นั่งรถไฟเที่ยวไปในแคนาดาตะวันออก 3 - นั่งรถไฟเที่ยวไปในแคนาดาตะวันออก 3 นิยาย นั่งรถไฟเที่ยวไปในแคนาดาตะวันออก 3 : Dek-D.com - Writer

    นั่งรถไฟเที่ยวไปในแคนาดาตะวันออก 3

    7-8 ปีที่แล้วที่ได้เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต จำความรู้สึกตอนนั้นได้แม่นยำว่า อยากมาเรียนที่อังกฤษมาก

    ผู้เข้าชมรวม

    262

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    262

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 มิ.ย. 56 / 10:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

             เช้าวันจันทร์ที่ 7 ต.ค. เป็นเช้าวันที่ 5 ในแคนาดา ผมเดินจากที่พักไปประชุม อย่างที่ระบุไว้ว่าเดินแค่ 5 นาทีก็ถึง แต่ผมกว่าจะหาทางเข้า หาห้องประชุม หาที่ลงทะเบียนว่าผมมาแล้ว เล่นเอาเดินจนเหงื่อตกทั้งที่วันนี้หนาวและมีฝนลงปรอยๆ สถานที่ประชุมกว้างขวางมาก ห้องเล็กๆของพี่แก ก็เป็นห้องใหญ่มาก มีการประชุมของหลายๆกลุ่มบุคคลได้พร้อมๆกัน ศูนย์ประชุมกลางมอลทรีลที่ไปประชุมนี้ ถนนหนทางรอบๆตัวตึก กำลังซ่อมแซมแก้ไขอยู่จึงมองหาทางเข้าลำบากหน่อยเท่านั้น เมื่อว่างจากงานเราก็ออกดูเมือง สองเท้าก้าวเดิน อากาศดี ไม่ร้อน ฝนหยุดแล้วแต่ฟ้าไม่เปิด เมื่อเดินชมเมือง เดินผ่านชมผู้คนแล้ว เราพบว่า สาวๆเมืองมอลทรีลหน้าตาน่ารักสวยแบบฝรั่งเศส

             บ่ายแล้ว เราเริ่มเดินดูเขตที่เป็นเมืองเก่าของมอลทรีล Vieux Montreal เริ่มต้นที่โบสถ์นอตเตอร์แดม Basillique Notre-Dam ทั้งภายนอกและภายในเป็นโบสถ์ที่สวยทีเดียว จากนั้นเดินลงไปแนวริมแม่น้ำ ตามแนวถนนเซนท์ปอล เราเคยผ่านเมืองเที่ยวแถบยุโรปมากันบ้าง แม้ว่าที่นี่เรียกเขตเมืองเก่า แต่ก็ไม่เก่าเท่าแถบยุโรป เดินมาชมศาลากลาง Hotel de Ville ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์Chateau Ramezay เดินผ่านร้านรวงต่างๆจนมาถึงบริเวณที่เป็นตลาดกลางขายปลา มอลทรีลเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ตลาดขายปลาแต่ในอดีด เดี๋ยวนี้กลายเป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่จัดงานนิทรรศการสวยงามชื่อว่า Marche Bonsecours เดินมาจนสุดทางก็พบ โบสถ์ที่ชาวกลาสีเรือนับถือมีชื่อทางการว่า Chapelle Notre Dame de Bonsecours วันจันทร์เป็นวันที่พิพิธภัณฑ์ ปิดของเมืองแคนาดา จึงเดินชมได้แต่ตัวตึกเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น

