Assassin Maker : Adam's Sword - นิยาย Assassin Maker : Adam's Sword : Dek-D.com - Writer
×

    Assassin Maker : Adam's Sword

    นี่คือเรื่องราวของดินแดนแห่งหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งที่มีชะตาชีวิตเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของยุคสมัย [ จะมาลงตอนใหม่ให้ทุกวันจันทร์ ราว 18:00 ]

    ผู้เข้าชมรวม

    577

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    577

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  11 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  31 ต.ค. 65 / 13:53 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    บทนำ : Prologue

    นี่คือเรื่องราวของดินแดนแห่งหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งที่มีชะตาชีวิตเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของยุคสมัย

     

    ชายหนุ่มในชุดสีขาวกำลังฟาดฟันดาบสังหารเหล่าโจรภูเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉียบ การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วปานล่องหนหายตัว ดาบที่ฟาดฟันผสมผสานกับเวทย์สายฟ้า ไม่มีโจรร้ายคนใดสามารถต้านทานรับได้แม้แต่คนเดียว 

    หัวหน้าโจรภูเขาและรองหัวหน้าทั้งสี่ของค่ายถูกสังหารในเวลาอันสั้น เหล่าลูกสมุนที่เห็นเหตุการณ์แต่ยังรอดชีวิต ต่างไม่อาจทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ตรงหน้านี้ ก่อนหน้านี้เหล่าผู้นำของพวกมันทั้งเก่งกาจทั้งห้าวหาญไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน

    กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ตรงหน้านี้ กลับกลายเป็นเหล่าผู้นำของพวกมันตกตายไปคนแล้วคนเล่า ทั้งที่อีกฝ่ายมีเพียงลำพัง ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่ออย่างยิ่ง ไม่อาจทำความเข้าใจได้ ขณะที่ทั้งหมดยังพยายามถาโถมเข้าไปรุมสังหารปลิดชีพศัตรูผู้นี้ให้จงได้

    ห้วงเวลาที่แสนบ้าคลั่งยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง การสูญเสียของเหล่าโจรภูเขายังเพิ่มขึ้น จนในที่สุดพวกมันทั้งหลายจึงฉุกคิดได้ว่า ไฉนยังแสวงหาความตายต่อไป หลายคนเริ่มแสดงออกถึงท่าทีที่ลังเลที่จะบุกเข้าไป ความหวาดกลัวขยายวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว และแล้วทั้งหมดพร้อมใจกันแตกฮือ ผู้รอดชีวิตที่เหลือแย่งกันหลบหนีกระจัดกระจายไปทั่วทุกทาง

    ณ จุดนี้เหล่าโจรร้ายเชื่อแล้วว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้คือหายนะ หากยังดื้อด้านเผชิญหน้าต่อไป จะมีก็แต่ความตายเท่านั้น

    ชายหนุ่มในชุดขาวที่ยังคงเคลื่อนไหวฆ่าฟันผู้คนอยู่นี้ หากไม่ใช่ “เทพนักรบ” ก็ต้องเป็น “แม่ทัพปีศาจ” จะมาเป็นปุถุชนคนธรรมดาอย่างแบบพวกมัน เป็นไปไม่ได้แล้ว

    โจรภูเขาล้วนโฉดเขลา ชายหนุ่มชุดขาวนี้ไหนเลยจะเป็น เทพนักรบ หรือ แม่ทัพปีศาจ ไปได้ 

    ในความเป็นจริงชายหนุ่มชุดขาวนี้มีนามว่า “จัสติน วอล์คเกอร์” ชายผู้ได้รับตำแหน่งชนะเลิศจากการประลองระหว่างหกอาณาจักรครั้งสุดท้ายเมื่อหลายปีก่อน และด้วยตำแหน่งดังกล่าว อาจจะเป็นไปได้ว่า เขาคือมนุษย์ที่เก่งที่สุดในโลกก็เป็นได้

     

     

    เด็กหนุ่มผมสีดำยาวกำลังนั่งรอคอยใครบางคนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่ยอดภูเขาสูง ในมือของเขามีแบนโจเครื่องหนึ่ง (แบนโจ : เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายชนิดหนึ่ง) ขณะที่มือซ้ายของเขากำลังขยับปรับที่ตั้งสาย พร้อมใช้นิ้วโป้งมือขวาขยับดีดสายอยู่หลายต่อหลายครั้ง เพื่อทดสอบเสียง 

