Twilight Zone : New lease on life - นิยาย Twilight Zone : New lease on life : Dek-D.com - Writer
×

    Twilight Zone : New lease on life

    คุณจะต้องเอาใจช่วย "เธอ" และ คุณจะต้องหลงรัก "พวกเขา"

    ผู้เข้าชมรวม

    45

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    45

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  19 มี.ค. 58 / 00:00 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ฉันแต่งตัวช้าๆ พยายามถ่วงเวลาที่จะลงไปจัดการกับมื้อเช้าให้ได้มากที่สุดเพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ฉันไม่มีความสุขมากที่สุด การต้องรับมือกับผู้ร่วมขบวนการระดับสูงของไฮดร้าแต่ละคนตั้งแต่เริ่มวันใหม่นี่ไม่ใช่อะไรที่น่าพิสมัยเลย เพราะถ้ามันเฮงซวยวันนั้นทั้งวันของฉันก็จะมีแต่ความหงุดหงิดหัวเสีย ไอ้ระบบกระชับความสัมพันธ์ด้วยการทานมื้อเช้าด้วยกันทุกวันนี่น่าจะยกเลิกไปได้สามชาติแล้ว ไม่รู้รึไงว่ามันน่าเบื่อและอึดอัดแค่ไหน

    ฉันเดินทอดน่องออกจากโซนที่พัก ผ่านโซนแล็บและการวิจัยเพื่อการพัฒนาและทำลายล้างเข้าไปในห้องอาหารสุดหรูหราตั้งแต่แผ่นไม้ราคาแพงใต้พรมหนังสัตว์ไปจนถึงโคมไฟแก้วเจียระไนสุดอลังการ โต๊ะยาวกลางห้องมีอาหารนานาชาติรสเลิศสุดโอชาวางเรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ทั้งๆที่คนที่จะมากินแต่ละวันมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ฉันนั่งลงประจำที่เงียบๆ

    “คิดจะมาตรงเวลาซักครั้งมั้ยเนี่ย” คนที่นั่งเก้าอี้ข้างๆฉันพูดขึ้นลอยๆ

    ตาแก่ลูฟ คนที่วันๆไม่ทำอะไรนอกจากออกไปทำงานเชิงเตร่แล้วพาสาวๆกลับมาค้างด้วยคืนละครึ่งโหลจนฉันนึกสงสัยว่าที่นี่จะยังรักษาสถานภาพความเป็นฐานลับไปได้อีกนานแค่ไหนกว่าที่เซลด์จะรู้ไต๋หมอนี่แล้วซ้อนแผนเข้ามาป่วน ซึ่งระดับหน่วยเซลด์ออกโรงแล้วรับรองว่าระดับความเสียหายที่ฝากไว้คงทำให้คอมแมนเดอร์กระชากหัวต้นเหตุความวิบัติหลุดตดมือออกมาแบบไม่เสียดายความสามารถแน่ๆ แต่ก็นั่นแหละ ให้เขาออกไปข้างนอกบ่อยๆน่ะดีแล้ว ฉันไม่ชอบสถิตอยู่ในสถานที่ที่มีเขาอยู่ใกล้ๆซักเท่าไหร่ ลูฟกวนประสาทได้ขั้นเทพ ชอบทดสอบความอดทนของฉันด้วยสารพัดวิธีหยอกล้อยุแหย่อยู่บ่อยๆ จนช่วงปีหลังนี้ที่อาธีร่าย้ายเข้ามาประจำการกับเราอย่างเป็นทางการ เขาถึงยอมเว้นระยะห่างกับฉันไปบ้าง แต่ก็ไม่ตลอดหรอก อาธีร่าเป็นผู้หญิงของคอมแมนเดอร์และต้องออกไปทำงานภาคสนามบ่อยๆ เธอเลยอยู่ปกป้องฉันตลอดเวลาไม่ได้ เหมือนวันนี้แหละ ยิ่งเรนเนอร์ไม่อยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉันจะได้สิทธิ์การตกเป็นเป้าโจมตีของลูฟแต่เพียงผู้เดียว

    “คิดสิ” ฉันคลี่ผ้ากันเปื้อนวางลงบนตัก ทำตัวเฉยชาเฉยเมยใส่โดยไม่ต้องใช้ความพยายามแต่อย่างใด “แต่ทำไงได้ อยู่ใกล้คุณนานๆมันไม่เจริญอาหาร”

    ลูฟหัวเราะลั่น “เอาไว้ฉันจะยื่นเรื่องนี้เข้าวาระการประชุมอาทิตย์หน้าให้คอมแมนเดอร์พิจารณาอีกทีนะ”

    ” ฉันไม่สนใจ ไร้ประโยชน์ที่จะไปต่อปากต่อคำด้วย ยิ่งแสดงท่าทีว่าหัวเสียเท่าไหร่ลูฟก็ยิ่งจะเล่นแรงขึ้นเท่านั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือเลียนแบบเรนเนอร์ คือ ทำหูทวนลมไปซะ พอหมดสนุกเพราะเราไม่เล่นด้วยเดี๋ยวเขาก็เงียบไปเอง

    “ลูฟ เมื่อไหร่จะเลิกแหย่เธอซักที วันนี้คอมแมนเดอร์ไม่อยู่ เธออาจจะไม่มีเหตุผลให้ไว้หน้าคุณก็ได้นะ” ด็อกเตอร์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับลูฟพูดเสียงฟืดฟาดผ่านลำคอขณะเริ่มเลือกเมนูของหวานตรงหน้า เขาหยดสารบางอย่างที่ทำให้พวกมันละลายกลายเป็นเพียงของเหลวที่ไหลวนช้าๆในภาชนะลงไปแล้วใช้เข็มดูดขึ้นมา ก่อนจะบรรจงฉีดลงไปในเส้นเลือด ที่ต้องทำแบบนี้เพราะปากและอวัยวะทั้งหมดในนั้นของเขาใช้การไม่ได้แล้ว เสียงที่ได้ยินอยู่นี้ก็เป็นการฝังสิ่งประดิษฐ์บางอย่างเข้าไปในต้นคอ เชื่อมต่อมันเข้ากับเส้นประสาทแล้วทำให้มันดังออกมาทางลำโพงเล็กๆที่อยู่ตรงลูกกระเดือก

