บาเยิร์น บาวาเรีย เยอรมัน มันจริงๆ ตอนที่ 2 - บาเยิร์น บาวาเรีย เยอรมัน มันจริงๆ ตอนที่ 2 นิยาย บาเยิร์น บาวาเรีย เยอรมัน มันจริงๆ ตอนที่ 2 : Dek-D.com - Writer

    บาเยิร์น บาวาเรีย เยอรมัน มันจริงๆ ตอนที่ 2

    โดย Jack1960

    ผู้เข้าชมรวม

    175

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    175

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 ก.ค. 56 / 11:24 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

          ตอนที่ 2

       

      เจ้าของบ้านแกว่าโรงแรมนี้ใกล้สถานีตำรวจ แกเปิดประตูหน้าบ้านไว้ตลอด ไม่กลัวอะไร แต่กลางคืนแกปิดประตูหน้านะครับ เราทำอาหารกินเองเป็นอาหารเช้า ทำเผื่อเป็นอาหารกลางวันด้วย แล้วจึงออกเดินทางวันที่ 4 ของเรา เราเดินทางไปตามถนนฝั่งตะวันออกของทะเลสาบForggenseeจริงๆแล้วทะเลสาบนี้เป็นแม่น้ำ Lechทีนี้เค้าสร้างเขื่อนมากั้นทางน้ำ เกิดเป็นทะเลสาบใหญ่ขึ้นมานั่นเอง เหมือนดอยเต่า  อากาศเช้านี้ดีมาก ผ่านเมืองชวานเกา เห็นภาพโบสถ์St.Coloman บนพื้นราบ มองไปไกลเป็นปราสาทนอยชวานสไตน์ และปราสาทโฮเฮนชวานเกา ไกลออกไป มุมที่สงบมาก เทือกเขาแอลป์อันงดงามเป็นฉากหลัง เราจะเดินทางออกห่างจากทิวเขาแอลป์ออกไปทุกทีทุกที วันนี้จุดหมายแรกของเราเป็นมรดกโลกของยูเนสโกUNESCO World Heritageคือโบสถ์วีส์Weiskirche ไปถึงแล้ว มีเราแค่ 2 คนเป็นนักท่องเที่ยวมาแต่เช้า คนขายของยังกำลังตระเตรียมของขายกันอยู่เลย ก็สวยสมใจมรดกโลก แล้วเราก็เดินทางต่อมายังเมืองRottenbuch Monastery church เข้าไปชมในตัวโบสถ์แล้ว พบว่า สวยงามแบบ สไตล์เดียวกับโบสถ์วีส์ ทั้งที่ทางด้านนอกเหมือนไม่น่าสนใจอะไร ขับรถตามเส้นทางโรแมนติกต่อไปยังจุดหมาย ชื่อเมืองLandsberg am lech เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำLech  เราจอดรถได้ใกล้ๆสวนสาธารณะ เดินข้ามสะพานเข้าตัวเมืองที่กำลังบูรณะมากมายที่จัตุรัสกลางเมือง ได้เห็นศาลากลางเมือง เห็นรูปปั้นเป็นหินอ่อนที่วงเวียนกลางเมือง แกะสลักเป็นรูปMadonna with Christ Childท่ามกลางเสียงก่อสร้างดังไปทั่ว เราเดินตามแผนที่ผ่านสวนสาธารณะ ข้ามแม่น้ำมาจนถึงMutterturn ที่เป็นหอสูง เค้าว่าเป็นที่พักอาศัยของนักเขียนภาพ เข้าไปดูข้างในไม่ได้ จึงเดินมาเอาอาหารกลางวันมากินกันที่สวนสาธารณะ ริมฝั่งแม่น้ำพร้อมกับสร้างความหวังจะไปชมประตูBayertor ประตูเข้าเมืองที่ถูกเค้าเลียนแบบไปทำเป็นประตูเข้าดิสนีย์แลนด์แต่ไปไม่ถึงเพราะมีการปิดถนนกันหลายที่ จึงเลือกขับรถตรงไปยังเมืองสำคัญ เราจะไปนอนพักกันที่นี่ มีเวลาอย่างมากมายที่เมืองAugsburg เมืองแสนงามแห่ง ชวาเบ็น นับเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของบาวาเรียรองจากมิวนิค และเนินแบร์ก เท่านั้น

