ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สวรรด์บันดาล

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 433
      0
      25 ก.พ. 54

    บทที่ 1

     

    การตกแต่งจัดวางเรียบง่ายแต่ไม่ขาดความงามเรียบหรู บนโต๊ะไม้จันทน์มีกระดาษซึ่งปรากฏลายมืออ่อนช้อยเรียวยาวที่เขียนด้วยน้ำหมึกและพู่กันคลี่กางไว้แผ่นหนึ่ง อากาศในช่วงย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงเจือไอเย็นเล็กน้อย ยังมีกลิ่นยาอ่อนจางกำจายอยู่ในอากาศอีกด้วย

    เมื่อลั่วเทียนหยางตื่นขึ้น ที่ได้เห็นก็คือสภาพแวดล้อมอันแปลกตานี้

    เขาขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นนั่ง ครั้นก้มลงมองก็พบว่าตนสวมอาภรณ์สีขาวล้วน เรียวคิ้วจึงขมวดเป็นปมลึกยิ่งขึ้น ที่แห่งนี้มันที่ไหนกันแน่ เมื่อคืนวานเขาเข้านอนที่จวนอ๋อง มิได้ไปดื่มสุราค้างคืนข้างนอก แล้วเหตุใดพอตื่นขึ้นกลับมาอยู่ในสถานที่ผีสางนี้ได้

    ลั่วเทียนหยางกำลังจะพาร่างเดินออกไปนอกห้อง ทว่าหูอันเฉียบไวได้ยินเสียงน้ำดังแว่วมาจากเบื้องหลังฉากบังตาในห้อง จึงหันสายตากลับไปมองที่มาของเสียงนั้น และก็ได้เห็นเรือนร่างอิสตรีปรากฏรำไรอยู่อีกฟากของฉากบังตา เขาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับออกเดินไปด้านในโดยไม่แม้แต่จะคิด...

    “อ๊า!” พลันที่หญิงสาวได้เห็นเขาก็ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตกใจออกมา ดึงเสื้อตัวในซึ่งกำลังจะสวมมาบังทรวงอกตามสัญชาตญาณ “สะ...สามี...ท่านตื่นแล้วหรือ”

    สามี? ลั่วเทียนหยางเลิกคิ้วสูง จับจ้องหญิงสาวผู้มีผิวกายขาวผุดผาดดุจหิมะ ทรวงอกอวบอิ่ม บั้นเอวบางอรชร รวมถึงขาเรียวยาวขาวผ่องคนนี้ด้วยสายตาเย็นชา หญิงคนนี้งามเฉิดฉันยิ่งนัก นัยน์ตาที่จ้องมองเขาวาวใสชุ่มฉ่ำ เรือนผมยาวชื้นน้ำสยายอยู่บนไหล่แลดูนุ่มนวลเปราะบางตราตรึงคนเต็มเปี่ยม

    เขา...ลั่วเทียนหยาง...ปีนี้อายุยี่สิบเจ็ด ยังมิได้แต่งภรรยามีบุตร ต่อให้มีคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์มากมายร้อนใจอยากเป็นฮูหยินท่านอ๋อง กระนั้นก็ไม่มีใครอาจหาญเรียกขานเขาว่า สามีอย่างเหิมเกริมเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้หญิงสาวผู้อยู่ตรงหน้าคนนี้จะเรียกได้ว่าเฉิดฉันตรึงตาคน ซ้ำยังเกือบจะเปลือยกายยืนอยู่ต่อหน้าเขา ทว่าเขาลั่วเทียนหยางได้ยลโฉมสาวงามมานักต่อนัก ไหนเลยจะตกหลุมพรางอุบายโฉมงามที่น่าขันเยี่ยงนี้ได้ง่ายดายเล่า

    “เจ้าเป็นใคร ที่นี่มันที่ไหน ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เขาถามหลายคำถามออกมาในอึดใจ สายตาตรึงอยู่บนใบหน้านวลแดงปลั่งของนาง

    ฉินสุ่ยม่านมองมู่ซางสามีของตนด้วยสีหน้าอึ้งงันสุดประมาณ นึกไม่ถึงว่าเขาจะถามคำถามแปลกชอบกลพรรค์นี้ออกมาได้ หรือว่าอาการป่วยของสามีจะทรุดหนักยิ่งกว่าเดิม หนักหนาสาหัสถึงขั้นแม้แต่ตนเองเป็นใครก็ลืมไปสิ้น ไม่หรอกกระมัง นางเพิ่งแต่งเข้าสกุลมาเพื่อขับไล่ความอัปมงคลให้เขายังไม่ถึงสองเดือนดี หากอาการป่วยของเขาเปลี่ยนเป็นสาหัสขึ้น เช่นนั้นมิเท่ากับนางนำพาโชคร้ายมาสู่เขาหรอกหรือ

    อีกอย่าง ตลอดช่วงเวลาที่นางแต่งเข้ามา แม้สามีจะไม่สามารถร่วมหอกับนางได้ ซ้ำยังไม่ถึงกับปฏิบัติต่อนางอย่างอบอุ่น แต่ยามพูดจากับนางก็มักอ่อนโยนอย่างยิ่ง คล้ายกับกลัวว่าจะทำให้นางตื่นกลัว สายตาที่มองนางก็มักแฝงรอยยิ้มบางๆ แม้หน้าตาจะซีดขาวเพราะอาการเจ็บป่วย ทว่าในสายตาของนาง มู่ซางผู้เป็นสามีเรียกได้ว่าเป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอ่อนโยนคนหนึ่ง