    เสียงสายแบนโจดีดสะท้อนดังติดต่อกันอย่างช้า ๆ ได้ครู่หนึ่ง ก็แปรเปลี่ยนเป็นบทเพลงช้า ๆ เพลงหนึ่ง 

    เสียงดนตรีคล้ายมีเสน่ห์ดึงดูดเหล่าวิหกตัวเล็กตัวน้อย ให้พากันมาบินวนอยู่รอบ ๆ ต้นไม้ใหญ่ พวกมันคล้ายพากันมาฟังเพลงจากเด็กหนุ่มผมสีดำยาวบนยอดไม้นี้ และเมื่อสัตว์เล็กสัตว์น้อยมารวมตัวกันมากขึ้น ย่อมดึงดูดสัตว์ใหญ่ให้มาสนใจเช่นกัน 

    อินทรีใหญ่ จ้าวนภา กำลังโบยบินเข้ามาใกล้ในระดับความสูงที่ไม่มีนกน้อยตัวใดเคยไปถึง

    เจ้าอินทรีใหญ่ตัวนี้มีขนาดลำตัวไม่ต่างไปจากเสือในป่านัก แต่เสือที่มีปีก ย่อมอันตรายยิ่งกว่าเสือร้ายใด ๆ ทั้งหมด

    เสียงเพลงยังคงดำเนินต่อไป ฝูงนกยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที ขณะเดียวกันนั้นพวกมันไม่รับรู้เลยว่า ขณะนี้กำลังมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมองพวกมันลงมาจากนภาสูง

    วิธีการล่าของเหล่านก ล้วนเริ่มต้นจากการบินโฉบลงมาจากที่สูง กางกงเล็บเท้าที่แข็งแกร่งให้กว้าง เพื่อตะครุบเหยื่อของมันเอาไว้ อินทรีใหญ่ก็ไม่ต่างกัน 

    เจ้าอินทรีใหญ่ขนสีน้ำตาลทองมิได้ให้ความสนใจต่อบทเพลงที่แสนไพเราะแม้แต่น้อย มันจดจ้องแต่เหยื่อตัวเล็กตัวน้อยที่กำลังโบยบินของมันเท่านั้น

    สายตาของมันกำลังเลือกหาเป้าหมายที่เหมาะสม

    ปีกทั้งสองข้างของอินทรีใหญ่ขยับยกสูงขึ้น ร่างก็ถลาดิ่งลงมายังเหนือศีรษะของเจ้านกตัวสีเทา ๆ หนึ่งในฝูงนกที่บินรอบต้นไม้ใหญ่

    ในเสี้ยววินาทีที่กงเล็บของมันกำลังจะตะปบถูกเจ้านกตัวสีเทานั้น พลันเกิดความเย็นสุดขั้ววูบขึ้นที่ปลายเล็บของอินทรีใหญ่ จากนั้นมันก็แผ่ขยายต่อไปอย่างรวดเร็ว บังเกิดเกล็ดน้ำแข็งก่อตัวขึ้นที่กงเล็บของอินทรีใหญ่อย่างฉับพลัน จากเกล็ดน้ำแข็งขยายใหญ่ขึ้นเป็นก้อนน้ำแข็งอย่างฉับไว เพียงชั่วกระพริบตาเท้าข้างหนึ่งของเจ้าอินทรีใหญ่ก็ถูกห่อหุ้มด้วยก้อนน้ำแข็งเสียแล้ว

    เมื่อเท้าข้างหนึ่งกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง การบินของอินทรีใหญ่ก็เสียสมดุล ร่างของมันหมุนเคว้งกลางอากาศหลายรอบพร้อมการร่วงหล่น แต่พญานกแตกตื่นอยู่ครู่เดียว ก็กระพือปีกอันใหญ่โตคู่นั้นของมันอย่างรวดเร็ว ร่างของมันกลับมาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากว้างอีกครั้ง

    เจ้าอินทรีใหญ่คล้ายรับรู้ถึงภัยอันตรายที่ตัวมันไม่อาจเอาชนะได้ ดังนั้นมันเลือกที่จะจากไปในทันที 

    เด็กหนุ่มผมดำยาวยกมือออกจากสายของแบนโจ ก่อนที่จะยกรวบผมยาวย้อนกลับไปด้านหลัง สายตาของเขามองไปยังอินทรีใหญ่ที่จากไป เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามราวเทพบุตรภายใต้เส้นผมที่ยาวสยายนั้น