             จึงตัดสินใจออกไปเที่ยวชมสวน ชมสัญลักษณ์ที่เป็นมอลทรีล ออกนอกเมืองไปนิดนึง น่าจะดีกว่าไปให้ถึง Olympic Park, Biodome, Jardin botanique de Montreal ทั้ง 3 ที่ที่เอ่ยนามนี้อยู่ในบริเวณเดียวกัน  เดินจากโบสถ์ชาวกลาสีเรือ ไม่ไกลก็มาถึงสถานี Champ -de- Mars นายท่าดูแกไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษที่แกไม่คุ้นเคย หรืออย่างไรไม่ทราบ เราก็พยายามจะซื้อตั๋ว แกไม่ขายให้แต่แกเล่นปล่อยให้ผู้โดยสารทุกคนผ่านด่านตรวจของแกเข้าไปขึ้นรถไฟฟรีเลย ไม่ว่าคนที่มีตั๋วอยู่แล้วหรือตั้งใจว่าจะมาซื้อตั๋วแบบเรา 2 คนก็ตาม บนรถไฟใต้ดินที่เราได้เห็นคนหนุ่มสาวมอลทรีลมากขึ้น คนเมืองนี้ มีทั้งหน้าตาแบบเอเชีย ยุโรป รวมทั้งคนจากทุกมุมโลกนับว่าเป็นเมืองนานาชาติจริงๆ ค่าเฉลี่ยของหนุ่มสาวที่เมืองนี้ดูสวยงามน่าจับตามองไปทั้งหมด นั่งรถไฟไปจนถึงที่หมาย สถานีรถไฟใต้ดิน Viau station ออกจากสถานีไม่มีการตรวจอะไร นับว่าเป็นเที่ยวที่เราได้ตั๋วฟรีจริงๆ เราเดินออกมาจากสถานี เราก็พบโอลิมปิกพาร์ค ไบโอโดม และสวน จาดีน ข้อมูลเพื่อนเราบอกว่าให้อุดหนุนซื้อตั๋วชมทั้ง 3 ที่เลยเพื่อจะได้ลดราคา เราได้ขึ้นเคเบิ้ล คาร์ ไปจนถึงยอดชมวิว หอสูงนี้เรียกชื่อว่า Montreal tower เป็นที่เยี่ยมชมมุมสูงของเมือง คนแคนาดาดูแล้วชอบสร้างอะไรที่ดูสูงใหญ่แล้วชอบให้มองเป็นมุมสูงลงมา จะพบในอีกหลายแหล่งท่องเที่ยวเชียวครับ

             ดูวิวแล้วลงมาเก็บความยิ่งใหญ่ของไบโอโดมที่นี่จัดแสดง ตัวจริงเสียงจริงของเหล่าสรรพสัตว์นานาพันธุ์ อาศัยอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ เชื่อได้เลยว่า การศึกษาของเด็กๆที่ได้จับต้อง เห็นของจริงที่จัดแสดงเหล่านี้ จะเข้าใจลึกซึ้งถึงความเป็นจริงของธรรมชาติ เร้ากระตุ้นให้หวงแหนสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงการทำลาย เป็นการลงทุนที่แพงมาก การรักษาสภาพของแหล่งให้ความรู้การศึกษาแบบนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลกลางต้องกล้าตัดสินใจ เราต้องนั่งรถต่อช่วงไปชมสวนจาดินโบตานิกต่อ มีแผนที่ให้ดูแล้วเรารู้เลยว่ามันกว้างมากจริงๆ เดินจนครบอาจไม่สบายเจ็บป่วยได้ จึงตัดใจได้ในที่สุด ว่าเราจะเดินชมแต่ที่เป็นจุดเด่นจริงๆของสวนนี้ ความสวยงามของการจัดสวนแสดง ไว้เป็นหลายๆรูปแบบ แบบฝรั่ง แบบจีน แบบญี่ปุ่น ความสวยงามพาให้เรา 2 คนเดินจนเกือบครบทุกตำแหน่ง ทางสวนกำลังมีนิทรรศการสวนแบบจีนอยู่พอดี ก็ดูแสงสี จัดจ้าแดงเข้มสมจีนจริงๆ พาใจให้นึกไกลได้ว่า ประเทศจีน มหาอำนาจแห่งเอเชียนี้กำลังมาแรงที่สุด มีอิทธิพลอย่างสูงยิ่งในสังคมโลกปัจจุบัน

