่วยตั้งใจหน่อยสิ ฉันไม่มีเวลามากมายนักนะ

      หืม...พระเจ้างั้นหรอ นี่เอาเรื่องหรอกเด็กจากไหนมาพูดกัน

      ที่ฉันขอไว้ คือ ขอให้พระองค์ปกป้องพี่ชายต่างหาก

      เขาถอนหายใจออกมายาวงั้นฉันจะสรุปสั้นๆให้ก็ได้ ตั้งใจฟังให้ดีๆล่ะฉันพยักหน้ารับรู้ ก็ได้...ครั้งนี้จะตั้งใจฟังล่ะกันเธอก็เห็นแล้วหมอนั่นคือของขวัญจากพระเจ้าที่ประทานให้กับเธอ และเป็นแวมไพร์

      แวมไพร์งั้นหรอ อย่ามาล้อเล่นกันน่า...ฉันสวนกลับอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง แต่รอยยิ้มขบขันนั้นกลับทำให้ฉันเริ่มรู้สึกแปลกๆ

      ไม่เชื่อก็ตามใจ ถ้ารับไปเลี้ยงแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง...เอาล่ะ ตกลงจะรับรึเปล่า?”

      ฉันขมวดคิ้วมุ่นมันไม่มีเหตุผลใดๆที่มีน้ำหนักพอที่จะยอมรับกล่องของขวัญชิ้นนี้เลยสักข้อ ตรงกันข้ามกลับมีเหตุผลร้อยแปดประการที่จะไม่รับมันเอาไว้ ตั้งแต่ท่าทางไม่น่าไว้ใจของคนส่งของ นิสัยน่าหงุดหงิดของผู้ชายคนนั้น รวมถึงเรื่องหลอกเด็กที่พูดให้ใครต่อใครฟังก็ไม่มีใครโง่ยอมเชื่อตาม ยกเว้นบางคนที่สงสารกับการเล่นมุกคนนี้แล้วเออๆออๆตามไปด้วย เอาตามตรงว่าฉันไม่ได้อยากจะรับเขาไว้เลยแม้แต่นิดเดียว พื้นที่แห่งนี้รองรับเพียงแค่ฉันกับพี่ชายเท่านั้น จะเอาผู้ชายคนอื่นที่ไหนมาอยู่ด้วยฉันไม่มีทางยอมเด็ดขาด แล้วฉันก็ส่ายหน้า “...ฉัน....

      ให้ฉันเป็นตัวแทนพี่ชายเธอก็ได้...เสียงทุ้มจากคนในกล่องพูดขึ้น น้ำเสียงแสดงความแข็งกร้าวอย่างผิดแปลก

      รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซานต้าคนนั้นแทน สิ่งนั้นกลับทำให้ฉันรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าให้ฉันรับเขาเอาไว้ และอีกอย่าง...คำว่าพี่ชายมันสะกิดใจฉันขึ้นมา

      ไม่มีทาง...นายไม่มีทางทำได้หรอก

      ได้ไม่ได้ให้โอกาสฉันพิสูจน์ตัวเองก่อนเถอะ ยังไงพอเธอเซนรับฉันแล้วสิทธิทุกอย่างมันก็ของเธอทั้งหมดนั่นแหละแม้ว่าจะคุยผ่านกล่องซึ่งกักขังร่างกายและใบหน้าของเขาเอาไว้อยู่ แต่ฉันกลับจับสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวผ่านน้ำเสียงของเขา “...ขอร้องเถอะ อย่าให้ฉันตายโดยที่ไม่ได้เริ่มต้นอะไรเลยสิ...

      ไหนก่อนหน้านี้บอกว่าพร้อมตายตั้งแต่เข้ากล่องแล้วไง...น่าสมเพชชะมัด...

      ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจ ฉันหันควับไปมองหน้าซานต้าคนนั้นซึ่งกำลังดูดบุหรี่อย่างสบายใจพลางปิดปากหาววอดใหญ่ “...ฉันตกลง

      ทันใดนั้นความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นเข้าที่ปลายนิ้วของฉัน เลือดหยดหนึ่งแปดเปื้อนลงบนกระดาษเอกสารบนมือแล้วซึมหายไป ฉันมองอย่างตกตะลึงถึงเรื่องราวเหนือธรรมชาตินี้ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากถาม ซานต้าตรงหน้าก็เอ่ยขัดขึ้นซะก่อน

      ทำสัญญาส่งมอบเรียบร้อย เอกสารฉบับนี้จะทำให้เธอสามารถต่อต้านอำนาจสะกดจิตของแวมไพร์ได้ และ ตั้งแต่นี้ไปเธอคือผู้ดูแลโดยชอบธรรมของเขาเต็มตัว สิทธินี้สามารถถ่ายโอนหรือถอดถอนได้แล้วแต่ดุลยพินิจของตัวเธอเอง ส่วนนี่คู่มืออื่นๆ เก็บไว้ซะหนังสือเล่มหนึ่งยื่นมาให้ ฉันรับเอาไว้ตามด้วยปากกาขนนกด้ามหนึ่ง ตั้งชื่อซะ

      ฉันเหลือบมองซานต้าด้วยสายตาถามคำถาม...เอาจริงสิ?... ซึ่งสิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือการเมินเฉยจากคนที่ตั้งใจถาม และ สายตาตั้งใจจดจ่อราวกับลูกหมาแสนเชื่องที่โผล่ออกมาจากช่องว่างที่แง้มออกมาจากขอบฝาแทน หากมีหางนี่คงสะบัดไปมาจนฝากล้องปลิวแล้วมั้ง ชื่อ...เขาบอกจะเป็นตัวแทนพี่ชายให้ฉันสินะ งั้นตั้งชื่อเสริมดวงหน่อยล่ะกัน

      แมทธิว

      เยี่ยมเลย...เสร็จซักทีซานต้าถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขามองแมทธิวก้าวออกมายืนข้างๆตัวฉันด้วยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวสุดๆต่างจากท่าทางบ้าดีเดือดก่อนหน้านี้ลิบลับเลย ชายในชุดซานต้าพูดกับแมทฉันดีใจที่นายได้เจ้าของเป็นคนสวยอย่างนี้นะ ทำหน้าที่ดูแลเธอให้ดีล่ะอย่าให้เธอทิ้งล่ะกัน ฉันคงไม่อยากตามเก็บกวาดนายหรอก ไอ้หนู...ส่วนเธอคนสวยเขาหันมาทางฉันนิ้วเธอเลือดไหลอยู่หนิ ให้เขาช่วยเลียซะสิ จะได้รู้ว่าฉันพูดจริงรึเปล่า ฉันไปล่ะ เสียเวลาที่บ้านนี้นานเกินไปแล้ว...

      แล้วซานต้าก็เดินออกจากบ้านไปในท้ายที่สุด

      แวมไพร์งั้นหรอ...ฉันพูดออกมา ก่อนจะเหลือบหันมามองถ้าหากบอกว่าเป็นแวมไพร์ก็จะสามารถตัดเรื่องสิทธิมนุษย์ชนออกไปได้ และจัดการทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องไม่รู้สึกผิดก็ได้สินะ...ฉันมองสำรวจผิวอันซีดเซียวของเขาอย่างพิจารณาว่าเกิดจากอะไร พลางจับชีพจรพบว่ามันยังเต้นอยู่...เบามาก... ตัวเขาเย็นจนฉันเผลอคิดว่าเป็นผีดิบจริงๆ

      แมทได้ยินสิ่งที่ฉันพูด เขาเหลือบมองมาแต่ไม่พูดอะไรในเรื่องสิทธินี้ เขาเปลี่ยนประเด็นเอ่อ...ขอบคุณที่ให้โอกาสแล้วก็ขอโทษกับครั้งก่อนด้วย ฉันดีใจที่เธอยอบรับตัวฉันเขาพูดเสียงอ่อน ทว่าฉันกลับรู้สึกแปลกๆกับคำพูดนี้

      การกระทำแบบนี้มันก็เข้าข่ายค้ามนุษย์อยู่แน่ ฉันควรไปแจ้งความดีไหมแต่ก็สีหน้าท่าทางเจ้าตัวคงจะไม่ยอมรับว่าตัวเองถูกขายมาหรอก ถึงจะไม่ได้แลกด้วยเงินก็ตาม บางทีฉันอาจต้องไปขอคำปรึกษากับกัปตันกอร์ดอนหลังจากนี้

      แมทธิวยอมให้ฉันสำรวจร่างกายเขาโดยไม่ว่าอะไร คล้ายกับหุ่นลองเสื้อ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับลังเล่นบาร์บี้ตัวผู้ชายสีตกอยู่ หรือว่านี่เขากำลังล้อฉันเล่นอยู่รึไงกัน พอฉันเงยหน้าขึ้นมองกลับพบว่าสิ่งที่เขาสนใจอยู่นั้น คือ รอยแผลที่เปื้อนนิ้วมือฉันอยู่ แม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแล้วก็ตาม มันก็ยังฝากรอยแผลเป็นทางยาวหลงเหลือไว้อยู่ ทันใดนั้นความคิดแผลงๆก็ทำให้ฉันลองเสี่ยงทำตาคำท้าของซานต้าดู...แต่ต่อให้เขาทำจริงๆยังไงก็ไม่เชื่ออยู่ดี เพราะแค่เลียเลือดแค่นี้ใครๆก็เคยทำทั้งนั้น เพียงแต่ฉันอยากลองดูปฏิกิริยาของเขาเท่านั้นเอง

      ฉันโบกมือไปมาล่อหน้าอีกฝ่าย แมทจึงได้สติแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาฉัน เขาดูเฉื่อยชาลงผิดจากก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที อาจเป็นเพราะอากาศหนาวและไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้นี้เขาก็แอบหลับในด้วยรึเปล่า ฟังดูแปลกดีนะ...

      ง่วงนอนหรอ?” ฉันถาม

      เปล่า แวมไพร์จะไปง่วงนอนตอนกลางคืนได้ยังไง...แต่ก็เพลียนิดหน่อยแมทหันหน้าไปมองทางอื่นซึ่งทางนั้นมีคู่รักนกแก้วกำลังจู๋จี๋กันอยู่

      หิวงั้นหรอ?” ฉันยกนิ้วโป้งที่เป็นแผลขึ้นโชว์เป็นแวมไพร์สินะ...ไม่รู้แค่นี้จะพอสำหรับนายรึเปล่าแน่นอนว่าที่ฉันพูดไปอย่างนั้นเพราะต้องการลองใจซักหน่อย ดูซิว่าเมื่อไรที่เขาจะหลุดยอมรับตัวเองขึ้นมา

      แมทธิวมองมันระยะหนึ่งก่อนที่จะค่อยๆเหยียดยิ้มขึ้นมามองฉันอย่างรู้ทัน “...แล้วอย่ากลัวไปก่อนล่ะแล้วเขาก็คว้ามือข้างนั้นเข้ามาจุมพิตอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากนุ่มนวลนั้นเย็นเฉียบ ลิ้นสีม่วงคล้ำราวกับคนตายนั้นค่อยโผล่ออกมาสัมผัสกับเกล็ดเลือดซึ่งแห้งสนิทแล้วนั้นก่อนจะเลียผ่านบาดแผลไปอย่างเชื่องช้า จนฉันเสียวสันหลังวูบ ดวงตาสีแดงนั้นทอประกายแววแห่งความลุ่มหลงในเลือดเพียงแค่เล็กน้อยนั่น ...ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกได้ว่าเขาต้องการมันอีก มากยิ่งกว่านี้ มากพอที่จะทำให้เขากลับมามีชีวิตที่อบอุ่นกว่านี้

      ยะ..หยุด..ลางสังหรณ์ของฉันสัมผัสได้ถึงอันตรายและความหวาดกลัวในตัวชายตรงหน้า ฉันพยายามแกะมือออกแต่ไม่ได้ผลเขาจับมันไว้แน่น เมื่อฟันเขี้ยวคู่แหลมเผยออกมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เมื่อนั้นก็ถึงขีดจำกัดของความอดกลั้นพอได้แล้ว!!ฉันจิกเล็บลงบนใบหน้าของเขาด้วยความตื่นตระหนกและกระชากมือออกมาให้หลุดจากพันธนาการนี้จนเสียหลักหงายหลังล้มลงบนโซฟาถุงถั่วพอดี ฉันกุมมืออันสั่นเทาไว้กับอก สัมผัสชื้นแฉะยังคงติดอยู่บนผิวจนรู้สึกขยะแขยง พอเมื่อฉันสำรวจแผลของตัวเองก็พบว่ามันได้จางหายไปแล้วราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน ฉันเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตัวตัวเอง

      ใบหน้าของเขายังคงค้างอยู่อย่างเดิมกับตอนที่โดนฉันข่วนใส่ ดวงตาสีโลหิตวาวโรจน์ม่านตาบีบตัวจนเป็นรีเม็ดข้าว มันเลื่อนมามองทางฉันด้วยแววหิวกระหายแต่ไม่ทำอะไรต่อ รอยข่วนแดงจนเป็นแผลเปิดทางยาวมีเลือดซึมออดมา ก่อนที่มันจะค่อยๆสมานตัวจนเหลือแค่เม็ดเลือดที่ซึมเกินออกมาเท่านั่น แมทธิวใช้นิ้วปาดรอยเลือดนั้นแล้วดูดมันอย่างกลัวเสียดาย เขาส่งยิ้มแสยะให้ฉันอีกครั้ง

      “...นี่นาย เป็นไปไม่ได้น้ำเสียงฉันสั่นเครือชัดเจน

      ก็บอกไปแล้วไง แล้ว...จะให้ฉันเริ่มเป็นพี่ชายให้เธอเมื่อไรดีล่ะ?”

