เศษเสี้ยวหนึ่งแห่งความทรงจำ
เด็กน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น อยู่ริมทะเลสาบอันสดใส แต่ทว่า...ดวงตาสีฟ้าเช่นเดียวกับทะเลสาบนั้นไม่ได้ดูสดใสแม้แต่น้อย แต่กับหม่นหมองยิ่งนัก
ผู้เข้าชมรวม
120
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ณ ทะเลสาบสีฟ้าสดใสอันกว้างขวาง เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ “เธอ” ยืนอยู่ตรงนั้น อยู่ริมทะเลสาบอันสดใส แต่ทว่า...ดวงตาสีฟ้าเช่นเดียวกับทะเลสาบนั้นไม่ได้ดูสดใสแม้แต่น้อย แต่มันกับหม่นหมองยิ่งนัก
“เธอ” คือเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง...
ผมดัดสีน้ำตาลยาวถูกมัดเป็นแกะสองข้าง และผูกด้วยโบว์สีขาวบริสุทธิ์พลิ้วไหวไปตามสายลม ในมือของเธอกอดตุ๊กตาหมีขาวตัวน้อย รอบๆ ตัวของเธอมีดอกไม้นานาชนิดรายล้อม ต่างพากันส่งกลิ่นหอมหวน แต่ไม่ได้ทำให้เธอสบายใจแต่อย่างใด
ครั้นก้อนเมฆที่เคยมีสีขาวก็กับกลายเป็นสีเทาหม่นหมอง หยาดน้ำจากท้องฟ้าค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาสู่พื้นธรณี ทำให้ทุกหนทุกแห่งชุ่มชื้น แต่เธอยังยืนอยู่ ณ ที่เดิม ไม่ขยับไปไหน...เป็นเวลานานแล้วฝนก็ยังตกอยู่ แต่เธอก็ไม่ไปไหน
“เด็กหนอ...เด็กน้อย”
เด็กหญิงหันไปด้วยความตกใจ
เขาคนนั้นยืนอยู่หลังเธอตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้...เขามาพร้อมกับแสงสว่างรำไรของตะเกียงดวงน้อย แต่เธอมองไม่เห็นเขา และแสงของตะเกียงก็ค่อยๆ หายไป...หายไป...
เธอได้เสียงตะโกนโหวกเหวก และรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน เธอลืมตาขึ้นอย่างงุนงง
เธอเห็นชายคนหนึ่ง เขามีผมสีดำขลับซอยสั้น ดวงตาสีทองนั้นดูอ่อนโยน แต่ถูกบดบังด้วยแว่นตาสีน้ำตาลอมส้ม เขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
เธอนอนอยู่บนโซฟาตัวหนึ่งที่ติดอยู่กับผนัง และเขาก็นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอ มันเป็นห้องเล็กๆ แคบๆ ห้องหนึ่ง
“ตื่นแล้วหรือ?”
เธอสะดุ้ง และลุกขึ้นนั่งมองเขาด้วยความหวาดระแวง
เขาถอดแว่นตาของเขาออกและพับเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย และยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน
“เด็กน้อยเจ้าชื่ออะไรหรือ?”