    แต่...สามีผู้ยืนอยู่ตรงหน้านางในขณะนี้ สายตาเยียบเย็นดุดัน ถ้อยวาจาวางอำนาจ กระทั่งน้ำเสียงยังสูงขึ้นหลายส่วน อยู่ต่อหน้านางซึ่งมีสภาพกึ่งเปลือยยังไม่คิดจะเบือนหน้าไปสักนิด พาให้นางเขินอายระคนหวั่นหวาดอยู่เล็กน้อย เพราะสามีคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เหมือนเขาคนเดิมแม้แต่น้อย

    “สามี สุ่ยม่านเป็นภรรยาของท่านอย่างไรเล่า ที่นี่เป็นบ้านสกุลมู่ ทั้งยังเป็นบ้านของท่านด้วย ที่ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรนั้น...ก็เพราะที่นี่เป็นบ้านของท่าน ท่านจึงอาศัยอยู่ที่นี่มาตลอด” ฉินสุ่ยม่านกำเสื้อตัวในที่ถืออยู่ในมือไว้แน่น ก้มหน้างุดไม่กล้ามองเขา ขณะตอบคำถามแต่โดยดี

    “เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอะไรน่ะ ข้ามิได้แซ่มู่! แล้วสถานที่ผีสางแห่งนี้จะเป็นบ้านของข้าได้อย่างไร” ลั่วเทียนหยางชักโมโหขึ้นมาแล้ว ขณะกำลังจะก้าวเข้าไปคว้ามือของนาง หางตาพลันเหลือบไปเห็นดวงหน้าที่อยู่ในกระจกเงาด้านข้างนั้น

    มือของลั่วเทียนหยางชะงักไปพลัน เบิกตาจ้องกระจกเงาบานนั้นด้วยอาการตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตนได้เห็นแม้แต่น้อย...

    นั่นเป็นใบหน้างามหมดจดขาวซีดใบหน้าหนึ่ง แลดูสุภาพนุ่มนวลชวนมอง ร่างสูงผอมซูบอย่างเห็นได้ชัด คิ้วก็อ่อนจางอย่างยิ่ง ดูท่าทางเป็นนักศึกษาอ่อนแอคนหนึ่ง สิ่งสำคัญคือ...ชายผู้อยู่ในกระจกคนนั้นหาใช่เขาลั่วเทียนหยางแม้แต่น้อย!

    ที่แท้นี่มันเรื่องพิเรนทร์อะไรกันนี่ เหตุใดพอเขานอนตื่นขึ้นมาก็ถูกเปลี่ยนโฉมหน้า แล้วยังเปลี่ยนร่างกายอีกด้วย มีภรรยาเพิ่มเข้ามาคนหนึ่งอย่างน่าพิศวงงงงวยไม่พอ ยังถูกเปลี่ยนชื่อแซ่อีกด้วย! นี่มันช่างเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระสิ้นดี! น่าตายนัก! เขาถูกคาถาอาคมเข้าให้แล้วหรืออย่างไร

    ในหัวของลั่วเทียนหยางมีเสียงดังหึ่งๆ ครั้นแล้วก็นึกถึงคัมภีร์ลัทธิมารอายุร้อยปีเล่มหนึ่งซึ่งเคยเปิดอ่านเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้ ในคัมภีร์คล้ายจะมีเนื้อหาบางตอนกล่าวถึงเรื่องดวงวิญญาณออกจากร่างและดวงวิญญาณเข้าสิงร่าง...

    “สามี ท่านเป็นอะไรไป” ฉินสุ่ยม่านมองเขาด้วยสีหน้าแววตาห่วงกังวล เขาดูคล้ายได้รับความตระหนกตกใจใหญ่หลวง ใบหน้าหล่อเหลาหมดจดแลดูท้อแท้สิ้นหวังและตระหนกลนลานอย่างเห็นได้ชัด

    สายตาดุดันเย็นชาของลั่วเทียนหยางกวาดมองนางคราหนึ่ง ก่อนจะข่มกดความรู้สึกตื่นตะลึงและตระหนกตกใจในอกไว้อย่างรวดเร็ว เขาจะลนลานทำอะไรไม่ถูกในเวลาเยี่ยงนี้มิได้ เขาต้องหาสาเหตุว่าทำไมตนถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ให้รู้แน่ชัดก่อน อีกทั้งต้องหาคนมาแก้ไขเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด

    หากเขากลับเข้าร่างของตนมิได้...

    น่าตายนัก! คงไม่เป็นเช่นนั้นหรอกกระมัง! เขาจะมิให้เรื่องพรรค์นั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด!

    ลั่วเทียนหยางรักษาท่าทีสงบมั่นคงไว้สุดกำลัง เขามิได้ตระหนักเลยว่าในขณะนี้ร่างกายของตนกำลังสั่นเทาไม่หยุด นอกจากอาการตระหนกลนลานและหวาดหวั่นแล้ว ที่มากยิ่งไปกว่าก็คืออารมณ์โกรธขึ้ง ให้อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องแปลกพิสดารทั้งยังไร้สาระเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเขาได้ เขาเพียงแค่นอนหลับตื่นขึ้นมาเท่านั้น!

