Assassin Maker : Adam's Sword
นี่คือเรื่องราวของดินแดนแห่งหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งที่มีชะตาชีวิตเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของยุคสมัย [ จะมาลงตอนใหม่ให้ทุกวันจันทร์ ราว 18:00 ]
ผู้เข้าชมรวม
577
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทนำ : Prologue
นี่คือเรื่องราวของดินแดนแห่งหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งที่มีชะตาชีวิตเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของยุคสมัย
ชายหนุ่มในชุดสีขาวกำลังฟาดฟันดาบสังหารเหล่าโจรภูเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉียบ การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วปานล่องหนหายตัว ดาบที่ฟาดฟันผสมผสานกับเวทย์สายฟ้า ไม่มีโจรร้ายคนใดสามารถต้านทานรับได้แม้แต่คนเดียว
หัวหน้าโจรภูเขาและรองหัวหน้าทั้งสี่ของค่ายถูกสังหารในเวลาอันสั้น เหล่าลูกสมุนที่เห็นเหตุการณ์แต่ยังรอดชีวิต ต่างไม่อาจทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ตรงหน้านี้ ก่อนหน้านี้เหล่าผู้นำของพวกมันทั้งเก่งกาจทั้งห้าวหาญไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน
กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ตรงหน้านี้ กลับกลายเป็นเหล่าผู้นำของพวกมันตกตายไปคนแล้วคนเล่า ทั้งที่อีกฝ่ายมีเพียงลำพัง ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่ออย่างยิ่ง ไม่อาจทำความเข้าใจได้ ขณะที่ทั้งหมดยังพยายามถาโถมเข้าไปรุมสังหารปลิดชีพศัตรูผู้นี้ให้จงได้
ห้วงเวลาที่แสนบ้าคลั่งยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง การสูญเสียของเหล่าโจรภูเขายังเพิ่มขึ้น จนในที่สุดพวกมันทั้งหลายจึงฉุกคิดได้ว่า ไฉนยังแสวงหาความตายต่อไป หลายคนเริ่มแสดงออกถึงท่าทีที่ลังเลที่จะบุกเข้าไป ความหวาดกลัวขยายวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว และแล้วทั้งหมดพร้อมใจกันแตกฮือ ผู้รอดชีวิตที่เหลือแย่งกันหลบหนีกระจัดกระจายไปทั่วทุกทาง
ณ จุดนี้เหล่าโจรร้ายเชื่อแล้วว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้คือหายนะ หากยังดื้อด้านเผชิญหน้าต่อไป จะมีก็แต่ความตายเท่านั้น
ชายหนุ่มในชุดขาวที่ยังคงเคลื่อนไหวฆ่าฟันผู้คนอยู่นี้ หากไม่ใช่ “เทพนักรบ” ก็ต้องเป็น “แม่ทัพปีศาจ” จะมาเป็นปุถุชนคนธรรมดาอย่างแบบพวกมัน เป็นไปไม่ได้แล้ว
โจรภูเขาล้วนโฉดเขลา ชายหนุ่มชุดขาวนี้ไหนเลยจะเป็น เทพนักรบ หรือ แม่ทัพปีศาจ ไปได้
ในความเป็นจริงชายหนุ่มชุดขาวนี้มีนามว่า “จัสติน วอล์คเกอร์” ชายผู้ได้รับตำแหน่งชนะเลิศจากการประลองระหว่างหกอาณาจักรครั้งสุดท้ายเมื่อหลายปีก่อน และด้วยตำแหน่งดังกล่าว อาจจะเป็นไปได้ว่า เขาคือมนุษย์ที่เก่งที่สุดในโลกก็เป็นได้