       

       

       

      รุ่งเช้าต่อมา ฉันได้พบว่าสิ่งที่มาพร้อมกล่องของขวัญไม่ได้มีเพียงแค่แวมไพร์อย่างเดียวเท่านั้น แต่มีเงินเป็นจำนวนทั้งสิ้นร้อยล้านหน่วยกองอยู่ภายในกล่องด้วย คงเป็นเรื่องโกหกหากจะบอกว่ารู้สึกเฉยๆที่ได้รับจำนวนเงินมหาศาลขนาดนี้มาด้วย พูดตรงๆคือฉันรู้สึกว่างตัวเองทั้งดีใจและเสียใจไปพร้อมกัน ดีใจที่ได้ของ เสียใจที่เสียพี่ชายไป ...ฟังดูเหมือนความรักที่ฉันมีต่อพี่เป็นเรื่องเสแสร้ง นับตั้งแต่ทราบเรื่องฉันก็ยังไม่ได้ร้องไห้ออกมาซักครั้งเลยแม้ว่าจะอยู่คนเดียวก็ตาม ซ้ำร้ายที่ฉันกลับทำตัวตามปกติอยู่ได้อีก

      ร่างของแมทธิวนอนเหยียดกายอยู่กับพื้นพรมด้วยผิวซีดเซียวดูคล้ายกับร่างของคนที่เพิ่งหัวใจวายตายล้มลงไปนอนกับพื้น สองกระตั้วคู่รักตัวจอใช้หน้าท้องและแผ่นอกเป็นที่กกนอนอย่างสบายใจ ดูท่าคงจะชอบเขาอยู่ไม่น้อยทีเดียว ฉันไม่รู้ว่าแวมไพร์สามารถกินเลือดนกได้ด้วยรึเปล่า แต่หลังจากนี้คงต้องเฝ้าระวังซักหน่อยล่ะกัน

      เรื่องเสื้อผ้าฉันตัดสินใจว่าจะให้เขาใช้เสื้อของพี่แทนเลย แม้ว่าตัวเขาจะใหญ่กว่าพี่ชายมาพอสมควร แต่ถ้าหากเป็นเสื้อยืดกางเกงใส่อยู่บ้านคงพอใส่ได้อยู่ อาจจะรัดจนเห็นมัดกล้ามนูนขึ้นมาบ้าง ช่วงนี้พวกดาราหรือนักกีฬาเขาก็นิยมเทรนนี้อยู่เหมือนกันคนไม่แปลกเท่าไร มีแต่พี่ที่ชอบใส่หลวมๆต่างจากพวกเอง ส่วนเสื้อนอกใส่ออกงานคงใช้เงินที่ได้มาหาซื้อใหม่อีกที

      ตั้งแต่เหตุการณ์ชวนเหลือเชื่อครั้งนั้น เขาก็ยังไม่ได้ดูดเลือดจากใครต่ออีกเลย ยิ่งทิ้งเวลาเลยมาถึงช่วงเช้าแล้วสีผิวของเขาก็ซีดขาวหนักยิ่งกว่าเก่า อนึ่งคือฉันเริ่มเกิดความหวาดกลัวที่จะให้เลือดตัวเองแก่เขาโดยตรง จะเฉือนมือตัวเองก็ไม่กล้าทำ แต่พอคิดจะให้เขากัดอย่างในนิยายก็กลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมไม่ให้เขาดูดเกินปริมาณที่จำกัดไว้ได้...

      อืม...เหม่อลอยตั้งแต่เช้าเลยนะ อีฟน้อย

      ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินชื่อที่แมทธิวใช้เรียกฉันเมื่อกี้ น้ำเสียงที่ใช่เรียกชื่อนี้อีกมันช่างแสนคุ้นเคยจนแยกไม่ออกว่าใครกันแน่ที่เพิ่งพูดประโยคนี้ขึ้นมา ฉันเหลือบมองชายหนุ่มที่นอนอยู่ใต้เท้าอย่างสั่นสะท้านในอก เขารู้ได้ยังไงว่านั่นเป็นชื่อที่พี่ใช้เรียกฉัน? และไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ที่สามารถเลียนแบบได้แม้กระทั่งน้ำเสียงสำเนียงนี้

      สายตาที่จดจ้องมายังตัวฉันบ่งบอกว่าเขารับรู้ปฏิกิริยาตอบโต้นี้ ทำให้ฉันรีบปรับตัวให้นิ่งเฉยอย่างเดิมพร้อมกับเบือนหน้าหนี ไม่รู้ทำไม...แต่ฉันไม่ชอบรอยยิ้มนั่นเลย มันเหมือนกับว่าเขารู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับฉันยังไงยังงั้น

      แมทธิวค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมาโดยระวังไม่ให้เจ้านกน้อยสองตัวแตกตื่น เขาใช้มือรองรับนกน้อยทั้งสองเอาไว้อย่างแผ่วเบาพลางส่งยิ้มบางๆให้ ใช้นิ้วก้อยขวาและนิ้วโป้งซ้ายเกาคอพวกมันทั้งสองตัวพร้อมกัน...เหมือนที่พี่แมทเคยทำ ก่อนจะหันมามองทางฉันอย่างเชื่องช้าและอ่อนแรงฉันพอจะคล้ายพี่ชายของเธอบ้างรึเปล่า?”

      ฉันไม่คิดจะตอบคำถามนั้น แต่กลับถามเขากลับไปแทนนายรู้ได้ยังไงว่าพี่แมทเรียกฉันด้วยชื่อนั้น แล้วไหนจะสิ่งที่ทำกับจอร์จและจอร์เจียอีก...?”

      คำตอบแลกกับเลือด?” เขาเสนอเงื่อนไขหน้าตาย ท่าทางจะยังไม่รู้สถานะของตัวเองในบ้านนี้ดีเท่าไรตอนนี้ฉันหิวเลือดสุดๆเลยล่ะ และคงไม่ดีแน่หากทิ้งให้แวมไพร์อดอาหารมานานขนาดนี้

      ฉันขนลุกวูบทั่วแผ่นหลังเมื่อถูกเรียกร้องหาเลือด ก่อนจะเอามือไพ่หลังไว้เพื่อซ่อนอาการสั่นเบาๆจากความหวาดกลัวในเหตุการณ์ครั้งก่อนยังจะมาพูดดีอีก ลืมไปแล้วรึไงว่าใครทำให้นายมานอนอยู่ตรงนี้ได้...

      แวมไพร์หนุ่มถึงกับปั้นหน้ายิ้มเจื่อน ก่อนจะกัดฟันกลั้นใจพูดออกมาขะ...ขอโทษ

      เราพูดคุยกันถึงแค่นี้ ฉันปล่อยให้ความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองค้างคาอยู่เช่นนั้นไว้ก่อน ยังไงมันก็ไม่สำคัญเท่ากับงานในตอนนี้นี้อยู่แล้ว เสียเวลาเค้นซะเปล่าๆอาจพลอยเดือดร้อนถึงเวลาเข้าทำงานของฉันด้วย ช่วงเวลาทำงานในวันนี้ของฉันคือสิบโมง ฉันทิ้งให้แมทธิวอยู่ในบ้านในสภาพหิวโหยโรยแรงอยู่อย่างนั้นต่อไปกับสองกระตั้ว และไม่ลืมที่จะหันไปเตือนว่าไม่ให้เขาทำร้ายพวกมันระหว่างที่ฉันไม่อยู่ด้วย เขารับสภาพนี้อย่างจำใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงยังไงระหว่างออกจากบ้านไปทำงานอยู่นั้นฉันก็วางแผนไว้อยู่แล้วว่าจะหาซื้อถุงเลือดไปให้เขาตอนกลับ หวังว่าคงจะไม่แห้งตายไปก่อนล่ะกัน

      พอไปถึงสำนักงานตำรวจ ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวายไปหมดตั้งแต่ภารกิจในคืนคริสมาสที่ผ่านมา แต่มันกลับแอบแฝงไปด้วยกลิ่นอายเศร้าสลดจากการสูญเสียเพื่อนร่วมงานไป มีหลายชีวิตนับไม่ถ้วนที่ตายตกไปเช่นเดียวกับพี่ชายฉัน คล้ายกับแผนการที่วางไว้เกิดเหตุผิดพลาดขึ้นมาและไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีจนความเสียหายลุกลาม ต่อให้เจ้าหน้าที่มีฝีมือดีแค่ไหน ถ้าเกิดช่องโหว่เพียงปลายเข็มก็อาจถูกทำลายได้เหมือนลูกโป่งแตก ศัตรูในคราวนี้คือแก๊งค้ายารายใหญ่ที่หลุดลอดจากบทลงโทษมานานจนเรื้องรัง อย่างน้อยก็สามารถโค่นล้มพวกมันได้ในที่สุด...แต่มันคุ้มค่าแล้วงั้นหรอ?

      เจ้าหน้าที่ต่างเดินสวนผ่านทางไปมาอย่างยุ่งงาน แต่ก็ไม่รำคาญที่จะส่งยิ้มให้กำลังแก่ฉันเมื่อสบตา แต่ฉันดูออกแววตานั่นต่างหม่นหมอง น่าตลก...แม้แต่ตัวเองยังแทบไม่มีกำลังใจเลย แล้วจะสามารถช่วยคนอื่นได้ยังไง ไม่มีการพ่นคำแสดงความเสียใจให้แก่กัน ทุกคนต่างสูญเสียและไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะมาเอ่ยคำโง่ๆแบบนั้นเพื่อตอกย้ำตัวเองและเพื่อนร่วมงาน

      นี่ฉันอคติไปงั้นหรอ...? ใครจะสนล่ะ

      แปะ!

      ซองเอกสารสีน้ำตาลถูกวางลงบนโต๊ะทำงานตรงหน้าฉันพอดีพร้อมกับเงาร่างสูงซึ่งเข้ามายืนค้ำโต๊ะ คนคนนั้นคือกัปตันกอร์ดอน เพื่อนสนิทของพี่ชายตั้งแต่สมัยนักเรียนตำรวจ เป็นครั้งที่สองที่ฉันเจอหน้าเขา

      งานส่งท้ายปีของเรากอร์ดอนชี้ไปยังซองนั่น เขาเว้นวรรคไว้เพื่อที่จะได้ให้ฉันทวนคำถามด้วยความสงสัยและมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่ฉันไม่คิดจะตอบสนองความต้องการนั่นหรอกนะ ฉันรอเพื่อที่จะให้เขาพูดต่อข้ามขั้นตอนนั้นไป “...ปกติตั้งแต่ตอนที่เธอเพิ่งเข้ามาจะได้จับคู่กับแมทธิวใช่ไหมล่ะ แต่... คือว่าก่อนหน้านั้นอีกเจ้านั่นกับฉันเคยเป็นคู่หูกันมาก่อน พอได้สับเปลี่ยนฉันก็เลื่อนยศพอดี ...ช่วงนี้คนของเราคงขาดไปซักพัก หวังว่าหัวหน้าอย่างฉันจะลดตัวลงมาช่วยคดีเล็กๆด้วยอีกแรง คงไม่ลดความเคารพจากตัวลูกน้องหรอกนะ อีวาน้อยเขายื่นมือมาให้จับและพยายามเรียกฉันด้วยชื่อที่พี่มักใช้เรียก แต่มันไม่เหมือนกัน...ไม่เหมือนกับที่แมทธิวเรียก...

      งานตำรวจไม่เคยได้รับความปราณีจากพระเจ้า อาชญากรรมเกิดขึ้นทุกวันโดยเฉพาะคดียาเสพติด แม้พวกตัวใหญ่จะถูกทำลายแล้วแต่ก็ยังคงเหลือเม็ดยาค้างสต๊อกในมือพ่อค้าคนกลางอีกหลายราย และดูเหมือนเม็ดพวกนั้นจะปลิวว่อนซะให้ทั่วเมืองเพราะไม่มีอำนาจใหญ่คอยควบคุมแล้ว และที่ที่ฉันและกัปตันกำลังไปทำคดีคือบาร์เหล้าแห่งหนึ่งที่ได้รับแจ้งมาว่ามีลูกค้าคู่หนึ่งแอบใช้สถานที่นั้นในการแลกซื้อยา

      เจ้าพวกนั้นแยกกันไปแล้วล่ะ พวกนายมาช้าไปเจ้าของร้านบอก เขาเป็นชายแก่ตัวเล็กดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงไร้พิษสง สงสัยจังว่าเขาสามารถเป็นเจ้าของร้านเหล้าเล็กๆที่รายล้อมไปด้วยพวกขี้เมาหัวรุนแรงได้อย่างไรแต่ฉันให้แม่อกสะบึมจดป้ายทะเบียนรถของมันคนหนึ่งไว้แล้ว

      แม่อกสะบึมที่ชายแก่พูดถึงคือเด็กเสริฟสาวสวยในร้านซึ่งมีหุ่นอวบอัดเป็นอาวุธ ต้องยอมรับว่าหน้าอกนั่นกินขาดจริงๆ บางทีเจ้าของร้านอาจใช้เธอเป็นคนคอยห้ามเรื่องทะเลาะวิวาทของพวกขี้เมาก็ได้ เธอยิ้มหวานแล้วส่งจูบให้กอร์ดอนเมื่อเขาหันไปมองจนฉันแทบเห็นภาพลวงตาว่าลิปสติกสีแดงสดจากปากเธอลอยออกมาจากปากนั่น ชายหนุ่มตอบรับจูบนั่นด้วยการโบกมือให้ แวบหนึ่งเธอชำเลืองมามองฉันและฉันก็สบตากับเธอ หล่อนยกแขนขึ้นเบียดหน้าอกยักษ์นั่นให้มองเห็นชัดขึ้น ชุดเด็กสาวเสริฟแทบจะปริขาดเพราะท่าทางยั่วยวนนั่น นิ้วเรียวสวยแต่งเล็บสีแดงสองนิ้วสอดใส่เข้าไปในปากของเธอเองก่อนที่จะดึงออกมาเชิญชวนฉัน บางที่หล่อนอาจมีรสนิยมได้ทั้งชายและหญิง

      ความสนใจของฉันถูกดึงกลับมาเมื่อมือใหญ่วางลงบนบ่า กอร์ดอนโอบไหล่ฉันเอาไว้แล้วดันเข้ามาแนะนำตัวกับชายแก่เธอคืออีวา เจ้าหน้าที่หน้าใหม่ในหน่วยผมเองไม่รู้ว่าเขารู้ตัวรึเปล่าว่านิ้วมือของเขามันกำลังสัมผัสกับผิวต้นคอฉันโดยตรง แต่ก็ไม่น่าแปลกในเมื่อฉันดันใส่เสื้อคอกว้างมาทำงานเองนี่นานี่ลุงบารอน รู้จักไว้ซะเขาจะเป็นประโยชน์กับเราแลกกับเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ต้องช่วยเขากัปตันกระซิบ

      ฉันพยักหน้าเข้าใจ บางครั้งตำรวงอย่างเราก็ต้องพกสายในโลกอีกฝั่งไว้บ้างเพื่อใช้เป็นตัวสืบข่าว ฉันจะจำเอาไว้...