    “สามี...” ฉินสุ่ยม่านขานเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอีกครั้ง ในดวงตาฉ่ำวาวมีแววอาการหวาดหวั่นเช่นเดียวกับเขา นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา นางรู้แต่เพียงว่าอาการป่วยของสามีดูเหมือนจะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเดิม ทำให้นางอดเป็นห่วงมิได้

    “อย่ามาเรียกข้า!” มีชีวิตอยู่มาจนอายุยี่สิบเจ็ด เขาไม่เคยเจอะเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ตื่นตระหนกและโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้มาก่อน เรื่องนี้มันช่างท้าทายขีดความอดทนของเขาโดยแท้

    ลั่วเทียนหยางหันกายหมายจะจากไป ตัดสินใจว่าจะไม่รั้งอยู่ในสถานที่พิลึกพิลั่นนี้ต่อไป เขาต้องกลับไปดูร่างแท้จริงของเขาซึ่งอยู่ในจวนอ๋องร่างนั้นว่าที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าหากว่าภายในร่างของเขาที่จวนอ๋องมีอีกวิญญาณสิงสู่อยู่...น่าตายนัก! เขาจวนเจียนจะคลุ้มคลั่งแล้ว!

    วินาทีก่อนหน้าที่ลั่วเทียนหยางจะก้าวเท้ายาวๆ ออกจากห้องไป ฉินสุ่ยม่านพลันโผเข้าไปกอดเขาไว้แน่นจากด้านหลัง โดยไม่สนใจว่าบนร่างมีเพียงเสื้อนอกที่ฉวยติดมือมาสวมคลุมไว้ติดกาย

    “สามี ท่านจะไปไหน ที่แท้...ที่แท้ท่านเป็นอะไรกันแน่ ร่างกายไม่สบายหรือ ทำไมท่านต้องโมโหถึงเพียงนี้ ไม่เห็นท่านเคยโมโหมาก่อนเลยนี่ เพราะข้าทำอะไรให้ท่านไม่พอใจใช่หรือไม่”

    เรือนร่างนุ่มนิ่มแนบสนิทกับแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเขา

    ทั้งที่ดูภายนอกท่าทางอ่อนแอเปราะบางแท้ๆ ไม่นึกว่าจะทุ่มเทกอดเขาไว้ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล

    ลั่วเทียนหยางขบกรามกรอด อดกลั้นความคิดอยากตวาดใส่นางขึ้นมาชั่วแล่น หากนางไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรแม้แต่น้อย เช่นนั้น...สำหรับนางแล้ว เขาในตอนนี้ก็เป็นสามีของนางไม่ผิดแน่ ต้องมาเผชิญหน้ากับเขาที่เป็นเช่นนี้นางคงจะงงงวยระคนหวาดกลัวแน่แท้...แต่...นี่มิใช่กงการอะไรของเขา!

    “ปล่อยมือซะ!” เขาตวาดออกไป

    “ไม่ นอกเสียจากสามีจะบอกข้าก่อนว่าจะไปไหน ร่างกายของท่านไม่แข็งแรง พักหลังเวลาที่นอนอยู่บนเตียงนับวันจะยาวนานขึ้น แม้ข้าจะดีใจมากที่สามีมีเรี่ยวแรงสามารถออกไปเดินข้างนอกได้ แต่...ให้ข้าไปกับท่านด้วยได้หรือไม่ หากไม่ระวังไปโดนลมหนาวเข้า ร่างกายของท่านจะรับไม่ไหวเอานะ ถือว่าข้าขอร้องท่านก็ได้”

    ที่แท้สามีผู้นั้นของนางเป็นคนป่วยใกล้ตายนี่เอง มิน่าใบหน้าถึงแม้จะหล่อเหลา แต่กลับซีดขาวราวกับซากศพไม่มีผิด! ลั่วเทียนหยางเจียนจะแหงนหน้าคำรามก้องฟ้า เขา...อ๋องแห่งแคว้นไป่ซื่อผู้สูงส่ง ที่แท้มันเพราะเหตุใดถึงได้สลับร่างกับคนป่วยใกล้ตาย

    “เจ้าว่า ข้าชื่ออะไรนะ”  

    หา? ฉินสุ่ยม่านอึ้งงันไป เกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ สามีป่วยหนักถึงขั้นนึกชื่อแซ่ของตนไม่ออกเชียวหรือ

    “รีบบอกมาสิ!

    “ได้...สามีแซ่มู่ ชื่อซาง ชื่อของข้าคือฉินสุ่ยม่าน ส่วนท่านแม่...

    “ใครถามเจ้ามากมายเพียงนั้น” เขาไม่มีความจำเป็นต้องท่องจำชื่อบรรพชนสิบแปดชั่วโคตรของคนแซ่มู่ผู้นี้ “ที่นี่มันที่ไหน ห่างจากเมืองหลวงไกลหรือไม่”

    หา? สีหน้าของฉินสุ่ยม่านเปลี่ยนเป็นซีดเผือดลงทุกที สามีในเวลานี้ไม่เพียงลืมชื่อลืมแซ่ กระทั่งตนเองอาศัยอยู่ที่ไหนยังลืมไปด้วยหรือนี่ หรือว่าเขาสูญเสียความทรงจำไปจนหมด

    “เป็นใบ้ไปแล้วหรือไร ตอบคำถามข้ามา!

