เลือดแค้นแสนรัก - นิยาย เลือดแค้นแสนรัก : Dek-D.com - Writer
×

    เลือดแค้นแสนรัก

    แต่แล้วห้วงแห่งความนึกคิดก็ต้องสะดุดลง เมื่อเสียง เปรี๊ยง....!!! ดังสนั่นหวั่นไหว มันไม่ใช่แค่นัดสองนัด แต่มันดังลั่นติดต่อกันอย่างกับพลุแตก เรียกว่าน่าจะแลกกันยิงก็ว่าได้

    ผู้เข้าชมรวม

    67

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    67

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  21 พ.ย. 56 / 14:16 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    เลือดแค้นแสนรัก

     

    1.

      บ้านไร่ใกล้ชายป่า  ที่ห่างไกลความเจริญและสิ่งอันสิวิลัยนานาชนิดยากจะเข้าถึง  ซึ่งเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้อันน่าสวยสดงดงามยิ่งรอบๆบ้าน  ริมเรือนด้านซ้ายอันมีชานยื่นออกไปนอกเฉียดหน้าผา  บรรยากาศยามเย็นใกล้โพล้เพล้   มันเป็นอะไรที่ดูสวยยิ่ง  

     

    อีกทั้งเสียงนกอันเจื้อยแจ้วร้องรับส่งหาคู่กันให้ระงม  มองลึกเข้าไปในต้นกัลปพฤกษ์หน้าบ้าน  ที่มีใบไม้ปกคลุมครึ้ม  กระรอกป่าคู่หนึ่งต่างวิ่งไล่กันบนต้นไม้  หยอกเย้าเล้าเลียคลอเคลียกับคู่ของมัน  ช่างเป็นที่น่าอิจฉาแก่บุรุษผู้หนึ่ง  ที่ยามนี้เหม่อมองออกไปด้วยใจที่ยากจะหยั่งถึง

     

    แต่แล้วเสียงเหล่านั้นก็ต้องเงียบไป  เพราะมีเสียงรถเครื่องหรือมอเตอร์ไซวิ่ง  แท๊ดๆๆ  ใกล้เข้ามา  ชายที่ขี่มา คือ ลุงหาญ  อันเป็นพี่ของแม่ผม

     

    “ รบโว๊ย...!!!  รบ ”

     

    “ ครับลุง...  มีอะไรเรียกซะดังเชียว ”

     

    “ จดหมายเอ็ง.....  ไปรษณีย์เอามาให้ลุงตั้งแต่เช้า  แต่พึ่งมีเวลาวิ่งเอาเข้ามาให้เอ็งตอนเย็นนี่แหละ ”

     

    ผมงงไปชั่วขณะ  เพราะร้อยวันพันปี  ตั้งแต่ผมได้มาอยู่ที่นี่  ก็ไม่เคยมีจดหมายที่ไหนส่งมาถึงผม  จึงทำให้เป็นที่พิศวงงงกันไปใหญ่

     

    “ จดหมายใครนะลุง....  ส่งผิดหรือเปล่า....??? ”

     

    “ ก็เอ็งนั่นแหละ...  นี่ไง  จ่าหน้าซอง  (นายนักรบ  สยบไพร)  ถ้าไม่ใช่เอ็งแล้วจะใครอีกล่ะว๊ะ ”

     

    “ งั้นก็ขอบคุณมากครับลุง ”

     

            “ เออ..แล้วเย็นนี้เอ็งมีอะไรกินหรือยังว๊ะ...??? ”

     

            ผมลงไปรับจดหมาย  และไม่ได้พูดอะไร  เพียงแต่ยื่นขวดเหล้า 40 ดีกรีให้ลุงดูแทนคำตอบ  ลุงหาญได้แต่ส่ายหน้าไปมา  บ่นอุบอิบในลำคอไม่ได้สรรพ

     