      โอ้! เป็นญาติของแมทธิวด้วยรึเปล่า? หน้าตาคล้ายกับเปี๊ยบเลย แถมสวยซะด้วย...ท่าจะไฟแรงใช่เล่น เสียดายหน้าตายพูดน้อยไปหน่อย

      ไม่หรอกครับ ปกติเธอร่างเริงจะตายไป...แต่พี่เธอเพิ่งเสียไปน่ะเสียงกัปตันอ่อนลงเมื่อพูดเรื่องนี้ เขาบีบไหล่ฉันเบาราวกับจะขอโทษทางอ้อม ซึ่งฉันก็ไม่ว่าอะไร...ทว่าก็แอบแปลกใจที่มีคนทักว่าฉันเปลี่ยนไป

      ภายในหนึ่งวันคดีนี้ก็จบลงรวดเร็วสมกับฝีมือของกัปตัน เรารวบตัวได้ทั้งคนเสพและคนขายพร้อมของกลางเป็นเม็ดยาราคาหลายหมื่นหน่วย ตลอดทั้งวันที่ฉันได้อยู่กับกอร์ดอนทำให้ฉันพอเดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรกับฉัน ก็นะ...เพื่อนสนิทของพี่ชายแอบหลงรักน้องสาวของเพื่อน ฟังดูเป็นเรื่องราวที่ลงตัวดี เสียแต่ว่าพี่ชายคนนั้นได้ตายไปก่อนที่จะได้พัฒนาความสัมพันธ์เริ่มต้นให้ดีไว้ก่อน และฉันคิดว่าคงต้องให้เขารอไปอีกสักพักจนกว่าฉันจะทำใจได้เรื่องพี่ชายซึ่งคงอีกนาน...พี่คือผู้ชายที่ฉันรักมากที่สุดในชีวิต

      ก่อนกลับบ้านฉันก็ไม่ลืมที่จะแวะไปแผนกนิติเวชเพื่อของถุงเลือดจากศพจำนวนหนึ่งเก็บไปฝากให้แวมไพร์ซึ่งรอเหงาอยู่บ้าน เอามาได้ยังไงน่ะหรอ? ฟังจากบทสนทนาเอาแล้วพิจารณาเอาเองล่ะกัน

      รุ่นพี่แคร์โรฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องเก็บศพแล้วเอ่ยเรียกหญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนคนเดียวในห้อง เธอกำลังสูบเลือดจากศพใส่ถุงพอดีเลยซึ่งพฤติกรรมนั้นฉันแอบสังเกตเห็นมานานแล้ว แต่ฉันไม่รู้ว่ารอดพ้นจากเจ้าหน้าที่คนอื่นได้ยังไง

      ว้าย!...อีวาเธอสะดุ้งตกใจแต่ถึงอย่างนั้นท่วงท่าของเธอก็ยังคงมีเสน่ห์ ร่างกายแสนงดงามนั่นแม้แต่ยัยอกสะบึมจากร้านเหล้านั่นยังเทียบไม่ได้แม้แต่ขนหน้าแข้ง เรื่องหน้าตายิ่งแล้วไปใหญ่ เธอยิ้มด้วยสีหน้าลำบากใจเมื่อถูกจับได้ว่าขโมยเลือดจากศพพร้อมหลักฐานคาตา แต่แล้วเธอก็รีบยกมือขึ้นห้าม ทว่าไม่ใช่ตัวฉันเดี๋ยวหยุดก่อนจ้ะคริสติน!

      ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่น่าจะชื่อว่าคริสตินเข้ามายืนอยู่ด้านหลังตัวฉันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ฉันมองเขาอย่างตกตะลึงก่อนจะเหลือบไปเห็นตู้เก็บศพซึ่งเลื่อนออกมา อย่าบอกนะว่าชายคนนี้ซ่อนตัวอยู่ในนั้น ฉันรีบก้าวถอยห่างออกมาด้วยลมหายใจถี่แรง หน้าตาของเขาจัดว่าหล่อเหลาราวกับหลุดออกมาจากนายแบบนิตยสาร ใบหน้านิ่งเรียบแต่แฝงด้วยความอ่อนโยนนั่นเกือบทำให้หัวใจหวั่นไหว ถ้าไม่ติดอยู่ที่ว่าตอนนี้เขามองฉันแทบไม่วางตาเหมือนกลัวว่าฉันจะหนีออกไปได้

      ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะจ้ะ อีวา...รุ่นพี่แคร์โรเข้ามายืนข้างๆฉันพลางลูบหลังขอโทษ เธอลูบไล้บนเส้นผมสีแพลตตินั่มบลอนด์ของฉันด้วยมือที่เพิ่งจับศพมา แต่ฉันก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเพราะเธอน่ารักดูกี่ทีฉันก็ชอบดูสีผมของเธอมากเลย แอบมองมาตั้งแต่พี่ของเธอแล้ว ฉันเสียใจด้วยนะเรื่องพี่ของเธอ

      ฉันพยักหน้าน้อยๆตอบ เศษเสี้ยนหนึ่งในหัวใจฉันสั่นไหวเมื่อได้ยินคำนี้ ระหว่างฉันกับเธอค่อยข้างสนิทสนิมกันในระดับนึงเลยทีเดียว เธอเป็นคนแรกที่พูดกับฉันแบบนี้หากไม่นับส่วนของกัปตันกอร์ดอน และเธอดูออกเช่นเดียวกันว่าฉันเปลี่ยนไป

      แล้ว...มาหาฉันที่นี่มีเรื่องอะไรงั้นหรอ?” น้ำเสียงของเธอช่างอ่อนโยนและอบอุ่น ฉันเหลือบมองชายอีกคนที่อยู่ร่วมห้องกับเราด้วยอย่างลังเลใจที่จะบอก แต่หากเขาเข้าไปหลบซ่อนในช่องเก็บศพแบบนั้นคงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ถ้าหากคาดเดาไม่ผิดคงเป็นแวมไพร์เหมือนกับแมทธิวหากเมื่อมองดูที่ดวงตาสีแดงนั่นแล้ว เพียงแต่ผิวของเขากลับดูมีชิวิตชีวากว่าฝ่ายนั้นเยอะเลย

      ฉัน...

      ยัยโง่อย่ามัวแต่ลังเลสิ นั่นก็แวมไพร์นะรุ่นพี่คงรู้อยู่แก่ใจแล้วล่ะถุงเลือดเต็มมือขนาดนั้น รีบๆขอแล้วรีบๆกลับบ้านไปก่อนที่ไอ้ลูกหมานั่นจะหิวจนไปแว้งกัดเจ้าสองกระตั้วตายซะก่อน

      เรื่องเลือดใช่ไหมจ๊ะ?” เธอรู้... ฉันมองเธอด้วยความตกใจเล็กน้อย แต่นั่นแหละดีแล้วทำให้อะไรมันง่ายขึ้นเยอะ รุ่นพี่แคร์โรชูนิ้วจุ๊ปากตัวเองแล้วขยิบตาให้เก็บไว้เป็นความลับระหว่างเราสองคนนะ คริสตินก็เป็นแวมไพร์เหมือนชายในบ้านเธอนั่นแหละจ้ะ

      ฉันรับกระติกน้ำแข็งขนาดกลางซึ่งบรรจุถุงเลือดของศพไว้ภายในจนเต็ม เธอเตรียมไว้ให้ฉันอยู่แล้วงั้นหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลยรุ่นพี่รู้ได้ไง?”

      พอดีว่าเมื่อวานเราเดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์พอดี อันที่จริงก็มีแค่คริสตินนั่นแหละที่เห็นเหตุการณ์ชัดเจนที่สุด ต้องขอโทษแทนเขาด้วยนะที่แอบส่องกระจกดู ถ้าอยากได้คำแนะนำเรื่องนี้มาคุยกับฉันได้นะจ๊ะ

      และนั่นคือที่มาของกระติกเลือดใบนี้ซึ่งจะมีเหลือเฟือให้แมทธิวกินตลอดทั้งเดือนเลย ซึ่งตลอดทั้งเดือนที่ฉันหมายถึงคือต้องกินอย่างประหยัดรวมส่วนที่ต้องเติมในช่วงแรกๆที่ตัวซีดไว้ด้วยเยอะหน่อย คงหมดไปหลายถุงอยู่มั้งหากจะแก้ให้ได้สีผิวประมาณคริสตินคนนั้น การได้รู้ความลับของรุ่นพี่แคร์โรในครั้งนี้ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมากทีเดียวเกี่ยวกับการหาเลือดมาเลี้ยงดูเจ้าแวมไพร์นั่น

      แต่พอกลับไปถึงบ้านและเห็นสภาพของแมทธิว การวางแผนเรื่องเลือดก็ต้องตกไป ภาพที่ฉันเหตุอยู่ตอนนี้ซ้อนทับกับเหตุการณ์แสนคุ้นเคยแผ่นหลังของพี่แมทที่กำลังใส่เสื้อยืดแขนยาวทับด้วยผ้ากันเปื้อนกำลังเคลื่อนไหวไปมาขณะทำอาหารอย่างเชี่ยวชาญพิถีพิถัน แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะหันมาส่งยิ้มอันแสนอบอุ่นต้อนรับน้องสาวอย่างฉันเมื่อกลับบ้านเข้ามา

      ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ อีฟน้อยแม้แต่คำพูดก็ยังเหมือนราวกับจับวิญญาณมาสิง จะต่างกันก็แค่แวมไพร์ตัวนี้มีเสียงที่ทุ้มกว่าเท่านั้น เขาละจากการปรุงอาหารตรงหน้าเดินเข้ามาพลางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วแย่งกระติกน้ำแข็งจากมือฉันมาช่วยถือให้แทนเพิ่งเลิกงานมาคงจะเหนื่อยสินะ หิวรึเปล่า? รออีกซักพักนะพี่ใกล้ทำอาหารเสร็จแล้วล่ะสีผิวของเขามีเลือดฝาดและแทนขึ้นดูสุขภาพดีต่างจากก่อนหน้านี้ลิบลับ ฝ่ามืออุ่นนั่นเกลี่ยปอยผมที่หล่นลงมาปรกหน้าขึ้นทัดหู ก่อนที่จะจูงมือฉันพาไปนั่งพักยังโต๊ะทานอาหาร

      สมบูรณ์แบบ...ต่อให้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาอย่างไร เขากลับกลายเป็นพี่ชายฉันได้ราวกับฟื้นจากความตาย...

      หึ! มองตาลอยเชียวนะเขายิ้มพลางหยิกแก้มฉันเบาๆเพื่อเรียกสติ

      ไม่เอาน่าพี่แมท...ฉันสะบัดหน้าหนีแล้วก้มหน้าก้มตาซ่อนสีหน้าซึ่งแดงระเรื่อเพราะความเขินอายเอาไว้ พฤติกรรมที่ฉันเคยเป็นเมื่อตอนที่ถูกพี่หยิกแก้ม...เมื่อกี้ฉันเผลอตัวหลุดตัวตนส่วนนั้นออกมา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาทำได้...เขาทำได้อย่างที่เสนอตัวไว้จริงๆ

      แต่ว่าฉันควรทำตัวอย่างไรกับพี่ชายที่มาแทนพี่ชายคนเดิมดีล่ะ ฉันต้องทำตัวยังไง!?

      การปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติอย่างที่เคยทำกับคนอื่นๆทำให้ฉันดูโง่เง่าลงในสายตาตัวเอง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดแบบนั้นด้วยรึเปล่าแต่ท่าทีและแววตาของเขากลับเป็นอย่างที่พี่เป็น แมทธิวถอนหายใจออกมาแต่ยังคงส่งยิ้มใจดีให้อยู่ เขาใช้กระตั้วคู่รักสองตัวนั้นส่งให้ฉันเพื่อเป็นการแสดงคำขอโทษเมื่อทำให้ฉันรำคาญหรืองอน

      พี่...ไม่ยัยโง่ อย่าหลุดคำนั้นออกมา อย่าเรียกคนอื่นด้วยชื่อนั้น คนตรงหน้านี้ไม่ใช่พี่ของเธอ เขาแค่แสดงเท่านั้น แสดงให้เธอหลงเชื่อจนหัวปักหัวปำ เขาไม่ได้รักเธออย่างที่พี่รัก เขาทำแค่ให้ตัวเองมีที่ซุกหัวนอนปลายเท้าเท่านั้น เพื่อเลือด...

      สองคู่รักตัวจอรับรู้ถึงความรู้สึกนี้ มันถอยห่างและบินกลับไปหาแมทธิวด้วยความที่กลัวว่าฉันจะเผลอกำมือบีบคอพวกมันจนหัก เป็นเรื่องจริงที่เจ้ากระตั้วคู่นั้นมักจะสนิทกับสนมกับพี่ชายมากกว่าตัวฉัน แต่สำหรับชายแปลกหน้าที่เพิ่งเข้ามาอยู่ได้ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ทำไมมันถึงได้ไว้ใจเขามากกว่าตัวฉันที่เป็นเจ้าของตัวจริงของมัน  หรือว่าพวกมันหลงเชื่อว่าแมทธิวในตอนนี้คือพี่ชาย แม้แต่นกกระตั้วเขาก็ยังใส่ใจในรายละเอียดส่วนนี้ได้ เขารู้อะไรอีก...เขารู้เรื่องนี้ลึกซึ้งถึงไหนกันแน่....?

