เลือดแค้นแสนรัก
แต่แล้วห้วงแห่งความนึกคิดก็ต้องสะดุดลง เมื่อเสียง เปรี๊ยง....!!! ดังสนั่นหวั่นไหว มันไม่ใช่แค่นัดสองนัด แต่มันดังลั่นติดต่อกันอย่างกับพลุแตก เรียกว่าน่าจะแลกกันยิงก็ว่าได้
ผู้เข้าชมรวม
67
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เลือดแค้นแสนรัก
1.
ณ บ้านไร่ใกล้ชายป่า ที่ห่างไกลความเจริญและสิ่งอันสิวิลัยนานาชนิดยากจะเข้าถึง ซึ่งเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้อันน่าสวยสดงดงามยิ่งรอบๆบ้าน ริมเรือนด้านซ้ายอันมีชานยื่นออกไปนอกเฉียดหน้าผา บรรยากาศยามเย็นใกล้โพล้เพล้ มันเป็นอะไรที่ดูสวยยิ่ง
อีกทั้งเสียงนกอันเจื้อยแจ้วร้องรับส่งหาคู่กันให้ระงม มองลึกเข้าไปในต้นกัลปพฤกษ์หน้าบ้าน ที่มีใบไม้ปกคลุมครึ้ม กระรอกป่าคู่หนึ่งต่างวิ่งไล่กันบนต้นไม้ หยอกเย้าเล้าเลียคลอเคลียกับคู่ของมัน ช่างเป็นที่น่าอิจฉาแก่บุรุษผู้หนึ่ง ที่ยามนี้เหม่อมองออกไปด้วยใจที่ยากจะหยั่งถึง
แต่แล้วเสียงเหล่านั้นก็ต้องเงียบไป เพราะมีเสียงรถเครื่องหรือมอเตอร์ไซวิ่ง แท๊ดๆๆ ใกล้เข้ามา ชายที่ขี่มา คือ ลุงหาญ อันเป็นพี่ของแม่ผม
“ รบโว๊ย...!!! รบ ”
“ ครับลุง... มีอะไรเรียกซะดังเชียว ”
“ จดหมายเอ็ง..... ไปรษณีย์เอามาให้ลุงตั้งแต่เช้า แต่พึ่งมีเวลาวิ่งเอาเข้ามาให้เอ็งตอนเย็นนี่แหละ ”
ผมงงไปชั่วขณะ เพราะร้อยวันพันปี ตั้งแต่ผมได้มาอยู่ที่นี่ ก็ไม่เคยมีจดหมายที่ไหนส่งมาถึงผม จึงทำให้เป็นที่พิศวงงงกันไปใหญ่
“ จดหมายใครนะลุง.... ส่งผิดหรือเปล่า....??? ”
“ ก็เอ็งนั่นแหละ... นี่ไง จ่าหน้าซอง (นายนักรบ สยบไพร) ถ้าไม่ใช่เอ็งแล้วจะใครอีกล่ะว๊ะ ”
“ งั้นก็ขอบคุณมากครับลุง ”
“ เออ..แล้วเย็นนี้เอ็งมีอะไรกินหรือยังว๊ะ...??? ”
ผมลงไปรับจดหมาย และไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยื่นขวดเหล้า 40 ดีกรีให้ลุงดูแทนคำตอบ ลุงหาญได้แต่ส่ายหน้าไปมา บ่นอุบอิบในลำคอไม่ได้สรรพ
“ เออ.. แด๊กแม่งให้ตายไปเลยไอ้ห่า ลุงล่ะไม่เข้าใจจริงๆ เรื่องแค่นี้ทำไมเอ็งต้องทรมานตัวเองจนโทรมอย่างนี้ด้วยว๊ะ งั้นลุงไปก่อน ว่างๆก็ออกจากป่ามาหาป้าเอ็งบ้าง เห็นบอกว่าคิดถึงเอ็งน่ะ ไปนะโว๊ย ”
ผมโบกมือลาแทนคำขอบคุณ และกรอกเหล้าเข้าปาก ก่อนที่จะหันมาสนใจกับจดหมายสีชมพูฉบับนั้นที่ส่งมา
ใช่จริงๆ มันจ่าหน้าซองถึงผม “ ถึงคุณ นักรบ สยบไพร ” แต่ที่น่าแปลกก็คือ ไม่มีที่อยู่ผู้ส่ง มีแต่เพียงจ่าหน้าซองถึงผม และตราไปรษณีย์ที่ตีตราเอาไว้
ผมแกะซองฉีกอย่างลวกๆ พบกระดาษใบหนึ่ง พร้อมทั้งกลิ่นหอมฟุ้งที่ออกมาจากในกระดาษใบนั้น ผมนึกขึ้นได้... นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้กลิ่นอย่างนี้ถ้าไม่เป็น.....