    “ถ้าอยากทำเธอคงทำไปนานแล้ว” ลูฟกระหยิ่มยิ้มย่องพูด ตาเป็นประกายวิบวับ จะเป็นยังไงนะถ้าได้ควักมันออกมาผ่าครึ่ง เอาซอสสปาเก็ตตี้ราดแล้วก็โยนออกไปเป็นของว่างฝูงฉลามแถวนี้ “แล้วเชื่อสิว่าฉันจะยอมให้เธอใช้ร่างกายที่สวยงามของเธอทำร้ายฉันแบบไม่ขัดขืนซักนิดเลย”

    “ไม่เอาน่า” บอมบาร์ดิเออร์พูดเมื่อเห็นว่าฉันกำมีดเงินในมือแน่นเกินพอดี จริงอยู่ว่าฉันไม่เคยปามีดมาก่อนแต่ครั้งล่าสุดที่ฉันขว้างปากกาใส่นักการทูตคนนึง มันก็พุ่งเข้าเสียบคอหอยของเขาพอดิบพอดีและเขานิ่งสนิทไปทันที ฉันเลยไม่คิดจะทำแบบนั้นอีกเลย จนกระทั่งถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงในวันนี้แหละ “อย่าทำให้เธอลุกออกไปตอนนี้เลย ให้เราได้ทานกับเธอนานๆซักมื้อตามลำพังเถอะ”

    “นั่นสิ โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อยหรอกนะ” ฟลายอิ้ง-เราท์พูดยิ้มๆ ฉันแน่ใจว่าเขากำลังประชดรับลูกกับคู่หูหัวโล้นก็เลยส่งสายตาเฉียบขาดไปให้ ทั้งคู่สบตาและยิ้มเยาะๆแบบรู้กัน ก่อนจะยักไหล่แล้วลงมือกินต่อ

    สาบานว่าวันนึงฉันจะทำให้สามคนนี้แสดงกิริยาหรือท่าทีแบบนี้กับฉันไม่ได้อีกไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม แค่เพียงเพราะฉันเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดและเข้ามาอยู่ในทีมหลังพวกเขามันไม่ใช่เหตุผลที่สมควรหรือฟังขึ้นที่จะใช้มาคอยราวีกันแบบนี้ มันก็จริงอยู่ที่ว่าพวกเขาไม่ได้มีอะไรอันตรายมากมายไปกว่าทำให้อารมณ์เสียและขุ่นเคืองได้ไม่เว้นแต่ละวัน แต่ไอ้การที่ไม่เว้นว่างเลยแต่ละวันนี่มันยังไม่มากพออีกหรอสำหรับคนที่ต้องรักษาสมาธิให้มั่นคง และฉันก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงซะด้วย

    “ช่าย โอกาสทองเลยหละ” ลูฟผิวปากเรียกบริกรหญิงที่คัดเข้ามาด้วยมาตรฐานของตัวเองกับมือมารินเครื่องดื่มให้ เธอส่งสายตาให้เขาและเขาตบบั้นท้ายเธอแรงๆ ฉันแทบจะถุยสเต็กทิ้งเพราะความรู้สึกบางอย่างที่บรรยายไม่ถูก แต่พอจะอธิบายได้แค่ว่าใกล้เคียงกับคำว่าสะอิดสะเอียนมากพลางนึกอยากให้คอมแมนเดอร์มานั่งกดดันให้เราต้องรักษามารยาทกันตรงนี้ด้วยจริงๆ “นินจาตัวขาวนั่นน่าจะกลับมาเร็วๆนะ ชักจะคิดถึงแล้วสิ”

    ใช่! น่าจะกลับมาได้แล้ว ปล่อยให้ฉันขลุกอยู่กับพวกบ้าอำนาจ บ้างานกับบ้ากามอยู่ได้ ระหว่างคนที่เย็นชาอยู่เสมอกับพวกที่ร่าเริงได้แต่ต้องเป็นแบบที่ต้องเบียดเบียนคนอื่นเท่านั้น อย่างแรกน่าจะทำให้เป็นบ้าได้ช้ากว่า ส่วนอย่างที่สอง หึ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าน่าจะทำให้ฉันกลายเป็นฆาตกรได้เร็วขึ้น

    “คิดเหมือนกันมั้ยล่ะ” ลูฟถามเสียงใส

    ” ฉันไม่ตอบโต้ใดๆ ได้แต่สูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพราะตั้งใจไปแล้วว่าจะสวมบทเป็นแม่พระผู้มีใจโอบอ้อมอารีซักสิบนาที แม่พระที่ดีต้องมีจิตใจงดงาม เมตตาและสงบนิ่ง...ใช่มั้ย

    “คงไม่ได้แอบไปหลีสาวอยู่ที่ไหนหรอกนะ”

    “ล้อเล่นรึเปล่า หมอนั่นมันกามตายด้านไปนานแล้วหละ ยังไม่แก่เท่าไหร่แท้ๆ อุตส่าห์หิ้วสาวงามกลับมาฝากก็ไม่เอา ของดีๆทั้งนั้น” เรื่องของเรื่องคือลูฟเคยหิ้วนางงามโลกกับรองสองคนกลับมากำนัลไวท์-ชาโดว์ หรืออีกชื่อที่ฉันเรียกจนเคยชินคือ เรนเนอร์ เนื่องในโอกาสที่เขาฆ่าล้างบางสไนเปอร์ของหน่วยเซลด์ไปได้สิบกว่าคนในคราวเดียว แต่แล้วเจ้าของความหวังดีที่ไม่มีประโยชน์นี้กลับพบพวกเธอในสภาพเละเป็นโจ๊กที่หน้าห้องของตัวเองในเช้าวันถัดมา

    “หรือไม่ก็มีของที่ดีกว่าอยู่แล้ว” ด็อกเตอร์กลับเข้าสู่วงสนทนาด้วยประโยคชวนขนลุกขนพอง ชายทั้งสี่คนหัวเราะคิกคัก ขนาดวินซ์ผู้เก็บตัวเพราะหวาดกลัวทุกอย่างรอบตัวก็ยังอมยิ้ม นี่ถ้าคนที่พูดไม่ใช่ด็อกเตอร์ ตอนนี้ฉันอาจจะมีลิ้นที่ช่วยเปล่งวลีแสลงหูนั้นออกมากำอยู่ในมือแล้วก็ได้ ไอ้พวกนี้ไม่หยุดพยายามที่จะจับคู่ฉันกับเรนเนอร์ซักที

    “น่าเสียดาย น่าเสียดาย”

    “จะพูดว่าเขาตาไม่ถึงก็คงไม่ได้สินะ”

    “ถูก!”  ลูฟดีดนิ้วเปาะ “คนเรามันมีสิ่งเร้าไม่เหมือนกัน หมอนั่นคงสปาร์คกับหญิงแกร่งที่สามารถฆ่าหั่นศพสามีบนเตียงได้ภายในสามวินาที”

    “ถ้าอย่างนั้น ผู้หญิงที่สามารถฆ่าเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารห้าคนได้ภายในเวลาสิบวินาทีก็คงน่าสนใจไม่แพ้กันสินะคะ” ฉันส่งยิ้มหวานหยดย้อยออกไปกับเจตนาชั่วร้าย ไม่มีใครพูดอะไรอีก

    ...