เธอส่ายหน้า
ดวงตาสีทองดูตกใจ และกลับมาเป็นอ่อนโยนอีกครั้ง เขาเกาคางอย่างครุ่นคิด และหันมามองเธอ
“งั้น...ข้าจะเรียกเจ้าว่า “อัสเตรีย” อัสเตรีย เทวีแห่งความบริสุทธิ์” เขาพูดละยิ้มให้เธอ “ข้าชื่อไฮเพอเรียนนะ”
เธอชี้ออกไปข้างนอกหน้าต่างเชิงถาม เขามองไปที่หน้าต่างอย่างงุนงง สักพักก็เข้าใจที่เธอถามเพราะเธอหมายถึงภาพวิวทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“เราอยู่บนรถไฟ...รถไฟแห่งความปรารถนา” ไฮเพอเรียนตอบ “มันจะพาไปไหนก็ได้ตามที่เราต้องการและข้ากำลังจะไปเมืองๆ หนึ่ง...อ้อ ! อย่าออกจากห้องนี้ไปไหนคนเดียวเด็ดขาดนะ ถ้าจะไปไหนคนเดียวต้องบอกข้าก่อน”
เขาบอกเพราะทำท่าจะลุกไปที่ประตู เธอไม่เข้าใจที่เขาบอก แต่ก็กลับไปนั่งที่โซฟา
“อัสเตรียเจ้ามาจากไหน? ทำไมจึงต้องไปยืนอยู่ที่ทะเลสาบนั้น?” ไฮเพอเรียนถามต่อ แต่เธอได้แต่ส่ายหน้า “เอาเถอะ...เจ้าอยู่กับข้าไปก่อนแล้วกัน จนกว่าเจ้าจะคิดอะไรออก”
วันแล้ววันเล่าที่เธออยู่บนรถไฟขบวนนี้ แต่เธอไม่มีท่าทีว่าเธอจะคิดอะไรออกเกี่ยวกับตัวเธอแต่อย่างใด แต่ไฮเพอเรียน ชายที่พาเธอมาอยู่บนรถไฟขบวนนี้ ก็ไม่ได้ว่ากล่าวแต่อย่างใด เพียงแต่เขายิ้มอย่างให้กำลังใจ และเขาก็มีปัญหากับเธออยู่อย่างเดียวคือ เธอไม่พูดอะไรกับเขาเลย ตั้งแต่วันที่เขาพาเธอมา เธอได้แต่พยักหน้าและส่ายหน้าเท่านั้นเอง ไฮเพอเรียนก็ได้แต่กลุ้ใจในเรื่องนี้ เพราะเขาคิดว่าเธอเป็นใบ้
คืนหนึ่งไฮเพอเรียนบอกกับอัสเตรียว่า เขาจะพบเพื่อนที่อยู่อีกโบกี้หนึ่งจะกลับมาดึกหน่อย เธอพยักหน้า และล้มตัวลงนอนอย่างเบื่อหน่าย แล้วหลับไป
อัสเตรียสะดุ้งตื่นหลังจากหลับไปไม่นาน เธอมองไปรอบๆ ก็พบแต่ความมืด แต่ก็ยังมีแสงจากดวงจันทร์ให้พอเห็นรอบๆ อยู่ ไฮเพอเรียนที่ควรนอนอยู่ฝั่งตรงข้ามยังไม่กลับมา อัสเตรียรู้สึกเป็นกังวลและหวาดกลัว เธอไม่ชอบการอยู่คนเดียวในที่มืดๆ เช่นนี้เลย ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงโหยหวน ดังจากที่ๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้องที่เธออยู่
เธอลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู เธอกำลังจะเปิดประตูออกไป แต่ก็ลังเล เพราะไฮเพอเรียนกำชับว่าไม่ให้ออกไปไหนคนเดียว เธอกลัวที่จะออกไปคนเดียว แต่เธอก็อยากรู่ว่าเสียงนั้นคืออะไร อัสเตรียยืนคิดอยู่สักพัก ในที่สุด...ความอยากรู้อยากเห็นก็ชนะ
อัสเตรียเปิดระตูออกไป เธอก็พบแต่ความมืดแต่ก็ยังมีแสงสว่างจากดวงจันทร์ให้เห็นทางอยู่ เธอเดินไปตามทางแคบๆ ในโบกี้ และจู่ๆ เธอก็หยุดเดิน อัสเตรียรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามเธอมาตั้งแต่ก้าวออกจากห้อง เธอหันกลับไปมองแต่ไม่พบอะไร เธอจึงเดินหน้าต่อไป พอก้าวไปอีก 5-6 ก้าว เธอก็รู้สึกว่าเงาดำๆ ขนาดใหญ่อยู่ข้างหลัง เธอหันกลับไปอย่างรวดเร็วและตกใจมาก และเธอก็พบกับเจ้าของเงานั้น
ร่างขนาดมหึมาของมนุษย์หมาป่า มันมีขนสีเทาออกดำ นัยน์ตาสีแดงฉานราวกับเลือด และมันจ้องมองมาที่เธออย่างดุร้าย อัสเตรียจ้องมองมันตอบ แต่เธอจ้องมองมันด้วยความหวาดกลัว ตัวของเธอสั่นไปหมดและขาของเธอก็อ่อนปวกเปียกไปหมด แต่สัญชาตญาณของเธอมันบอกให้เธอวิ่งหนี...เร็วเท่าความคิด เธอวิ่งไปในทางตรงข้ามกับเจ้าหมาป่า เธอวิ่ง...วิ่งอย่างสุดกำลัง แต่เจ้าหมาป่าตามเธอมาอย่างรวดเร็ว เธอวิ่งและวิ่งต่อไป และทันใดนั้นเธอก็สะดุดล้มลงและเจ้ามนุษย์หมาป่าก็กระโจนเข้ามาหาเธอ...สุดท้ายโลกทั้งใบก็มีแต่ความมืดมิด....