“ สาวิตรี ” หญิงที่ทำให้ชายผู้นี้ต้องช้ำรัก จนต้องหนีความชอกช้ำใจมาอยู่ในป่าเขา อันห่างไกลผู้คน
“ นักรบ อันเป็นที่รักของสาวิตรี ต้องขอโทษด้วยที่ส่งจดหมายฉบับนี้มารบกวนใจ ด้วยเรื่องราวที่ผ่านมา สา ทำให้ รบ ต้องเจ็บช้ำใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยสิ่งที่ สา ได้กระทำลงไป จึงทำให้เราผิดใจกัน แต่ สา ก็อยากจะขอโทษ รบ ด้วยใจจริง ถึงสิ่งที่ สา ได้ทำผิดพลาดไปในครั้งนั้น ”
ผมอ่านถึงตรงนี้ บอกตามตรงผมแทบจะขยำกระดาษใบนั้นทิ้งเสียโดยไว เพราะคำๆว่า “ ขอโทษ ” ที่ออกมาจากปากหญิงสองใจ ที่ให้ใจชายได้ถึงสองคน แล้วยังมีหน้ามาบอกอีกว่า “ สา..ทำพลาดไป เออ...กูบอกได้เลยว่ามึงตั้งใจ ไม่เช่นนั้น ตบมือข้างเดียวจะดังได้ยังไง...??? ”
แต่สิ่งที่ผมสะดุดจนต้องอ่านต่อ ก่อนที่จะขยำขยี้กระดาษใบนั้นให้พ้นๆตา ก็คือข้อความที่มีใจความว่า
“ สา มีเรื่องร้อนรนจนหาที่พึ่งที่ไหนไม่ได้ จึงต้องส่งจดหมายฉบับนี้มาหา รบ ก็เพราะพี่ชายของ สา ได้ทะเลาะกับพ่อ และหนีออกจากบ้าน ได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว ข่าวแว่วๆมาล่าสุด มีคนเห็นว่า พี่ชาย สา อยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี แถวๆอำเภอทองผาภูมิใกล้ๆชายแดนพม่า จึงเขียนจดหมายฉบับนี้ มาวอนขอให้ รบ ช่วย หาก รบ ยังคิดว่า สา เป็นเสมอน้องสาว....
รัก “ นักรบ ” เสมอพี่ชาย.......
ต้องยอมรับตามตรง ว่าตอนนี้ในหัวผมมันฟุ้งซ่านไปหมด หน้าชา มึนตึงกับคำขอโทษจากหญิงหลายใจ ไหนจะเป็นเรื่อง “ ไอ้อนาวิน หรือ ไอ้วิน ” ที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน และแถมยังเป็นพี่ชายของ สา เสียด้วย ไหนจะเป็นเรื่องการขอร้องให้ตามหาคนหาย
หลายๆสิ่งมันรุมเร้า ประดุงประดังกันเข้ามาในหัว จนต้องกระดกเหล้าเข้าปากเสียหลายอึก นั่งมึนตึงอยู่ที่เก้าอี้ไม้อันจงรักภักดี ที่ไม่เคยหนีหายไปไหนเวลาที่จะนั่ง แต่แล้วภาพที่เคยมีความสุขกับ สา ก็ปรากฏตรงหน้าเหมือนหนังสไลด์
ย้อนไปเมื่อประมาณ 5 ปีก่อนหน้านี้ ผมเป็นหนุ่มดีกรีนักเรียนนอก จบจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา จนได้กลับมาเมืองไทย จึงเข้ารับราชการตำรวจ ด้วยยศ “ ร้อยตำรวจตรีนักรบ สยบไพร ” จนได้มีเหตุมาพบกับหญิงอันเคยเป็นที่รัก นามว่า “ สาวิตรี ”
“ ช่วยด้วยค่ะ... ช่วยด้วย..... คนวิ่งราวกระเป๋าค่ะ ”
เสียงหวีดร้องลั่นในแถบชุมชนย่านศูนย์การค้าแถวๆประตูน้ำ ทำให้ผมซึ่งยืนซื้อกาแฟโบราณ อยู่ที่ร้านลุงสมนึกเจ้าประจำ ต้องหันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น โดยไม่ต้องเดาเหตุการณ์ เพราะมีชายผู้หนึ่ง รูปร่างผอมแกรน สวมใส่เสื้อผ้ามอซอ วิ่งหน้าตั้งไม่ดูหน้าดูหลัง ไม่สนว่าใครจะขวางหน้า พี่แกวิ่งแหวกวงล้อม วิ่งไวอย่างกับไปแข่งกับใคร....