    “ได้...ที่นี่คือเมืองตงหลิ่ว ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกล เอ๊ะ สามีอยากไปเมืองหลวงหรือ ทำเช่นนั้นมิได้นะ! ถึงแม้ตงหลิ่วจะอยู่ห่างจากเมืองหลวงใช้เวลาเดินทางแค่ไม่กี่ชั่วยาม แต่ร่างกายของสามีรับไม่ไหวแน่! ข้าไม่ยอมให้ท่านไปหรอก!” นางกอดเขาแน่นกระชับยิ่งขึ้น ต่อให้ต้องพยายามสุดชีวิตก็ต้องรั้งเขาไว้ให้ได้

    “ปล่อยมือนะ!

    “สามี อย่างน้อยให้ข้าไปกับท่านด้วย...

    “ไม่จำเป็น! ข้าไม่ตายหรอกน่า!” หากตาย ดีไม่ดีเขาอาจได้กลับเข้าร่างเดิมของตนก็ได้ จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่นะ พอคิดถึงตรงนี้ลั่วเทียนหยางก็เดือดดาลขึ้นมาอีกระลอก

    ทันใดนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ออกแรงดันหญิงสาวที่อยู่ข้างหลังตัวออกไป แล้วจึงก้าวเร็วๆ จากไป...

     

    ลั่วเทียนหยางเติบโตอยู่ในเมืองหลวงแคว้นไป่ซื่อมาตั้งแต่เล็ก ยามเยาว์เป็นองค์ชาย พอโตมาก็เป็นอ๋อง กษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งแคว้นไป่ซื่อเป็นพระเชษฐาร่วมอุทรของเขา ยามเยาว์อาจเรียกได้ว่าสนิทสนม แต่ต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องแน่นแฟ้นเพียงใด หลังจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขึ้นครองบัลลังก์ก็ยากที่จะไม่ถูกปัจจัยภายนอกต่างๆ ทำให้เปลี่ยนแปรไปอยู่ดี

    ขณะนี้ตัวเขายืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของจวนอ๋องของตน แต่กลับนึกไปถึงกษัตริย์ผู้ซึ่งประทับอยู่ในวังหลวงองค์นั้นได้ ชิ เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาเขาเปลี่ยนไป ไม่มีใครในที่แห่งนี้จดจำเขาได้สักคน เขาจึงรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างประหลาดกระทั่งคิดถึงพี่ชายเป็นพิเศษหรือไรนะ   

    เขาเยาะหยันตนเองเสียงหนึ่ง ก่อนจะเดินพลังกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปในจวน ไม่มีใครจะรู้จักจวนทั้งหลังดีไปกว่าเขา แม้แต่เวลาลาดตระเวนของเหล่าองครักษ์เขาก็จำได้แม่นยำ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมาถึงหน้าตำหนักบรรทมของตนได้อย่างง่ายดาย แต่กลับได้เห็นองครักษ์จำนวนหนึ่งล้อมอยู่นอกตำหนักบรรทมของเขา และกลุ่มคนซึ่งกำลังเดินเข้าเดินออกประตูไม้แกะสลักบานใหญ่นั้นล้วนเป็นแพทย์หลวงในวังทั้งสิ้น

    ลั่วเทียนหยางหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งนอกตำหนักบรรทม พลางกลั้นใจเงี่ยหูฟังคำสนทนาของเหล่าสาวใช้ที่เพิ่งยกถาดเดินออกมาจากข้างใน...

    “ทำอย่างไรดี ท่านอ๋องจะไม่ตื่นขึ้นมาตลอดไปหรือไม่” ผู้พูดคือชุนเยี่ยนสาวใช้ซึ่งปราดเปรื่องคล่องแคล่วที่สุดในจวน น้ำเสียงของนางเจือรอยสะอื้นไห้เข้มข้น ฟังดูก็รู้ว่านางเป็นห่วงเป็นใยเขาสุดซึ้ง

    “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แม้แต่แพทย์หลวงยังกล่าวว่าไม่รู้ทำไมจู่ๆ ท่านอ๋องก็หลับใหลไม่ตื่น แล้วนี่จะทำอย่างไรดี เมื่อวานท่านอ๋องยังดีๆ อยู่เลย ไฉนวันนี้ก็...   

    “จะต้องไม่เป็นไรแน่! ข้าเชื่อว่าด้วยบารมีของท่านอ๋อง เทพบนสวรรค์จะต้องคุ้มครองเขาแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดแพทย์หลวงที่เก่งที่สุดในวังยังมาช่วยตรวจอาการท่านอ๋อง จะต้องไม่เป็นอะไรแน่”

    “ชุนเยี่ยน เจ้าได้ยินหรือไม่ ดูเหมือนแพทย์หลวงท่านหนึ่งในนั้นจะบอกให้เชิญพ่อมดหมอผี...” สาวใช้ฉีเอ๋อร์ลดเสียงให้เบาลง “เห็นบอกว่าวิญญาณของท่านอ๋องอาจถูกผีร้ายพาไปถึงได้เป็นเช่นนี้...

    “เหลวไหล!” ชุนเยี่ยนดุเสียงเบา “รีบไปเร็ว ระวังท่านพ่อบ้านได้ยินจะถูกทำโทษเอานะ!