    “ลองยื่นใบสมัครไปสิ ฉันว่าเขาปลื้มเธอออกนะ” นอกจากลูฟ! และตอนนี้เองที่ฉันตระหนักได้ว่าตัวเองคงทนต่อความต้องการที่จะทำร้ายเพื่อนร่วมงานไม่ได้อีกต่อไปก็เลยวางช้อนกระแทกจานตามอารมณ์แล้วเดินตามด็อกเตอร์ออกมาจากห้องอาหาร

    “วันนี้ตรวจร่างกายนะ เวลาเดิม” ด็อกเตอร์พูดกับฉันที่หน้าประตูเหล็กกล้าแน่นหนาด้วยระบบป้องกันภัยที่เข้มงวดยิ่งกว่าห้องพักของคอมแมนเดอร์ซะอีก พอฉันตอบไปว่ารับรู้แล้วเขาก็หันไปสแกนดวงตา ตรวจลายนิ้วมือ พิสูจน์ดีเอ็นเอ รูดการ์ดแล้วหายเข้าไปในแล็บสุดล้ำที่รวบรวมวิทยาการไฮเทคในแบบที่มนุษย์โลกส่วนมากที่มีจินตนาการน้อยคงคิดไม่ถึงไม่ว่านวัตกรรมล้ำยุคมันก้าวหน้าไปได้ขนาดนี้แล้วเอาไว้มากมาย เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดก็ด็อกเตอร์นั่นแหละที่เป็นคนคิดค้นและพัฒนา

    จะเรียกว่าสุดยอดอัจฉริยะก็คงไม่ผิด ฉันไม่รู้ที่ไปที่มาของเขามากนัก ได้ยินแต่เราท์เคยเปรยๆว่าด็อกเตอร์ทำงานให้คอมแมนเดอร์มาหลายปีแล้ว และก็เป็นคนโปรดของคอมแมนเดอร์ซะด้วย เห็นได้จากการที่ถึงแม้จะมาทีหลังลูฟแต่ก็ได้นั่งที่เก้าอี้ฝั่งขวามือติดกับที่นั่งหัวโต๊ะของคอมแมนเดอร์บนโต๊ะอาหาร นี่เองที่ทำให้ฉันสะใจและแอบสมน้ำหน้าลูฟอยู่ไม่น้อย เพราะลึกๆแล้วฉันรู้สึกว่าตัวเองชอบด็อกเตอร์มากกว่าใครๆที่นี่ยกเว้นธีร่า แน่นอนว่าเขาไม่ได้ร่าเริงหรือเข้าหาง่ายเหมือนเธอ แต่อย่างน้อยเขาก็แสดงออกว่าใจดีและเป็นมิตรกับฉันอย่างเปิดเผยและจริงใจ ที่สำคัญคือฉันสามารถนับครั้งได้จริงๆว่ามีกี่ครั้งที่ด็อกเตอร์ทำให้ฉันรู้สึกอยากทำร้ายร่างกายเขา

    ฉันกลับเข้าห้องพักที่มีระบบรักษาความปลอดภัยเพียงสองอย่างคือผนังและประตู เดินตรงไปที่ระเบียงที่ถูกออกแบบเป็นพิเศษเพื่อกันน้ำและรองรับความดันแล้วไประบายอารมณ์แค้นที่ยังเหลืออยู่กับกระสอบทรายที่มีรูปหน้าลูฟแปะอยู่พอประมาณ พอทรายสังเคราะห์ทะลักออกมาแล้วร่วงกราวลงพื้นฉันก็หยุด ปัดผมยาวสยายให้ทิ้งตัวไปด้านหลังแล้วเดินไปนั่งลงบนเตียง

    ปลื้มฉันงั้นหรอ มันตัดสินใจยากอยู่นะว่าลูฟเอาตาปลา ตุ่มหูดหรือนิ้วเท้าที่เป็นเล็บขบคิด ก็รู้ๆกันอยู่ว่าเขาไม่มีหัวใจแล้วยังจะมาแหย่ฉันด้วยมุกฝืดๆที่ใช้ได้ผลเฉพาะกับพวกเส้นตื้นไร้สาระด้วยกันอีก ถึงเราจะโตมาด้วยกันมันก็ไม่ใช่ว่าเราจะผูกพันอะไรกันมากมายหรอก...เท่าที่จำได้ตอนนี้เรนเนอร์ไม่เคยแสดงออกถึงสิทธิพิเศษเล็กๆน้อยๆที่ฉันน่าจะมีในฐานะที่เป็นศิษย์น้องจากสำนักเดียวกันเลย ไม่มีความอ่อนโยน ไม่มีความห่วงใย ไม่มีความสนใจ ไม่มีคำแนะนำใดๆ และฉันเองก็มีแต่ความว่างเปล่าคืนให้ศิษย์พี่ผู้เย็นชาคนนี้เหมือนกัน เราต่างคนต่างอยู่ แต่การปฏิสัมพันธ์ของเราในแต่ละครั้งก็ไม่ได้แย่นัก เราจำเป็นต้องทำงานด้วยกันบ่อยๆเพราะคอมแมนเดอร์ไม่อยากให้ฉันลุยงานคนเดียว สไตล์การสู้ของฉันนั้นถือว่าเสี่ยงและอันตรายมากถ้าไม่มีคู่หูคอยระวังรอบข้างให้ ตัวฉันเองมั่นใจว่ารับมือไหวแต่คอมแมนเดอร์กับธีร่ารวมถึงด็อกเตอร์ไม่ต้องการความผิดพลาดหรือปัจจัยเสี่ยงแม้เพียงเล็กน้อย ดังนั้นทั้งหมดจึงรวมหัวกันทั้งบังคับ ข่มขู่และขอร้องเพื่อทำให้แน่ใจว่าแต่ละครั้งที่ฉันออกงานจะต้องมีเรนเนอร์พ่วงไปด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม ฉันไม่ได้รับสิทธิ์ใดๆให้ติดสอยห้อยตามเรนเนอร์เมื่อเขาออกไปทำงานทั้งสิ้น