    สำหรับผู้คนที่เคยพบเห็นเด็กหนุ่มผมดำยาวผู้นี้ ต่างก็อดใจไม่ได้ที่จะนำรูปลักษณ์ของเขานี้ไปเปรียบเทียบกับเหล่าเทพีผู้งดงามต่าง ๆ ในความเชื่อของชาวโดโนเวียร์ หากแต่เขาเป็นบุรุษ มิใช้สตรี ชื่อของเขาคือ “ดีแลน” ชายหนุ่มที่มีความงามเสมอเหมือนเทพเจ้า 

     

     

    ที่ริมหน้าต่างของหอคอยเสียดฟ้าก็อบลินแห่งมหานครริคกี้ เด็กสาวผมสีทองกำลังเหม่อมองดูหงส์ดำคู่หนึ่งโบยบินอยู่บนท้องฟ้าไกล กระแสลมแรงในที่สูงโบกสะบัดเส้นผมของเธอให้ยุ่งเยิงยิ่งกว่าใคร ๆ ถึงกระนั้นความสนใจของเธอทั้งหมดยังคงจดจ่ออยู่ที่หงส์คู่นั้น

    เด็กสาวนึกสนุก ทำท่ายื่นมือออกไปนอกหน้าต่าง คล้ายทำเป็นว่าจะคว้าจับหงส์คู่นั้นเอาไว้

    ทันใดนั้นประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมการปรากฏตัวขึ้นของหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้ม

    เด็กสาวผมสีทองที่ริมหน้าต่างพลันสะดุ้งด้วยอาการตกใจ ร่างที่โน้มออกไปด้านนอกหน้าต่างพลันพลัดร่วงหล่นลงไปในทันที

    “โรเซ่........”

    หญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มกรีดร้อง พร้อมวิ่งไปยังริมหน้าต่าง 

    เด็กสาวผมสีทองผู้ถูกเรียกขานว่า “โรเซ่” ที่ขณะนี้กำลังร่วงหล่นลงมาจากหอคอยสูง มีชื่อเต็มว่า “โรซามันต์ ไบรท์” เป็นนักเรียนชั้นปี 2 โรงเรียนอาริอ้อน ที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมที่สุด อีกทั้งมาจากตระกูลไบรท์ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลสำคัญในอาณาจักรโดโนแวนแห่งนี้อีกด้วย

    เด็กสาวผู้เพียบพร้อมในทุก ๆ ด้านกำลังจะมาจบชีวิตเสียแล้ว

    แม้โรซามันต์จะตื่นตกใจเป็นอย่างมาก แต่ตัวเธอก็ยังสามารถนึกถึงคาถาลอยตัว “เลวิทัน” ที่เคยร่ำเรียนมาได้

    เธอกำหนดจิตพร้อมใช้เวทย์อันศักดิ์สิทธิ์ทันที

    “เลวิทัน”

    เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ในภาษารูนถูกใช้ออกไปแล้ว แต่ร่างของเธอยังคงร่วงหล่นต่อไป 

    ‘ทำไมกัน ทำไม ทำไม..‘

    โรซามันต์รำพึงกับตัวเอง ขณะที่ร่างกายของเธออยู่ห่างจากผืนดินไม่มากแล้ว

    ทุกอย่างคงต้องพบกับจุดจบลงที่ตรงนี้แล้ว โรซามันต์ตัดสินใจที่จะใช้ส่วนเท้ากระแทกลงสู่พื้นก่อน น่าจะดีกว่าใช้ส่วนของศีรษะ จึงบังคับร่างกายที่อยู่ในท่านอนนี้ ให้เปลี่ยนเป็นท่ายืน และตอนนั้นเอง ค่อยพบว่าร่างกายของเธอไม่ร่วงหล่นอีกต่อไปแล้ว

    เวทย์เลวิทันช่วยให้ขาทั้งสองข้างของเธอลอยค้างอยู่กลางอากาศ

    เวทย์เลวิทันของโรซามันต์สัมฤทธิ์ผล เธอยิ้มให้แก่ตัวเองที่รอดชีวิต แม้จะมีอาการสั่นเทาอยู่บ้างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

     

     

    ในเขตชายแดนพื้นที่ตะวันออก สงครามระหว่างกองทัพของอาณาจักรโดโนแวน และชาวสกาเล็ตยังคงดำเนินอยู่

    ขณะนั้นมีเด็กสาวผมแดงกำลังโบกสะบัดธงศึกของอาณาจักรโรมันนอฟบนป้อมปราการของศัตรู ที่เท้าของเธอข้างหนึ่งเหยียบเอาไว้ด้วยธงสัญลักษณ์รูปม้าบินของตระกูลอาริอ้อน