เด็กหนุ่มผมสีดำยาวกำลังนั่งรอคอยใครบางคนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่ยอดภูเขาสูง ในมือของเขามีแบนโจเครื่องหนึ่ง (แบนโจ : เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายชนิดหนึ่ง) ขณะที่มือซ้ายของเขากำลังขยับปรับที่ตั้งสาย พร้อมใช้นิ้วโป้งมือขวาขยับดีดสายอยู่หลายต่อหลายครั้ง เพื่อทดสอบเสียง
เสียงสายแบนโจดีดสะท้อนดังติดต่อกันอย่างช้า ๆ ได้ครู่หนึ่ง ก็แปรเปลี่ยนเป็นบทเพลงช้า ๆ เพลงหนึ่ง
เสียงดนตรีคล้ายมีเสน่ห์ดึงดูดเหล่าวิหกตัวเล็กตัวน้อย ให้พากันมาบินวนอยู่รอบ ๆ ต้นไม้ใหญ่ พวกมันคล้ายพากันมาฟังเพลงจากเด็กหนุ่มผมสีดำยาวบนยอดไม้นี้ และเมื่อสัตว์เล็กสัตว์น้อยมารวมตัวกันมากขึ้น ย่อมดึงดูดสัตว์ใหญ่ให้มาสนใจเช่นกัน
อินทรีใหญ่ จ้าวนภา กำลังโบยบินเข้ามาใกล้ในระดับความสูงที่ไม่มีนกน้อยตัวใดเคยไปถึง
เจ้าอินทรีใหญ่ตัวนี้มีขนาดลำตัวไม่ต่างไปจากเสือในป่านัก แต่เสือที่มีปีก ย่อมอันตรายยิ่งกว่าเสือร้ายใด ๆ ทั้งหมด
เสียงเพลงยังคงดำเนินต่อไป ฝูงนกยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที ขณะเดียวกันนั้นพวกมันไม่รับรู้เลยว่า ขณะนี้กำลังมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมองพวกมันลงมาจากนภาสูง
วิธีการล่าของเหล่านก ล้วนเริ่มต้นจากการบินโฉบลงมาจากที่สูง กางกงเล็บเท้าที่แข็งแกร่งให้กว้าง เพื่อตะครุบเหยื่อของมันเอาไว้ อินทรีใหญ่ก็ไม่ต่างกัน
เจ้าอินทรีใหญ่ขนสีน้ำตาลทองมิได้ให้ความสนใจต่อบทเพลงที่แสนไพเราะแม้แต่น้อย มันจดจ้องแต่เหยื่อตัวเล็กตัวน้อยที่กำลังโบยบินของมันเท่านั้น
สายตาของมันกำลังเลือกหาเป้าหมายที่เหมาะสม
ปีกทั้งสองข้างของอินทรีใหญ่ขยับยกสูงขึ้น ร่างก็ถลาดิ่งลงมายังเหนือศีรษะของเจ้านกตัวสีเทา ๆ หนึ่งในฝูงนกที่บินรอบต้นไม้ใหญ่
ในเสี้ยววินาทีที่กงเล็บของมันกำลังจะตะปบถูกเจ้านกตัวสีเทานั้น พลันเกิดความเย็นสุดขั้ววูบขึ้นที่ปลายเล็บของอินทรีใหญ่ จากนั้นมันก็แผ่ขยายต่อไปอย่างรวดเร็ว บังเกิดเกล็ดน้ำแข็งก่อตัวขึ้นที่กงเล็บของอินทรีใหญ่อย่างฉับพลัน จากเกล็ดน้ำแข็งขยายใหญ่ขึ้นเป็นก้อนน้ำแข็งอย่างฉับไว เพียงชั่วกระพริบตาเท้าข้างหนึ่งของเจ้าอินทรีใหญ่ก็ถูกห่อหุ้มด้วยก้อนน้ำแข็งเสียแล้ว
เมื่อเท้าข้างหนึ่งกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง การบินของอินทรีใหญ่ก็เสียสมดุล ร่างของมันหมุนเคว้งกลางอากาศหลายรอบพร้อมการร่วงหล่น แต่พญานกแตกตื่นอยู่ครู่เดียว ก็กระพือปีกอันใหญ่โตคู่นั้นของมันอย่างรวดเร็ว ร่างของมันกลับมาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากว้างอีกครั้ง
เจ้าอินทรีใหญ่คล้ายรับรู้ถึงภัยอันตรายที่ตัวมันไม่อาจเอาชนะได้ ดังนั้นมันเลือกที่จะจากไปในทันที