            “ เออ.. แด๊กแม่งให้ตายไปเลยไอ้ห่า  ลุงล่ะไม่เข้าใจจริงๆ  เรื่องแค่นี้ทำไมเอ็งต้องทรมานตัวเองจนโทรมอย่างนี้ด้วยว๊ะ   งั้นลุงไปก่อน  ว่างๆก็ออกจากป่ามาหาป้าเอ็งบ้าง  เห็นบอกว่าคิดถึงเอ็งน่ะ  ไปนะโว๊ย ”

     

            ผมโบกมือลาแทนคำขอบคุณ  และกรอกเหล้าเข้าปาก  ก่อนที่จะหันมาสนใจกับจดหมายสีชมพูฉบับนั้นที่ส่งมา

     

    ใช่จริงๆ  มันจ่าหน้าซองถึงผม  “ ถึงคุณ นักรบ  สยบไพร ”  แต่ที่น่าแปลกก็คือ  ไม่มีที่อยู่ผู้ส่ง  มีแต่เพียงจ่าหน้าซองถึงผม  และตราไปรษณีย์ที่ตีตราเอาไว้

     

    ผมแกะซองฉีกอย่างลวกๆ  พบกระดาษใบหนึ่ง  พร้อมทั้งกลิ่นหอมฟุ้งที่ออกมาจากในกระดาษใบนั้น  ผมนึกขึ้นได้... นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้กลิ่นอย่างนี้ถ้าไม่เป็น.....

     

    “ สาวิตรี ”  หญิงที่ทำให้ชายผู้นี้ต้องช้ำรัก  จนต้องหนีความชอกช้ำใจมาอยู่ในป่าเขา  อันห่างไกลผู้คน

     

    “ นักรบ  อันเป็นที่รักของสาวิตรี  ต้องขอโทษด้วยที่ส่งจดหมายฉบับนี้มารบกวนใจ  ด้วยเรื่องราวที่ผ่านมา  สา ทำให้ รบ ต้องเจ็บช้ำใจเป็นอย่างยิ่ง  ด้วยสิ่งที่ สา ได้กระทำลงไป  จึงทำให้เราผิดใจกัน  แต่ สา ก็อยากจะขอโทษ รบ ด้วยใจจริง  ถึงสิ่งที่ สา ได้ทำผิดพลาดไปในครั้งนั้น ”

     

    ผมอ่านถึงตรงนี้  บอกตามตรงผมแทบจะขยำกระดาษใบนั้นทิ้งเสียโดยไว  เพราะคำๆว่า “ ขอโทษ ”  ที่ออกมาจากปากหญิงสองใจ  ที่ให้ใจชายได้ถึงสองคน  แล้วยังมีหน้ามาบอกอีกว่า “ สา..ทำพลาดไป  เออ...กูบอกได้เลยว่ามึงตั้งใจ  ไม่เช่นนั้น  ตบมือข้างเดียวจะดังได้ยังไง...??? ” 

     

    แต่สิ่งที่ผมสะดุดจนต้องอ่านต่อ  ก่อนที่จะขยำขยี้กระดาษใบนั้นให้พ้นๆตา  ก็คือข้อความที่มีใจความว่า

     

    “ สา มีเรื่องร้อนรนจนหาที่พึ่งที่ไหนไม่ได้  จึงต้องส่งจดหมายฉบับนี้มาหา รบ  ก็เพราะพี่ชายของ สา ได้ทะเลาะกับพ่อ  และหนีออกจากบ้าน  ได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว  ข่าวแว่วๆมาล่าสุด  มีคนเห็นว่า  พี่ชาย สา อยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี  แถวๆอำเภอทองผาภูมิใกล้ๆชายแดนพม่า  จึงเขียนจดหมายฉบับนี้  มาวอนขอให้ รบ ช่วย  หาก รบ ยังคิดว่า สา เป็นเสมอน้องสาว....  

     

    รัก “ นักรบ ”  เสมอพี่ชาย.......   