      แมทธิวพยายามแก้ตัว สิ่งที่เขาพูดมานั่นฟังดูแปลกแต่ก็เหมือนราวกับว่าพี่มาพูดเองพี่อาจยังทำตัวไม่เหมือนกับที่พี่ชายคนเดิมของเธอเป็น แต่ถ้าทำเพื่อให้เธอมีความสุขมากกว่าตอนนี้พี่ก็จะทำ...

      “...นายรู้ได้ยังไงว่าพี่ฉันเป็นคนแบบไหน?” ในที่สุดฉันก็คุมสีหน้าท่าทางเอาไว้ได้ จึงเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยตั้งแต่เมื่อเช้า ฉันมองไปที่เขาพยายามมองแค่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ใช่ที่สีหน้าท่าทางฉันมีเลือดมาแลกแล้วด้วย...

      แมทธิวนิ่งไปซักพักหนึ่งก่อนที่จะลากเก้าอี้มานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารขนาดเล็กพอแค่สองคนอยู่ ฉันเบื่อที่จะคิดว่าทุกท่วงท่าที่เขาทำนั้นเหมือนกับที่พี่ทำทั้งหมด แต่ถ้าไม่คิดเช่นนั้นฉันก็จะลืมไปว่าพี่ชายตัวจริงนั้นได้จากไปแล้ว ฉันต้องย้ำเตือนตัวเองว่านั่นแค่เหมือแต่ไม่ใช่พี่จริงๆซะหน่อย

      “...จากเลือดของเธอเองนั่นแหละ อีฟน้อยแม้ว่ากำลังจะอธิบายในเรื่องของตัวเอง แมทธิวก็ยังรักษาภาพของพี่ชายตัวจริงไว้อยู่แวมไพร์สามารถรับรู้ความคิด อารมณ์ ความทรงจำของเจ้าของเลือดได้เพียงแค่กินเข้าไปมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับปริมาณและตัวเหยื่อ สำหรับพี่ในตอนนี้มันก็ยังไม่รู้เรื่องดีพอเลย เลือดของเธอในคราวนั้นถึงจะทำให้รู้เรื่องบางส่วนแต่มันก็ยังไม่ชัดเจนพอ พี่ก็เลย...ขอจากคนเช่าห้องข้างเราน่ะเขายิ้มแบบเขินๆ

      อ้อ! งั้นนั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ร่างกายเขาอบอุ่นและผิวมีสีเลือดฝาดขึ้นสินะ แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น... เขาเพิ่งจะยอบรับสภาพมาเองนะว่าเพิ่งจะบุกเข้าไปในพื้นที่คนอื่นแล้วดูดเลือดมา แถมห้องที่ว่าก็มีอยู่ห้องเดียวเพราะเราอยู่ริมสุดของอพาร์ทเมน รู้สึกว่าคนข้างๆจะเป็นหญิงแก่ไม้ใกล้ฝั่งที่ล่อมล่อจะตายวันตายคืนเมื่อไรก็ได้เนี่ยนะ!นี่นาย...

      แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก พี่แค่เอามานิดหน่อยพอให้ศึกษาดูได้ ลบรอยแผล ลบความทรงจำแล้วเรียบร้อย ส่วนร่องรอยที่จะติดภายในบ้านก็แทบไม่มี เห็นอย่างนี้พี่ก็เป็นแวมไพร์ดูดเลือดอย่างระมัดระวังนะ เลือดแทบไม่เลอะคางเลย...แต่รายนั้นก็เป็นความดันต่ำอยู่ก่อนแล้วด้วย

      แล้วทำไมถึงไม่รอขอจากฉันเองเลยเล่า พี่แมท!?” อีกแล้ว...หลุดอีกแล้ว พอมารู้สึกตัวอีกทีฉันก็คิดว่ามันเป็นคำพูดที่โง่มากที่ถามไปแบบนั้น... ฉันลืมเหตุการณ์ในวันนั้นไปได้ยังไง ลืมความรู้สึกในตอนนั้นได้ได้ยังไง!?

      ฉันลุกขึ้นยืนทันทีทันใดเมื่อความกลัวแล่นผ่านร่างกายไป เก้าอี้เสียหลักล้มลงไปกองกับพื้นมือฉันสั่นเทาและเย็นซีด แมทธิวมองฉันอย่างเป็นห่วงเขาอยากลุกขึ้นมากอดปลอบแต่ฉันถอยห่างออกมาก่อนด้วยความหวาดกลัวปนลังเลใจ นั่นไม่ใช่ท่าทางของพี่ เมื่อเห็นฉันลุกขึ้นตัวสั่นจากการคุยครั้งเมื่อกี้พี่แมทจะนั่งเฉยๆแล้วมองฉันส่งคำตอบทางแววตาบอกประมาณว่า...เห็นไหมล่ะ เพราะเธอเป็นอย่างนี้ไงพี่ถึงไม่ทำ ก่อนที่จะเดินออกไปแล้วหยิบช็อกโกแลตจากในตู้เย็นมาให้ แต่การลุกขึ้นจะมากอดอย่างที่แมทธิวจะทำในตอนนี้มันไม่ใช่ หรือว่านี่เป็นจุดบอด...จากเลือดเพียงแค่นั้นยังมีไม่มากพอที่จะเจาะลึกมากกว่านั้นได้ แน่นอนว่าหญิงแก่คนนั้นแค่รู้จักเราสองพี่น้องแค่ผิวเผิน แค่เฝ้ามองการกระทำระหว่างเราสองคนแค่นั้น

      พี่แมทเป็นคนที่ดูออกง่าย มักมีท่าทางซ้ำๆเละมีเอกลักษณ์ในแต่ล่ะอารมณ์ แน่นอนว่าทางทางพวกนั้นมันชัดเจน แต่หากว่าบางท่าทางก็จะมีเพียงแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่เคยเจอ หากจะเลียนแบบทุกท่าทางของพี่ให้สมจริงที่สุดแล้วล่ะก็ ต้องเป็นเลือดของฉันเท่านั้น!

      ถ้างั้น...ตอนที่เขาจะเข้ามากอดปลอบฉัน นั่นเป็นสิ่งที่เขาพยายามทำเป็นพี่ หรือว่าเขาคิดจะทำจริงๆ?

      แล้วตัวฉันในตอนนี้...กำลังต้องการให้เขาทำอย่างไหนกันล่ะ?

      พี่คือคนสำคัญที่สุด พี่คือคนที่ฉันรักมากที่สุด เพื่อพี่...ฉันยอมแลกทุกอย่าง!

      “...ในกระติกนั่นมีเลือดอยู่ฉันพูดเสียงสั่นเครือและแหบแห้ง

      พี่รู้ แต่พี่ยังไม่หิวหรอก เธอต่างหากตัวสั่นใหญ่แล้ว...

      ไม่!ฉันปัดมือเขาออกอย่างหวาดกลัวเมื่อเห็นว่ามันเข้ามาใกล้ แต่ไม่...ฉันต้องไม่กลัวสิ่งนี้ ฉันต้องกำจัดความกลัวนี้ออกไปให้พ้นทางโดยเร็วที่สุดเพื่อที่พี่จะได้กลับมา และวิธีนี้...ฉันต้องมองดูและชินกับการกระทำนี้ซะเลือดพวกนั้น...ดื่มมันซะ!

      แมทธิวชะงักไป ดวงตาสีแดงเบิกกว้าง ฉันดูออกว่าเขากระหายที่จะได้กินมัน แต่สิ่งที่เขากำลังทำกลับต่างออกไป เขาปฏิเสธ...ปฏิเสธสัญชาติญาณแวมไพร์ของตัวเอง เขาทำอย่างนั้นไปทำไม ไม่มีเหตุผลต่อให้ยกพี่มาอ้างก็ตามที พี่แมทจะไม่ปฏิเสธ พี่จะไม่ปฏิเสธสัญชาติญาณของตัวเองและพี่จะไม่ปฏิเสธคำสั่งของฉันด้วย การที่แมทธิวหลุดออกจากภาพพจน์ของพี่ชายฉันไปอย่างนี้ มันกำลังทำให้ฉันสติแตก!

      อีฟน้อย...เขาพยายามพูดเสียอ่อนโยนเพื่อให้ฉันใจเย็นลง เขาพยายามเลียนแบบพี่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พี่จะทำในตอนนี้ ในดวงตาของเขากำลังสับสน สับสนเรื่องอะไร? “...เธอกำลังกลัว พี่ทำแบบนั้นต่อหน้าเธอไม่ได้หรอก ใจเย็นลงก่อนแล้วกินข้าวซะนะ เธออาจกำลังโมโหหิว...

      สิ่งที่พี่ควรจะทำไม่ใช่อย่างนี้ พี่จะไม่เข้ามาปลอบฉันแต่เขาจะทำ! เขาจะทำมันต่อหน้าฉันให้เห็นกับตา เขาจะทำจนกว่าฉันจะชินและคุ้นเคยไปกับมัน เขาจะทำให้ฉันชอบในสิ่งที่เขาทำ....

      ฉันต้องการพี่ พี่แมทธิว กลอเรีย....ไม่ใช่ไอ้แวมไพร์น่าสมเพชตัวนี้!

      หัวใจของฉันมันเต้นรัวเพราะความบ้า ความบ้าเกือบจะทำให้มันระเบิดออกมา ฉันต้องควบคุมมันเอาไว้ ต้องปั้นหน้าไม่ให้เขาเห็นว่าฉันกลัว ยืดตัวสิ...แสดงให้แวมไพร์เห็นว่ามันไม่มีสิทธิที่จะตัดสินใจถ้านายไม่กิน...นายก็จะไม่ใช่พี่ชายของฉันอีกต่อไป...

      สิ้นคำพูดแสนเย็นชาคำนี้ ทำให้แมทธิวเบิกตาโต...เขาไม่ต้องการเลิกเป็นพี่ชายของฉัน เพราะเขาจะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับฉันเลยถ้าหากไม่ทำ และเขาก็จะหลุด หลุดจากสิทธิพิเศษนี้ไป เขาจะต้องคลานกลับเข้าไปในกล่องแล้วฉันก็จะแพ็กมันส่งคืนกลับไปยังขั้วโลกเหนือ ที่ที่ซานต้านั่นอยู่ ที่ที่เขาจากมา... สายตาวิงวอนขอร้องและความรู้สึกเจ็บปวดนั่นจะเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่เขาจะยอมถอยไปเปิดกระติกบรรจุถุงเลือดนั่น แมทธิวขมวดคิ้วอย่างฝืนใจก่อนที่จะหยิบถุงเลือดถุงหนึ่งขึ้นมาไว้ในมือ

      “...พี่จะกินมัน แต่ว่าให้พี่ขอร้องเธออย่างหนึ่งได้ไหม?” ฉันรอฟังว่าพี่จะขออะไร เขาหันหน้าไปมองทางอาหารที่ยังทิ้งค้างไว้อยู่ เหลืออีกเพียงขั้นตอนเดียวมันก็จะเสร็จแล้วกินข้าวก่อนเถอะนะ อีฟน้อย....

      ฉันพยักหน้ารับ รอยยิ้มบางๆถูกระบายลงบนใบหน้าทุกข์ทนนั้น

      จานอาหารถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าฉัน แมทธิวยกเก้าอี้ขึ้นตั้งเพื่อให้ฉันนั่งกินได้สบายๆ ฉันหยิบช้อนกับซ้อมขึ้นมาแล้วอาหารคำแรกเข้าปาก มันอร่อย... แต่ก็เท่านั้นแหละ

      ฉันจ้องมองแมทธิวที่ยืนมองฉันทานข้าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนใจดี ฉันชี้ซ่อมไปที่ถุงเลือดนั่นให้เขารู้ มันคงเสียมารยาทถ้าหากจะให้ฉันกินล่อตาเขาเพียงคนเดียวดื่มมันซะ...

      แมทธิวมองฉันด้วยสายตาราวกับฟ้าสลาย เขากระอักกระอ่วนที่จะทำตาม ฉันจึงย้ำด้วยเสียงที่ดังขึ้น

      ฉันสั่งให้นายดื่ม!!

      คราวนี้เขาไม่มีทางปฏิเสธมันได้อีกแล้ว เมื่อผนึกถูกเปิดออก กลิ่นคาวเลือดหอมฉุยก็เข้าครอบงำตัวเขาเอง ถึงอย่างไรแมทธิวก็พยายามต่อสู่กับสัญชาติญาณตัวเอง เขาพยายามดื่มมันลงคอโดยคงสติและท่าทางให้อยู่นิ่งที่สุด ฉันมองดูความพยายามแสนโง่เง่านี้ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำมัน หากเขาอยากช่วยฉันเขาต้องกินมันต่อหน้า

      อย่างนั้นแหละ...กินต่อไปจนกว่าฉันจะพอใจ...แค่ถุงเดียวมันคงไม่เพียงพอสำหรับนายหรอกให้ไหม?” ฉันยิ้มอย่างพอใจแต่รอยยิ้มนั้นมันกลับบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปร่างที่ฉันหวังให้มันเป็น มือฉันสั่นเทาจนหยุดไม่อยู่ ฉันสบตากับเขา แวมไพร์ตัวนั้นไม่หลงเหลือคราบของความลำบากใจที่จะกินเลือดต่อหน้าฉันอีกต่อไปแล้ว เขาเลียริมฝีปากที่เปื้อนเลือดของตัวเพื่อท้าทายฉัน เขากำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ เขาต้องทำให้ฉันหายหวาดกลัวที่จะมองเขาดูดเลือด ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนแล้วในขณะนี้  ช้อนในมือสั่นเทาจนเม็ดข้าวหลายเม็ดล่วงลงไปจากปลายช้อนแต่ฉันก็สามารถนำมันยัดเข้าปากได้ คำแล้วคำเล่าหมดไปอย่างยากลำบากแตกต่างจากถุงเลือดในมือของแมทธิว

      คนตรงหน้าฉันไม่เหลือคราบของพี่ชายผู้แสนดีของฉันอีกต่อไปแล้ว...แต่นั่นแหละที่ทำให้มันใกล้เคียงกับพี่มายิ่งขึ้น พี่จะทำเพื่อให้ตัวเองมีความสุข เขาไล่ตามความสุขของตัวเอง ทำตามสัญชาติญาณ และเขาจะทำเพื่อฉัน...