           Augsburgเมืองนี้สืบเรื่องไปถึง 2000 ปีที่จักรพรรดิAugustus มาก่อตั้งค่ายทหารโรมัน ชื่อ Augusta Vindelicum ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมืองเมื่อ 15 ปีก่อนคริสตกาล ในยุคกลางเค้าว่าการค้า ศาสนาที่นี่รุ่งเรืองมาก เป็นเมืองของตระกูลฟุกเกอร์ Fuggersตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดตระกูลหนึ่งของยุโรป บ่ายโมงกว่าๆเราก็มาถึงที่พักที่โรงแรม Ibis Augsburg Koenigsplatzเราขับเลยที่จอดรถของโรงแรมมา 50 เมตร จึงไปถอยรถแล้วเข้าที่จอดรถได้ในที่สุด แต่ความไม่ชำนาญ กลัวด้วย เล่นเอาเหงื่อแตกทีเดียว เข้าห้องพักแล้วก็ออกเดินตามคำแนะนำของเจ้าถิ่นที่นี่ เดินถูกทาง เข้าถนน ฮอลล์ แล้วเข้าถนนใหญ่จำตามรูปได้เลยว่านี่ถึงแล้ว ถนน จักรพรรดิ  Maximillianstrass ถึงแล้วที่เค้าว่ามีน้ำพุ เฮอร์คิวลิส ที่ Moritz Platz ที่มีฉากหลัง เป็นยอดหอคอยรูปโดมหัวหอมของวิหารซังค์อูริชและซังค์อัฟราSt.Ulrich&St.Afra เราเดินมาตามถนนสายสำคัญนี้ บ้านเรือนน่าดูไปหมด มาจนถึงศาลากลาง Town Hall (Rathaus)เห็นประตูแต่เข้าไม่ได้ เธอว่าขึ้นหอสูงมั้ย บอกว่าไม่ขึ้นหรอกเมืองนี้Perlach Towerเป็นหอสูงเมืองนี้ก็อยู่ติดๆกับศาลากลาง เดินเข้าไปชมข้างในศาลากลางดีกว่า จึงเลือกเดินมาเข้าประตูข้างๆ แขวนป้ายว่าRatskeller –Restaurant Barถามเธอจะเข้าหรือเป็นร้านอาหาร ลองเดินไป ประตูก็เปิดเองเลยให้น่าตกใจ เดินเข้าไปในศาลากลางแล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นสูงสุด เราก็ได้ชมห้องโถงทองคำGolden Saalเป็นห้องสีทองแวววาว วิจิตรงดงามก็แล้วกันตามที่เค้าว่ากันไว้ ระหว่างชมมีครูพานักเรียนตัวน้อยๆมาชมอยู่ด้วย เรากลับลงมาชมเมืองนิดหน่อย เดินจนเจอแหล่งให้ข้อมูลท่องเที่ยว แล้วเดินมาถึงโบสถ์เซนท์แอนน์ เมืองกำลังปรับปรุงถนนหนทางมากมาย ที่นี่เป็นเมืองใหญ่มีผู้คนมากมาย จากนั้นเราเลือกเดินไกลหน่อยจะไปชมไฮไลท์ที่เค้าว่าเป็นหมู่บ้านคนจน บ้างว่าเป็นบ้านสงเคราะห์คนชราที่ยากไร้เรียกกันว่า ฟุกเกอไรFuggerei