    ขณะมองตามเงาร่างของพวกนางจากไป นัยน์ตาของลั่วเทียนหยางก็เพิ่มเงาอึมครึมขึ้นมาสายหนึ่ง

    ที่แท้เขามิได้สลับร่างกับผู้อื่น แต่ดวงวิญญาณของเขาวิ่งไปสิงร่างของผู้อื่น ผลคือร่างกายของเขาเมื่อปราศจากดวงวิญญาณก็สลบไสลไม่ฟื้น

    ที่แท้เกิดเหตุผิดพลาดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้เขาควรทำเช่นไรดี จะให้ใช้ชีวิตไปโดยอาศัยใบหน้าและฐานะตัวตนของผู้อื่นหรือ เมื่อมีใบหน้าเช่นนี้ ใครจะเชื่อว่าเขาคืออ๋องลั่วเทียนหยาง ถ้าหากดวงวิญญาณของเขาไม่อาจกลับคืนร่างกายของตนได้ เช่นนั้น...เขามิต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างของผู้อื่น...มีชีวิตอยู่โดยอาศัยฐานะตัวตนของผู้อื่นไปทั้งชาติหรือ

    น่าตายนัก! สวรรค์กำลังล้อเขาเล่นอยู่หรือไร

    ร่างของลั่วเทียนหยางเครียดเกร็งด้วยโทสะ เขายกมือของมู่ซางขึ้นดู แม้จะผอมซูบซีดขาวอยู่เล็กน้อย กระนั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของเขาสักนิด เขา...ยังเป็นลั่วเทียนหยางคนเดิม เพียงแต่สับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกให้เป็นอีกโฉมหน้าหนึ่งเท่านั้น แต่กระนั้นก็ทำให้เขาไม่อาจกลับไปในที่ที่ควรกลับได้

    “ใครน่ะ” ฉับพลันกระบี่เล่มหนึ่งก็มาจ่ออยู่ตรงลำคอของเขา

    ลั่วเทียนหยางยืนนิ่งไม่ไหวติง ได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างหลังตัว เป็นเจียงหย่งองครักษ์คู่กายเขานั่นเอง

    “ข้าเอง เจียงหย่ง” ลั่วเทียนหยางพลันพบว่าแม้เขาจะสับเปลี่ยนร่าง แต่เสียงฟังดูมิได้เปลี่ยนไปเท่าใดนัก หากอาศัยเสียงที่คล้ายคลึงกับเขาคนเดิมทำให้เจียงหย่งเชื่อว่าเขาคือท่านอ๋องได้...

    ครั้นได้ยินเจียงหย่งก็อึ้งไป มือที่กุมกระบี่กระตุกวูบ

    เสียงนี้...เห็นชัดๆ ว่าเป็น...

    เป็นไปมิได้! เห็นทนโท่ว่าท่านอ๋องนอนสลบไสลมิได้สติอยู่บนเตียง ไหนเลยจะมายืนอยู่นี่ได้...

    “เป็นใคร หันหน้ามา!” เจียงหย่งตะคอกเสียงดัง รู้สึกกระวนกระวายเพราะจิตใจที่สับสนว้าวุ่นขึ้นมาอย่างประหลาดของตน

    ลั่วเทียนหยางถอนหายใจ ยังคงหันหลังให้เขา “ลำพังแค่ฟังเสียงของข้า เจ้าก็จำข้ามิได้รึ เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาห้าปีแล้ว เสียงพูดของข้า เจ้าก็ฟังไม่ออกเชียวรึเจียงหย่ง”

    หรือว่าจะต่างไปเล็กน้อยนะ แม้เขาจะรู้สึกว่าใกล้เคียงกับเสียงของเขาเมื่อก่อน แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว บางทีชายที่ชื่อมู่ซางคนนั้นอาจมีเสียงพูดคล้ายกับเขาก็เป็นได้ หรือไม่อาจเพราะล้มป่วยมานานเสียงจึงทุ้มต่ำอ่อนระโหยไปบ้าง ผู้หญิงที่ชื่อฉินสุ่ยม่านคนนั้นถึงได้ไม่รู้สึกว่าแปลก

    “เจ้า...ไม่ต้องมาเล่นตลบตะแลง! หันมานะ หาไม่ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!

    ลั่วเทียนหยางถอนหายใจอีกครา

    ต้องสู้กันจริงๆ หรือ ทันทีที่ได้เห็นใบหน้านี้ของเขา เจียงหย่งจะต้องเห็นเขาเป็นมือสังหารมาเยือนแน่แท้ วรยุทธ์ของเจียงหย่งสูงส่ง หากต้องต่อสู้ฟาดฟันกับเขายกหนึ่งจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าคนที่จะลงไปนอนกองกับพื้นก่อนคงหนีไม่พ้นเป็นเขา จากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรแล้ว