      ความปลื้มปิติที่ฉายชัดบนแววตาของเขาเป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้ว...

      ...เหลือแค่ฉัน...

       

       

       

      ยิ่งดันทุรังบังคับตัวเองก็เหมือนจะยิ่งทำให้เรื่องมันแย่ลง ฉันเพิ่งจะมาสำนึกในเรื่องนี้ได้ก็เมื่อตื่นนอนขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้ายจากการฝืนตัวเองครั้งนี้ ฉันไม่น่าทำอย่างนั้นเลย...ในฝันถูกปรุงแต่งทำให้ดูเลวร้ายลงอีกจากความจริง ลำพังแค่กินข้าวพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดของศพพวกนั้นก็แย่อยู่แล้ว อาหารเก่าที่กำลังย่อยอยู่ในกระเพาะมันไหลย้อนขึ้นมาปริ่มอยู่ที่คอทำให้ฉันรีบวิ่งเข้าห้องน้ำโก่งคอคายของเหลวร้อนเปรี้ยวพวกนั้นลงชักโครก

      อุ๊บ! ....ดูท่าว่าของเก่าพวกนั้นจะไม่หมดไปง่ายๆซะด้วย อาการคลื่นไส้นี้รุนแรงกว่าที่คิด ภาพความทรงจำในคราวที่มองของเหลวสีแดงสดนั้นไหลรินเปรอะเปื้อนใบหน้าของแมทธิวนั้นเป็นดั่งตัวช่วยขับของเก่าชั้นดี

      แมทธิวตามฉันเข้ามาในห้องน้ำมองดูอาการด้วยความเป็นห่วง ฝ่ามืออุ่นลูบแผ่นหลังฉันอย่างแผ่วเบาไปมา มันไม่ช่วยให้อาการนี้บรรเทาลงซักเท่าไร แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกตัวว่าไม่ได้เผชิญเรื่องแย่ๆนี้คนเดียว ตัวของแมทธิวเองก็รู้สึกผิดเช่นเดียวกันที่ทำให้ฉันต้องเจอกับภาพพวกนั้นซึ่งจริงๆแล้วเขาแทบไม่ได้ทำอะไรผิดเลยซักอย่าง แต่ที่ต้องมารับกรรมอย่างนี้ก็เนื่องมาจากตัวฉันคนเดียว

      ฉันมันเป็นทั้งนังบ้าสติแตก โง่เง่าและเห็นแก่ตัว เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงต้องสูญเสียพี่ชายไปเร็วขนาดนี้ ฉันรักพี่นะ แต่ว่า...ก็เป็นเพราะพี่เหมือนกันที่ทำให้ฉันต้องยึดติดขนาดนี้ ถ้าหากพี่ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มความสัมพันธ์นั้นกับฉันก่อน อะไรๆมันคงดีกว่านี้...

      อีฟ...เสียงทุ้มต่ำเรียกฉันด้วยชื่อที่ไม่คุ้นเคย แต่กลับส่งผลให้หัวใจของฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างอธิบายไม่ถูก ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของเสียงที่คอยมองดูฉันอยู่ข้างกายฉะ...ฉันขอโทษที่เป็นแทนพี่ชายตัวจริงของเธอไม่ได้ ฉันทำไม่ได้จริงๆ...เขาก้มหน้าพูดโดยไม่กล้าสบตากับฉัน เสียงที่เขาพูดออกมาแฝงด้วยความกลัวที่จะยอมรับมันออกมาตรงๆ ทันใดนั้นฉันก็รู้ได้ทันทีว่าแมทธิวกำลังหมายถึงอะไร...

      เขากำลังโทษตัวเอง...คิดที่จะยอมแพ้และเดินจากไป....

      หากเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงยอมปล่อยเขาไปโดยไม่ต้องคิดอะไร ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว ฉันหวาดกลัวที่จะได้ยินคำบอกลาจากปากของเขา...นั่นทำให้ฉันรีบคว้าตัวเขาเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด

      ไม่...ฉันไม่อยากให้นายทิ้งฉันไป แมทธิว นายไม่ต้องทำเหมือนเป็นพี่ฉันอีกต่อไปแล้วก็ได้ นายไม่จำเป็นต้องทิ้งฉันไปอย่างที่พี่ทำ...ได้โปรด....ช่างเป็นคำพูดที่แสนเห็นแก่ตัว ใช่ ฉันมันเห็นแก่ตัว นังโง่เห็นแก่ตัวและกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียวฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ...นายไม่ผิดหรอก ฉันต่างหาก ฉัน...

      งั้นก็หยุดพูดซะ อีฟ”  เขาปรามฉันให้เลิกพูด ก่อนที่จะจับมือข้างที่จับตัวเขาเอาไว้แล้วจูบมันอย่างแผ่วเบาฉันเข้าใจแล้ว อย่าได้โทษตัวเองอีก

      แมทธิวช่วยประคองพาตัวฉันลงมาอยู่ชั้นล่างเพื่อที่จะได้หาอะไรมากินและเขาจะช่วยปรับทัศนะคติ ฉันนั่งรอเขาเตรียมของว่างอยู่บนโซฟาถุงถั่วหน้าทีวี สองกระตั้วหลับสนิทอยู่ในรังรักของพวกมันโดยไม่รับรู้เรื่องราวภายนอกใดๆเลย ฉันเหลือบไปมองยังพื้นที่เคยเลอะเต็มไปด้วยเลือดจากการบังคับให้แมทธิวดื่มพวกมัน บัดนี้ทุกอย่างสะอาดเกลี้ยงเกลาราวกับไม่เคยเกิดเรื่องขึ้น แมทธิวกลับมาหาฉันอีกครั้งพร้อมผลไม้แต่น้ำเปล่าในมือ

      ฉันรับแก้วบรรจุน้ำเปล่าจากเขาเป็นอย่างแรกแล้วดื่มมันจดหมดในรวดเดียว การอาเจียนทำให้ฉันคอแห้งและเปรี้ยวฝาดคอ จากนั้นจึงค่อยทานผลไม้ตามไปทีหลัง แมทธิวนั่งอยู่บนพื้นใต้ตัวฉัน มองดูฉันเคี้ยวผลไม้ด้วยสีหน้ามีความสุข เหมือนกันตอนที่เขาขอร้องให้ฉันกินข้าวก่อนที่จะสั่งให้เขาจัดการถุงเลือดพวกนั้น นึกไปก็รู้สึกเสียดายอาหารจานนั้นซึ่งเป็นจากแรกที่เขาทำให้ฉันกิน ฉันคงทำให้เขาผิดหวังน่าดูเลยสินะ...ฉันขอโทษ

      แมทธิว...

      หืม? ว่าไง

      เราสบตากัน แล้วเขาก็เห็นอะไรบางอย่างภายในดวงตาของฉันจึงทำให้เขาวางจากผลไม้ลงแล้วค่อยเคลื่อนตัวเข้ามาอ้อมหลังกอดร่างฉันเอาไว้ จากนั้นทำให้ฉันรู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคืออะไร...หยาดน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาเป็นสายน้ำ ดวงตาฉันร้อนผ่าวและเปียกชื้น ราวกับความอัดอั้นภายในใจเกี่ยวกับพี่ที่ฉันอุตส่าห์เก็บเอาไว้นั้นไม่สามารถถูกปิดกั้นไว้ได้อีกต่อไปแล้ว ฉันจิกแขนแกร่มของชายหนุ่มแล้วกรีดร้องออกมาอย่างอัดอั้น...ฉันไม่เคยเชื่อเลยว่าการร้องไห้จะเป็นวิธีที่ช่วยคลายความทุกข์ได้ แต่เมื่อถึงตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว มันคือตัวอย่างที่ดีที่สุดเลยต่างหาก

      ยิ่งเขากอดรัดแน่นเท่าไร ฉันก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ แมทธิวอยู่ข้างๆฉันจนกระทั่งฉันหยุดร้องในที่สุด นี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ฉันจะร้องไห้สำหรับการตายของพี่ชาย

      และนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสุขครั้งใหม่กับชายคนอื่นนอกเหนือจากพี่...

      เพียงแค่ฉันส่งสายตาสื่อสารถึงแมทธิว แวมไพร์หนุ่มก็ค่อยโน้มใบหน้าลงมาประกอบริมฝีปากกับฉัน จากสัมผัสอันแผ่วเบาและนุ่มนวลค่อยๆทวีความต้องการมากขึ้น เขาบดขยี้ริมฝีปากฉันเพื่อตอบสนองความอยากที่ฉันมีให้แก่เขา มือฉันคว้าต้นคอเขาเอาไว้เมื่อเริ่มพ่ายแพ้ต่อสัมผัสของเขา ก่อนที่ฉันจะปล่อยให้เขาจัดการเรือนร่างนี้ในที่สุด

       

       

       

      ผิวของแวมไพร์สามารถโดนแสงแดดได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเลือดที่เพียงพอจะทำให้ร่างกายสร้างเซลล์ที่ทนทานต่อแสงพอ หากเป็นวันที่แดดแรงหน่อยอาจเปลี่ยนสีผิวของเขาให้คล้ำลงบ้างแต่มันก็จะจำกัดอยู่แค่เฉดสีแทนเท่านั้น เพราะนั่นเป็นจุดที่ร่างกายแวมไพร์จะปรับระดับให้เสถียรตามปริมาณแสงนั้นๆ  ทั้งหมดนี้คือข้อมูลคร่าวๆที่รุ่นพี่แคร์โรบอกกับฉันมา หากเกิดอารมณ์ดีอยากพาแวมไพร์ที่น่ารักของเราออกไปเดินเล่นตอนกลางวัน

      และเช้านี้เธอคงจะเห็นว่าเป็นฤกษ์ดีที่จะนัดพาแวมไพร์ของเราได้มาเจอหน้าทำความรู้จักกัน และดูเหมือนเธอจะมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่จะบอกกับฉันด้วย แต่นั่นทำให้ฉันไม่เข้าใจ...ถ้าหากตอนเช้ามันเป็นปัญหาที่จะพาแวมไพร์ออกมาเดินเล่นมากนัก ทำไมถึงไม่นัดตอนกลางคืนล่ะ แถมเรื่องสำคัญที่ว่านี่ดูจะเป็นความลับภายในสำนักงานแล้วด้วย หรือว่าช่วงเวลากลางคืนจะเป็นช่วงส่วนตัวระหว่างเธอกับชายคนนั้น

      ออกไปข้างนอก...แววตาของแมทธิวลุกวาวเมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา มือของเขาค้างอยู่บนหัวฉันเต็มไปด้วยฟองแชมพูทำอะไร ที่ไหน แล้ว...แล้ว..แล้ว...?”

      ฉันเหลือบหันไปมองแวมไพร์หนุ่มร่างกายเปลือยเปล่าซึ่งยืนสระผมให้ฉันอยู่ด้านหลัง ท่าทางเขาดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อพบว่าตัวเองกำลังจะได้ออกจากบ้าน ก็แน่ล่ะสิตั้งแต่ได้ออกจากกล่องมาแมทธิวไม่เคยได้ออกไปไหนไกลเกินว่าตอนหิ้วถุงขยะไปทิ้งไว้หน้าอพาร์ทเม้นเท่านั้นนี่นา...บางทีหลังจากเสร็จธุระจากรุ่นพี่แคร์โร ถ้าเขาทำตัวดีฉันอาจจะพาไปเที่ยวชมบรรยากาศต้องรับปีใหม่ภายเมืองด้วย

      ไปพบเพื่อนกับแวมไพร์แบบเดียวกับนาย นัดพบกันที่สวนสาธารณะกลางเมือง อีกสองชั่วโมงก็จะถึงเวลานัด อุ๊บ!ฉันสะดุ้งเมื่อฟองแชมพูไหลเข้าตา

      แมทธิวรีบคว้าฝักบัวมาช่วยล้างฟองออกอย่างรวดเร็ว แล้วจึงเคลื่อนตัวมายืนตรงหน้าเพื่อเช็ดดูว่าฉันจะไม่ตาบอดเพราะฟองนั่น ด้วยส่วนสูงของฉันที่ถึงเพียงระดับไหล่ทำให้เขาต้องย่อตัวลงเพื่อให้ได้เห็นใบหน้าฉันได้ชัดเจน ใบหน้าคนเข้มได้รูปนั้นแม้จะแสดงออกว่าเป็นห่วงแต่ก็ยังคงความดุดันและเลือดร้อนเอาไว้ “ ’โทษที แสบมากรึเปล่าอีฟ?”