    กองทหารของฝ่ายตรงข้ามดาหน้าเข้าหาเธออีกครั้ง เด็กสาวผมแดงเปลี่ยนจากการโบกสะบัดธงศึก มาเป็นการถือจับมันในท่าเตรียมพร้อม 

    ธงศึกนี้ที่ปลายยอดของมันเป็นโลหะที่ทั้งแหลมและคมเป็นอย่างยิ่ง ตลอดสองคืนสองวันที่ผ่านมา มันเป็นอาวุธที่เด็กสาวผมแดงใช้บุกทะลวงกองทัพฝ่ายศัตรูจนมาถึง ณ จุดนี้

    ฝ่ายตรงข้ามเรียกขานเธอว่า “เจ้าหญิงคนเถื่อน” หรือไม่ก็“นางจิ้งจอกแดง”  แต่ในหมู่สหายเรียกหาเธอว่า “บริตจิตต์” หรือ “เบิร์ดดี้”

    บริตจิตต์ยังคงใช้ธงศึกนี้ปลิดชีพเหล่าทหารของอาณาจักรโดโนแวนคนแล้วคนเล่าอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งนักรบหนุ่มในชุดเกราะสีน้ำเงินที่มีสัญลักษณ์ม้าบินอยู่กลางอกปรากฏตัวขึ้น

    บริตจิตต์แทงธงศึกออกจากระยะไกล แต่ครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามใช้โล่ที่เป็นสีเดียวกับชุดเกราะปัดป้องการโจมตีของเธอไปได้

    บริตจิตต์ขยับถอยห่างออกมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นวิถีของผู้ใช้อาวุธยาวจำพวกหอก

    นักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินชักดาบที่ข้างเอวออกมา แล้วขยับเข้าหาพร้อมฟันดาบออกอย่างรวดเร็ว 

    บริตจิตต์ขยับหลบ รอดพ้นจากท่าฟันที่จู่โจมเข้ามาแต่แล้วเรื่องที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้น เมื่อธงศึกของอาณาจักรโรมันนอฟเกิดติดไฟขึ้น

    หัวคิ้วของบริตจิตต์ขมวดขึ้นอย่างขัดใจ สายตาของเธอมองกลับไปยังนักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินผู้นั้น แล้วคิ้วของเธอก็ยิ่งขมวดใหญ่ขึ้น เมื่อพบเห็นว่าดาบในมือของฝ่ายตรงข้ามนั้นมีเปลวไฟสีฟ้าล้อมรอบอยู่

    บริตจิตต์ปล่อยให้ธงศึกของเธอลุกไหม้ สายตายังคงจดจ้องไปที่ดาบเล่มนั้นอย่างไม่วางตา

    นักรบชุดเกราะสีน้ำเงินพุ่งตัวเข้าหา ขณะที่เข้าไปในระยะโจมตีของศัตรู ก็พลันสะบัดหมุนตัวเพื่อเปลี่ยนทิศทาง พร้อมฟันดาบออก เกิดเป็นท่าจู่โจมที่ใช้ประโยชน์จากการเหยียดแขนให้ยืดยาวขึ้น 

    วงดาบไฟกวาดฟันเข้ามาในระดับลำคอของบริตจิตต์พอดิบพอดี

    บริตจิตต์โน้มตัวไปด้านหลังเพื่อหลบท่ากวาดฟันดังกล่าว

    รัศมีการโจมตีของดาบไฟขยายกว้างกว่าดาบทั่วไปมากทีเดียว แต่เด็กสาวผมสีแดงยังรอดพ้นจากการโจมตีครั้งนี้ไปได้อีกครั้ง สำหรับตัวเธอแล้ว เปลวไฟสีฟ้านั่นยังอันตรายยิ่งกว่าคมดาบมากมายนัก

    นักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินเมื่อลงมือพลาดเป้า ก็เบี่ยงตัวไปทางขวาเตรียมใช้โล่ทางด้านซ้ายรับการจู่โจมจากธงศึกที่น่าจะจู่โจมเข้ามา แต่เขาคาดหมายผิดพลาด

    บริตจิตต์เลือกทำในสิ่งที่ประหลาดกว่านั้นมาก เธอปล่อยมือออกจากธงศึกที่เป็นอาวุธประจำตัว จากนั้นก็หมุนตัวเตาะใส่โล่ของฝ่ายตรงข้ามด้วยกำลังแรง

    นักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินถูกแรงกระแทกจนเอียงไปด้านข้าง ถึงกระนั้นเขายังสามารถง้างแขนฟันดาบไฟใส่ช่วงไหล่ของเด็กสาวผมแดงได้อีกครั้ง

    บริตจิตต์ที่ตอนนี้ในมือปราศจากอาวุธ เธอไม่สามารถปัดป้องด้วยการปะทะได้อีกต่อไป เธอต้องใช้ความปราดเปรียวหลบการจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

    บริตจิตต์โน้มศีรษะลงหลบรอดจากดาบไฟเล่มนั้นไปได้อีกครั้งอย่างฉิวเฉียด จากนั้นเธอเคลื่อนไหวเข้าไปในมุมอับของโล่ เพื่อหาโอกาสเข้ามาในระยะที่ประชิดยิ่งขึ้น

    นักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินเองก็ผ่านประสพการณ์ต่อสู้มาอย่างโฉกโฉน เขาประเมินการเคลื่อนไหวนี้ของนางจิ้งจอกแดงได้ คาดว่านางจะอ้อมเข้ามาโจมตีทางด้านหลังของเขา ดังนั้นเขาเลือกที่จะแทงดาบรอดใต้แขนซ้าย พร้อมยกโล่ให้สูงขึ้น

    เขาคาดเดาได้ถูกต้อง นางจิ้งจอกแดงปรากฏตัวที่ปลายดาบไฟของเขาที่กำลังเสียบแทงออก

    บริตจิตต์พับตัวนอนลงราวกับร่างกายไร้ซึ่งกระดูก เธอใช้มือทั้งสองข้างคว้าจับมือข้างที่ดาบไฟเล่มนั้นเอาไว้ ก่อนที่จะบิดมัน พร้อมใช้เท้าทั้งสองข้างก็ถีบยันนักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินไปอีกด้าน 

    นักรบชุดเกราะสีน้ำเงินกระดอนล้มหงายไปด้านหลังทันที ดาบไฟในมือหลุดลอยไปอีกทิศทางหนึ่ง เขานึกในใจว่าอย่างน้อยดาบวิเศษของเขาก็มิได้ตกไปอยู่ในมือของศัตรู เขาลุกขึ้นอย่างว่องไว ใช้โล่ในมือซ้ายบังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเอาไว้เป็นการป้องกันตัว ก่อนที่จะใช้มันพุ่งเข้าชนศัตรูร้ายที่ตรงหน้าอีกด้วย

    บริตจิตต์ใช้ทั้งสองมือต้านทานการพุ่งเข้ามาครั้งนี้เอาไว้ จนเกิดเป็นสถานการณ์ประลองกำลังระหว่างทั้งสองคนขึ้น

    “ดาบนั่นคือดาบไฟของเฮสเทียส ดาบศักดิ์สิทธิ์ของชาวเรา เจ้าไม่คู่ควรกับมัน” 

    บริตจิตต์ส่งเสียงมาจากอีกด้านหนึ่งของโล่

    “อาณาจักรโรมันนอฟไม่มีอีกต่อไปแล้ว พวกเจ้ามันเป็นแค่คนเถื่อนเท่านั้น”

    นักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินกล่าวจบ ก็พยายามรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีผลักดันให้อีกฝ่ายล้มหงายไป ถึงอย่างไรศัตรูที่ตรงหน้านี้ก็เป็นสตรีเพศ ไหนเลยจะมีพละกำลังเหนือกว่าตนที่เป็นบุรุษได้

    “ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่า ไฟแห่งอาณาจักรโรมันนอฟนั้นร้อนแรงเพียงใด” 

    ทันใดนั้นเกิดเปลวไฟสีแดงฉานลุกขึ้นที่ตัวโล่ ก่อนที่มันจะลามต่อไปถึงร่างกายของนักรบในชุดเกราะสีน้ำเงินอย่างรวดเร็ว เขาสลัดทิ้งโล่แล้วลงไปกลิ้งตัวไปกับพื้น ด้วยความหวังที่จะดับไฟเหล่านี้ แต่ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะสายเกินไป ร่างกายผิวหนังส่วนที่ปราศจากชุดเกราะถูกไฟคลอกเสียแล้ว ตัวเขาดิ้นรนอย่างทรมานได้ครู่หนึ่ง ก็จบชีวิตลงในกองไฟในที่สุด

    ชัยชนะเป็นของชาวสกาเล็ต เหล่าผู้สืบทอดอาณาจักรโรมันนอฟ เหนือป้อมปราการตระกูลอาริอ้อนแห่งอาณาจักรโดโนแวน