ณ ที่แห่งหนึ่งซึ่งมืดมิดไม่เห็นแม้แต่สิ่งมีชีวิตใดๆ อัสเตรียยืนอยู่ ณ ที่แห่งนั้น เธอมองไปรอบๆ และเธอก็ได้ยินเสียงคนๆ หนึ่งที่เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เขาพูดพึมพำไม่เป็นภาษา จากนั้นเธอก็รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงและทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น เธอใช้แขนทั้งสองข้างดันตัวให้ลุกขึ้น แต่ก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้เลย
มือทั้งสองข้างของเธอพยายามดันตัวเธอให้ลุกขึ้น แต่กลับรู้ถึงของเหลวที่ได้ไหลมาโดนมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว อัสเตรัยก้มลงไปมองที่พื้นแต่ก็ไม่เห็นอะไร เธอจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดู ก็พบกับของเหลวนั้น มันมีกลิ่นคาวและมีสีแดงสด มันคือเลือด!!
อัสเตรียมองมือทั้งสองข้างด้วยความตกใจและกรีดร้อง
อัสเตรียลืมตาตื่นขึ้นและกรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่ง และจู่ๆ ก็มีอ้อมแขนที่อบอุ่นมากอดและปลอบประโลม
“ไฮเพอเรียน!!” อัสเตรียร้อง “กลัว...เลือด...เต็ม...ไปหมด”
“ไม่เป็นไร...อัสเตรีย ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี้” ไฮเพอเรียนปลอบ
“ข้าเห็น...เห็นเลือด...เปื้อนมือข้า...กลัว...กลัว” อัสเตรียปลอบปนสะอื้น
ไฮเพอเรียนคลายกอด แล้วจับมือของอัสเตรียมาดู
“ไม่เห็นมีเลย เจ้าฝันร้ายน่ะอัสเตรีย ไม่เป็นไรนะ” ไฮเพอเรียนบอกและยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เธอ อัสเตรียผยักหน้า “อัสเตรีย เจ้าพูดได้ แล้วทำไมที่ผ่านมา เจ้าถึงไม่พูดกับข้า” ไฮเพอเรียนถามต่อ
อัสเตรียส่ายหน้า “แล้วมนุษย์หมาป่าล่ะ?”
“มันไปแล้ว” ไฮเพอเรียนตอบ
“ไปไหน?” อัสเตรียถามต่อ
“ไม่รู้” ไฮเพอเรียนตอบ “นอนเถอะ”
คืนนั้นเธอฝันเห็นปราสาทสีขาวบริสุทธิ์อันงดงาม แต่ ณ บนยอดหอคอยสูงสุดในปราสาทอันงดงามนั้น เธอเห็นโบสีขาวบริสุทธิ์ของเธอหล่นอยู่บนพื้น เธอตั้งใจจะก้มลงไปเก็บแต่...โบว์ของเธอนั้นได้เปรอะเปื้อนด้วยของเหลวสีแดง ดวงตาสีฟ้ามองด้วยความตกใจและมองไปยังเบื้องหน้า...ร่างของหญิงนางหนึ่งนอนจมกองเลือด
พรืด!!