เด็กหนุ่มผมดำยาวยกมือออกจากสายของแบนโจ ก่อนที่จะยกรวบผมยาวย้อนกลับไปด้านหลัง สายตาของเขามองไปยังอินทรีใหญ่ที่จากไป เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามราวเทพบุตรภายใต้เส้นผมที่ยาวสยายนั้น
สำหรับผู้คนที่เคยพบเห็นเด็กหนุ่มผมดำยาวผู้นี้ ต่างก็อดใจไม่ได้ที่จะนำรูปลักษณ์ของเขานี้ไปเปรียบเทียบกับเหล่าเทพีผู้งดงามต่าง ๆ ในความเชื่อของชาวโดโนเวียร์ หากแต่เขาเป็นบุรุษ มิใช้สตรี ชื่อของเขาคือ “ดีแลน” ชายหนุ่มที่มีความงามเสมอเหมือนเทพเจ้า
ที่ริมหน้าต่างของหอคอยเสียดฟ้าก็อบลินแห่งมหานครริคกี้ เด็กสาวผมสีทองกำลังเหม่อมองดูหงส์ดำคู่หนึ่งโบยบินอยู่บนท้องฟ้าไกล กระแสลมแรงในที่สูงโบกสะบัดเส้นผมของเธอให้ยุ่งเยิงยิ่งกว่าใคร ๆ ถึงกระนั้นความสนใจของเธอทั้งหมดยังคงจดจ่ออยู่ที่หงส์คู่นั้น
เด็กสาวนึกสนุก ทำท่ายื่นมือออกไปนอกหน้าต่าง คล้ายทำเป็นว่าจะคว้าจับหงส์คู่นั้นเอาไว้
ทันใดนั้นประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมการปรากฏตัวขึ้นของหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้ม
เด็กสาวผมสีทองที่ริมหน้าต่างพลันสะดุ้งด้วยอาการตกใจ ร่างที่โน้มออกไปด้านนอกหน้าต่างพลันพลัดร่วงหล่นลงไปในทันที
“โรเซ่........”
หญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มกรีดร้อง พร้อมวิ่งไปยังริมหน้าต่าง
เด็กสาวผมสีทองผู้ถูกเรียกขานว่า “โรเซ่” ที่ขณะนี้กำลังร่วงหล่นลงมาจากหอคอยสูง มีชื่อเต็มว่า “โรซามันต์ ไบรท์” เป็นนักเรียนชั้นปี 2 โรงเรียนอาริอ้อน ที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมที่สุด อีกทั้งมาจากตระกูลไบรท์ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลสำคัญในอาณาจักรโดโนแวนแห่งนี้อีกด้วย
เด็กสาวผู้เพียบพร้อมในทุก ๆ ด้านกำลังจะมาจบชีวิตเสียแล้ว
แม้โรซามันต์จะตื่นตกใจเป็นอย่างมาก แต่ตัวเธอก็ยังสามารถนึกถึงคาถาลอยตัว “เลวิทัน” ที่เคยร่ำเรียนมาได้
เธอกำหนดจิตพร้อมใช้เวทย์อันศักดิ์สิทธิ์ทันที
“เลวิทัน”
เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ในภาษารูนถูกใช้ออกไปแล้ว แต่ร่างของเธอยังคงร่วงหล่นต่อไป
‘ทำไมกัน ทำไม ทำไม..‘
โรซามันต์รำพึงกับตัวเอง ขณะที่ร่างกายของเธออยู่ห่างจากผืนดินไม่มากแล้ว
ทุกอย่างคงต้องพบกับจุดจบลงที่ตรงนี้แล้ว โรซามันต์ตัดสินใจที่จะใช้ส่วนเท้ากระแทกลงสู่พื้นก่อน น่าจะดีกว่าใช้ส่วนของศีรษะ จึงบังคับร่างกายที่อยู่ในท่านอนนี้ ให้เปลี่ยนเป็นท่ายืน และตอนนั้นเอง ค่อยพบว่าร่างกายของเธอไม่ร่วงหล่นอีกต่อไปแล้ว
เวทย์เลวิทันช่วยให้ขาทั้งสองข้างของเธอลอยค้างอยู่กลางอากาศ
เวทย์เลวิทันของโรซามันต์สัมฤทธิ์ผล เธอยิ้มให้แก่ตัวเองที่รอดชีวิต แม้จะมีอาการสั่นเทาอยู่บ้างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในเขตชายแดนพื้นที่ตะวันออก สงครามระหว่างกองทัพของอาณาจักรโดโนแวน และชาวสกาเล็ตยังคงดำเนินอยู่