แน่ล่ะ.... ไอ้นี่นั่นแหละที่วิ่งราวกระเป๋า จนเป็นเหตุให้เจ้าทุกข์ต้องตะโกนอยู่เย้วๆ ผมเข้าสกัดหน้าโดยเร็ว มันทำท่าจะหลบฉากหนีไปทางซ้าย บัดนั้นก็ “ ผั่วะ.......!!!! เลย ” โครมเดียวนอนแหง๋แก๋อยู่กับพื้น จะว่าด้วยความเร็วของมันที่พุ่งมา บวกกับผมเคยเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นตอนเรียนมหาลัยในบอสตันก็ไม่เชิง ที่ทำให้หมัดเดียวจอดไม่ต้องแจว
ครู่เดียวเจ้าของเสียงร้องนั้นก็วิ่งเข้ามาถึง แต่แล้วก่อนที่หล่อนจะกล่าวอะไร... กลุ่มไทยมุง... ก็ร่วมกันสหบาทาเข้าเต็มรัก จนผมห้ามไม่ทัน... ต้องเรียกว่าไอ้นั่นมันอ่วมอรทัยไปหลายเดือน
“ นี่ครับ... กระเป๋าของคุณ... ”
“ ขอบคุณค่ะ... ขอบคุณคุณมากนะค่ะ ”
“ ลองเช็คของข้างในดูก่อนครับ... ว่าอยู่ครบถ้วนดีหรือเปล่า...?? ”
“ ครบค่ะ... ถ้ากระเป๋าใบนี้หายไป ฉันคงต้องเดือดร้อนเป็นแน่ ลำพังเงินนะไม่เท่าไหร่หรอก แต่นี่มีเอกสารสำคัญอยู่ด้วย ถ้าหายไปไม่รู้ว่าจะทำยังไงเลย ต้องขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ คุณ................ ”
“ นักรบ หรือจะเรียกว่า รบ เฉยๆก็ได้ครับ ”
“ แล้วนี่จะเอายังไงกับเจ้าหมอนี่ดีค่ะ ”
“ ก็ต้องเอาไปขังให้หายซ่าเสียทีล่ะครับ แต่ว่าต้องขอเชิญคุณไปเป็นพยานด้วยจะครับ คุณ......... ”
“ สาวิตรีค่ะ หรือจะเรียกว่า สา ก็ได้ ”
เราไปถึงสถานีตำรวจ เพื่อลงบันทึกประจำวันและแจ้งข้อหาให้ไอ้หนุ่มนั่น ที่พึ่งโดนรุมประชาทันเมื่อหมาดๆที่ผ่านมา ทำให้หน้าตายับเยินเขียวช้ำจนจำเค้าหน้าเก่าแทบไม่ได้ ยัดเอาเข้าซังเต เพราะทำผิดแบบเต็มๆ
“ เรียบร้อยแล้วครับ.... ทีนี้มันคงได้ไปสำนึกผิดอีกยาวเลยทีเดียว ”
“ ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ.... ถ้าไม่ได้คุณรบ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี คงได้แต่ร้องตะโกนให้คนช่วย ”
“ ไม่เป็นไรครับ... ข้าราชการไทย ย่อมเป็นที่พึ่งของประชาชนเสมอครับ....”
“ นี่... นี่คุณรบเป็นตำรวจหรือค่ะ...??? ”
“ ครับ.... ร้อยตำรวจตรีนักรบ สยบไพร ยินดีรับใช้ คุณสาวิตรี ครับ ”
“ แล้วนี่.. คุณสาวิตรี....”