     

    ต้องยอมรับตามตรง  ว่าตอนนี้ในหัวผมมันฟุ้งซ่านไปหมด  หน้าชา  มึนตึงกับคำขอโทษจากหญิงหลายใจ  ไหนจะเป็นเรื่อง “ ไอ้อนาวิน หรือ ไอ้วิน ”  ที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน  และแถมยังเป็นพี่ชายของ สา เสียด้วย  ไหนจะเป็นเรื่องการขอร้องให้ตามหาคนหาย 

     

    หลายๆสิ่งมันรุมเร้า  ประดุงประดังกันเข้ามาในหัว  จนต้องกระดกเหล้าเข้าปากเสียหลายอึก  นั่งมึนตึงอยู่ที่เก้าอี้ไม้อันจงรักภักดี  ที่ไม่เคยหนีหายไปไหนเวลาที่จะนั่ง  แต่แล้วภาพที่เคยมีความสุขกับ สา ก็ปรากฏตรงหน้าเหมือนหนังสไลด์ 

     

    ย้อนไปเมื่อประมาณ  5  ปีก่อนหน้านี้  ผมเป็นหนุ่มดีกรีนักเรียนนอก  จบจากมหาวิทยาลัยบอสตัน  ประเทศสหรัฐอเมริกา  จนได้กลับมาเมืองไทย  จึงเข้ารับราชการตำรวจ  ด้วยยศ  “ ร้อยตำรวจตรีนักรบ  สยบไพร ”  จนได้มีเหตุมาพบกับหญิงอันเคยเป็นที่รัก  นามว่า “ สาวิตรี ”

     

    “ ช่วยด้วยค่ะ...  ช่วยด้วย.....  คนวิ่งราวกระเป๋าค่ะ ”

     

    เสียงหวีดร้องลั่นในแถบชุมชนย่านศูนย์การค้าแถวๆประตูน้ำ  ทำให้ผมซึ่งยืนซื้อกาแฟโบราณ  อยู่ที่ร้านลุงสมนึกเจ้าประจำ  ต้องหันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น  โดยไม่ต้องเดาเหตุการณ์  เพราะมีชายผู้หนึ่ง  รูปร่างผอมแกรน  สวมใส่เสื้อผ้ามอซอ  วิ่งหน้าตั้งไม่ดูหน้าดูหลัง  ไม่สนว่าใครจะขวางหน้า  พี่แกวิ่งแหวกวงล้อม  วิ่งไวอย่างกับไปแข่งกับใคร....

     

    แน่ล่ะ....  ไอ้นี่นั่นแหละที่วิ่งราวกระเป๋า  จนเป็นเหตุให้เจ้าทุกข์ต้องตะโกนอยู่เย้วๆ   ผมเข้าสกัดหน้าโดยเร็ว  มันทำท่าจะหลบฉากหนีไปทางซ้าย  บัดนั้นก็  “ ผั่วะ.......!!!! เลย ”  โครมเดียวนอนแหง๋แก๋อยู่กับพื้น  จะว่าด้วยความเร็วของมันที่พุ่งมา  บวกกับผมเคยเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นตอนเรียนมหาลัยในบอสตันก็ไม่เชิง  ที่ทำให้หมัดเดียวจอดไม่ต้องแจว

     

    ครู่เดียวเจ้าของเสียงร้องนั้นก็วิ่งเข้ามาถึง  แต่แล้วก่อนที่หล่อนจะกล่าวอะไร...  กลุ่มไทยมุง...  ก็ร่วมกันสหบาทาเข้าเต็มรัก  จนผมห้ามไม่ทัน...  ต้องเรียกว่าไอ้นั่นมันอ่วมอรทัยไปหลายเดือน

     

    “ นี่ครับ... กระเป๋าของคุณ... ”

     

    “ ขอบคุณค่ะ...  ขอบคุณคุณมากนะค่ะ ”

     

    “ ลองเช็คของข้างในดูก่อนครับ...  ว่าอยู่ครบถ้วนดีหรือเปล่า...?? ”

     

    “ ครบค่ะ... ถ้ากระเป๋าใบนี้หายไป  ฉันคงต้องเดือดร้อนเป็นแน่  ลำพังเงินนะไม่เท่าไหร่หรอก  แต่นี่มีเอกสารสำคัญอยู่ด้วย  ถ้าหายไปไม่รู้ว่าจะทำยังไงเลย  ต้องขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ  คุณ................ ”