ขณะนั้นมีเด็กสาวผมแดงกำลังโบกสะบัดธงศึกของอาณาจักรโรมันนอฟบนป้อมปราการของศัตรู ที่เท้าของเธอข้างหนึ่งเหยียบเอาไว้ด้วยธงสัญลักษณ์รูปม้าบินของตระกูลอาริอ้อน
กองทหารของฝ่ายตรงข้ามดาหน้าเข้าหาเธออีกครั้ง เด็กสาวผมแดงเปลี่ยนจากการโบกสะบัดธงศึก มาเป็นการถือจับมันในท่าเตรียมพร้อม
ธงศึกนี้ที่ปลายยอดของมันเป็นโลหะที่ทั้งแหลมและคมเป็นอย่างยิ่ง ตลอดสองคืนสองวันที่ผ่านมา มันเป็นอาวุธที่เด็กสาวผมแดงใช้บุกทะลวงกองทัพฝ่ายศัตรูจนมาถึง ณ จุดนี้
ฝ่ายตรงข้ามเรียกขานเธอว่า “เจ้าหญิงคนเถื่อน” หรือไม่ก็“นางจิ้งจอกแดง” แต่ในหมู่สหายเรียกหาเธอว่า “บริตจิตต์” หรือ “เบิร์ดดี้”
บริตจิตต์ยังคงใช้ธงศึกนี้ปลิดชีพเหล่าทหารของอาณาจักรโดโนแวนคนแล้วคนเล่าอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งนักรบหนุ่มในชุดเกราะสีน้ำเงินที่มีสัญลักษณ์ม้าบินอยู่กลางอกปรากฏตัวขึ้น
บริตจิตต์แทงธงศึกออกจากระยะไกล แต่ครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามใช้โล่ที่เป็นสีเดียวกับชุดเกราะปัดป้องการโจมตีของเธอไปได้
บริตจิตต์ขยับถอยห่างออกมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นวิถีของผู้ใช้อาวุธยาวจำพวกหอก
นักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินชักดาบที่ข้างเอวออกมา แล้วขยับเข้าหาพร้อมฟันดาบออกอย่างรวดเร็ว
บริตจิตต์ขยับหลบ รอดพ้นจากท่าฟันที่จู่โจมเข้ามาแต่แล้วเรื่องที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้น เมื่อธงศึกของอาณาจักรโรมันนอฟเกิดติดไฟขึ้น
หัวคิ้วของบริตจิตต์ขมวดขึ้นอย่างขัดใจ สายตาของเธอมองกลับไปยังนักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินผู้นั้น แล้วคิ้วของเธอก็ยิ่งขมวดใหญ่ขึ้น เมื่อพบเห็นว่าดาบในมือของฝ่ายตรงข้ามนั้นมีเปลวไฟสีฟ้าล้อมรอบอยู่
บริตจิตต์ปล่อยให้ธงศึกของเธอลุกไหม้ สายตายังคงจดจ้องไปที่ดาบเล่มนั้นอย่างไม่วางตา
นักรบชุดเกราะสีน้ำเงินพุ่งตัวเข้าหา ขณะที่เข้าไปในระยะโจมตีของศัตรู ก็พลันสะบัดหมุนตัวเพื่อเปลี่ยนทิศทาง พร้อมฟันดาบออก เกิดเป็นท่าจู่โจมที่ใช้ประโยชน์จากการเหยียดแขนให้ยืดยาวขึ้น
วงดาบไฟกวาดฟันเข้ามาในระดับลำคอของบริตจิตต์พอดิบพอดี
บริตจิตต์โน้มตัวไปด้านหลังเพื่อหลบท่ากวาดฟันดังกล่าว
รัศมีการโจมตีของดาบไฟขยายกว้างกว่าดาบทั่วไปมากทีเดียว แต่เด็กสาวผมสีแดงยังรอดพ้นจากการโจมตีครั้งนี้ไปได้อีกครั้ง สำหรับตัวเธอแล้ว เปลวไฟสีฟ้านั่นยังอันตรายยิ่งกว่าคมดาบมากมายนัก
นักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินเมื่อลงมือพลาดเป้า ก็เบี่ยงตัวไปทางขวาเตรียมใช้โล่ทางด้านซ้ายรับการจู่โจมจากธงศึกที่น่าจะจู่โจมเข้ามา แต่เขาคาดหมายผิดพลาด