    บรมยุติธรรมเลย

    ตอนนี้เรนเนอร์หายไปสามวันแล้ว ถือว่าเกือบจะผิดปกติเพราะงานที่ต้องใช้เวลามากๆหรือเป็นงานระยะยาวมักจะตกเป็นของลูฟหรือไม่ก็ธีร่า ส่วนงานที่เร่งด่วนฉันกับเรนเนอร์มักจะได้จัดการ เราสองคนทำงานคล้ายๆกัน แม้วิธีจะแตกต่างไปบ้างแต่เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จก็ไม่เหลื่อมล้ำกันเท่าไหร่ ฉันเลยไม่เข้าใจว่าทำไมคอมแมนเดอร์ถึงเลือกจะใช้บริการเรนเนอร์บ่อยกว่าเพราะไอ้อาการปวดหัวของฉันมันก็ยังควบคุมได้และไม่เคยเกิดขึ้นในเวลางานเลย

    “เฮ้ หวานใจ” เสียงทุ้มๆฟังดูร่าเริงดังขึ้นที่ประตูห้อง “รับงานเร็วเข้า”

    ฉันเดินทอดน่องไปเปิดประตู อาร์รอนยืนเก๊กหล่ออยู่ที่หน้าประตูและฉันคงทำสีหน้าไม่พึงปรารถนาอย่างรุนแรงออกไปเขาก็เลยเลิกเอามือเสยผมและยืนตัวตรงพร้อมกับกระแอมเบาๆอย่างวางท่า

    “น่าสนใจมั้ย” ฉันถามเรียบๆ

    “ก็...ดีกว่าอาทิตย์ที่แล้ว” เขายื่นกระจกแผ่นนึงมาให้ มันมีสัญลักษณ์ของไฮดร้าอยู่ด้านบน รูปกับชื่อของฉันอยู่ตรงกลาง ถัดลงมาคือแถบสแกนลายมือ ฉันใช้มือซ้ายวางทาบลงไปด้วยความเคยชิน มีตารางและตัวอักษรโผล่ดันรูปของฉันขึ้นไปจนติดขอบด้านบนเรียงกับเครื่องหมายการค้าของเรา “คิดว่าไง”

    ฉันนิ่วหน้า “ขอดูของเรนเนอร์หน่อยสิ”

    “ไม่ได้ ลับสุดยอด” อาร์รอนทำหน้าตาขึงขังแบบที่มีนัยให้ต้องถามต่อ

    “อะไรอีกล่ะ” ฉันโพล่งออกไปด้วยความรำคาญมากกว่าจะเป็นระมัดระวัง หมอนี่ไม่มีพิษภัยอะไรหรอก หน้าที่การงานก็ไม่ได้เลิศเลอเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าสำคัญพอตัว อย่างน้อยหมอนี่ก็ช่วยจัดระเบียบเรียบร้อยให้เราแต่ละคนและตอบคำถามฉันได้ว่าวันไหนบ้างที่ฉันจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับลูฟ เห็นมั้ยล่ะ ทีตาแก่นี่ยินดีที่จะบอก ให้นัดรัฐมนตรีซักกระทรวงมาออกแถลงการณ์ให้ชาวโลกรับรู้หมอนี่ก็ทำได้ แต่กับเรื่องของเรนเนอร์น่ะคนละมาตรฐานกันเลย เป็นมาตรฐานที่ต่างกันลิบลับที่ซึ่งฉันยังควานหาเหตุผลดีๆมารองรับหรือสนับสนุนไม่ได้

    “ต่อรองกันได้นะ จะเป็นดูหนังหรือดินเนอร์ดี” อาร์รอนทำหน้ากรุ้มกริ่มแบบที่สาวๆคนอื่นเห็นคงต้องใจละลายและตอบรับคำชวนของเขาแบบไม่เสียเวลาคิด แต่กับฉันมันไม่เคยได้ผล ถึงอย่างนั้นหมอนี่ก็ไม่เคยละความพยายามเลยเหมือนกัน เว้นแต่ตอนที่ฉันมีบังเอิญมีเรนเนอร์โฉบไปเฉี่ยวมาอยู่ใกล้ๆ “เดินเล่นแถวนี้ก็ได้เอา”

    “ขอร้อง เลิกพยายามเหอะ ไม่เหนื่อยมั่งรึไง” ฉันเลื่อนๆดูตารางงานและรายละเอียดต่างๆบนจอระบบสัมผัส

    “แล้วเธอไม่เพลียที่ต้องฝืนธรรมชาติบ้างหรอ ใครๆก็ชอบชั้นทั้งนั้นนะ” ฉันเบ้ปากนิดๆ ไม่ใช่เพราะหมั่นไส้ที่เขาพูดอะไรเกินจริงไปหรอก แต่เพราะอยากยั่วให้เขาเสียเซลฟ์ต่างหาก อาร์รอนเป็นผู้จัดการบวกกับเลขาฯมนุษย์หน้าตาดีที่ทรงเสน่ห์ของเหล่ากองกำลังไฮดร้าระดับสูง คอยจัดสรรและดูแลเรื่องกำหนดการและการออกงานของแต่ละคน ด้วยความที่ทำงานเก่ง บุคลิกดีมาก อัธยาศัยดีไม่มีใครเกินและต้องพบเจอผู้คนมากมาย เรียกได้ว่าป๊อปปูล่าเอามากๆ ผู้ชายครึ่งนึงและผู้หญิงเกือบทุกคนที่นี่จึงกลายเป็นพันธมิตรที่ดีต่อเขาในแบบที่ถ้าจะมีใครซักคนที่คิดว่าจะสามารถจะต่อต้านและโค่นล้มอำนาจคอมแมนเดอร์ได้ หน้าหล่อๆของหมอนี่น่าจะลอยมาเต็งหนึ่ง “เธอผิดปกติรึไง”

    “ไม่นะ มีอะไรตรงไหนบอกว่าชั้นเกลียดนายหรอ”

    “ช่างเถอะ” เขาถอนหายใจหนักหน่วงด้วยความเบื่อหน่ายแล้วเดินจากไป ฉันว่าคงหัวเสียเอาการอยู่ ถึงจะเป็นต้นเหตุแต่ฉันไม่แคร์หรอก อีกไม่ถึงครึ่งวันหมอนี่ก็พร้อมมากวนฉันอีกรอบแล้ว