    นักรบหนุ่มผมสีแดงผู้หนึ่งวิ่งนำดาบไฟแห่งเฮสเทียสมามอบให้แก่บริตจิตต์

    เด็กสาวผมสีแดงผงกศีรษะตอบรับและรับดาบไฟในตำนานของชาวสกาเล็ตเอาไว้อย่างไม่ขัดเขิน

    บริตจิตต์ชักดาบไฟเฮสเทียสออกจากฝัก เธอจ้องมองเปลวไฟสีน้ำเงินเหล่านั้นด้วยสายตาที่พึ่งพอใจ แสงสว่างของเปลวไฟสีน้ำเงินนั้นสะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลดำของเธอ

    ว่ากันว่านางจิ้งจอกไฟมิได้มีเส้นผมสีแดงเพลิงเท่านั้น แต่ยังมีนัยน์ตาเป็นสีแดงเพลิงอีกด้วย ข่าวลือนั้นไม่ได้เป็นความจริง เพราะในหมู่ชาวสกาเล็ตต่างทราบกันดีว่า มีแต่ผู้ที่สืบสายเลือดกษัตริย์เท่านั้น ถึงจะมีดวงตาสีแดงเพลิง 

     

     

    ที่ห้องประชุมขนาดเล็ก ภายในกองบัญชาการตระกูลฟินิกส์ประจำเขตพื้นที่ภาคตะวันออก

    “อะไรนะ!!! จะให้ไปแต่เสบียงอาหาร ไม่ส่งกำลังเสริมให้แก่ทางเรามาด้วย งั้นรึ??”

    นายทหารเครื่องแบบสีฟ้าที่กลางหน้าอกมีสัญลักษณ์รูปม้าบินพูดเสียงดังด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

    “ท่านนายพลของเรา ขอให้ทางกองทัพอาริอ้อนตั้งรับอยู่ในป้อมปราการไปอีกระยะเวลาหนึ่ง ขอให้ทางเราเตรียมกำลังคนให้พร้อม อีกสามวันจะนำทัพใหญ่ไปโอบตีกบฏคนเถื่อน ให้พวกมันเผชิญการโจมตีทั้งหน้าหลัง ชัยชนะจะต้องตกเป็นของอาณาจักรโดโนแวนอย่างแน่นอน”

    ชายร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบสีดำที่ด้านซ้ายบริเวณหน้าอกมีสัญลักษณ์รูปนกฟินิกส์สีแดงตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

    “นี่นายเป็นนายกองระดับสองสินะ นายมีชื่อว่าอะไร??”

    นายทหารจากกองทัพตระกูลอาริอ้อนมองมาที่เหรียญตราสีเงินสองเหรียญที่กลัดเอาไว้บริเวณแขนเสื้อด้านขวาของเครื่องแบบของชายร่างสูงใหญ่ที่เป็นคู่สนทนา ส่วนตัวเขาเองมีเหรียญทองจำนวนหนึ่งเหรียญกลัดเอาไว้ที่แขนขวาบนเครื่องแบบสีฟ้า

    “กระผม แกร์เร็ต เกลย์ นายกองระดับสอง รองหัวหน้ากองสวัสดิการแห่งกองกำลังตระกูลฟินิกส์ครับ”

    ชายร่างสูงใหญ่แนะนำชื่อ, ยศประจำตัว และตำแหน่งของตัวเองออกไป พร้อมกำมือขวามาวางตรงที่บริเวณหน้าอกด้านซ้าย เป็นการแสดงออกถึงการเคารพในรูปแบบของกองทัพอาณาจักรโดโนแวน

    “บัดซบ ขนาดหัวหน้ากองของพวกแกยังไม่ยอมมาพบฉันเลยรึ”

    นายทหารระดับหัวหน้ากองของกองทัพตระกูลอาริอ้อนถึงตรงนี้ไม่เพียงกล่าววาจาที่กราดเกรียว แต่กับใช้มือขวาตบเข้าไปที่ใบหน้าของแกร์เร็ตเสียแล้ว

    “เพี้ยะ!!”