บริตจิตต์เลือกทำในสิ่งที่ประหลาดกว่านั้นมาก เธอปล่อยมือออกจากธงศึกที่เป็นอาวุธประจำตัว จากนั้นก็หมุนตัวเตาะใส่โล่ของฝ่ายตรงข้ามด้วยกำลังแรง
นักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินถูกแรงกระแทกจนเอียงไปด้านข้าง ถึงกระนั้นเขายังสามารถง้างแขนฟันดาบไฟใส่ช่วงไหล่ของเด็กสาวผมแดงได้อีกครั้ง
บริตจิตต์ที่ตอนนี้ในมือปราศจากอาวุธ เธอไม่สามารถปัดป้องด้วยการปะทะได้อีกต่อไป เธอต้องใช้ความปราดเปรียวหลบการจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
บริตจิตต์โน้มศีรษะลงหลบรอดจากดาบไฟเล่มนั้นไปได้อีกครั้งอย่างฉิวเฉียด จากนั้นเธอเคลื่อนไหวเข้าไปในมุมอับของโล่ เพื่อหาโอกาสเข้ามาในระยะที่ประชิดยิ่งขึ้น
นักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินเองก็ผ่านประสพการณ์ต่อสู้มาอย่างโฉกโฉน เขาประเมินการเคลื่อนไหวนี้ของนางจิ้งจอกแดงได้ คาดว่านางจะอ้อมเข้ามาโจมตีทางด้านหลังของเขา ดังนั้นเขาเลือกที่จะแทงดาบรอดใต้แขนซ้าย พร้อมยกโล่ให้สูงขึ้น
เขาคาดเดาได้ถูกต้อง นางจิ้งจอกแดงปรากฏตัวที่ปลายดาบไฟของเขาที่กำลังเสียบแทงออก
บริตจิตต์พับตัวนอนลงราวกับร่างกายไร้ซึ่งกระดูก เธอใช้มือทั้งสองข้างคว้าจับมือข้างที่ดาบไฟเล่มนั้นเอาไว้ ก่อนที่จะบิดมัน พร้อมใช้เท้าทั้งสองข้างก็ถีบยันนักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินไปอีกด้าน
นักรบชุดเกราะสีน้ำเงินกระดอนล้มหงายไปด้านหลังทันที ดาบไฟในมือหลุดลอยไปอีกทิศทางหนึ่ง เขานึกในใจว่าอย่างน้อยดาบวิเศษของเขาก็มิได้ตกไปอยู่ในมือของศัตรู เขาลุกขึ้นอย่างว่องไว ใช้โล่ในมือซ้ายบังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเอาไว้เป็นการป้องกันตัว ก่อนที่จะใช้มันพุ่งเข้าชนศัตรูร้ายที่ตรงหน้าอีกด้วย
บริตจิตต์ใช้ทั้งสองมือต้านทานการพุ่งเข้ามาครั้งนี้เอาไว้ จนเกิดเป็นสถานการณ์ประลองกำลังระหว่างทั้งสองคนขึ้น
“ดาบนั่นคือดาบไฟของเฮสเทียส ดาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวเรา เจ้าไม่คู่ควรกับมัน”
บริตจิตต์ส่งเสียงมาจากอีกด้านหนึ่งของโล่
“อาณาจักรโรมันนอฟไม่มีอีกต่อไปแล้ว พวกเจ้ามันเป็นแค่คนเถื่อนเท่านั้น”
นักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินกล่าวจบ ก็พยายามรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีผลักดันให้อีกฝ่ายล้มหงายไป ถึงอย่างไรศัตรูที่ตรงหน้านี้ก็เป็นสตรีเพศ ไหนเลยจะมีพละกำลังเหนือกว่าตนที่เป็นบุรุษได้
“ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่า ไฟแห่งอาณาจักรโรมันนอฟนั้นร้อนแรงเพียงใด”