     

    “ นักรบ หรือจะเรียกว่า รบ เฉยๆก็ได้ครับ ”

     

    “ แล้วนี่จะเอายังไงกับเจ้าหมอนี่ดีค่ะ ”

     

    “ ก็ต้องเอาไปขังให้หายซ่าเสียทีล่ะครับ  แต่ว่าต้องขอเชิญคุณไปเป็นพยานด้วยจะครับ  คุณ......... ”

     

    “ สาวิตรีค่ะ หรือจะเรียกว่า สา ก็ได้ ”

     

    เราไปถึงสถานีตำรวจ  เพื่อลงบันทึกประจำวันและแจ้งข้อหาให้ไอ้หนุ่มนั่น  ที่พึ่งโดนรุมประชาทันเมื่อหมาดๆที่ผ่านมา  ทำให้หน้าตายับเยินเขียวช้ำจนจำเค้าหน้าเก่าแทบไม่ได้  ยัดเอาเข้าซังเต  เพราะทำผิดแบบเต็มๆ

     

    “ เรียบร้อยแล้วครับ....  ทีนี้มันคงได้ไปสำนึกผิดอีกยาวเลยทีเดียว ”

     

    “ ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ....  ถ้าไม่ได้คุณรบ  ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี  คงได้แต่ร้องตะโกนให้คนช่วย ”

     

    “ ไม่เป็นไรครับ... ข้าราชการไทย  ย่อมเป็นที่พึ่งของประชาชนเสมอครับ....”

     

    “ นี่... นี่คุณรบเป็นตำรวจหรือค่ะ...??? ”

     

    “ ครับ.... ร้อยตำรวจตรีนักรบ  สยบไพร  ยินดีรับใช้ คุณสาวิตรี ครับ ”

     

    “ แล้วนี่.. คุณสาวิตรี....”

     

    “ สา..... เฉยๆก็ได้ค่ะ ”

     

    “ ครับ... คุณสา จะไปไหนหรือครับ...??? ”

     

    “ วันนี้ก็คงไปไหนไม่รอดแล้วล่ะค่ะ  เล่นเสียเวลาไปทั้งวันอย่างนี้  แต่เดี๋ยวซักพักพี่ชายสาก็คงมารับแล้วล่ะค่ะ ”

     

    “ พี่ชาย.... (หรือว่าแฟนว๊ะ...) ”

     

    “ นั่นไง...พี่สามาแล้ว ”

     

    ผมมองออกไปตามมือที่ชี้บอกของสา  และก็เป็นดังว่า  เพราะเห็นชายคนหนึ่งใส่สูทผูกไท  วิ่งหน้าตั้งมาเข้ามาที่ประตูสถานี

     

    “ สา... สา... สาเป็นยังไงบ้าง  มันทำอะไรเราหรือเหล่า...???  เจ็บตัวตรงไหนบ้างไหม...???  แล้วมันอยู่ไหน...???  พี่อยากดูหน้ามันซักหน่อย...  เผื่อว่าตำรวจจะปล่อยตัวมาให้กระทืบสักทีสองที  โทษฐานที่กล้ามาวิ่งราวน้องสาวพี่ ”

     

    “ ใจเย็นๆค่ะพี่วิน....  ตอนนี้เรื่องเรียบร้อยหมดแล้ว  และสาก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย  เงินและเอกสารต่างๆก็อยู่ครบ ”

     

    “ ถ้างั้นพี่ก็โล่งใจ...  เออ...!!!  แล้วไหนล่ะคนที่ช่วยสาไว้นะ ”

     

    “ นี่ค่ะพี่วิน....  คุณนักรบ  ที่ช่วยสาไว้ ”

     

    สายตาของวินหันมาพบกับแววตาคู่หนึ่ง  ซึ่งยืนจ้องมองอยู่นานพอดู  คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้าที่ไหน  แต่แล้วก่อนที่จะจำได้หรือนึกอะไรออก