             จาคอบ ฟุกเกอร์ให้สร้างบ้านห้องแถว 64 หลังและมีห้องพัก อีก 140 ห้องให้คนชราที่ยากจนเข้าพักโดยคิดค่าเช่าเป็นเมล็ดพริกไทย มูลค่าน้อยกว่า 1 ยูโรต่อปี เค้าว่ายังบังคับให้ผู้อาศัยที่นี่ต้องสวดมนต์วันละ 3 เวลาด้วย เป็นชุมชนในเมืองที่เค้าว่าเก่าแก่ที่สุดในโลกที่เหลืออยู่ ตอนนี้ก็ยังเป็นที่พักอาศัยของคนชรา เจ้าของบ้านตกแต่งที่พักตนเองอย่างสวยงาม  มีไม้เลื้อยตามกำแพงผนังบ้าน หน้าใบไม้เปลี่ยนสี ให้เห็นเป็นสีสันสวยงาม เราเดินชมจนทั่วหมู่บ้านสีเหลืองเข้มแห่งนี้ ทีนี้เกือบจะ5 โมงเย็นแล้ว เรา 2 คน ช่วยกันเดินหาทางจนเจอ พระราชวังสคาซเล่อร์Schaezler palais ที่ตั้งอยู่ติดกับถนนฮอลล์ที่เราเดินผ่านมานั่นเอง เค้าแนะนำให้เรามาชม Rococo Banquet Hall ที่ตกแต่งอย่างสวยงามเป็นมาสเตอร์พีซของบาวาเรีย ตั๋วราคาแพงใช่เล่น แต่เข้าไปชมภาพวาดที่จัดแสดงไว้ ไม่มีคนมาพาชม แล้วในที่สุดก็ได้ชมห้องที่ว่านี้ สวยงามจริงๆ ผนังประดับด้วยกระจกตัดขอบด้วยสีทองเหลือง เพดานเป็นภาพวาดเฟรสโก้ที่สวยมาก จากหมู่บ้านคนจน เมื่อเปรียบกับที่นี่เป็นตึกร็อกโคโค่ ของสะสมของนักการธนาคาร ของเล่นคนรวยแบบนั้น เราเดินชมเมืองได้อีกนิดหน่อย เธอเหนื่อยและหิว ซื้อของซุปเปอร์ไม่ได้อะไรนัก จึงแวะซื้อเบอร์เกอร์ท้องถิ่น ที่หน้าวิหารเซนต์อูริช นั่งกินเบอร์เกอร์ริมถนนจักรพรรดิชมเมืองแก้เมื่อย แล้วจึงเดินกลับโรงแรมที่พัก ไม่มีอะไรให้หายเหนื่อยได้ดีกว่าการช็อบปิ้ง เธอได้เครื่องสำอางนิดหน่อย เดินซุปเปอร์ใกล้ๆ ได้ขนมอีกนิดนึง แล้วหลงทาง ไปเจอโรงแรมไอบิซอีกที่หนึ่ง ต้องอาศัยแผนที่ไอโฟนจึงเดินกลับมายังโรงแรมที่พักได้ในที่สุด

                    วันใหม่ วันที่ ของการเดินทาง เวลาอาหารเช้าในโรงแรมมากมายไปด้วยเด็กนักเรียนเยอรมันที่มาพักที่โรงแรมนี้ เราขับรถมาแวะที่เมืองDonauwörth ชะโงกดูเมืองเท่านั้นแล้วขับรถต่อมายังNördlingenเมืองหลุมอุกกาบาศที่น่าสนใจมาก ของตอนกลางบนเส้นทางสายโรแมนติก  ขับรถผ่านประตูเมืองมาแล้วหาที่จอดรถได้เรียบร้อย เราก็เดินมาโบสถ์St.Georgskirche ขึ้นหอสูงที่เรียกว่า Daniel ไปชมมุมสูงของเมืองหลุมอุกกาบาศ เธอมีโอกาสได้เข้าห้องน้ำระหว่างขึ้นหอสูงที่นี่ด้วย เดินชมไปรอบทุกทิศเมื่ออยู่บนหอสูง แล้วลงมาเดินชมเมือง ชมประตูเมือง แล้วยังมีโอกาสเดินบนกำแพงเมืองนี้ด้วย ก่อนออกเดินทางต่อ เพื่อแวะชมเมืองDinkelsbühl เมืองนี้มีลักษณะเฉพาะ คือมีหอยอดแหลมบนกำแพงเมืองเรียงต่อเนื่องกันไปรอบๆกำแพง เราขับรถผ่านเข้าไปในเมืองจอดรถแบบว่าข้างถนนเลยเพราะเป็นเมืองเล็กๆ เดินกันได้นิดเดียวเพราะมีฝนตลอด เรามาถึงมหาวิหารเซนท์ยอร์จ Cathedral of St.Georgeเดินชมวิวไปทั่วเมือง ตามแผนที่ที่หาอะไรก็ไม่ค่อยเจอนัก ฝนจางหายไปเป็นระยะระยะ ไม่นานเหลือบเห็นตำรวจแจกใบสั่งรถที่จอดข้างถนนเหมือนกับของเรา  2 คนคิดแบบเดียวกันกลับดีกว่ามาถึงรถเรายังไม่มีใบสั่ง เธออยากเข้าห้องน้ำจึงเดินไปหาอยู่นานหาไม่เจอกลับมา รีบเรียกหาเธอเพราะตำรวจหญิงคนเดิมกำลังจะมาถึงรถของเราอยู่แล้ว ขึ้นรถออกเดินทางไม่นานบนทางด่วนก็มีห้องน้ำ เรามุ่งเดินทางสู่ที่หมายที่ห้ามพลาดของเส้นทางสายนี้ เราจะนอนกันที่นี่ด้วย เมืองโรเทนบูร์ก โอบ เดอร์ เทาเบอร์  Rothenburg ob der Tauber เมืองเก่ายุคกลางแสนโรแมนติก