ทันใดนั้นเกิดเปลวไฟสีแดงฉานลุกขึ้นที่ตัวโล่ ก่อนที่มันจะลามต่อไปถึงร่างกายของนักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินอย่างรวดเร็ว เขาสลัดทิ้งโล่แล้วลงไปกลิ้งตัวไปกับพื้น ด้วยความหวังที่จะดับไฟเหล่านี้ แต่ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะสายเกินไป ร่างกายผิวหนังส่วนที่ปราศจากชุดเกราะถูกไฟคลอกเสียแล้ว ตัวเขาดิ้นรนอย่างทรมานได้ครู่หนึ่ง ก็จบชีวิตลงในกองไฟในที่สุด
ชัยชนะเป็นของชาวสกาเล็ต เหล่าผู้สืบทอดอาณาจักรโรมันนอฟ เหนือป้อมปราการตระกูลอาริอ้อนแห่งอาณาจักรโดโนแวน
นักรบหนุ่มผมสีแดงผู้หนึ่งวิ่งนำดาบไฟแห่งเฮสเทียสมามอบให้แก่บริตจิตต์
เด็กสาวผมสีแดงผงกศีรษะตอบรับและรับดาบไฟในตำนานของชาวสกาเล็ตเอาไว้อย่างไม่ขัดเขิน
บริตจิตต์ชักดาบไฟเฮสเทียสออกจากฝัก เธอจ้องมองเปลวไฟสีน้ำเงินเหล่านั้นด้วยสายตาที่พึ่งพอใจ แสงสว่างของเปลวไฟสีน้ำเงินนั้นสะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลดำของเธอ
ว่ากันว่านางจิ้งจอกไฟมิได้มีเส้นผมสีแดงเพลิงเท่านั้น แต่ยังมีนัยน์ตาเป็นสีแดงเพลิงอีกด้วย ข่าวลือนั้นไม่ได้เป็นความจริง เพราะในหมู่ชาวสกาเล็ตต่างทราบกันดีว่า มีแต่ผู้ที่สืบสายเลือดกษัตริย์เท่านั้น ถึงจะมีดวงตาสีแดงเพลิง
ที่ห้องประชุมขนาดเล็ก ภายในกองบัญชาการตระกูลฟินิกส์ประจำเขตพื้นที่ภาคตะวันออก
“อะไรนะ!!! จะให้ไปแต่เสบียงอาหาร ไม่ส่งกำลังเสริมให้แก่ทางเรามาด้วย งั้นรึ??”
นายทหารเครื่องแบบสีฟ้าที่กลางหน้าอกมีสัญลักษณ์รูปม้าบินพูดเสียงดังด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ท่านนายพลของเรา ขอให้ทางกองทัพอาริอ้อนตั้งรับอยู่ในป้อมปราการไปอีกระยะเวลาหนึ่ง ขอให้ทางเราเตรียมกำลังคนให้พร้อม อีกสามวันจะนำทัพใหญ่ไปโอบตีกบฏคนเถื่อน ให้พวกมันเผชิญการโจมตีทั้งหน้าหลัง ชัยชนะจะต้องตกเป็นของอาณาจักรโดโนแวนอย่างแน่นอน”
ชายร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบสีดำที่ด้านซ้ายบริเวณหน้าอกมีสัญลักษณ์รูปนกฟินิกส์สีแดงตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“นี่นายเป็นนายกองระดับสองสินะ นายมีชื่อว่าอะไร??”
นายทหารจากกองทัพตระกูลอาริอ้อนมองมาที่เหรียญตราสีเงินสองเหรียญที่กลัดเอาไว้บริเวณแขนเสื้อด้านขวาของเครื่องแบบของชายร่างสูงใหญ่ที่เป็นคู่สนทนา ส่วนตัวเขาเองมีเหรียญทองจำนวนหนึ่งเหรียญกลัดเอาไว้ที่แขนขวาบนเครื่องแบบสีฟ้า
“กระผม แกร์เร็ต เกลย์ นายกองระดับสอง รองหัวหน้ากองสวัสดิการแห่งกองกำลังตระกูลฟินิกส์ครับ”
ชายร่างสูงใหญ่แนะนำชื่อ, ยศประจำตัว และตำแหน่งของตัวเองออกไป พร้อมกำมือขวามาวางตรงที่บริเวณหน้าอกด้านซ้าย เป็นการแสดงออกถึงการเคารพในรูปแบบของกองทัพอาณาจักรโดโนแวน
“บัดซบ ขนาดหัวหน้ากองของพวกแกยังไม่ยอมมาพบฉันเลยรึ”
นายทหารระดับหัวหน้ากองของกองทัพตระกูลอาริอ้อนถึงตรงนี้ไม่เพียงกล่าววาจาที่กราดเกรียว แต่กับใช้มือขวาตบเข้าไปที่ใบหน้าของแกร์เร็ตเสียแล้ว
“เพี้ยะ!!”