“ สา..... เฉยๆก็ได้ค่ะ ”
“ ครับ... คุณสา จะไปไหนหรือครับ...??? ”
“ วันนี้ก็คงไปไหนไม่รอดแล้วล่ะค่ะ เล่นเสียเวลาไปทั้งวันอย่างนี้ แต่เดี๋ยวซักพักพี่ชายสาก็คงมารับแล้วล่ะค่ะ ”
“ พี่ชาย.... (หรือว่าแฟนว๊ะ...) ”
“ นั่นไง...พี่สามาแล้ว ”
ผมมองออกไปตามมือที่ชี้บอกของสา และก็เป็นดังว่า เพราะเห็นชายคนหนึ่งใส่สูทผูกไท วิ่งหน้าตั้งมาเข้ามาที่ประตูสถานี
“ สา... สา... สาเป็นยังไงบ้าง มันทำอะไรเราหรือเหล่า...??? เจ็บตัวตรงไหนบ้างไหม...??? แล้วมันอยู่ไหน...??? พี่อยากดูหน้ามันซักหน่อย... เผื่อว่าตำรวจจะปล่อยตัวมาให้กระทืบสักทีสองที โทษฐานที่กล้ามาวิ่งราวน้องสาวพี่ ”
“ ใจเย็นๆค่ะพี่วิน.... ตอนนี้เรื่องเรียบร้อยหมดแล้ว และสาก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย เงินและเอกสารต่างๆก็อยู่ครบ ”
“ ถ้างั้นพี่ก็โล่งใจ... เออ...!!! แล้วไหนล่ะคนที่ช่วยสาไว้นะ ”
“ นี่ค่ะพี่วิน.... คุณนักรบ ที่ช่วยสาไว้ ”
สายตาของวินหันมาพบกับแววตาคู่หนึ่ง ซึ่งยืนจ้องมองอยู่นานพอดู คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้าที่ไหน แต่แล้วก่อนที่จะจำได้หรือนึกอะไรออก
“ เฮ้ย...!!! ไอ้รบ... ไอ้รบเอ็งจำข้าไม่ได้หรือไงว๊ะ...ข้าอนาวินไง...?? ”
“ อนาวิน...??? ”
“ เออ...!!! อนาวิน ที่เรียนกับเอ็งตอน ม.ต้น ที่โรงเรียนเตรียมฯไงว๊ะ... ”
“ อ๋อ.......!! ไอ้วินเวอร์จิ้นนั่นนะน่ะ.. ”
“ เออๆ..นั่นแหละ แต่เดี๋ยวนี้ไม่จิ้นแล้วนะโว๊ย... 555 ”
“ เฮ้ย... ไปไงมาไงว๊ะเนี่ยะ.... ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ”
สาวิตรีได้แต่จ้องหน้า มองตาทั้งสองหนุ่มพูดคุยกันตาปริบๆ เพราะยังไม่รู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร แล้ว อนาวิน หรือ วิน ก็ชิงตัดบทมา
“ เอ๊าๆๆๆ.... ข้าว่าคุยกันยาวว๊ะ... ไปๆ... ไปหาอะไรกินกันก่อน จะได้คุยกัน ”
“ ได้เพื่อน.... ที่ไหนตามใจนายเลย ”
“ เออ....!!!??? ตกลงรู้จักกันหรือค่ะ ”
“ ก็ต้องรู้จักซิ.... สา ก็ไอ้ รบ ที่มันวิ่งไล่แตะกับพี่.. สมัยที่เรายังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่เลย ”
และนั่นก็เป็นเหตุเมื่อ 5 ปีก่อนที่ทำให้ผมและสาวิตรีได้รู้จักกัน จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรือพรมลิขิตก็ตามที แต่คนที่ชื่อ สาวิตรี คนนี้ ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปอย่างมากมาย ผมซัดเหล้าเข้าปากไปอีกหลายอึกใหญ่ ทำใจให้ลืมในสิ่งที่นึกคิด บอกตามตรง เมื่อภาพต่างๆมันวิ่งเข้ามาในหัว มันทำให้ผมจิตตกอย่างไรก็ไม่รู้ หดหู่..... รันทด....... รู้สึกเศร้าใจอย่างน่าประหลาด มันเป็นห้วงเวลา..ประมาณไม่ถึง 10 นาทีเห็นจะได้ ที่ภาพเหล่านั้นมันวิ่งเข้ามา...
แต่แล้วห้วงแห่งความนึกคิดก็ต้องสะดุดลง เมื่อเสียง “ เปรี๊ยง....!!! ” ดังสนั่นหวั่นไหว มันไม่ใช่แค่นัดสองนัด แต่มันดังลั่นติดต่อกันอย่างกับพลุแตก เรียกว่าน่าจะแลกกันยิงก็ว่าได้ ผมผุดตัวลุกขึ้นนั่ง สดับหูฟัง มันเป็นทางเดียวกับที่ลุงผมขี่รถเครื่องไป บอกตามตรงใจผมตอนนั้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กระโจนเข้าบ้านหยิบปืน .357 แม็กนั่ม สมิธแอนด์เวสสัน ลูกโม่ 6 นัด เหวี่ยงขวดเหล้ากองไว้กับพื้น กระโดดพุ่งทะยานตัวออกไปตรงที่เกิดเหตุแต่โดยเร็ว
เสียงปืนเริ่มซาหายเงียบไป ใจผมยิ่งเต้นระทึก เพราะเสี้ยววินาทีนั้น มันช่างดูช้าเสียนี่กระไร แต่แล้วเหตุการณ์ที่ผมไม่อยากนึก ก็ปรากฏ.....
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ผลงานอื่นๆ ของ บุญเกียรติ ยลประเวส ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ บุญเกียรติ ยลประเวส
ความคิดเห็น