      “...ทีหลังหัดระวังหน่อยซิ นี่แหนะ!ฉันแย่งเอาฝักบัวมาฉีดใส่หน้าเขาทีเผลอเป็นการทำโทษ อันที่จริงฉันก็ไม่ได้โทษเขาหรอกนะ แต่อีกฝ่ายทำสีหน้าอยากถูกทำโทษขนาดนั้นฉันก็จัดให้ได้

      แมทธิวรีบเอามือปัดป้องดวงตาที่โดนน้ำฉีดเข้าใส่เต็มๆ ก่อนจะร้องห้ามออกมาพร้อมเสียงหัวเราะเมื่อถูกฉันจ่อฝักบัวฉีดน้ำใส่หน้าโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โชคร้ายหน่อยว่าปั้มน้ำบ้านฉันมันแรงเกินไปหน่อยฮ่าๆๆ เฮ้ย! พอได้แล้ว เอามานี่เลย ยัยบ้า!เขาพยายามเดินฝ่าสายน้ำมาเพื่อแย่งเอาฝักบัวกลับคืนมา แต่ใครจะยอมกันล่ะ...ถ้าจะให้ฉันหยุดแกล้ง มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

      ให้ก็โง่แล้ว ดื่นน้ำไปซะ นี่แหนะๆฉันยิ้มมุมปากแล้วก้าวถอยหลังห่างออกไปเพื่อไม้ให้โดนจับได้ แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดีเมื่อด้านหลังทีผนังขวางเอาไว้ก่อน

      จับได้แล้ว หนอย...แสบนักนะ...แมทธิวล็อคแขนฉันเอาไว้กับกระเบื้อง แล้วเบียดร่างกายฉันจนติดผนัง หมดหนทางดิ้นหนี หน้าอกของฉันแนบชิดกับแผ่นอกของเขาจนรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย แมทธิวสังเกตออก เขาส่งยิ้มยียวนแสดงชัยชนะของตัวเอง

      ในเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้วก็ทำได้แค่สบตากับเขา แล้วยอมแพ้ แขนแกร่งของชายหนุ่มโอบรัดเอวฉันเอาไว้แล้วอุ้มร่างฉันขึ้นเพื่อให้เขาได้ลิ้มรสชาติริมฝีปากของฉันเป็นรางวัล ร่างกายของเรานั้นเปียกและลื่นทำให้ฉันต้องกอดคอช่วยประคองร่างตัวเองไว้อีกแรงหนึ่ง ฉันตอบรับรสจูบที่รุนแรงขึ้นโดยการขบริมฝีปากล่างของเขาให้รู้สึกดี เมื่อตัวฉันรู้สึกว่าเริ่มหายใจไม่ทัน แมทธิวจึงค่อยปล่อยให้ฉันได้สูดอากาศ ส่วนตัวเขาก็เลื่อนลงต่ำไปไล้เลียที่อื่นแทน

      “..อืม....ฉันห้ามเสียงครางไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

      เวลาสองชั่วโมงสำหรับเรายังคงเหลือเฟือภายในห้องน้ำนี้...

      ถึงแม้แวมไพร์จะทนทานต่อความหนาวของหิมะต่อให้เปลือยกายลงไปว่ายน้ำใต้แผ่นน้ำแข็งก็ตามที แต่ยังไงซะเพื่อไม่ให้ผิดจากมนุษย์มานาคนอื่น แมทธิวจำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าให้หนาหลายๆชั้น เนื่องจากเสื้อโอเวอร์โค้ทของพี่ชายนั้นทำไว้พอดีตัว แค่ให้แวมไพร์หนุ่มล่ำบึกใส่แค่แขน ตะเข็บก็แทบปลิ้นออกมาแล้ว ดังนั้นอย่างพูดถึงซิปกับกล้ามหน้าอกของเขาเลย ความจริงพี่ชายฉันก็ไม่ได้ผองกะหร่องขาดสารอาหารอะไรขนาดนั้นหรอกนะ ก็พอมีเนื้อมีหนังให้ดูดีอย่างนายแบบลองเสื้อไซส์เล็กเท่านั้นแหละ แต่แมทธิวต่างหากที่บึกระดับนายแบบชุดหวิว ฉันเลยจัดให้เขาใส่เสื้อยืดคอเต่าแขนยาวชั้นใน ทับด้วยสเวตเตอร์ไหมพรม ปิดท้ายด้วยผ้าพันคออีกทีหนึ่ง แล้วปัญหาอีกอย่างก็ตามมา คือ กางเกง ปกติเวลาให้ใส่อยู่บ้านจะเป็นกางเกงนอน ไม่ก็ขาสั้นพระยังไงเขาก็ไม่หนาวอยู่แล้ว แต่หากเป็นกางเกงออกนอกบ้านของพี่ ขากางเกงกลับสั้นเต๋อไปซะงั้น ไม่เป็นไร...แก้ปัญหาโดยการให้เขาใส่บูทบังขากางเกงเอาไว้ ให้แมทธิวใส่แบบคับๆไว้ก่อนพอไปถึงค่อยหาซื้อรองเท้าเปลี่ยนอีกที

      ส่วนตัวฉันเรื่องเสื้อผ้าก็ไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว เพียงแค่แต่งให้เข้าคู่กับแมทธิวซักหน่อยก็ถือว่าโอเค แน่นอนว่าฉันไม่ลืมที่จะหยิบเงินจากในกล่องจำนวนหนึ่งพกไปด้วย เพราะจากปัญหาการแต่งตัวเมื่อก่อนหน้านี้ทำให้ต้องมีหลายรายการที่ต้องซื้อ

      เราไปถึงยังสถานที่นัดพบก่อนเวลานัดห้านาที ระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะแวะซื้อรองเท้ามาเปลี่ยนให้กับแมทธิวด้วย คนขายเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก เธอมองเขาตาแทบไม่กระพริบขณะที่หารองเท้ามาให้ลอง และแวมไพร์หนุ่มก็ไม่พลาดโอกาสนี้จัดการดูดเลือดหล่อนซักหน่อยให้คลายหิว นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นเข้าสะกดจิตคนอื่นกับตา จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงหวาดกลัวที่จะถูกเขากัดคอ กลับมายังสวนสาธารณะกลางเมือง รุ่นพี่แคร์โรมาถึงก่อนเรานานแล้ว ไม่ใช่เป็นพวกชอบมาก่อนเวลานัด แต่เพราะเพิ่งเลิกงานเสร็จพวกเธอก็ตรงมารอที่นี่เพื่อซึมซับบรรยากาศครึ่งชั่วโมง

      ของตกแต่งเกี่ยวกับเทศกาลคริสมาสถูกถอดออกจากสวนแล้ว เปลี่ยนเป็นต้อนรับปีใหม่แทน ตรงสระน้ำแข็งเปิดให้คนได้เล่นสเก็ตน้ำแข็งอิสระ ซึ่งจะมีก็แต่เด็กหรือไม่ก็คู่รักวัยรุ่นเท่านั้น ส่วนอื่นของสวนก็มีตุ๊กตาหิมะ ป้อมน้ำแข็งสำหรับปาบอลหิมะใส่กัน

      ฉันจูงมือแมทธิวที่กำลังตื่นตากับโลกภายนอกพาเดินไปหารุ่นพี่แคร์โรที่ม้านั่ง ฉันโผเข้ากอดเธอเป็นการทักทาย ก่อนจะส่งยิ้มให้กับคริสตินที่ยืนมองอยู่ด้านหลังเงียบๆ เขาดูดีทีเดียวเมื่ออยู่ในชุดโอเวอร์โค้ทหรูสีน้ำตาลอ่อน ลำพังแค่ตัวคริสตินก็หล่อเป็นเป้าสายตาคนรอบข้างอยู่แล้ว พอเอาแมทธิวเข้าผสมโรงเข้าไปด้วยยิ่งสะดุดตาเข้าไปใหญ่

      นั่นพ่อหนุ่มของเธอเองหรอจ๊ะ? ตัวใหญ่กว่าคริสตินอีก ดูหล่อแบบดุดันดีนะแคร์โรหัวเราะคิกคัก ก่อนจะดึงแขนแวมไพร์ของเธอเข้ามาควงกอดเมื่อรู้สึกถึงอาการน้อยใจนิดๆที่เห็นเธอกล่าวชมแวมไพร์ตนอื่น ฉันยิ้มให้กับความน่ารักของทั้งคู่แล้วชื่อของเขาล่ะ?”

      แมทธิวฉันบอก

      ชายหนุ่มเจ้าของชื่อหันมามองเพราะเข้าใจว่าฉันเรียกเขา ทำให้แวมไพร์ทั้งสองได้สบตากัน ทันใดนั้นสีหน้าตกตะลึงของคริสติน ทำให้ฉันหันไปมองทางแมทธิวซึ่งพบว่าเขาก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน ก่อนที่เขาจะยิ้มกว้างด้วยความดีใจราวกับเจอเพื่อนที่ไม่ได้พบกันนาน

      เฮ้! นายมันอันดับยี่สิบเจ็ดนี่ ไม่อยากเชื่อว่าจะได้เจอกันอีกแมทธิวเดินเข้าไปตบไหล่อีกฝ่ายพลางมองสำรวจอย่างตื่นเต้น

      ส่วนคริสตินก็ยืนมองนิ่งๆพร้อมรอยยิ้มบางๆอันดับร้อยสิบสาม...ดีใจที่เห็นนายรอดออกมาได้

      อ้าวรู้จักกันด้วยหรอ?” รุ่นพี่แคร์โรดูแปลกใจ ก่อนหันไปถามคนข้างๆ

      พี่น้องที่เคยถูกเลี้ยงมาด้วยกันครับแคร์โร

      ฉันแอบรู้สึกตงิดใจเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่แคร์โรมีสีหน้าเศร้าลงพอได้รับคำตอบ ทั้งที่น่าจะเป็นเรื่องน่ายินดีที่พวกเข้าได้พบเพื่อนเก่า แต่เรียกกันเป็นตัวเลขอย่างนี้ฉันก็ชักจะเริ่มสงสัยแล้วว่าสถานที่ที่พวกเขาจากมานั้นเป็นอย่างไร

      เจ้านายนายคือคนนี้หรอ?” แมทธิวหันไปมอง รุ่นพี่ยกมือขึ้นทักทาย

      คริสตินพยักหน้าแคร์โรของผมเอง...

      นายนี่นิสัยเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ก่อนหน้านี้ยังเป็นแค่ไอ้ขี้กลัวอยู่เลยแท้ๆ

      ในตอนนั้นนายก็เกือบโดนเขี่ยลงเครื่องปั่นเหมือนกัน

      รุ่นพี่แคร์โรดึงแขนฉันพาออกมาจากวงเพื่อนเก่า แต่ก็ไม่ไกลมากเพราะถูกคริสตินมองตามมาอย่างเด็กถูกทิ้งและทำท่าจะเข้ามาด้วย แคร์โรจึงหันไปบอกให้เขาคุยกับแมทธิวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ฉันแอบสังเกตเห็นนักศึกษากลุ่มหนึ่งรอให้พวกเราเดินห่างออกมาจากพวกแวมไพร์ จึงรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปกันใหญ่

      ปล่อยให้หนุ่มๆเขาคุยกันซักพักเถอะจ้ะ อุตส่าห์ได้เจอกันอีกครั้งนี่นาเธอขยิบตาให้

      ที่เธอพาเราเดินแยกออกมาคงเพราะจะบอกเรื่องสำคัญที่ว่านั่นสินะเรื่องสำคัญที่จะบอกฉันใช่ไหมคะ มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอรุ่นพี่?”

      สีหน้าของเธอจริงจังขึ้นเหมือนกับจะบอกให้ฉันเตรียมรับฟังและทำใจกับเรื่องนี้ไว้ให้ดีเรื่องเกี่ยวกับตัวแมทธิวพี่ชายของเธอเองจ้ะฉันรู้สึกขนลุกวาบเมื่อได้ยินเรื่องนี้จากเหตุการณ์บุกถล่มรังค้ายาในคืนคริสมาสเมื่อหลายวันก่อน เจ้าหน้าที่เพิ่งเก็บกู้ศพแล้วส่งมาถึงแผนกนิติเวชเมื่อวานนี้...

      ศพพี่แมทร่างกายฉันเริ่มสั่นสะท้าน

      แคร์โรส่ายหน้าศพของแมทธิวสูญหายไปจากการระเบิดของตัวอาคารแล้ว แต่ที่ฉันจะบอกมาจากความทรงจำของศพรายอื่นที่ฉันแอบให้คริสตินชิมเลือด...

      ระเบิดรังค้ายางั้นหรอ ใครกันที่ระเบิด ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ก็ไม่น่าใช้วิธีนี้กำจัดเจ้าอาชญากรพวกนั้นเลยนี่ นอกจากไม่แน่นอนแล้วยังเสี่ยงต่อการที่พรรคพวกจะโดนลูกหลงด้วย อย่างศพพี่ชายฉันนี่ไง... ถ้างั้นจะเป็นใครล่ะ พวกเจ้าพ่องั้นหรอ? แล้วพวกมันจะติดตั้งระเบิดในรังที่ตัวเองอยู่ทำไมล่ะ จะว่าเป็นแผนหลอกล่อเจ้าหน้าที่ก็ไม่ใช่เพราะตัวเองยังอยู่ภายในตัวอาคารอยู่เลย ไม่ต่างกับการฆ่าตัวตายแล้วลากเอาศัตรูลงหลุมตามไปด้วย แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของพวกนักธุรกิจมืดพวกนั้นแน่ มันไม่คุ้มค่าเลยกับการแลกชีวิตของตัวเองกับเรื่องตำรวจที่พวกมันหลบพ้นมาได้ตลอด ยกเว้นว่านั่นจะไม่ใช่ตัวจริง...

      นั่นหมายความว่าพี่ชายฉันก็ตายฟรีน่ะสิ!

      จากความหวั่นไหวและโศกเศร้าแปลเปลี่ยนเป็นความเดือดดาล ฉันกำหมัดแน่นจนมือสั่นเกร็ง ไอ้เจ้าพ่อแก๊งค้ายาพวกนั้น...มันต้องชดใช้สิ่งที่ทำไว้กับพี่แมท ฉันจะตามล่ามัน ฉันจะล่ามัน ฉันจะ...

      ความสนใจฉันกลับมายังที่เดิมเมื่อถูกรุ่นพี่สะกิดเรียก เพราะฉันตัวสูงกว่าเธอทำให้ฉันต้องย่อตัวลงเอียงหูฟังประเด็นลับสำคัญจนต้องกระซิบบอก ทันใดนั้นดวงตาสีฟ้าก็เบิกโพล่งอย่างช็อคสุดขีดเมื่อได้ยิน รู้สึกเหมือนว่าขามันไร้เรี่ยวแรงไปซะเฉยๆเลย ฉันจ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหูตัวเองและตั้งใจสื่อว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่นรึเปล่า แต่แววตาจริงจังและเจ็บปวดนั้นกลับตอกย้ำคำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

      ฉันรู้ว่าถ้าบอกเรื่องนี้กับเธอมันอาจลบความสุขในช่วงเวลาปีใหม่นี้ไป ฉันขอโทษนะ...เธอกุมมือฉันเอาไว้แน่นแต่ถ้าไม่รีบบอกให้เร็วที่สุด เธออาจะเป็นอันตรายในเร็วๆนี้ก็ได้ บางทีฉันอาจแค่สังหรณ์ใจไปเอง แต่ระวังตัวไว้ก่อนน่าจะดี....