    คัดคนกับเราท์ ข่มขู่ รีดข้อมูล เทรนด์หน่วยบริเกด-แบล็ค เข้าคอร์สยิงปืน ฟิสเนสส์ กายกรรม...หืม กายกรรม!? บ้าไปแล้ว แบบนี้มันไม่เรียกว่าหวังดีอยากให้พักหรอก จงใจบอยคอตกันมากกว่า! คิดแล้วฉันก็ไปที่ห้องพักของเรนเนอร์ทันที เขาไม่อยู่ เพราะนั้นอาร์รอนก็ต้องเอาตารางไว้ที่นั่นและฉันจะไปฉกเอามา

    ห้องของเรนเนอร์อยู่ห่างออกไปประมาณสิบเมตร เราเป็นเพื่อนบ้านกัน อยู่ในโซนเดียวกันเพราะงั้นระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีที่สุดของเขาก็มีแค่ลูกบิดประตูที่ไม่เคยล็อคเลยนั่นแหละ แต่ฉันไม่จำเป็นต้องเข้าไปหรอก ไม่เคยคิดอยากจะเข้าไปด้วย จากนิสัยและบุคลิกของเขาคงเดาสภาพห้องได้ไม่ยาก เรียบๆ สะอาดๆและเต็มไปด้วยสรรพอาวุธและบางทีอาจจะมีหุ่นลงนวมรุ่นใหม่เอี่ยมอ่องของด็อกเตอร์นอนตายอยู่ด้วยก็ได้ เรนเนอร์ฆ่าพวกมันวันละเป็นร้อยๆตัวในวันที่ไม่ได้ออกไปไหน และวันนั้นจะเป็นวันที่ฉันปลีกตัวออกไปซ้อมฝึกฝนวิชาที่ห้องต่างหากเพราะฉันอดเสียดายงบไม่ไหว อีกเหตุผลคือเจ้าหุ่นลงนวมพวกนี้มีเลือดมีเนื้อมีสมองและเกือบจะมีชีวิต ฉันทนเสียงกรีดร้องโหยหวนและเลือดที่เจิ่งนองไปทั่วพื้นห้องไม่ได้ ลูฟเคยแกล้งโปรแกรมพวกมันให้สแตนด์บายในโหมดไซเลนท์-โรบ็อท คือเงียบและปราศจากเลือดก่อนจะทุบรีโมททิ้ง เรนเนอร์เลยเปลี่ยนเป็นซ้อมขว้างฝูงดาวกระจายใส่เขาแทน

    โอ๊ะ?! นั่นไง อาร์รอนทิ้งตารางงานเอาไว้ในกล่องจดหมายดิจิตอลหน้าห้องเขาที่เพียงแค่มีรหัสก็สามารถเปิดกล่องได้และฉันรู้รหัสที่ว่าเพราะเจ้าเครื่องนี้เคยเป็นสมบัติของฉันมาก่อน พอมีเวอร์ชั่นใหม่กว่าออกมาฉันก็มันโละทิ้ง ด็อกเตอร์ยัดเยียดมันให้เรนเนอร์เพราะเขายังไม่มี ลงเอยด้วยเขายอมใช้มันในที่สุดแต่ไม่คิดจะเปลี่ยนรหัส เพราะงั้นก็เสร็จโจร! ฉันกดรหัสแล้วดึงแผ่นกระจกใสออกมาอย่างรวดเร็วและเงียบกริบแล้วกลับเข้าห้องก่อนที่อาร์รอนจะเดินออกจากพรมที่หน้าห้องนั้นซะอีก

    ฉันต้องการเห็นตารางงานของเรนเนอร์ แน่นอนว่าฉันไม่มีมือของเขาสตาฟฟ์ไว้ในหลอดทดลอง แต่มันไม่ใช่ปัญหาที่แก้ยากอะไรหรอก มินิไฟร์วอลล์ที่ป้องกันข้อมูลทั้งหมดในนี้เจาะง่ายขนาดที่ว่าคนบรมโง่วิทยาการไฮเทคอย่างฉันยังแฮ็คได้ง่ายๆ แล้วตอนนี้ฉันก็เชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับเครื่องของฉันเรียบร้อย อาร์รอนอัพเดทมันเมื่อไหร่ฉันก็จะรู้ด้วยทันทีแต่เรนเนอร์จะไม่รู้เห็นข้อมูลของฉันเพราะฉันตั้งไพรเวทเอาไว้

    ดูนี่สิ เขาได้งานดีๆทั้งนั้น ปล้นตัวนักโทษ ช่วยตัวประกัน ลอบฆาตกรรม ถล่มฐานเซลด์ คุ้มกันด็อกเตอร์ หึ! ได้เล่นของแรงตลอดแต่ฉันกลับต้องมาติดแหง็กอยู่กับกำลังพลของเราท์ ต้องเข้าฟิตเนสส์ ต้องฝึกกายกรรม ยุติธรรมมาก! เห็นแบบนี้แล้วยอมง่ายๆคงไม่ใช่ฉัน แต่การโวยวายหรือตีโพยตีพายก็ไม่ใช่แนวของฉันเหมือนกัน

    อดัม” ฉันเรียกเลขาฯส่วนตัวของฉันที่ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ซักเท่าไหร่ ยกเว้นช่วงหลังๆที่ฉันไม่ได้ออกไปไหนและไม่มีอะไรน่าสนใจให้ทำนี่แหละ “อีกกี่นาทีถึงเวลานัดด็อกเตอร์”

    “อีกครึ่งชั่วโมงครับเจ้านาย” เสียงที่ตอบมาเป็นน้ำเสียงสดใสของระบบดิจิตอลหลังจากประมวลผลข้อมูลแล้ว แต่ก่อนเสียงโหดกว่านี้แต่ฉันปรับซะใหม่เพราะเสียงออริจินัลนั้นทำให้รู้สึกเหมือนคุยกับเจ้านายมากกว่าเลขาฯ ถูกต้องแล้ว เลขาฯของฉันไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นกึ่งเครื่องจักรที่ทำงานเป็นระบบด้วยโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ผลงานที่ด็อกเตอร์ใช้เวลากว่าหกเดือนสร้างสรรค์ขึ้นมา

    “ติดต่อไป บอกว่าถ้าไม่ติดอะไรขอเป็นอีกห้านาที”