                Rothenburg ob der Tauber เมืองชื่อยาวๆแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่ราบสูงริมฝั่งแม่น้ำเทาเบอร์ เมืองนี้รอดพ้นจากการทำลายของสงครามเยอรมัน-ฝรั่งเศส 30 ปีแล้วก็ยังรอดจากการบอมบ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย จีพีเอสของเกีย ซี้ดทำหน้าที่ของเค้าอย่างดีเยี่ยมแกพาเรามาจนถึงที่ตั้งโรงแรมที่พักชื่อว่า Gästehaus Edith ตั้งในกลางเมืองเก่านี้เลย ลงจากรถมองหาโรงแรมไม่เจอ อาศัยคนท้องที่แล้วในที่สุดก็พบว่ารถเรามาจอดอยู่ด้านหลังของโรงแรม มองด้านดี เราก็ขนกระเป๋าใกล้ๆไม่ต้องไปหาที่จอดรถด้านหน้าโรงแรมอีกที ขนสัมภาระแล้วเดินผ่านประตูที่สร้างให้ทะลุถึงกันได้ก็เรียบร้อย จากนั้นก็หาทางเข้าที่จอดรถของที่นี่ที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของเมือง เส้นทางเล็กๆแคบๆที่เป็นถนนปูด้วยก้อนหินก้อนเล็ก ขับรถแบบระวังสูงสุดเราก็ถึงที่หมาย ที่จอดรถกว้างขวางเราจอดที่นี่ 1 คืน จากนั้นก็เดินมาจนถึงศาลากลางเมือง เช่นเดียวกับเมืองในเส้นทางสายโรแมนติกทุกเมืองที่เราจะเริ่มที่นี่ก่อนเสมอ คือที่จัตุรัสกลางเมือง ส่วนที่เค้าเรียกกันว่า Ratshermtrinkstube เค้าว่าอดีดเป็นโรงอาหาร ที่หน้าจั่วของอาคาร นักท่องเที่ยวไปคอยมองดูตุ๊กตาออกมาจากบานหน้าต่าง แต่ตอนนี้ที่นี่ใส่เฝือกไว้ กำลังมีการซ่อมแซม เรา 2 คนเลือกขึ้นไปดูมุมสูงของเมืองโดยเข้าไปในศาลากลางเมืองRathaus ปีนขึ้นบันไดไปเรื่อยเค้าว่า สูง 55 เมตร เป็นการชมเมืองจากมุมสูงไปได้ไกลไปทุกด้าน เมืองสวยจึงเป็นเหมือนโมเดล บ้านปลูกแบบเอาท่อนซุงมาประกอบHalf-Timbered Houses หลังคาเป็นจั่วสามเหลี่ยม สีสรรสวยแปลกตา เรียงรายไปทั่ว เสียงนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ขึ้นไปพร้อมกัน ออกเสียงในฟิล์มว่า สุโก้ย สุโก้ย.. อย่างยาวนาน แกคงชอบ เธอของผมว่าทำไมต้องตะโกนว่าสุดยอดหลายครั้งปานนั้น เค้าไม่ให้อยู่บนนั้นนาน เพราะต้องแบ่งๆกันชม เราลงมาแล้วเธอว่าจะไปไหน ผมเป็นคนที่กินก๋วยเตี๋ยวก็มักกินลูกชิ้นก่อน ขอไปชมไอ้ที่เค้าว่าสวยก่อนใครก็แล้วกัน ไปทางไหนเธอว่า ผมพานำไปทางประตูด้านทิศใต้ ถ้าหัวหินมีเพลินวาน โรเทนบูร์ก ก็มีเพลินไลน์ Plönlein Triangular Place ให้ได้จำชื่อเอาไว้ เลื่องลือกันว่าเป็นมุมที่สวยที่สุดของเมือง เพลินไลน์ที่มีถนน 2 สายมาบรรจบกัน สายหลักมาจากประตูSeibersturmหรือ Seibers Tower ส่วนสายรองที่อยู่ต่ำกว่ามาจากประตูKobolzell ไปถึงก็มีนักดนตรีสีไวโอลิน เพลงThais -Meditationไพเราะเพราะพริ้ง ดังกังวานไปทั่ว อาจารย์สีส้ม นักจัดรายการเพลงคลาสสิกเพื่อนรักของเธอ บอกให้ออกเสียงว่า ธาอิส เรา 2 คนจำได้เคยถามแกว่าไม่ใช่ชื่อเพลงไทยหรอกหรือ บรรยากาศยามนั้นจึงหวานมาก เป็นเมืองเก่ายุคกลางที่สุดแสนโรแมนติก สมนาม