      ฉันเซถอยออกมาอย่างสับสน แมทธิวที่เห็นอาการของฉันด้วยความเป็นห่วงจึงรีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองฉันไว้ก่อนที่จะเสียหลักยืน ทั้งโลกนั้นเริ่มมืดมัว ฉันนึกถึงคำพูดของกัปตันกอร์ดอนที่พูดถึงพี่ชายฉันในวันแรกที่เราเจอกัน ยิ่งทวนคำพูดพวกนั้นจึงยิ่งเพิ่มโทสะให้ลุกไหม้พร้อมเผาทุกอย่างให้เป็นจุล ฉันสลัดตัวแมทธิวให้ออกไปยืนห่างๆ ก่อนจะเงยหน้าไปเจอกับสีหน้าของรุ่นพี่ทำให้ฉันรีบคุมสติแล้วปั้นหน้าให้เป็นปกติที่สุด

      ฉะ...ฉันไม่เป็นไรค่ะรุ่นพี่ ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันแค่ต้องไปคุยกับกัปตันเรื่องนี้ที่สำนักงานในเวลาต่อไป

      และเวลาต่อไปในที่นี้ของฉันหมายถึง เดี๋ยวนี้!

      หลังจากรู้เรื่องราวจากปากของรุ่นพี่แคร์โรแล้ว ฉันก็ไม่รอช้าขอแยกตัวออกจากพวกเขาเพื่อเดินทางไปยังสำนักงานทันทีโดยมีแมทธิวเดินตามมาอย่างไม่รู้เรื่องราว สำนักงานตำรวจอยู่ไม่ไกลจากสวนสาธารณะกลางเมืองมานัก ทำให้ฉันใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบนาทีก็ไปถึงประตูทางเข้าตึกเรียบร้อย มีเจ้าหน้าที่ไม่มากที่ยังอยู่ปฏิบัติงานในวันเทศกาลเช่นนี้ ฉันสั่งให้แมทธิวรอฉันอยู่ตรงนี้เพื่อไปสะสางธุระส่วนตัวกับกัปตัน เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเขา...

      ฉันเดินฝ่าสายตาผู้คนตรงไปยังห้องทำงานเฉพาะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษที่ฉันสังกัดอยู่ชั้นบนตึก ระหว่างทางก็เจอกับหญิงสาวสวยคนหนึ่งซึ่งฉันจำได้ว่าเป็นเลขาส่วนตัวของกอร์ดอน ฉันรีบขวางเธอเอาไว้ทันที จนอีกฝ่ายสะดุ้งตกใจกลัว

      กัปตันกอร์ดอนยังอยู่รึเปล่า!?”

      อุ๊ยตาย! จ้ะๆ...ยังอยู่ที่ห้องทำงานส่วนตัวในหน่วย

      ขอบใจฉันปล่อยตัวเธอไปแล้วตรงดิ่งไปยังห้องนั้น หญิงสาวหันมามองตามหลังฉันด้วยสีหน้าไม่พอใจนิดๆ แต่ฉันไม่สนใจมันเท่ากับเรื่องนี้หรอก

      เมื่อผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของชายหนุ่ม ฉันก็พบกับเขาซึ่งกำลังนั่งซดกาแฟบนโต๊ะทำงานเหม่อมองออกไปยังภายนอกกระจก ก่อนที่จะหันมายิ้มให้อย่างสบายใจจนฉันชักจะเริ่มหงุดหงิดกับท่าทีของเขา กอร์ดอนลงจากโต๊ะแล้วเดินเข้ามาหา

      ฉันเห็นเธอเดินเร่งรีบเข้ามาตั้งแต่หน้าสำนักงานแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมาหาฉัน ทำหน้าตาโมโหแบบนั้นมีเรื่องอะไรงั้นหรอ?” กอร์ดอนเอื้อมมือเข้ามาจะช่วยเกลี่ยปอยผมที่ล่วงลงมาปรกหน้า

      ฉันปัดมือออกไปอย่างแรง ก่อนจะผลักอกเขาด้วยความโกรธทำไมนายถึงต้องโกหกฉันเรื่องพี่ชายด้วยหา!? กัปตันกอร์ดอน!? ในวันนั้น...วันคริสมาส ทำไมถึงต้องบอกฉันไปอย่างนั้นด้วย นายหลอกฉันทำไม ทำไมถึงไม่พูดความจริงกับฉัน!?”

      เดี๋ยวก่อนสิอีวา หมายความว่าไง?” ชายหนุ่มพยายามลูบไหล่ฉันให้ใจเย็นลง

      เลิกเสแสร้งซักทีเถอะ ฉันรู้ความจริงแล้ว...หยุดปิดบังฉันซักที นี่ฉันโตแล้วนะ!ฉันใช้แรงผลักร่างเขาไปชนกับโต๊ะทำงาน ใบหน้าร้อนผ่าว และดวงตาที่แดงก่ำทำไมถึงต้องโกหกกันด้วย ทำไมต้องโกหกเรื่องที่...พี่แมทเป็นคนทรยศด้วย...เสียงฉันอ่อนลงและสั่นอย่างเจ็บปวดใจ

      แมทธิวเป็นคนฆ่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในภารกิจนั้น... กอร์ดอนเขารู้เพราะเขาก็เห็นเหตุการณ์นั้นด้วย...

      เขาทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุดและตายอย่างสมเกียติในหน้าที่ แมทธิวเป็นนายตำรวจที่กล้าหาญที่สุดที่ผมเคยเจอแล้วครับ หึ! เหลวไหลสิ้นดี พี่ฉันละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง พี่ของฉันมันขี้ขลาด...ทำไมถึงไม่บอกกับฉันอย่างนี้ ทำไมถึงต้องปล่อยให้ฉันดูเหมือนคนโง่หลงพี่ชายหัวปักหัวปำจนวินาทีสุดท้ายของปี

      เชื่อเถอะ...แมทธิวเป็นพี่ชายที่ดีสำหรับคุณ อีวา...

      ทำไมถึงต้องบอกให้ฉันเชื่อด้วย!!!?

      เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉันพูดทั้งหมด กอร์ดอนก็มีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขากุมขอบโต๊ะแน่นจนฉันคิดว่าหากเขาสามารถปาโต๊ะใส่ฉันได้เขาคงทำไปแล้ว ชายหนุ่มเงียบเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเองและรอให้ฉันสงบสติตัวเองลง เขามองออกไปยังภายนอกกระจกหน้าต่าง ฉันเห็นความหงุดหงิดที่แอบแฝงอยู่ภายในดวงตาสีออดอายของเขา กัปตันยกกาแฟร้อนๆขึ้นดื่มจนหมด ขยำแก้วกระดาษนั่นแล้วปาทิ้งออกไปเพื่อระบายอารมณ์

      ใช่! แมทธิวทรยศพวกเรา แล้วมันยังไงล่ะ? เพราะสิ่งที่เขาเลือกที่จะทำ มันถึงทำให้เธอมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง!กอร์ดอนพูดออกมาเสียงดังจนฉันตกใจ เขาจึงก้มหน้าลงบีบหว่างคิ้วอย่างตำหนิตัวเอง “...ฉันขอโทษ ฉันแค่ต้องการจะบอกว่าถึงยังไงเขาก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน และเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดของเธอ...เพียงเท่านั้นเอง

      ฉันชะงักค้างกับคำพูดของอีกฝ่าย มวลความรู้สึกผิดท่วมท้นเต็มอก

      ที่ฉันโกหกไปแบบนั้นเพราะต้องการให้เธอจดจำแมทธิวแต่เรื่องดีๆเอาไว้ อย่างน้อยสุดก็ขอให้ผ่านช่วงปีใหม่นี้ไป และเธอรู้อะไรไหมอีวา...ฉันเนี่ยแหละที่เป็นคนยิงแมทธิวเอง

      เหมือนหัวใจฉันจะหยุดเต้นไปชั่วขณะเมื่อได้รับรู้ความจริงข้อนี้ผ่านแววตาอันแสนเจ็บปวดของกอร์ดอน เพื่อนสนิทที่สุดของพี่ชาย... ฉันควรจะแสดงความรู้สึกเกลียดแค้นเขา แต่ตอนนี้ฉันกลับทำแบบนั้นไม่ลง สิ่งที่ชายหนุ่มตัดสินใจทำไปในตอนนั้นเป็นสิ่งถูกต้องเพื่อรักษาชีวิตผู้ร่วมงานที่เหลือและปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จแทนเพื่อนที่เสียไป เขาทำถูกแล้ว...พี่ชายก็ทำเพื่อฉัน แต่แล้วฉันกลับโทษพวกเขา ฉันต่างหากที่ผิด ฉันต่างหากที่ไม่เห็นถึงเจตนาของพวกเขา

      ในขณะที่เรื่องราวกำลังบรรเทาลงด้วยดีแล้ว ทันใดนั้นประตูห้องทำงานก็เปิดเข้ามาพร้อมกับร่างของแวมไพร์หนุ่มก้าวเข้ามาอย่างร้อนรน ก่อนจะตรงดิ่งเข้ามากุมมือแล้วจูบริมฝีปากฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยต่อหน้าต่อตากัปตันกอร์ดอน นั่นเป็นการจุดประกายประเด็นปัญหาใหม่ขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึงโดยมีชายหนุ่มผมทองเป็นคนเริ่ม เขาจ้องเขม็งมองเราทั้งคู่อย่างอารมณ์เสีย

      แมทธิว! นะ...นายขึ้นมาทำไม?” ฉันถามแมทธิวดูตะกุกตะกัก พลางมองสลับไปมาระหว่างชายทั้งสองคน แต่คนที่น่าห่วงที่สุดคือกัปตันกอร์ดอนที่ท่าทางพร้อมระเบิดเต็มที่แล้ว ไม่เข้าใจเลย...ฉันนึกว่าเขาจะเป็นคนที่ใจเย็นที่สุดซะอีก

      ทางฝั่งแวมไพร์ก็สังเกตเห็นอารมณ์ครุกครุ่นของทางนั้นเช่นกัน แต่เข้าแทบจะไม่สนใจฉันเฝ้าดูเธอทางกระจก พอเห็นว่าเธอกำลังทะเลาะกับเจ้าหมอนั่น ฉันก็เลยรีบตามขึ้นมากลัวว่าเธอจะถูกทำร้ายฉันมองแมทธิวตาค้างอย่างเหลือเชื่อกับความสามารถของแวมไพร์จากตรงนี้ถึงหน้าประตูก็มองขึ้นมาแทบไม่เห็นแล้ว แต่กระจกบานนี้ยังติดฟิลม์กรองแสงไว้บังไม่ให้เห็นภายในอีกชั้นหนึ่งด้วย เขาก็ยังอุตส่าห์มาเห็นเหตุการณ์ภายในนี้ได้...

      หา!...แมทธิว...นี่ใครกันอีวา?” ฉันหันไปมองทางกอร์ดอน เขายิ้มเย้ยหยันมองแมทธิวอย่างไม่เชื่อสายตา เขากำลังรู้สึกผิดหวังในตัวฉันแต่กลบเกลื่อนด้วยการก้มหน้าลูบหน้าผากตัวเองแล้วหัวเราะออกมาไม่จริงน่า อีวาน้อย...พี่ชายของเธอเพิ่งตายไปไม่ถึงสองอาทิตย์เลยนะ แต่กลับมีผู้ชายคนใหม่ที่ชื่อเหมือนเพื่อนสนิทฉันมาควงซะแล้ว ไม่ละอายใจบ้างเลยรึไง?”

      แมทธิวหยักคิ้วมองหน้ากอร์ดอนอย่างยียวนเฮ้ๆ พูดอย่างนี้มันก็ไม่ถูกน่า พี่ชายก็อยู่ในส่วนของพี่ชาย ส่วนฉันมีหน้าที่คอยอยู่ข้างๆเธอตอนที่กำลังเสียใจเพราะเสียพี่ชายไปต่างหาก แล้วนายล่ะเป็นใครถึงได้มาโทษเธออย่างนี้...แมทธิวทำท่าจะเดินเข้าไปเอาเรื่องเต็มที่ทำให้ฉันรีบบีบมือห้ามเขาเอาไว้ก่อน เขายอมทำตามโดยง่ายแต่ไม่วายที่จะหันไปยิ้มยิงฟันใส่คู่กรณี

      กัปตันกอร์ดอนยังคงรักษามาดเอาไว้ไม่โต้ตอบอะไร แต่จากการขบกรามไว้แน่น ทำให้ฉันรู้ว่าเขากำลังหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่เดียว เขากำลังหาวิธีการแก้เผ็ดแมทธิวอยู่ เมื่อกัปตันเหลือบมาสบตากับฉัน รอยยิ้มย่องแสนเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏฉายชัดบนใบหน้าได้รูปนั่นหึๆๆ พูดแบบนี้งั้นก็แสดงว่านายยังไม่รู้เรื่องล่ะสิท่า...อีวาคงไม่ได้บอกนายสินะ...

      แมทธิวเลิกคิ้วก่อนจะเหลือบมามองทางฉัน ตอนแรกฉันก็ยังไม่เข้าใจว่ากัปตันกำลังต้องการพูดถึงเรื่องอะไร แต่พอได้จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสองสีนั่น ทำให้ฉันถึงกับผวาตัวสั่นไม่จริง...นายรู้เรื่องนั่นได้ยังไง?”

      ชายหนุ่มยักไหล่เพื่อนที่สนิทที่สุดยังไงล่ะ...

      ถ้าสิ่งที่นายจะพูดมันทำให้อีฟรู้สึกไม่ดี ฉันก็ไม่สนใจที่จะฟังมันหรอก...แมทธิวตอบโต้

      โอ้! เป็นแฟนหนุ่มที่ดีซะจริง แต่เรื่องนี้นายก็ควรจะรู้ไว้ซะนะตัวฉันชาวาบเมื่อถูกจ้องมองมาฉันรู้ว่าแมทธิว พี่ชายของเธอรักเธอมาแค่ไหน เขารักเธอมากซะจนยอมทรยศพวกพ้อง และฉันรู้ว่าเธอก็รักพี่ชายของเธอมากเช่นกัน ความรักที่ว่านี้มันเป็นมากเกินกว่าคำว่าพี่น้องแล้ว...ตอนที่ฉันได้รู้เรื่องใหม่ๆฉันก็ยังอดรู้สึกขยะแขยงไม่ได้เลย...