อัสเตรียสะดุ้งตื้นด้วยความตกใจ เหงื่อชื้นไหลอาบแก้มสีขาวนวลของอัสเตรีย ดวงตาสีฟ้าส่องประกายตกใจและกลัว แต่ร่างที่นอนจมกองเลือดในฝัน ช่างชัดเจนและคุ้นเคยอย่างประหลาด นางเหมือนเป็นคนที่เธอรู้จักมานาน แต่เธอไม่มั่นใจ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกปวดหัวขึ้นอย่างฉับพลัน
“มิวส์...มิวส์
”
อัสเตรียได้ยินเสียงนี้ดังก้องในหัว มันช่างเป็นเสียงที่มีแต่ความอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก เป็นเสียงที่เธอโหยหาและคุ้นเคยดี และเธอก็นึกถึงผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่เธอรักอย่างจริงใจ นางมักยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน ผู้หญิงคนนั้นมีลักษณะภายนอกเหมือนเธอเกือบทุกอย่าง นางมีผมหยิกเป็นลอนยาวสีน้ำตาล นางมีเสียงเหมือนเธอ แต่การพูดจานั้นอ่อนหวานกว่านัก แต่ดวงตาเธอนั้นเป็นสีเขียวสดใส นางชอบมองเธอด้วยแววตาที่มีแต่ความอบอุ่นและรักใคร่ เธอคือหญิงสาวที่นอนจมกองเลือดนั้น
“ท่าน...แม่” เธอเรียก และหยาดน้ำตาก็ไหลออกมาอาบแก้มนวล
ความทรงจำต่างๆ ที่เธอทำมันหายไป ตอนนี้มันได้กลับมาแล้ว
เรื่องมันเกิดขึ้นในวันหนึ่งที่มีอากาศร้อนระอุและแห้งแล้ง เธอกับแม่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหนึ่งที่พวกเธอได้ย้ายมาอยู่ไม่นาน และมิหน้ำซ้ำพอย้ายมาอยู่ไม่นานก็ประสบกับความแห้งแล้งที่สุดในรอบหลายปี
ในเช้าวันนั้นท่านแม่เข้าไปในป่าซึ่งอยู่หลังหมู่บ้าน เพื่อไปเก็บสมุนไพรป่ามาขายแลกกับเงิน และเนื่องจากเป็นฤดูแล้งจึงไม่ค่อยมีสมุนไพรให้เก็บนัก ท่านแม่จึงต้องเข้าไปในป่าลึกเพื่อเก็บสมุนไพรมา แต่หนทางที่จะไปนั้นยากเย็นแสนเข็ญ และกว่าท่านแม่จะกลับมาพระอาทิตย์ก็ได้ตกดินลงไปแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านและอีกไม่ไกลก็จะถึงหมู่บ้านนั้น ท่านแม่ก็ได้สะดุดก้อนหินหกล้มขาแพลง ท่านพยายามลุกและเดินไปต่อแต่ก็ไปได้ไม่ไกลนั้นก็ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น และบังเอิญเหลือบไปเห็นถ้ำๆ หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก จึงพยายามพยุงตัวขึ้นและเดินไปพักที่ถ้ำนั้น
เนื่องจากท่านแม่และมิวส์หรืออัสเตรียเพิ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่นาน จึงไม่รู้ว่าถ้ำๆ นั้น เป็นถ้ำที่คนในหมู่บ้านเชื่อกันว่าเป็นที่ประทับของเทพเจ้าแห่งฤดูฝน เป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ใดจะเข้าไปไม่ได้นอกจากนักบวชแห่งองค์เทพเจ้าเท่านั้น