    “ได้ครับ” อดัมใสซื่อ ว่าง่ายและไม่ขัดใจฉันถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ ฉันปลื้มเจ้าเลขาฯเครื่องนี้ที่สุดเพราะไอ้ตัวก่อนหน้านี้เข้ากับฉันไม่ได้เลย เมื่อขอเปลี่ยนแล้วไม่ได้รับการอนุมัติที่ทันใจฉันก็เลยทุบทิ้งไปสองสามตัวเพราะทนรำคาญไม่ไหว แน่นอนว่าฉันโดนคอมแมนเดอร์เรียกไปตำหนิและโดนด็อกเตอร์โกรธอยู่นาน แต่ติดอยู่นิดเดียวที่คนที่มาวินคือไวท์ชาโดว์ผู้เกรียงไกร ฉันที่รั้งมาแค่ที่สองเลยแอบโดนเฉ่งไม่เท่าไหร่ ต้องขอบคุณเขานะ ตอนนี้เขาเองก็ได้เลขาฯใหม่ที่เข้ากันได้เพราะมีเลเวลความโหดพอๆกันไล่เลี่ยกับที่ฉันได้อดัมมา ทุกอย่างเลยคงตัวมาพักใหญ่แล้ว ฉันว่าอีฟนิสัยดีนะ เธอแวะมาหาอดัมบ่อยๆเพราะเหงา ฉันเลยได้รู้ว่าเธอนี่เองที่เป็นสาเหตุของกองเนื้อมนุษย์ที่หน้าห้องลูฟ คงเพราะแบบนี้ด้วยแหละฉันถึงไม่ค่อยอยากเสวนาด้วยน้ำเสียงปกติกับเรนเนอร์ถ้าไม่จำเป็นหรือลืมตัว รวมถึงสั่งห้ามอดัมไม่ให้อีฟเข้ามาตอนที่ฉันหลับอย่างเด็ดขาดด้วย

    “นี่ข้อมูลใหม่นะ ช่วยอัพลงฐานข้อมูลด้วย” ฉันวางตารางงานลงบนเตียงแล้วไปค้นตู้เสื้อผ้าที่ละลานตาไปด้วยแฟชั่นสีแดงเพลิงตั้งแต่เฉดที่อ่อนที่สุดไปจนถึงจัดจ้านที่สุด สีโปรดของฉันเลยหละ

    “ด็อกเตอร์ยืนยันมาแล้วครับ อีกห้านาที”

    “อืม” ฉันสวมเสื้อแขนยาวทับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นแล้วออกเดินทางเพราะกว่าจะไปถึงก็ใช้เวลาเกือบห้านาทีพอดี จริงๆฉันจะวาร์ปหรือใช้ลิฟต์ก็ได้ ถ้าไม่ติดว่าฉันจะอาการน่าห่วงมากกว่าเดิมจนด็อกเตอร์ต้องให้ยาแก้แพ้ นี่เป็นอีกเรื่องที่ลูฟล้อฉันบ่อยๆ ประมาณว่าถ้าเริ่มที่เรนเนอร์ไม่ฆ่าผู้หญิงเมื่อไหร่ก็จะตามด้วยฉันเมาลิฟต์ต่อทันทีเพื่อให้ครบเซทและไม่ขาดอรรถรส ไอ้การที่สุภาพบุรุษชุดขาวแบบเรนเนอร์ไม่เอาชีวิตสตรีเพศผู้อ่อนแอกว่าน่ะพอจะเข้าใจได้ แต่เรื่องสตรีเพศผู้เลื่องชื่อลือกระฉ่อนไปสี่ทวีปแบบฉันอ้วกทุกทีที่เข้าลิฟต์หรือใช้วาร์ปบ็อกซ์นี่นะ...

    อีกอย่างฉันต้องแวะเอาตารางงานไปคืนเจ้าของด้วย ฉันไม่รู้ว่าเขาจะโกรธรึเปล่าที่แอบจิ๊กตารางงานของเขาไปดูแล้วแอบตั้งค่าใหม่ ที่แน่ๆคือเขาคงไม่ชอบให้ใครยุ่งกับเรื่องส่วนตัว ดูจากที่ใครๆชอบถามที่มาของเขากับฉันก็คงพอจะยืนยันทฤษฎีนี้ได้บ้าง

    ฉันเคาะประตูห้องตรวจ กล้องคงจับภาพฉันและส่งเข้าไปรายงานด็อกเตอร์เพราะไม่ถึงสามวินาทีประตูเหล็กก็ไขรหัส ปลดล็อคแล้วเลื่อนเปิดออก ด็อกเตอร์นั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงานพร้อมแฟ้มประวัติสุขภาพของฉัน

    “มีอะไรรึเปล่า ปวดหัวอีกหรอ”

    “เปล่าค่ะ” ฉันขึ้นไปนั่งหย่อนขาบนเตียงผู้ป่วย “แค่สงสัยว่าตัวเองจะแย่ลงไปกว่านี้เปล่า”

    “หมายความว่าไง แย่ไปกว่านี้ เธอแข็งแรงขึ้นทุกวันนะ” ด็อกเตอร์หยิบเข็มและเครื่องมือแพทย์มาฉีดและแปะเข้ากับร่างกายของฉันแล้วหันไปมองหน้าจอที่เริ่มแสดงผลเป็นตัวเลข กราฟแท่ง กราฟวงกลมและเส้นกราฟขีดขึ้นขีดลงชวนลาตายที่ฉันดูยังไงก็ไม่เข้าใจ “รู้สึกแย่ลงหรอ”

    “ค่ะ แย่มากขึ้นทุกวัน ทำไมมีแค่เรนเนอร์ที่ได้ออกไปข้างนอกบ่อยๆ” ด็อกเตอร์หรี่ตาข้างที่ไม่ถูกหน้ากากปิดไว้มองฉันแล้วกอดอก ฉันพรรณนาต่อไปว่าเหลือความอดทนให้กับสถานการณ์อันน่าเบื่อนี้อีกน้อยนิดแค่ไหน

    ด็อกเตอร์แค่นหัวเราะ ก็คงเป็นเสียงหัวเราะล่ะนะ ถึงมันจะฟังแล้วโคตรเหมือนเสียงสำลักก็ตาม “โออาร์ รู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองเป็นบุคลากรที่สำคัญกับไฮดร้าแค่ไหน” เขาพูดอย่างอ่อนโยน