    เสียงตบหน้าดังขึ้น พร้อมกับมีวัตถุบางอย่างหลุดกระเด็นออกจากใบหน้าของแกร์เร็ต

    แกร์เร็ตยกมือซ้ายขึ้นมาปิดใบหน้าที่บริเวณตาซ้ายที่โดนตบทันที

    “แกต้องยืนตรงรับฟังคำสั่งสิ จะเอามือมาปิดหน้าแบบนี้ จะเป็นทหารกล้าได้อย่างไร”

    ระบบโครงสร้างของกองทัพของอาณาจักรโดโนแวนเป็นเช่นนี้ ทหารชั้นผู้น้อยมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของทหารที่มียศสูงกว่า ห้ามปฏิเสธหรือโต้แย้ง

    หากแต่แกร์เร็ตยังคงไม่ยอมเอามือที่ป้องดวงตาข้างซ้ายเอาไว้ออก และสิ่งนั้นย่อมหมายถึงการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทหารผู้มีชั้นยศที่สูงกว่านั่นเอง

    “แกไม่ได้ยินคำสั่งของฉันเหรอ บอกให้แกเอามือลงมา อย่าปิดหน้าเอาไว้”

    นายทหารในเครื่องแบบสีฟ้าคล้ายมีอาการคลุ้มคลั่งแล้วในตอนนี้ เขาตั้งใจที่ตบหน้าแกร์เร็ตอีกหลายครั้ง แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามขัดขืนไม่ฟังคำสั่ง เขาเลือกที่จะขยับมือขวาลงไปจับด้ามดาบที่ข้างเอวเตรียมพร้อมที่จะชักมันออกมา

    แกร์เร็ตยังคงเอามือปิดที่หน้าเอาไว้ และหันหลังเพื่อเดินจากไป ตัวเขารับหน้าที่นำคำสั่งที่ได้รับจากผู้บังคับบัญชาตระกูลฟินิกส์มาแจ้งต่อนายทหารของกองทัพตระกูลอาริอ้อนเท่านั้น ถึงตอนนี้เขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งทั้งหมดแล้ว 

    นายทหารในเครื่องแบบสีฟ้าได้ชักดาบออกมา และแทงมันใส่ด้านหลังของแกร์เร็ต

    ดาบนั่นยังมิทันได้สร้างบาดแผลใด มืออันใหญ่โตของแกร์เร็ตก็คว้ามือของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ได้

    แกร์เร็ตใช้มือซ้ายคว้ามือของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้เช่นนี้ เท่ากับว่าเขาไม่ได้ใช้มือซ้ายปิดป้องใบหน้าอีกต่อไป

    “นี่แกกล้า... เฮ้ย!!! ดวงตาของแก ดวงตา...สีแดง”

    นายทหารในเครื่องแบบสีฟ้าแสดงสีหน้าตื่นตกใจที่พบว่าชายร่างใหญ่ผู้นี้มีดวงตาข้างซ้ายเป็นสีแดง ซึ่งทำให้นึกถึงชาวสกาเล็ตที่เป็นศัตรูสำคัญที่พรรคพวกของตนกำลังเผชิญหน้าอยู่

    “ไอ้บ้าเอ๊ย!!! แกดันได้มาเห็นในสิ่งไม่ควรได้เห็นเสียแล้ว”

    แกร์เร็ตสบถคำด่าออกไป เท่ากับว่าไม่ยึดถือกฎระเบียบอะไรของกองทัพอีกแล้ว

    “ดวงตาของแก... สีแดง..”

    นายทหารในเครื่องแบบสีฟ้ายังคงกล่าววาจาวนเวียนเกี่ยวกับดวงตาสีแดงนี้ของแกร์เร็ต

    แกร์เร็ตสูดลมหายใจลึก ๆ คราหนึ่ง ก่อนที่จะออกแรงบีบมือที่ถือดาบเล่มนั้น พร้อมเสียงกระดูกแตกดังขึ้นทันที

    ใบหน้าของนายทหารในเครื่องแบบสีฟ้าบูดเบี้ยวเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่มือของเขายังไม่ยอมปล่อยออกไปด้ามดาบ จะมากจะน้อยตัวเขาก็เป็นทหารฝีมือดีคนหนึ่ง มีความสามารถถึงขนาดลักลอบฝ่ากองทัพของชาวสกาเล็ตเพื่อมาขอกำลังเสริมในที่นี้ได้เพียงลำพัง

    นายทหารในเครื่องแบบสีฟ้าทนอาการเจ็บปวดที่มือขวา กัดฟันเหวี่ยงหมัดซ้ายเข้าใส่ใบหน้าของแกร์เร็ตด้วยความหวังที่จะพลิกสถานการณ์ที่เป็นรอง

    แกร์เร็ตปล่อยให้หมัดนั้นกระทบถูกส่วนคางของเขาอย่างไม่ใส่ใจ เพราะสำหรับเขาแล้วหมัดแบบนั้น มันช่างไร้ค่าสิ้นดี