             นั่งรถต่อช่วงกลับมาลงที่ท่าสถานีรถไฟแล้ว คราวนี้ต้องซื้อตั๋วรถไฟ  2 คนเมื่อยขามากแล้ว แต่ความแปลกใหม่ของเมือง พาให้เราลงสถานีรถไฟใต้ดินผิดที่ จึงต้องออกแรงเดินไม่ใช่น้อยๆเลยกว่าจะกลับมาถึงโรงแรมที่พัก ได้พบทั้งสถานที่ที่กำลังถ่ายทำรายการออกทีวี พบว่าผู้คนกำลังเดินประท้วงรัฐบาล สำหรับเธอ พบว่าเยื้องๆกับโรงแรมที่พัก มียิ่งกว่าร้านเซ่เว่น มีของมากเท่าหรือมากกว่าโฮมเฟรชมาร์ท บ้านเราเสียอีก มืดนี้ผมจึงมีทั้งไก่อบ อาหารญี่ปุ่น องุ่นไม่มีเมล็ด ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ขนมปังฝรั่งเศส เครื่องดื่ม น้ำ ของขบเคี้ยว อาหารว่าง เข้ามาสะสมในโรงแรมที่พัก อร่อยอย่างไหน เลือกอย่างนั้นมาทานได้เลย โรงแรมที่พักนี้ไม่มีอาหารให้ มีเพียงกาต้มน้ำร้อนให้ชงกาแฟ เราได้ชาเมเปิ้ลพอตบหลังให้หายคาวปาก อากาศไม่หนาวมาก ฟ้ายังไม่สดใส แต่ทีวีเริ่มประกาศว่าพรุ่งนี้จะมีแดด ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ราชินีอังกฤษ เสด็จพระราชดำเนินเยือนแคนาดา ในวโรกาสที่พระองค์ทรงครองราชย์ครบ 50 ปีพอดี ได้ชมข่าวทางทีวีเพลินไปกับพิธีต้อนรับต่างๆ ที่หนึ่งที่พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้คือ ออตตาวา เมืองหลวงตัวจริงของแคนาดา วันพรุ่งนี้วันอังคารที่ 8 เราจึงไปออตตาวา เมืองหลวง เมืองที่ต้องไปดู

              7-8 ปีที่แล้วที่ได้เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต จำความรู้สึกตอนนั้นได้แม่นยำว่า อยากมาเรียนที่อังกฤษมาก จำได้ว่าเพื่อนพาลงรถไฟใต้ดินในกรุงลอนดอน แล้วขึ้นจากสถานีรถไฟใต้ดินมาโผล่ตรงตึกรัฐสภาของอังกฤษที่มีบิ๊กเบล ตรงนั้นพอดี นาฬิกาตีดังได้ยินชัด บรรยากาศทำให้ขนลุกซู่ บอกตัวเองว่าชีวิตเด็กบ้านนอกอย่างเราดีใจมากเลยได้มาถึงที่นี่ ตึกรัฐสภาอังกฤษที่เห็นนั้น มีตัวตึก ที่งดงาม วิจิตร ตะลึง งงงันกับสิ่งที่มวลมนุษย์ก่อร่างสร้างขึ้น เมื่อได้มาแคนาดา ที่ออตตาวามีรัฐสภาที่รวมผู้แทนคนแคนาดาทั่วประเทศไว้ที่นี่ รัฐสภาที่สร้างเลียน ทำให้เหมือนที่อังกฤษ เมืองแม่อย่างนั้น ออตตาวาเป็นเมืองที่ต้องมาดู