    “เจียงหย่ง ยังจำได้หรือไม่ว่าห้าปีก่อนข้าเก็บเจ้ากลับมาจากนอกวังได้อย่างไร เจ้าเกือบจะจมน้ำตายอยู่ในแม่น้ำสายนั้น ข้าเป็นคนกระโดดลงไปช่วยเจ้าไว้ ยังจำได้หรือไม่ ต่อมาเมื่อสามปีก่อน เจ้าพลาดพลั้งทำข้าบาดเจ็บยามฝึกกระบี่กัน ฝ่าบาทที่เสด็จมาเยี่ยมข้าทอดพระเนตรเห็นเข้าพอดี หวิดจะถูกพระองค์ตรัสสั่งประหารชีวิต ข้าเป็นคนทูลขอร้องให้ทรงละเว้นชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไว้สุดความสามารถ เรื่องที่ข้าพูดมานี่จริงอยู่ที่มีคนล่วงรู้กันหลายคน และก็หาใช่ความลับอะไร แต่...เจ้ามีแผลเป็นที่ถูกไฟลวกตอนเด็กๆ อยู่ต่ำจากสะโพกลงไป เรื่องนี้ไม่น่าจะมีใครรู้กระมัง ตอนที่ช่วยเจ้าขึ้นมาจากแม่น้ำ ข้าเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้าบนรถม้าด้วยตนเอง ภายหลังเจ้าบอกข้าว่ารอยแผลนั้นเกิดจากน้ำมือของมารดาเจ้าเอง เจ้าคงไม่มีวันลืมความเจ็บปวดนั้นไปทั้งชาติ ใช่หรือไม่” 

    เจียงหย่งจ้องแผ่นหลังของคนผู้นี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ มือที่ถือกระบี่เริ่มกระตุกสั่นจนดูมิได้

    “หันมานะ!” เจียงหย่งตะคอกลั่นอีกครั้ง

    ลั่วเทียนหยางหันกายมาอย่างเชื่องช้า แสงอาทิตย์อ่อนจางอบอุ่นสาดส่องใบหน้าหล่อหมดจดซีดขาวของเขา สายตาที่จับจ้องเจียงหย่งแลดูจนใจอยู่บ้าง

    “เจ้า...” ใบหน้าซึ่งไม่เหมือนท่านอ๋องโดยสิ้นเชิงแต่กลับบอกเล่าเรื่องราวที่มีแต่ท่านอ๋องเท่านั้นที่ทราบได้ทำให้เจียงหย่งตื่นตะลึงระคนสับสน

    “เป็นข้าเอง ลั่วเทียนหยางท่านอ๋องของเจ้า”

    “ไม่...

    “หากแม้แต่เจ้าก็จำข้ามิได้ เช่นนั้นเจ้าก็ฟันข้าหนึ่งกระบี่เสียเถิด ถ้าต้องอาศัยร่างของผู้อื่นใช้ชีวิตของผู้อื่น มิสู้เจ้าสังหารข้าจะดีเสียกว่า” ลั่วเทียนหยางไพล่สองมือไว้ข้างหลัง หลับตาลง เชิดศีรษะขึ้น ท่าทีแฝงไอยโสโอหังเช่นคนที่เห็นความตายเป็นเช่นการกลับบ้านเก่า

    ปลายกระบี่จวนเจียนจะทิ่มแทงเข้าสู่ลำคอของลั่วเทียนหยาง เจียงหย่งจ้องมองบุรุษผู้ทระนงองอาจคล้ายกับท่านอ๋อง ทั้งยังแฝงท่าทางโอหังอวดดีเช่นเดียวกันตรงหน้าคนนี้ ต่อให้ใบหน้าแตกต่าง แต่ท่าทีหยิ่งผยองเช่นนั้นเหมือนราวกับถอดจากพิมพ์เดียวกัน กอปรกับเรื่องที่เขาเล่ามาเมื่อครู่แล้วจะให้เจียงหย่งไม่เชื่อได้อย่างไร

    เจียงหย่งลดกระบี่ลงทันควัน ก้าวเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าลั่วเทียนหยาง “ท่านอ๋อง...ได้โปรดบอกข้าน้อยทีว่าที่แท้นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ และข้าน้อยจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง”

    ได้ยินดังนั้นลั่วเทียนหยางก็ลืมตาขึ้นจ้องมองเขาอย่างตื้นตันสุดซึ้ง

    “เจ้าเชื่อว่าข้าเป็นท่านอ๋องของเจ้าจริงๆ หรือ”

    “ขอรับ ท่านอ๋อง”

    ลั่วเทียนหยางประคองเขาให้ลุกขึ้น ก่อนจะก้าวเข้าไปกอดเขาไว้ “ประเสริฐแท้...ไม่เสียแรงเป็นผู้ช่วยที่เก่งกาจที่สุดข้างกายข้า! ข้ามิได้เอ็นดูเจ้ามาห้าปีโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ!

    เสียงสวบสาบดังแว่วมาไม่ไกลออกไป...

    “ใครอยู่หลังต้นไม้นั่น ออกมานะ!” ฉับพลันก็มีคนตะคอกขึ้น

    เจียงหย่งตระหนกตกใจ ลดเสียงให้เบาลงกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ที่นี่อยู่นานมิได้ อาการป่วยของท่านทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วใหญ่ มีรับสั่งให้หาตัวคนที่ทำร้ายท่านจนเป็นเช่นนี้ให้ได้ ยามนี้ที่นี่เต็มไปด้วยทหารรักษาพระองค์ ท่านออกจากจวนไปก่อนเถิด ปล่อยให้ข้าน้อยรับหน้าแทนท่านที่นี่ก่อน อีกสักครู่ข้าน้อยจะออกไปพบท่านนอกจวน...