เสียงตบหน้าดังขึ้น พร้อมกับมีวัตถุบางอย่างหลุดกระเด็นออกจากใบหน้าของแกร์เร็ต
แกร์เร็ตยกมือซ้ายขึ้นมาปิดใบหน้าที่บริเวณตาซ้ายที่โดนตบทันที
“แกต้องยืนตรงรับฟังคำสั่งสิ จะเอามือมาปิดหน้าแบบนี้ จะเป็นทหารกล้าได้อย่างไร”
ระบบโครงสร้างของกองทัพของอาณาจักรโดโนแวนเป็นเช่นนี้ ทหารชั้นผู้น้อยมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของทหารที่มียศสูงกว่า ห้ามปฏิเสธหรือโต้แย้ง
หากแต่แกร์เร็ตยังคงไม่ยอมเอามือที่ป้องดวงตาข้างซ้ายเอาไว้ออก และสิ่งนั้นย่อมหมายถึงการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทหารผู้มีชั้นยศที่สูงกว่านั่นเอง
“แกไม่ได้ยินคำสั่งของฉันเหรอ บอกให้แกเอามือลงมา อย่าปิดหน้าเอาไว้”
นายทหารในเครื่องแบบสีฟ้าคล้ายมีอาการคลุ้มคลั่งแล้วในตอนนี้ เขาตั้งใจที่ตบหน้าแกร์เร็ตอีกหลายครั้ง แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามขัดขืนไม่ฟังคำสั่ง เขาเลือกที่จะขยับมือขวาลงไปจับด้ามดาบที่ข้างเอวเตรียมพร้อมที่จะชักมันออกมา
แกร์เร็ตยังคงเอามือปิดที่หน้าเอาไว้ และหันหลังเพื่อเดินจากไป ตัวเขารับหน้าที่นำคำสั่งที่ได้รับจากผู้บังคับบัญชาตระกูลฟินิกส์มาแจ้งต่อนายทหารของกองทัพตระกูลอาริอ้อนเท่านั้น ถึงตอนนี้เขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งทั้งหมดแล้ว
นายทหารในเครื่องแบบสีฟ้าได้ชักดาบออกมา และแทงมันใส่ด้านหลังของแกร์เร็ต
ดาบนั่นยังมิทันได้สร้างบาดแผลใด มืออันใหญ่โตของแกร์เร็ตก็คว้ามือของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ได้
แกร์เร็ตใช้มือซ้ายคว้ามือของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้เช่นนี้ เท่ากับว่าเขาไม่ได้ใช้มือซ้ายปิดป้องใบหน้าอีกต่อไป
“นี่แกกล้า... เฮ้ย!!! ดวงตาของแก ดวงตา...สีแดง”
นายทหารในเครื่องแบบสีฟ้าแสดงสีหน้าตื่นตกใจที่พบว่าชายร่างใหญ่ผู้นี้มีดวงตาข้างซ้ายเป็นสีแดง ซึ่งทำให้นึกถึงชาวสกาเล็ตที่เป็นศัตรูสำคัญที่พรรคพวกของตนกำลังเผชิญหน้าอยู่
“ไอ้บ้าเอ๊ย!!! แกดันได้มาเห็นในสิ่งไม่ควรได้เห็นเสียแล้ว”
แกร์เร็ตสบถคำด่าออกไป เท่ากับว่าไม่ยึดถือกฎระเบียบอะไรของกองทัพอีกแล้ว
“ดวงตาของแก... สีแดง..”
นายทหารในเครื่องแบบสีฟ้ายังคงกล่าววาจาวนเวียนเกี่ยวกับดวงตาสีแดงนี้ของแกร์เร็ต
แกร์เร็ตสูดลมหายใจลึก ๆ คราหนึ่ง ก่อนที่จะออกแรงบีบมือที่ถือดาบเล่มนั้น พร้อมเสียงกระดูกแตกดังขึ้นทันที
ใบหน้าของนายทหารในเครื่องแบบสีฟ้าบูดเบี้ยวเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่มือของเขายังไม่ยอมปล่อยออกไปด้ามดาบ จะมากจะน้อยตัวเขาก็เป็นทหารฝีมือดีคนหนึ่ง มีความสามารถถึงขนาดลักลอบฝ่ากองทัพของชาวสกาเล็ตเพื่อมาขอกำลังเสริมในที่นี้ได้เพียงลำพัง
นายทหารในเครื่องแบบสีฟ้าทนอาการเจ็บปวดที่มือขวา กัดฟันเหวี่ยงหมัดซ้ายเข้าใส่ใบหน้าของแกร์เร็ตด้วยความหวังที่จะพลิกสถานการณ์ที่เป็นรอง