            ก่อนมาถึง เพื่อนเธอบอกว่าที่นี่ไม่มีอะไร ยังไม่ต้องจองรถไฟนะ ทั้งที่ตั๋วรถไฟเที่ยวนี้ เราไม่ต้องจ่ายค่าโดยสารเพิ่มอีกแล้ว แต่เมื่อมาถึงแคนาดา แผนการเที่ยวออตตาวาก็มาจนได้ นั่งรถไฟไม่นานเที่ยงวันเรามาถึงออตตาวา แม้ชื่อว่าเมืองหลวงของประเทศแต่ก็เป็นเมืองราชการ เมืองการศึกษา เป็นเมืองเล็กๆไปเลยเมื่อนำไปเทียบกับเมืองเศรษฐกิจสำคัญ แบบโตรอนโตหรือมอลทรีล

            ออตตาวามีแต่รถประจำทางไม่มีรถใต้ดิน แต่วิ่งมีระบบระเบียบเทียบเท่ากับรถไฟใต้ดินทีเดียวครับ จากสถานีรถไฟเราเข้าอินเตอร์เน็ตที่บอกให้เรารู้ว่าเราต้องรอที่ตรงไหน มีทางเดินที่พาบอกให้ลงมารอที่ป้ายรถได้เลย เรารู้ว่ารถเมล์แล่นผ่านมหาวิทยาลัยออตตาวาที่มีชื่อเสียงแล้วพาเราเข้าตัวเมือง ลงที่ดาวน์ทาวน์ เดินมุ่งหน้าไปให้ถูกทิศแล้ว ตึกรัฐสภาออตตาวาก็ตระหง่าน หอนาฬิกาที่เห็นได้แบบเดียวในลอนดอนเลย แม้จะดูว่าใหม่กว่าในอังกฤษเท่านั้นเอง

             แดดดีมากตามที่กรมอุตุแจ้งไว้จริงๆวันนี้ แต่ก็ยังหนาว ลมไม่แรงเท่าเมื่อวาน หมุนตัวเองรอบๆทิศทางแล้ว ต้องยอมรับ ฮวงจุ้ยของเมืองนี้แล้วว่า สร้างสรรค์มุมมองของตึกเก่า ตึกสำคัญต่างๆไว้ได้อย่างลงตัว มีการตั้งเวทีใหญ่หน้าตึกรัฐสภา เตรียมการณ์ที่ควีนจะเสด็จพระราชดำเนินมาถึงที่นี่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เราเดินมาจนพบทางเข้าชมภายในตึกรัฐสภา ไกด์หน้าตาหนุ่มสาวอยู่ในวัยนักศึกษา หน้าตาน่าดูชมทำให้บรรยากาศท่องเที่ยวน่าสนใจไม่น้อย อีกครั้งที่เราได้ขึ้นลิฟท์ขึ้นที่สูงที่ซ่อนอยู่ในหอนาฬิกา ทำให้เราได้เพลินกับวิวมุมสูงอีกครั้ง แค่ข้ามฝั่งแม่น้ำก็เป็นเขตเมืองฮัล ของแคว้นควิเบค ในขณะที่ออตตาวานี้เป็นเขตออนตาริโอเหมือนกับโตรอนโต ตรงข้ามกับหอนาฬิกาเห็นโดมThe Peace Tower มาถึงออตตาวาต้องไม่พลาด หอศิลป์แห่งชาติของแคนาดา จากที่สูงเรารู้ที่หมาย ไม่น่าไกลเลย ที่เรามองลงมา พอได้ลงมากว่าจะถึง เล่นเอาเราหอบทีเดียว