                เธอแข็งแรงมากทั้งที่เดินขึ้นหอสูง มา 2 เมืองแล้ววันนี้ เราเดินชมเมืองกันไปทั่ว จากเพลินไลน์เดินออกมาชมทางด้านนอกประตู กลับไปเดินด้านในกำแพง มุ่งหน้าไปทางตะวันออก ไปชมประตู Rodortor เธอว่ายังไม่ได้เป็นประตูที่สวยจริงๆ นักเรียนไทยนั่งรถไฟมาเที่ยวเมืองนี้ จะผ่านที่ประตูนี้เป็นประตูแรกเสมอ จากนั้นก็เดินกลับมาสู่ใจกลางเมือง ร้านรวงต่างๆขายของหน้าร้าน ตกแต่งสวยงามน่าชมไปทั่ว แวะชิมขนมประจำเมืองที่เป็นแป้งทอดกลมๆ กรอบๆเรียกว่าก้อนหิมะ snowball เดินสบายๆชมเมืองมาจนถึงศาลากลางเมืองทีนี้เลือกเดินไปประตูตะวันตก เจอแล้วประตูที่ว่าสวยที่สุด เรียกว่าประตู Burgtor เราออกไปชมสวนสวย เขียวสดใสที่เรียกว่าBurggarten นั่นสะพานสวยข้ามแม่น้ำ เทาเบอร์ ชมสวน ถ่ายรูปกัน ถ่ายกันเอง ถ่ายให้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆบ้าง ระหว่างชมเมืองก็เห็นคนพื้นที่แต่งตัวแบบชุดประจำชาติเค้าเดินไปเดินมาไปทั่ว  พบว่าเค้ามีเดินพาเหรด เหมือนซ้อม วันอาทิตย์ถึงจะแสดงจริงๆ มีงานแสดงภายในศาลากลางเมืองด้วย บรรยากาศการท่องเที่ยวจึงกลมกลืน เหมือนย้อนยุคกลับไปยังไงยังงั้น เราเลือกเดินกลับมาเพลินไลน์อีกครั้ง หาไส้กรอกเยอรมันเป็นอาหารเย็น เพลินไลน์ยามนี้เงียบลงแล้ว ไม่มีนักดนตรี สักครู่เราก็ได้ชม การเดินสวนสนาม เป่าแตรฟันฟาแบบเยอรมัน แล้วจึงเดินกลับมากลางเมือง กลับเข้าที่พัก ห้องหับเล็กๆของเราบอกไว้ว่าห้องน้ำไม่มีประตูนะ มีแค่ม่านกั้นเท่านั้น ไปพบแล้วก็แปลกดี อาบน้ำก็รูดม่านปิด อาหารเช้าก็มีบริการด้วยที่นี่ ห้องอาหารบรรยากาศดีมาก แค่คืนละ 65 ยูโรเท่านั้น เช้าวันใหม่แล้ว เราก็ออกจากโรเทนบูร์กทางประตูทางประตู Klingen Gate กำลังจะจากเมืองสวย เมืองเพชรของเส้นทางสายโรแมนติก ให้คิดถึงเพลงของสุนทราภรณ์กล่าวถึงเมืองเพชรบุรี ที่ว่า เพชรเอ๋ยเพชรบุรี ศรีไทย....มีตอนหนึ่งชมเมือง

      ........พร่างเพชรพร้อยแพร้วสมแล้วเมืองปราณ น้ำตาลหวานซ่านดินฟ้า

      ใครได้มา จากไปโศกาซมซาน   ...ใครได้มา จากไปโศกาซมซาน.....

      ประโยคหลังหลังนี้ให้คิดถึงจริงๆ เมืองสวย เมืองโรเทนบูร์ก โอบ เดอร์ เทาเบอร์ 

             

       

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×