     

    ห่างจากเมืองหลวงไปสิบลี้มีสิ่งปลูกสร้างสูงตระหง่านงดงามทัดเทียมพระราชวัง แวดล้อมด้วยป่าเขาและธารน้ำเขียวขจี ตั้งอยู่บริเวณที่มีไอศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในแดนดิน คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรจะต้องนึกไปว่าที่แห่งนี้เป็นตำหนักแปรพระราชฐานขององค์กษัตริย์แน่แท้ คงคาดไม่ถึงว่าจะเป็นที่พำนักของหัวหน้าโจรภูเขาที่เห็นเหล่าขุนนางและเจ้าหน้าที่ทางการเป็นเช่นผงธุลี

    หัวหน้าโจรภูเขาผู้นี้รูปลักษณ์งามล้ำ แต่กลับเปรียบตนเองเป็นดังพญามัจจุราช ยามออกก่อความเดือดร้อนให้ผู้คนมักใส่หน้ากากปิดตาสีดำงามวิจิตร ยามยิ้มพรายเห็นเพียงดวงตาพราวระยับของเขาสว่างเจิดจ้าทิ่มแทงตายิ่งนัก ไหนจะยังมุมปากเร้าใจที่มักเผยยิ้มเยียบเย็นงดงามเป็นที่สุดนั้นอีกเล่า

    ต่อให้เขารูปงามเหลือคณา แต่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายใครเล่าจะเคลิบเคลิ้มใหลหลงไปกับความงามของเขา ใช่ว่าเสียสติไปแล้วเสียหน่อย! จะรักษาชีวิตไว้ยังแทบทำมิได้! ด้วยเหตุนี้จึงถูกบรรดาคุณชายก็ดี ขุนนางก็ดีเหล่านั้น รวมถึงชาวยุทธ์บางคนตั้งฉายาให้ว่า มัจจุราชยิ้ม 

    ลั่วเทียนหยางนำเจียงหย่งองครักษ์คู่กายมาถึงยังสวรรค์บนแดนดินแห่งนี้ เขาพลิกกายลงจากอาชาอย่างคล่องแคล่ว โดยมีเจียงหย่งตามติดอยู่ข้างหลัง ก่อนจะแจ้งชื่อเสียงเรียงนามแก่ยามซึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตูใหญ่เป็นอันดับแรก  

    “โปรดนำความไปแจ้งแก่ท่านหัวหน้าว่าท่านอาของเขามาเยี่ยมเยือน เรียนขอเข้าพบ”

    “ท่านอาของท่านหัวหน้าอย่างนั้นรึ” ยามหน้าประตูมองคนทั้งสองด้วยสีหน้าระแวงสงสัย ก่อนจะเข้าประตูไปแจ้งข้อความอย่างไม่ค่อยสมัครใจเท่าใดนัก

    ทั้งคู่รอข้างนอกอยู่นานกว่าจะมีคนมานำเข้าไป เมื่อผ่านระเบียงทางเดิน ลานบ้านกว้างขวาง รวมถึงเดินตัดผ่านลานฝึกขนาดใหญ่ไปแล้ว ก็มาถึงยังตำหนักหลังใหญ่งามวิจิตร

    บนตำหนักใหญ่มีบุรุษหนุ่มนั่งขัดสมาธิอยู่ผู้หนึ่ง อากัปกิริยางามสง่าหากเหิมเกริม ดวงตาและเรียวคิ้วแฝงความงามเลิศเลอละมุนละไม ยามกลอกดวงตาไปมากลับเจือท่าทียโสโอหังรางๆ เอกเขนกอยู่บนบัลลังก์หน้าตำหนักพลางเลิกคิ้วจ้องมองผู้มาด้วยสีหน้าแววตาเพลิดเพลินเต็มเปี่ยม

    เจียงหย่งแห่งจวนอ๋องลั่ว เขารู้จัก เพราะยามลั่วเทียนหยางมาเยี่ยมเยือนเคยได้เห็นอยู่สองสามครั้ง แต่นักศึกษาที่แลดูหล่อหมดจด ทั้งยังเปราะบางปานต้านลมไม่อยู่ข้างๆ เขาคนนั้น...

    เอ๋?

    ผีหลอกแล้ว

    “เสด็จอาสิบสาม” เฟิ่งซีหัวเราะออกมาแล้ว มิหนำซ้ำยังเป็นเสียงหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่นอีกด้วย เสียงหัวเราะเหิมเกริมดังสนั่นหวั่นไหวจนแทบจะสะเทือนให้เคหาสน์ทั้งหลังทลายลงมาแล้ว

    “น่าตลกขบขันเพียงนั้นเชียวหรือ” ลั่วเทียนหยางเม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ามาหาเจ้า มิใช่เพื่อให้เจ้ามาหัวเราะข้า”

    เจียงหย่งมองท่านอ๋อง แล้วมองหัวหน้าเฟิ่งซี สีหน้าฉงนสนเท่ห์ เขายังมิทันพูดอะไรไฉนหัวหน้าเฟิ่งถึงรู้ว่าบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือลั่วเทียนหยาง หาใช่คนอื่น

    “ตลกมากเชียวล่ะ นึกไม่ถึงว่าเสด็จอาสิบสามผู้สง่าผ่าเผยจะตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ได้” เฟิ่งซียังคงหัวเราะร่าอยู่นั่นเอง ใบหน้างามละมุนไม่มีอาการตื่นตระหนกงงงวยสักนิด