              การเดินท่องเที่ยวทำให้เราเห็นมุมมองของเราต่อตัวตึก ผู้คน บรรยากาศสวน อากาศร้อนหนาว งานศิลปะหลายๆชั้นเชิงก็สะท้อนอารมณ์ศิลปิน แรงกระตุ้น ความกดดัน จินตนาการของเขาออกมา อีกครั้งที่เราเดินชมความงามของศิลปินที่มีชื่อ แวนโก๊ะ ปิกัสโซ่ โมเน่ หรือแจ็คสัน พอลแลค เรา 2 คนไม่ได้ซาบซึ้งมากไปกว่า สวยดีนะ ที่หอศิลป์นี้ยังมีงานของศิลปินแคนาดาเอง และศิลปินที่มีชื่อเสียงทั่วโลกด้วย ที่นี่เปิดให้ดูฟรี  ที่นี่ใหญ่โตกว้างขวางมาก เดินจนเหนื่อยยังเดินได้ไม่ครบเลย เป็นประเทศที่มีพื้นที่ใช้สอยมากมายเกิน เราต้องกลับนั่งรถไฟกลับมอลทรีลตอนเย็น จึงออกเดินเพื่อค้นหาป้ายรถเมล์กลับสถานีรถไฟ ระหว่างก้มๆเงยๆดูแผนที่ในมือ คนออตตาวาวัยราว 50 เศษ เสนอตัวช่วยชี้ทาง ไม่บอกเฉยๆ แต่แกออกปากช่วยเดินมาเป็นเพื่อนกับเรา นานราว 5 นาทีมาส่งถึงตึกศูนย์การค้าที่เป็นป้ายรถเมล์ น้ำใจนี้เราซาบซึ้งจริง แกคุยว่าแกเคยไปทำงานที่จีนระยะหนึ่งด้วย เมื่อถึงที่หมายจะจากกัน เราก็ยื่นมือออกไปจะเช็คแฮนด์แบบฝรั่ง ตรงข้ามแกพนมมือสวย ไหว้เรา 2 คน จนเรา 2 คนยกมือไหว้แทบไม่ทัน เรากล่าวขอบคุณ ชมที่แกไหว้สวยมากทีเดียว ประทับใจมากครับ ศูนย์การค้าเมืองออตตาวาก็คล้ายเมืองไทย ที่มีเด็กวัยรุ่นเป็นลูกค้ารายใหญ่ ที่นี่กำลังเตรียมของขายเทศกาลฮอลโลวีนที่จะมีขึ้นตอนปลายเดือนตุลา เดินชมห้างจนเจอศูนย์อาหาร บ่าย 3 โมงกว่าแล้ว ทานกันสักนิดก่อนกลับแล้วกัน จากนั้นก็เดินหาป้ายรถเมล์กลับมาถึงสถานีรถไฟ สถานีรถไฟออตตาวา เป็นสถานีเล็กๆ ชีวิตคนแคนาดาที่มีรอรับผู้โดยสาร รอส่งเพื่อนฝูงญาติมิตรก็ไม่ต่างจากบ้านเรา มองเห็นนั่นไงแม่กับน้าพาลูกชายตัวใหญ่ที่เรามองดู

      วิพากษ์กันว่าน่าจะมีโรคทางระบบสมอง เคลื่อนไหวช้าและพูดจาส่งเสียงอ้อแอ้ เมื่อเช้าก็มาพร้อมเรา เย็นนี้ก็กลับพร้อมเราอีก เสียงพูดคุยกันอย่างเอื้ออาทร อบอุ่น ของคนที่รู้เรื่องดี ดูแลเด็กๆ หาน้ำแฮมเบอร์เกอร์ให้ทาน ความรัก ความอบอุ่นต่อความผิดปกติทางสมอง คนพิการเหล่านี้ เธอจึงชวนกันอุดหนุนแฮมเบอร์เกอร์บ้าง

      พบว่าที่นี่ให้เติมน้ำโคล่าได้ไม่จำกัด 2 คนเลยได้เติมเพิ่ม หลายรอบอยู่เหมือนกัน

      รถไฟเปิดหวูดว้าวๆๆๆ ทุกครั้งที่แล่นผ่าน ทางรถยนต์ที่พาดขวาง ขบวนรถไฟแล่นอ่อนล้ายามเย็นเหมือนขบวนรถหวานเย็น ความรู้สึก ถึงก็ช่าง ไม่ถีงก็ช่างพาเรา 2 คนไทยหลับไหล อ่อนล้ากับการเดินเที่ยววันนี้ วันที่ 6 ของเราแล้วในแคนาดา ประเทศที่ใหญ่มากของโลก