      ฉันได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธในความจริงที่เขากำลังจะพูดนั้น แมทธิวดึงฉันเข้ามาสวมกอด

      เธอกับพี่ชาย...มีเซ็กซ์กันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเลยสินะ แถมไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งด้วย แต่เป็นนับครั้งไม่ถ้วนเลยต่างหาก!กอร์ดอนเชิดหน้ามองแมทธิวอย่างมีชัย ฝ่ายแวมไพร์หนุ่มทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆแล้วกอดฉันเอาไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม นั่นทำให้กัปตันเริ่มพูดต่อ “...และฉันเชื่อว่าถ้าแมทธิวคนนั้นยังอยู่ ในเวลานี้เขาคงกำลังขย่มเตียงอยู่กับเธอแน่ๆ อีวาน้อย...

      ฉันเบือนหน้าหนีด้วยความอับอาย อยากจะหนีออกจากอ้อมกอดของแวมไพร์หนุ่มตรงนี้ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใช่! ทุกอย่างที่กัปตันบอกนั้นเป็นความจริงๆทั้งหมดและเขาก็เดาถูก ถ้าพี่ชายฉันยังอยู่คงไม่มีที่ยืนให้กับแมทธิวในตอนนี้...

      แล้วมันสำคัญตรงไหนในเมื่อพี่ของเธอตายไปแล้ว?” แมทธิวสวนกลับอย่างไม่มีความลังเลใดๆ เขายังคงยึดมั่นในตัวฉันไม่เคยหวั่นไหว ฉันเงยหน้ามองเขาด้วยความรู้สึกเอ่อล้นภายในอก ตั้งแต่พี่ชายตายไปฉันก็ไม่เคยร้องไห้ให้กับใครเลยนอกจากเขา แมทธิวเป็นคนช่วยปลดปล่อยความรู้สึกของฉันออกมาแล้วพร้อมรับมันไว้โดยไม่ปริปากบ่นรำคาญ

      เธอไม่มีทางรักนายไงน้ำเสียงของกัปตันเริ่มแสดงความฉุนเฉียว

      หึ! นี่นายอำกันเล่นรึเปล่า?” คำตอบโต้นี้ทำให้กอร์ดอนถึงกับถลึงตาใส่ ยังไม่พอแมทธิวยังชักสีหน้าท้าทายราดน้ำมันใส่เข้าไปอีกถ้าพี่ชายเธอตายไป แล้วใครกันที่จะมารักเธอแทนพี่ ใครที่จะมอบความสุขให้กับเธอแทนพี่?”

      ราวกับฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดผึ่งลง กอร์ดอนหมดความอดทน เขาคว้าโทรศัพท์ใกล้เมื่อแล้วขว้างลงพื้นจนแตกกระจากเสียหาย จ้องขาเขม็งมา แล้วก้าวเดินตรงเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราดราวกับลูกไฟร้อนระอุโธ่เว้ย! ....มันก็ต้องฉันไง ฉันคนนี้ไงที่แมทธิวฝากฝังให้ดูแลเธอ อีวา! เจ้านั่นยกเธอให้กับฉันแล้ว!คำพูดนั้นทำให้ฉันขนลุกชักอย่างสะพรึงกลัวและสับสน ไม่จริง...พี่ไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรพล่อยๆแบบนั้นได้ เขาจะไม่ยอมยกฉันให้กับใครไปทั้งนั้น

      แมทธิวก้าวเข้ามาเผชิญหน้าอย่างท้าทายไร้ความกลัว เขาดันตัวฉันไปไว้ข้างหลังแล้วเข้าไปผลักอกกัปตันกอร์ดอนให้ถอยห่างออกไปจากตัวฉัน ทั้งสองต่างจ้องเขม็งใส่โดยไร้เสียงตวาดด่าใส่กันให้หนวกหูแต่อย่างใด ราวกับสองสิงห์กำลังเผชิญหน้าขู่คำรามใส่กันเตรียมพร้อมรอให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มลงมือก่อน และเมื่อนั้นคงได้มีการหลั่งเลือดกันไปข้างหนึ่งแน่ๆ

      แม้ว่าจะอยากเข้าไปห้ามทับแล้วว่าตอนนี้แม้แต่จะออกเสียงก็ยังไม่กล้าทำ แรงกดดันในห้องนี้ราวกับมหาสมุทรที่ฉันกำลังถูกดึงให้ดำดิ่งลงไปลึกลงเรื่อยๆถึงขนาดที่แม้แต้จะหายใจยังยากลำบาก ลำพังแค่คำพูดต่างๆที่กอร์ดอนประเคนเข้ามาใส่ก็แทบจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว แมทธิว...พอเถอะ ฉันอยากกลับบ้านแล้ว อยากกลับไปให้จิตใจตัวเองได้พักผ่อน วันนี้ฉันรับมามากเกินพอแล้ว...

      ในที่สุดแมทธิวก็เป็นฝ่ายที่ยอมถอยออกมาเพราะสังเกตเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวจากความเจ็บช้ำในจิตใจ เขาพาฉันเดินออกไปจากสำนักงาน ทิ้งความไม่ลงรอยให้หลงเหลือเอาไว้โดยไม่ได้รับการตัดสิน ฉันรับรู้ได้ว่ากัปตันยังคงเฝ้ามองเราทั้งคู่อยู่ผ่านบานกระจกพวกนั้น เขายังคงจ้องมองมาโดยที่ฉันไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเขาได้เลย

       

       

       

      เช้าวันต่อมา ฉันตื่นขึ้นพร้อมกับความรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ แมธธิวยังคงหลับอยู่ข้างกายฉันตลอดทั้งคืนด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่เรื่องเมื่อคราวนั้นเราก็ตรงดิ่งกลับมาที่บ้าน โดยไม่มีการพูดคุยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีคำถามอะไรเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรเมื่อฉันเงยหน้าขึ้นไปจ้องมองใบหน้าคมสันยามหลับนั้น มันก็น่ากะอักกะอวนใจที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับเรื่องที่เปิดเผยนี้ เขารู้เรื่องนี้อยู่แล้วรึเปล่า หรือว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจนอกจากปัจจุบัน...

      กอร์ดอน...พี่แมธ... เขาทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง เที่ยวอวดเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้คนอื่นไปทั่วเนี่ยนะ!? รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเปิดเผย ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันเป็นตัวอะไรในสายตาเขากันแน่?

      “...อีฟ” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกสติฉันกลับคืนมา ตามด้วยฝ่ามือเย็นแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนวางทาบลงบนหัวฉัน แม้ยามตื่นนอนแมธก็ยังคงมองฉันด้วยสายตาเฝ้าเป็นห่วงเหมือนกับเมื่อคืน เขารับรู้ว่าจิตใจของฉันในตอนนี้ยังคงจมปรักอยู่กับคำพูดเหล่านั้น

      ฉันเชยตาขึ้นมอง “ตื่นแล้วหรอ แมธ” ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ขยี้ตาปลุกตัวเองให้ตื่น “อืม...อะไรกัน อย่าทำคิ้วขมวดอย่างนี้ตั้งแต่เช้าสิ” แล้วเอื้มมือไปเกลี่ยแก้มเขาแผ่วเบา ให้คลายกังวลลงบ้าง

      “ใครกันแน่ที่ทำหน้าอย่างนั้นตั้งแต่เช้า” แมธตอบกลับเสียงแข็งเล็กน้อย นั่นทำให้ฉันอยากจะลุกหนีออกไป แต่มือหยาบก็รั้งแขนไว้ก่อน “วันนี้ฉันว่าเธอหยุดพักอีกสักวันเถอะ เพิ่งเจอเรื่องผิดใจกันมายังคิดจะไปเจอหน้าหมอนั่นอีกหรอ?”

      พอได้ฟังคำถามฉันก็นึกอยากถามกลับไปเหมือนกันว่าเขาคิดยังไงกับเรื่องที่ยินมา แต่ก็ได้แค่ถอนหายใจแล้วดึงแขนกลับมา ฉันกลัวที่จะได้ฟังคำตอบเพราะไม่รู้ว่าคำตอบจะเป็นอะไร “นี่มันเป็นงานนะ คงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก” ฉันส่ายหน้าตอบปฏิเสธ

      จากนั้นฉันก็ลุกออกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แต่งตัว ให้เรียบร้อยพร้อมสำหรับการประชุมงานสรุปผลคดีในครั้งนี้ เมื่อได้มองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกก็นึกย้อนไปถึงคำพูดเลวร้ายนั่นพร้อมกับสีหน้าแววตาถากถางของกัปตันกอร์ดอน นั่นทำให้มือฉันแข็งชาอย่างควบคุมไม่ได้ สารรูปอย่างนี้ยังคิดจะไปเจอหน้าเขาอีกงั้นหรอ? ฉันย้อนถามกับตัวเองใหม่อีกรอบแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบหายไป ต้องแยกแยะให้ออกสิ...ยัยโง่ นี่มันเรื่องส่วนตัวนะ ห้ามเอาไปปนกับเรื่องงานเด็ดขาด!

      ระหว่างที่ฉันกำลังพยายามสู้กับใจตัวเองอยู่นั้น แมธก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวท้าลมหนาว เขามองมาที่ฉันหน้ากระจกแล้วก้าวเข้ามายืนอยู่ด้านหลัง “ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่ทันกินข้าวเช้าหรอก” กอดเอวฉันเอาไว้ทำให้ฉันหลุดออกมาจากวังวนความคิดได้ ใบหน้าดุดันนั่นจ้องมองฉันผ่านเงากระจกราวกับจะช่วยส่งผ่านความกล้าหาญมาให้ เขาเคารพการตัดสินใจโดยไม่มีคำค้านใดๆ บรรยากาศเมื่อฉันได้อยู่กับแมธธิวคนนี้ช่างแตกต่างกับความรู้สึกเมื่อได้อยู่กับพี่ชาย ไม่คุ้นเคย...แต่ราวกลับว่าได้ถูกเติมเต็มขึ้นมาอีกครั้ง

      “ฉันตื่นแล้วน่า...” ฉันพลิกตัวหันกลับไปหา เกาะบ่าเปลือยของเขาเอาไว้ จ้องมองลึกเข้าไปในแววตาสีแดงเลือดคมกริบนั่น อ่า...เขากำลังซ่อนความกระหายอยู่ภายในก้นลึกของดวงตา คราวนี้ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าควรจะกลัวการเจอหน้ากัปตันหรือว่ากลัวคมเขี้ยวของตานี่ดี ฉันอมยิ้มน้อยๆ สู้กับความหวาดกลัวในใจ พร้อมกับผลักตัวแมธออกห่าง แล้วจึงเดินลงไปยังห้องครัวชั้นล่าง

      แมทอาศัยความเร็วเฉพาะของแวมไพร์นำหน้าฉันไปจัดเตรียมตักจานอาหารซึ่งเขาปรุงไว้ก่อนหน้านี่แล้วมาเสิร์ฟไว้บนโต๊ะขณะที่ยังมีไอร้อนฟุ้งกรุ่น ผายมือให้พร้อมด้วยรอยยิ้มกริ่ม

      บอกตามตรงว่าฉันแอบตกใจเล็กน้อยที่เขาทำอย่างนั้น ฉันนึกกลัวไปถึงว่าเขาจะเผลอทำผ้าขนหนูปลิวหล่นไประหว่างทางซึ่งตามหลักแล้วด้วยความเร็วขนาดนี้ ควรจะเป็นแบบนั้น แต่คาดว่าอีกฝ่ายอาจจะคว้ามามัดคืนไว้ได้ทัน ก่อนที่ฉันจะลงมาเห็น ...แล้วนี่จะตื่นเต้นทำไมกับเรื่องแค่นี้ ในเมื่อฉันก็เคยเห็นมาก่อนแล้ว!?

      “จะให้ฉันไปเฝ้าเป็นเพื่อนเธอที่สำนักงานด้วยก็ได้นะ” แมธลากเก้าอี้ลงนั่งอีกฝั่งโต๊ะ พลางยกแก้วแก้วกาแฟขึ้นจิบ...ก็พยายามคิดว่าเป็นกาแฟล่ะนะ ฉันขอให้แมธทำอย่างนี้เองล่ะ

      “ไม่ต้องหรอก นายก็เพิ่งมีเรื่องกับกัปตันไป จำไม่ได้หรอ...”

      เขาทำเสียงต่ำในคออย่างเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่เฝ้าบ้านอย่างนี้ “เรื่องง่ายๆแค่นั้นฉันจัดการได้อยู่แล้ว หรือจะลบความทรงจำหมอนั่นเกี่ยวเรื่องของเธอ ฉันก็ทำได้ ขอแค่คำอนุญาตเท่านั้น”

      ฉันหันมาขมวดคิ้วจิกตาใส่แมธทันควัน “ไม่! ห้ามเด็ดขาด ห้ามทำอย่างนั้นกับเพื่อนร่วมงานของฉัน เข้าใจไหม?” ถึงแวบแรกฉันจะนึกเห็นด้วย แต่ถ้าเกิดเขาทำอะไรที่ร้ายแรงมากกว่านี้ล่ะ...อย่างน้อยก็ปล่อยให้เรื่องนี้จบลงด้วยตัวของมันเองเถอะ

      สิ้นคำขาด แมธก็ทำได้แต่พยักหน้ารับด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไร “...แต่ถ้าเกิดว่าเธอมีปัญหาขึ้นมา ฉันจะรู้ได้ยังไง?”

      “ฉันจะโทรเข้าโทรศัพท์บ้านเอง โอเคนะ?”

      บางทีฉันควรจะหาอะไรแก้เบื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้เขาสักชิ้นก็ดีเหมือนกัน...

       

      To Be Continue...


      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×