     

    “ เฮ้ย...!!!  ไอ้รบ...  ไอ้รบเอ็งจำข้าไม่ได้หรือไงว๊ะ...ข้าอนาวินไง...?? ”

     

    “ อนาวิน...??? ”

     

    “ เออ...!!!  อนาวิน  ที่เรียนกับเอ็งตอน ม.ต้น ที่โรงเรียนเตรียมฯไงว๊ะ... ”

     

    “ อ๋อ.......!!  ไอ้วินเวอร์จิ้นนั่นนะน่ะ.. ”

     

    “ เออๆ..นั่นแหละ  แต่เดี๋ยวนี้ไม่จิ้นแล้วนะโว๊ย... 555

     

    “ เฮ้ย...  ไปไงมาไงว๊ะเนี่ยะ....  ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ”

     

    สาวิตรีได้แต่จ้องหน้า  มองตาทั้งสองหนุ่มพูดคุยกันตาปริบๆ  เพราะยังไม่รู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร  แล้ว อนาวิน หรือ วิน ก็ชิงตัดบทมา

     

    “ เอ๊าๆๆๆ.... ข้าว่าคุยกันยาวว๊ะ...  ไปๆ... ไปหาอะไรกินกันก่อน  จะได้คุยกัน ”

     

    “ ได้เพื่อน.... ที่ไหนตามใจนายเลย ”

     

    “ เออ....!!!???  ตกลงรู้จักกันหรือค่ะ ”

     

    “ ก็ต้องรู้จักซิ.... สา ก็ไอ้ รบ ที่มันวิ่งไล่แตะกับพี่..  สมัยที่เรายังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่เลย ”

     

    และนั่นก็เป็นเหตุเมื่อ  5  ปีก่อนที่ทำให้ผมและสาวิตรีได้รู้จักกัน  จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรือพรมลิขิตก็ตามที  แต่คนที่ชื่อ สาวิตรี คนนี้  ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปอย่างมากมาย   ผมซัดเหล้าเข้าปากไปอีกหลายอึกใหญ่  ทำใจให้ลืมในสิ่งที่นึกคิด  บอกตามตรง  เมื่อภาพต่างๆมันวิ่งเข้ามาในหัว  มันทำให้ผมจิตตกอย่างไรก็ไม่รู้  หดหู่.....  รันทด.......  รู้สึกเศร้าใจอย่างน่าประหลาด  มันเป็นห้วงเวลา..ประมาณไม่ถึง  10  นาทีเห็นจะได้  ที่ภาพเหล่านั้นมันวิ่งเข้ามา...

     

    แต่แล้วห้วงแห่งความนึกคิดก็ต้องสะดุดลง  เมื่อเสียง  “ เปรี๊ยง....!!!  ดังสนั่นหวั่นไหว  มันไม่ใช่แค่นัดสองนัด  แต่มันดังลั่นติดต่อกันอย่างกับพลุแตก  เรียกว่าน่าจะแลกกันยิงก็ว่าได้  ผมผุดตัวลุกขึ้นนั่ง  สดับหูฟัง  มันเป็นทางเดียวกับที่ลุงผมขี่รถเครื่องไป  บอกตามตรงใจผมตอนนั้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  กระโจนเข้าบ้านหยิบปืน  .357  แม็กนั่ม  สมิธแอนด์เวสสัน  ลูกโม่  6  นัด  เหวี่ยงขวดเหล้ากองไว้กับพื้น  กระโดดพุ่งทะยานตัวออกไปตรงที่เกิดเหตุแต่โดยเร็ว 

     

    เสียงปืนเริ่มซาหายเงียบไป  ใจผมยิ่งเต้นระทึก  เพราะเสี้ยววินาทีนั้น  มันช่างดูช้าเสียนี่กระไร  แต่แล้วเหตุการณ์ที่ผมไม่อยากนึก  ก็ปรากฏ.....

     

    (โปรดติดตามตอนต่อไป)

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น