ในขณะที่มิวส์รอท่านมากลับมาบ้านอย่างกระวนกระวาย นักบวชกลุ่มหนึ่งได้มาทำพิธีขอฝนต่อเทพเจ้า พวกเขาเจอท่านและจับตัวท่านกลับมาหมู่บ้าน ในตอนแรกท่านดูงุนงงแต่ต่อมาท่านก็เข้าใจสาเหตุ เหล่านักบวชได้ประชุมหารือกันว่าจะทำอย่างไรกับท่านแม่ เพราะการกระทำของท่านอาจทำให้เทพเจ้าพิโรธได้ นักบวชชราคนหนึ่งเสนอได้ทำพิธีขอขมา โดยใช้ท่านแม่เป็นเครื่องบูชายัญ แต่ท่านแม่ไม่มีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด เพราะถ้านี้ทำให้ทุกคนสบายใจและเป็นความเชื่อของคนที่นี้ด้วย พอมิวสืได้ยินข่าวของท่านแม่จึงโกรธแค้นพวกนักบวชเป็นอย่างมาก เธอจึงรีบไปหาท่านแม่ที่ถูกจับไว้ ท่านแม่มองหน้ามิวส์แล้วส่ายหน้า เพราะท่านรู้ความรู้สึกของลูกสาวคนนี้ดี และเป็นห่วงเธออย่างมาก
“มิวส์อย่าทำหน้าแบบนั้น อย่าโกรธแค้นพวกเขาเลย พวกเขาทำไปเพราะความเชื่อ จงอย่าแก้แค้นให้แม่ เจ้าเป็นดั่งสมบัติอันล้ำค่าของแม่ จงอย่าทำให้มือของตนเองเปื้อนเลือดเลย”
ในวันต่อมาพวกนักบวชพาท่านแม่ไปที่ปราสาทสีขาวอันงดงาม ซึ่งเป็นสถานที่ทำพิธีบวงสรวงมาแต่โบราณ มิวส์แอบตามพวกนักบวชและท่านแม่ไปเพราะถูกสั่งห้ามไว้ พวกเขาพาท่านไปที่ยอดหอคอยที่สูงที่สุดของปราสาท นักบวชคนหนึ่งใช้ผ้าปิดตาท่านแม่และใช้เชือกมัดแขนมัดขาท่านไว้ที่แท่นบวงสรวงที่อยู่กลางห้อง มิวส์แอบอยู่ริมบันไดวน เธอจับขอบประตูไว้แน่นเมื่อเห็นนักบวชคนหนึ่งจับมีดสีทองและสวดมนต์
ฉึก!!
เขาแทงลงตรงหัวใจ เลือดสีแดงสดไหลริรลงมาจากแท่นบวงสรวง ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างและกรีดร้อง ทำให้พวกนักบวชหันมา มิวส์วิ่งหนี และวิ่งไปเรื่อยๆ ออกจากปราสาท...ออกจากหมู่บ้าน..เข้าสู่ป่า...
เธอไม่รุ้ว่าเธอวิ่งมานานเท่าไร ได้แต่วิ่งไปเรื่อยๆ เหมือนกับจะลบภาพที่เห็นท่านแม่...แต่มันยังติดตาอยู่อย่างนั้น...ลบไม่ได้...ทรมาน
เบื้องหน้าคือทะเลสาบสีฟ้าสดใส เธอหยุดวิ่งตรงทะเลสาบนั้น ทะเลสาบสีฟ้าสดใส แต่จิตใจของเธอนั้นหมองหม่น เต็มไปด้วยความเศร้าและทุกข์ทรมาน เธอมองไปยังเบื้องหน้า
และล้มลง...
อัสเตรียหรือมิวส์นั่งอยู่บนโซฟา และเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง หยาดน้ำตาค่อยไหลอาบแก้มนวลอีกครั้งหลังจากหยุดไปไม่นาน
“เป็นอะไรไปเทวีน้อยของข้า?”
อัสเตรียสะดุ้ง ...เขาตื่นแล้ว... เธอรีบเช็ดน้ำตาและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
“แล้วต่อไปจะทำอย่างไร?” เขาถาม แต่เธอส่ายหน้า
“ข้าไฮเพอเรียน...นักเดินทางแห่งสายลม” เขาพูดและยิ้ม “แล้วเจ้าล่ะ เทวีน้อยสนใจจะเดินทางไปกับสายลมหรือไม่?”
อัสเตรียพยักหน้าและยิ้ม
....ไปสิ...ทำไมจะไม่ไปล่ะ....เธอคิดอย่างเป็นสุข
ผลงานอื่นๆ ของ jin huay jeang ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ jin huay jeang
ความคิดเห็น