    ถึงคราวที่แกร์เร็ตจะตอบโต้กลับบ้างแล้ว เขาใช้สันมือขวาฟันใส่ลำคอของฝ่ายตรงข้ามจากด้านนอก แล้วกระดูกคอของฝ่ายตรงข้ามก็หักไป มันง่ายดายแค่นั้น สำหรับเขาในการสังหารคนผู้หนึ่ง

    หากดินแดนแห่งนี้จะยกย่องให้ จัสติน วอล์คเกอร์ เป็นมนุษย์ที่เก่งกาจที่สุด อาจเป็นเพราะไม่รู้ว่า ยังมี แกร์เร็ต เกลย์ อีกผู้หนึ่ง 

    ไม่มีสิ่งใดที่ จัสติน วอล์คเกอร์ ทำได้ แล้ว แกร์เร็ต เกลย์ ทำไม่ได้ พวกเขาทั้งสองเติบโตและฝึกฝนวิชานานาชนิดมาด้วยกัน 

    แกร์เร็ตปล่อยมือออกจากแขนของนายทหารเสื้อฟ้านั่น ร่างกายที่ไร้วิญญาณนั้นยวบลงไปกองกับพื้นในทันที 

    เขาขยับตัวไปมองหาวัตถุที่พื้นครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้มลงไปหยิบวัตถุชิ้นบาง ๆ ชิ้นหนึ่งขึ้นมา จากนั้นเอามันมามองดูใกล้ ๆ อย่างละเอียด ก่อนที่จะบ่นออกมาว่า 

    “บ้าเอ๊ย!!! พังเสียแล้ว”

    แกร์เร็ตมีท่าทีหัวเสีย เขาหมุนตัวครึ่งรอบพร้อมเตะเท้าซ้ายใส่ซากศพที่นอนกองอยู่ที่พื้นเข้าที่หนึ่ง แรงเตาะส่งร่างนั้นลอยขึ้นไปกระแทกเข้ากับกำแพงห้องทันที 

    “ปัง”

    เสียงวัตถุขนาดใหญ่กระแทกเข้ากับกำแพงห้องเสียงดังสนั่น

    แกร์เร็ตใช้มือขวาฉีกแขนเสื้อด้านซ้ายออก จากนั้นนำมันมาผูกรอบศีรษะอย่างลวก ๆ แขนเสื้อข้างนั้นได้กลายเป็นผ้าปิดตาซ้ายชั่วคราว ก่อนที่จะเดินออกจากห้องประชุมนี้ไปด้วยท่าทีหัวเสีย

     

     

    ในคุกใต้ดินชั้นลึกสุดภายในหอคอยเสียดฟ้าก็อบลิน สถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ความรุ่งเรืองของตระกูลฟินิกส์ ปรากฏเด็กหนุ่มผมดำคนหนึ่งนอนหลับใหลในวงแหวนเวทย์

    วงแหวนเวทย์เรืองแสงเป็นสีเขียวอ่อน ภายในวงแหวนเต็มไปด้วยอักขระโบราณ ที่เรียกขานกันว่า “อักษรรูน” โดยผู้คนเชื่อกันว่าอักษรรูนนี้ เป็นภาษาที่ชาวเอลฟ์ผู้วิเศษใช้มาแต่โบราณกาล พลังเวทย์มนตร์และคาถาอันลี้ลับมากมายถูกจดบันทึกเอาไว้ด้วยอักขระเหล่านี้

    มีมนุษย์จำนวนไม่มากที่สามารถเข้าใจและใช้ภาษารูนได้ เอาเข้าจริงแล้ว มันเป็นเหมือนสิ่งที่ใช้สร้างความแตกต่างระหว่างคนทั่วไปและเหล่ายอดคนในยุคสมัยเลยทีเดียว

    ไม่มีใครรู้ว่าเด็กหนุ่มผมดำผู้นี้หลับใหลมายาวนานเท่าใด พวกเขาต่างหลงลืมความคงอยู่ของเด็กหนุ่มผู้นี้ไปเสียนานแล้ว แม้แต่ตระกูลฟินิกส์ที่ก่อกำเนิดจอมเวทย์มากมายในอดีต บัดนี้ก็กลายเป็นตระกูลที่ครอบครองกำลังทหารมากที่สุดในอาณาจักรโดโนแวนเสียแล้ว

    โลกแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก ขณะที่ในความฝันของเด็กหนุ่มผู้นี้ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวความรุ่งเรืองของสิบสองอาณาจักร

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น