    นับแต่เล็กเขาก็มีความสามารถพิเศษซึ่งต่างไปจากคนทั่วไป ดวงตางามล้ำเลิศคู่นี้สามารถมองทะลุร่างกายตรงเข้าไปถึงวิญญาณภายใต้เนื้อหนังได้ ดังนั้นดวงวิญญาณภูตผีปีศาจที่เข้าสิงร่างมนุษย์เหล่านั้นจึงยากจะรอดพ้นตาทิพย์ของเขาไปได้ และชั่วขณะนี้เขากำลังมองดวงวิญญาณของเสด็จอาสิบสามที่อาศัยร่างกายของชายอีกคนยืนอยู่หน้าตำหนัก จึงย่อมรู้แจ้งแก่ใจเป็นธรรมดา

    พรสวรรค์อันไม่ธรรมดาเช่นนี้ของเฟิ่งซีหาใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะล่วงรู้ ลั่วเทียนหยางนับว่าเป็นหนึ่งในคนจำนวนไม่กี่คนที่รู้เรื่อง

    “มีหนทางแก้ไขหรือไม่”

    เฟิ่งซีหรี่ตา นิ้วเรียวยาวลูบไปมาอยู่ตรงคางได้รูปของเขา “เรื่องนี้ข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก ต้องหาตัวคนทรงที่สามารถติดต่อกับแดนสวรรค์และโลกวิญญาณให้ได้ก่อน เพื่อถามให้รู้แน่ชัดก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นค่อยเรียกวิญญาณของท่านกลับมา สิ่งสำคัญก็คือคนทรงประเภทนี้หามิได้ง่ายๆ เสด็จอาสิบสามจำต้องอาศัยฐานะตัวตนนี้ไประยะหนึ่งก่อน”

    “ต้องรอนานแค่ไหน”

    “ยากจะบอกได้”

    ลั่วเทียนหยางคิ้วตก เลิกชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งลง “เช่นนั้นระหว่างนี้ข้าก็จะอาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อน”

    เฟิ่งซีประหลาดใจ พัดจีบในมือโบกพัดอยู่ตลอด “มิได้โดยเด็ดขาดนะเสด็จอาสิบสาม”

    “ทำไมจะมิได้” จะให้เขากลับไปบ้านสกุลมู่อะไรนั่น แล้วใช้ชีวิตของผู้อื่นหรือไร ชิ เหลวไหลน่า!

    “ต้องมิได้อยู่แล้ว ตอนนี้เสด็จอาสิบสามอาศัยฐานะตัวตนของผู้อื่นอยู่ หากจู่ๆ ก็หายตัวไป เช่นนั้นครอบครัวของเขาจะร้อนใจกระวนกระวายเพียงใด”

    “นั่นเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย” ตอนนี้เขายังแทบเอาตัวไม่รอด ใครจะมีแก่ใจไปสนผู้อื่นกันเล่า

    “เอ๋? กล่าวเช่นนี้มิได้นา สาเหตุที่เสด็จอาสิบสามมาเข้าสิงร่างของคนผู้นี้แสดงว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของร่างคนเดิมแน่ บางทีอาจเกี่ยวพันกับสาเหตุที่ดวงวิญญาณของท่านหลุดลอยออกจากร่างก็ได้นะ และก็เป็นหนึ่งในเงื่อนงำที่จะช่วยให้วิญญาณท่านกลับเข้าร่าง อีกอย่าง หากท่านกลับคืนร่างของท่านมิได้ตลอดไป อย่างน้อยที่นั่นก็มีที่ให้พักพิงมิใช่หรือ”

    ใช่อะไรกันเล่า!!!

    ลั่วเทียนหยางถลึงดวงตาเย็นชาใส่เฟิ่งซีที่ระบายยิ้มเต็มหน้า รู้สึกว่าเจ้าหลานชายคนนี้ฉวยโอกาสกลั่นแกล้งผู้เป็นอาอย่างเขา เจ้าหนุ่มไร้น้ำใจคนนี้นี่! เขายังดีกับเจ้าหลานอกตัญญูไม่พออีกหรือ อุตส่าห์ปิดตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ปล่อยให้เขากรรโชกทรัพย์สินเงินทองของขุนนางละโมบฉ้อฉลเหล่านั้นโดยไม่พูดอะไร อยู่ในวังได้ของกินของใช้ดีๆ อะไรมาก็ล้วนให้คนส่งมาให้ แล้วยังไม่รู้จักสำนึกบุญคุณอีก

    “เสด็จอาสิบสาม นี่หลานคิดเผื่อตัวท่านด้วยใจจริงหรอกนะ เสด็จอาสิบสามโปรดใคร่ครวญให้ดี ระหว่างที่หลานยังหาตัวคนทรงให้ท่านมิได้ ก็ขอให้เสด็จอาสิบสามอาศัยตัวตนของคนผู้นี้ใช้ชีวิตไปชั่วคราวเถิด อย่างน้อยจะได้ไม่ทำให้ชีวิตของผู้อื่นยุ่งเหยิง ให้ครอบครัวของเขาเป็นกังวล...

    ใคร่ครวญให้ดีรึ

    ในห้วงความคิดของลั่วเทียนหยางผุดภาพฉินสุ่ยม่านซึ่งเรียกตนเองเป็นภรรยาของเขาวาบขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ หากเขาหายตัวไป นางจะเป็นเช่นไรนะ พอคิดได้ดังนี้ ในอกก็เกิดความรู้สึกหงุดหงิดกังวลขึ้นมาบางๆ...บาง...จนไม่อาจบางไปกว่านี้ได้อีกแล้ว...

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×