แกร์เร็ตปล่อยให้หมัดนั้นกระทบถูกส่วนคางของเขาอย่างไม่ใส่ใจ เพราะสำหรับเขาแล้วหมัดแบบนั้น มันช่างไร้ค่าสิ้นดี
ถึงคราวที่แกร์เร็ตจะตอบโต้กลับบ้างแล้ว เขาใช้สันมือขวาฟันใส่ลำคอของฝ่ายตรงข้ามจากด้านนอก แล้วกระดูกคอของฝ่ายตรงข้ามก็หักไป มันง่ายดายแค่นั้น สำหรับเขาในการสังหารคนผู้หนึ่ง
หากดินแดนแห่งนี้จะยกย่องให้ จัสติน วอล์คเกอร์ เป็นมนุษย์ที่เก่งกาจที่สุด อาจเป็นเพราะไม่รู้ว่า ยังมี แกร์เร็ต เกลย์ อีกผู้หนึ่ง
ไม่มีสิ่งใดที่ จัสติน วอล์คเกอร์ ทำได้ แล้ว แกร์เร็ต เกลย์ ทำไม่ได้ พวกเขาทั้งสองเติบโตและฝึกฝนวิชานานาชนิดมาด้วยกัน
แกร์เร็ตปล่อยมือออกจากแขนของนายทหารเสื้อฟ้านั่น ร่างกายที่ไร้วิญญาณนั้นยวบลงไปกองกับพื้นในทันที
เขาขยับตัวไปมองหาวัตถุที่พื้นครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้มลงไปหยิบวัตถุชิ้นบาง ๆ ชิ้นหนึ่งขึ้นมา จากนั้นเอามันมามองดูใกล้ ๆ อย่างละเอียด ก่อนที่จะบ่นออกมาว่า
“บ้าเอ๊ย!!! พังเสียแล้ว”
แกร์เร็ตมีท่าทีหัวเสีย เขาหมุนตัวครึ่งรอบพร้อมเตะเท้าซ้ายใส่ซากศพที่นอนกองอยู่ที่พื้นเข้าที่หนึ่ง แรงเตาะส่งร่างนั้นลอยขึ้นไปกระแทกเข้ากับกำแพงห้องทันที
“ปัง”
เสียงวัตถุขนาดใหญ่กระแทกเข้ากับกำแพงห้องเสียงดังสนั่น
แกร์เร็ตใช้มือขวาฉีกแขนเสื้อด้านซ้ายออก จากนั้นนำมันมาผูกรอบศีรษะอย่างลวก ๆ แขนเสื้อข้างนั้นได้กลายเป็นผ้าปิดตาซ้ายชั่วคราว ก่อนที่จะเดินออกจากห้องประชุมนี้ไปด้วยท่าทีหัวเสีย
ในคุกใต้ดินชั้นลึกสุดภายในหอคอยเสียดฟ้าก็อบลิน สถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ความรุ่งเรืองของตระกูลฟินิกส์ ปรากฏเด็กหนุ่มผมดำคนหนึ่งนอนหลับใหลในวงแหวนเวทย์
วงแหวนเวทย์เรืองแสงเป็นสีเขียวอ่อน ภายในวงแหวนเต็มไปด้วยอักขระโบราณ ที่เรียกขานกันว่า “อักษรรูน” โดยผู้คนเชื่อกันว่าอักษรรูนนี้ เป็นภาษาที่ชาวเอลฟ์ผู้วิเศษใช้มาแต่โบราณกาล พลังเวทย์มนตร์และคาถาอันลี้ลับมากมายถูกจดบันทึกเอาไว้ด้วยอักขระเหล่านี้
มีมนุษย์จำนวนไม่มากที่สามารถเข้าใจและใช้ภาษารูนได้ เอาเข้าจริงแล้ว มันเป็นเหมือนสิ่งที่ใช้สร้างความแตกต่างระหว่างคนทั่วไปและเหล่ายอดคนในยุคสมัยเลยทีเดียว
ไม่มีใครรู้ว่าเด็กหนุ่มผมดำผู้นี้หลับใหลมายาวนานเท่าใด พวกเขาต่างหลงลืมความคงอยู่ของเด็กหนุ่มผู้นี้ไปเสียนานแล้ว แม้แต่ตระกูลฟินิกส์ที่ก่อกำเนิดจอมเวทย์มากมายในอดีต บัดนี้ก็กลายเป็นตระกูลที่ครอบครองกำลังทหารมากที่สุดในอาณาจักรโดโนแวนเสียแล้ว
โลกแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก ขณะที่ในความฝันของเด็กหนุ่มผู้นี้ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวความรุ่งเรืองของสิบสองอาณาจักร
ผลงานอื่นๆ ของ Spanless Spear ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Spanless Spear
ความคิดเห็น