    “คิดเอาเองว่าน่าจะมากกว่าที่จะเก็บไว้ในกรุให้สนิมเกาะนะคะ” ฉันไม่ได้ตั้งใจจะประชดหรอก นี่ยังถือว่าซอฟท์แล้ว ลองเป็นคนอื่นสิ ฉันจะหลอกด่าเจ็บแสบกว่านี้อีก ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคอมแมนเดอร์ฉันก็จะพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงแบบนี้แหละ ถึงคอมแมนเดอร์จะไม่พอใจฉันแต่ยังไงธีร่าก็ต้องเข้าข้างฉัน สุดท้ายคอมแมนเดอร์ก็จะใจอ่อนและเชื่อเธอว่าทั้งหมดเป็นเพราะปัจจัยที่ฝืนธรรมชาติไม่ได้ นั่นคือฉันยังเด็ก นี่แหละข้อดีของการมีอายุน้อยๆ เอะอะอะไรผู้ใหญ่ก็จะโทษวุฒิภาวะโดยเอามาตรฐานของคนทั้งโลกเป็นเกณฑ์ ซึ่งฉันไม่เคยนับรวมตัวเองด้วยซักครั้ง มันใช้กับฉันหรือพี่ๆน้องๆร่วมสถาบันไม่ได้ หลายคนอาจจะไม่ชอบเวลาใครหาว่าเราเด็ก เป็นแค่เด็กหรือทำอะไรแบบเด็กๆ แต่ฉันไม่ซีเรียสนะ ฉันชอบให้คนทั่วไปประมาทฉันไว้ก่อนแล้วค่อยมาทึ่งกับตัวฉันทีหลังมากกว่า

    ด็อกเตอร์พยักหน้าแล้วถอนหายใจ “แล้วจะบอกคอมแมนเดอร์ให้” ฉันยิ้ม “แลกกับที่เธอจะใส่หูฟังและเครื่องติดตามที่จะวัดความดัน คลื่นสมอง อัตราการเต้นของหัวใจ ความเข้มข้นของเลือด บลา บลา บลา แล้วส่งข้อมูลตรงมาให้ฉัน”

    “เอาแค่หูฟังก็พอค่ะ” ฉันหลุดปากต่อรองออกไปแบบไม่คิดหลังจากหุบยิ้มฉับเมื่อได้ฟังข้อต่อรองของด็อกเตอร์ ถ้าจะครบชุดแบบนั้นไม่ติดเครื่องช่วยหายใจ เครื่องฟอกเลือดตับฟอกไตฟอกไขสันหลังเป็นจัมโบ้เซทไปเลยล่ะ ว่าก็ว่าเถอะ ฉันยอมนอนตากแอร์ตีพุงกินเงินเดือนอยู่ที่นี่ดีกว่าออกไปผจญโลกกว้างในสภาพเหมือนคนป่วยใกล้ลาโลกแบบนั้น ศัตรูฉันคงรู้สึกเป็นเกียรติน่าดูถ้าได้ตายด้วยน้ำมือคนที่มีสภาพโคม่าอย่างนั้นน่ะ

    ฉันคงแสดงความรู้สึกแหยงออกทางสีหน้าได้ลึกซึ้งถึงอารมณ์มากจนด็อกเตอร์ตกลงยอมรับเงื่อนไขนั้นแล้วหันไปวุ่นวายกับยาที่ต้องฉีดเพื่อรักษะและบรรเทาอาการปวดหัวอย่างรุนแรงเรื้อรังให้ฉัน

    “รอบนี้เจ็ดเข็มนะ” ด็อกเตอร์ป้อนข้อมูลให้คอมพิวเตอร์ช่วยผสมยาเพื่อความถูกต้องแม่นยำ

    “ค่ะ” กี่เข็มก็รับได้ แต่มันสยองนิดหน่อยตรงที่ต้องฉีดเข้าไปในกะโหลกโดยตรงนี่แหละ พอครบเจ็ดเข็มแล้วฉันก็ต้องฉีดยากระตุ้นการไหลเวียนและสร้างเม็ดเลือดอีกสามเข็ม ฉันจะเปลี่ยนเป็นกินยาแทนก็ได้แต่มันทั้งเยอะ แบบว่ากินครั้งเดียวอิ่มข้าวไปเลยหนึ่งมื้อ ทั้งได้ผลช้ากว่าและมีโอกาสสูงลิบลิ่วที่ฉันจะลืมกินให้ต่อเนื่องถึงจะมีอดัมคอยเตือนแล้วเตือนอีกก็ตาม

    “เรียบร้อย” ด็อกเตอร์ประกาศ ฉันเด้งตัวลุกจากเตียงทันทีแล้วโดดลงไปยืนบนพื้นห้อง โงนเงนนิดหน่อยพร้อมกับรู้สึกว่าร่างกายสกปรกและอ่อนแอขึ้นเล็กน้อยแม้สิ่งที่เพิ่งถูกฉีดเข้าไปจะคือสิ่งที่ช่วยให้ฉันดำเนินชีวิตได้ตามปกติระวังหน่อย อาการดีขึ้นก็ไม่ใช่ว่าจะหายดีทันทีเลยนะ

    “ขอบคุณค่ะ” ฉันพูด ใช้แขนขวากอดขอบคุณตามธรรมเนียมแบบลวกๆ ด็อกเตอร์ตบไหล่ขวาฉันเบาๆแล้ววาร์ปกลับไปทำงานต่อที่ห้องแล็บ ปล่อยให้เลขาฯจัดการเก็บเครื่องมือและแฟ้มต่างๆแทน

     

    ฉันเตร่ไปขลุกอยู่ที่ห้องซ้อมเพื่อบริหารร่างกายให้ยามันเข้าที่เข้าทางซักหน่อยแล้วค่อยไปที่โซนปกครองของเราท์ ฉันมาก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง ว่าที่สมาชิกชุดใหม่ของเรากำลังฟิตร่างกาย เห็นหุ่นและกล้ามตอนพวกเขาวิดพื้นแล้วเพลี๊ยเพลีย ผู้ชายพวกนี้แต่ละคนคงสูงไม่ต่ำกว่าหกฟุต หนักไม่ต่ำกว่าร้อยเก้าสิบปอนด์แน่ๆ แล้วเราท์จะจัดเอามาไล่บี้ฉันที่หนักไม่ถึงร้อยปอนด์แล้วสูงแค่ห้าฟุตครึ่งเนี่ยนะ ฟังดูสูสีจังเลย

    “เป็นไง หน่วยก้านพอใช้ได้มั้ย” เราท์ตะโกนมาถามจากบนเวทีชั่วคราวยกพื้นสูง ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเขาก็พูดต่อ “ครั้งนี้ขอเป็นรอบละห้าคนนะ สามคนฉันว่ามันยากไปหน่อย ตอนนี้เราต้องการแรงงานคนเยอะแต่คุณภาพต้องไม่ตก เอาเน้นๆเลยนะ คัดแทนไวท์ชาโดว์ด้วย”

    ฉันพยักหน้าทื่อๆ ข่าวใหม่ที่ว่าเขาจะให้ผู้ชายตัวเขื่องห้าคนมาเล่นกับฉันในคราวเดียวไม่ได้ทำให้ฉันตื่นเต้นตกใจอะไรเลย ดีซะอีก จะได้รีบๆเสร็จแล้วฉันจะได้กลับไปนอนกลางวัน

    “พวกเขาสมัครใจเข้ามาหรอคะ”

    “ใช่ กระตือรือร้นมากเลยหละ ส่วนใหญ่เป็นมือปืนรับจ้างจากออสตาว่ากับทหารปลดประจำการจากไอโอแลนด์” ฉันพยายามชะเง้อมองหาพลโลกที่เป็นชาวผิวขาวเหลืองเหมือนกัน ออสตาว่าเป็นประเทศที่สาม มีแต่ความยากจนและสงคราม ส่วนไอโอแลนด์ก็เป็นประเทศปิดที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ

    “ไม่รู้เลยว่าไอโอแลนด์ให้สวัสดิการทหารดีขนาดนี้แล้ว” นั่นสิ ไม่อยากจะเชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับประเทศที่เห็นว่านิวเคลียร์กับทหารสำคัญกว่าประชาชนและอาหาร

    “พูดให้กระชับน่ะ เอาเต็มๆคือปลดประจำการตัวเองออกมา”

    “นี่พวกเขาคิดว่าหันมามาท้าสู้กับเซลด์และคนทั้งโลกดีกว่าการป้องกันประเทศเกิดหรอ” ฉันมองเห็นเพื่อนบ้านชาวลีออเรี่ยนเกือบสิบคนวิดพื้นปะปนอยู่กับพวกผิวขาวแบบแอเรียสและผิวคล้ำแบบธอร์นทัส

    “คิดว่าเราดูแลพวกเขาดีกว่ารัฐบาลหัวรุนแรงที่ทิ้งมาต่างหาก”

    ฉันยิ้มขื่นๆออกมา ก็ถือว่าเก่งพอดูแหละนะที่หนีออกมาจากประเทศมหาโหดนั่นได้ แต่ที่แย่คือพวกเขาไม่รู้ว่ากำลังมาสมัครเข้าหน่วยรบที่ฝึกโหดและอันตรายติดอันดับโลก “เริ่มเมื่อไหร่ดีคะ ฉันเพิ่งฉีดยามาน่ะ”

    “ตอนนี้เลยก็ได้” เราท์หันไปตะโกนออกคำสั่งกับผู้มาคัดตัวทุกคนให้เข้าแถวตอนห้าคน เรียบร้อยภายในห้าวินาที ดูคร่าวๆน่าจะมีประมาณห้าแถว “ทั้งหมดยี่สิบห้าคน ผ่านการตรวจร่างกาย การสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์และทกสอบภาคปฏิบัติมาหมดแล้ว เหลือแค่ด่านสุดท้ายกับเธอ”

    “ไม่ต้องทดสอบจิตวิทยาก่อนหรอคะ” ฉันสงสัย ปกติเราจะเข้มงวดและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ไม่ว่าคุณจะเก่งกาจแค่ไหนแต่ถ้ามากับสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงพร้อมจะแปรพักตร์ได้ทุกเมื่อหากได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าหรือพร้อมจะปูดความลับได้เมื่อที่ถูกจับทรมานเราก็พร้อมจะเขี่ยทิ้งทันทีเหมือนกัน

    “ด็อกเตอร์คนเก่งของเราจะจัดการเรื่องนั้นเอง เค้ามีของเล่นใหม่น่ะ”

    ฉันพยักหน้าทื่อๆ “ทดลองเมื่อไหร่ชวนด้วยนะคะ”

    “ได้ตามนั้น”

    “งั้นเรามาเริ่มกันเลย” ฉันเดินลงไปประจันหน้ากับกลุ่มแรกที่เดินเข้ามายืนประจำที่ในสังเวียนของเรา สนามพลาสติกขนาดห้าคูณห้าเมตร แค่ให้พวกนั้นยืนก็กร่างจนจะเต็มพื้นที่แล้ว ตัวโคตรยักษ์เลย

    “กฎคือ จับตัวเธอให้ได้ภายในหนึ่งนาทีแล้วล็อคไว้ด้วยกุญแจมือนี่” มีคนเอากุญแจมือสีดำเงางามชนิดที่ขนาดเรนเนอร์ยังต้องใช้เวลาเกือบสามนาทีกว่าจะหลุดออกมาได้ในการทดสอบไปแจกจ่ายให้ผู้คัดตัวแต่ละคน ทุกคนดูประหลาดใจแต่ไม่ได้ยิ้มเยาะใส่ฉัน อันที่จริงแล้วเกือบครึ่งนึงด้วยซ้ำที่หันมามองฉันพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียดแบบไม่ค่อยเชื่อหู และไม่มีใครเลยที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีความมั่นใจเต็มที่ในสิ่งที่จะต้องทำเพราะพวกเขาคงไม่รู้จักหรือเคยได้ยินกิตติศัพท์ของฉันมาก่อน ฉันตีหน้าใสซื่อต่อไปเพราะอารมณ์ดีที่คราวนี้เราท์อาจจะได้ลูกสมุนฉลาดๆไปประดับบารมีเพิ่มขึ้นแล้ว “ใครทำได้จะได้เข้าหน่วยบริเกด-เรดทันที ส่วนใครที่ยังยืนหยัดครองสติอยู่ได้หลังหมดเวลาจะถูกรับเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของหน่วยฟลายอิ้งฟอร์ซหรืออาร์มฟอร์ซทันทีที่ผ่านการคัดแยกอีกครั้งหลังจากนี้ ใครหลุดออกจากสนามถือว่าหมดสิทธิ์และเชิญลากสังขารกับกระเป๋าไปรับตั๋วกลับบ้านได้ที่ประชาสัมพันธ์ มีคำถามมั้ย”

    มีคนเคยทำสำเร็จมั้ยครับ ใส่กุญแจมือน่ะ

    เจ้าถิ่นทุกคนที่อยู่ใกล้พอจะได้ยินคำถามฉีกยิ้มกันอย่างพร้อมเพรียง

    “ไม่มี โชคดีพลทหาร”

     

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น