      หลับไปพร้อมกับน้ำใจของคนออตตาวาที่เราได้มาพบ

           กลับมาถึงมอลทรีลราว 2 ทุ่มเศษไชน่าทาวน์ที่เราคาดว่าจะฝากท้องไว้ปิดหมดแล้ว เข้าห้องพักพร้อมกับเก็บเอาที่เหลืออยู่ทุกอย่างมาทาน แน่นอนขาดไม่ได้หรอกบะหมี่สำเร็จรูป วางแผนรับพยากรณ์อากาศที่ว่าพรุ่งนี้จะมีฝนตก ต้องเที่ยวที่ในร่มดีกว่าแน่ ที่ไหนอีกที่เป็นจุดขายของมอลทรีล เราจะเยี่ยมชมโบสถ์ที่ยิ่งใหญ่มาก โบสถ์นักบุญยอเซฟ Oratoire Saint Joseph ออกจากเมืองมอลทรีล นั่งรถไฟใต้ดินไปไม่ไกลนัก

           เช้าวันพุธแล้วอากาศมืดมนซึมเซาและจะมีฝนจริงๆ วางแผนว่าให้เป็นเวลาเย็นย่ำที่โบสถ์เสียหน่อยเราอาจได้เห็นแสงไฟยามค่ำคืน ของมอลทรีลก็ได้ จึงแวะไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ McCord Museum of Canadian History ที่เป็นของมหาวิทยาลัยแมคกิล McGill University กันก่อน เราไปถึงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ ก็พบรูปสัญลักษณ์ของก้อนหินวางเรียงเป็นตัวแขนขาของชาวอินเดียแดงตั้งอยู่ ชมแหล่งสะสมข้าวของเหล่านี้ ต้องเตรียมใจว่า เขาเอาที่เขาเห็นว่ามันน่าสนใจมาวาง สร้างเรื่องให้ต่อเนื่องแล้วบอกความคิด เวลาเปลี่ยน มุมมองของสิ่งของ ความเห็นแต่ละอย่างต่างกันไปอย่างไร วันนี้ ตอนนี้ ที่นี่แสดงความเปลี่ยนของเครื่องแต่งกายชาย มีเสื้อผ้าหลากสไตล์ จนถึงกางเกงชั้นในชายที่มีวิวัฒนาการต่างๆกัน อีกห้องจัดแสดงเรื่องราวของคนมอลทรีลบนถนนเซนท์ลอเรนซที่อยู๋ใกล้โรงแรม ที่มีผู้คนอพยพมาจากทุกมุมโลก มาตั้งถิ่นฐาน ประกอบอาชีพกันสองฟากฝั่งถนน สรุปสุดท้ายทุกคนมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวเป็นคนมอลทรีลในที่สุด

              วางแผนนั่งรถไฟใต้ดินอีกนิดหน่อยก็มาถึงสถานีรถไฟใตดิน Cote-des- Neiges ออกจากสถานีมา มองให้ถูกทิศก็จะเห็นโบสถ์นักบุญโยเซฟ เป็นโบสถ์ใหญ่มาก ฝนตกฝอยๆลงมาแล้ว เธอยังสนุกแม้แววตา ความอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย จะบอกออกมา แต่เธอก็อดทน แข็งแรงและไม่ป่วย ต้องเดินอีกแต่ไม่ไกล ผ่านร้านรวงเหมือนแมคโครบ้านเราที่มีของขายมากชนิด ผ่านร้านขายผลไม้นานาชนิด อดใจไว้ว่าเราจะเดินกลับมาซื้อเพื่อจะได้ไม่หนักกระเป๋า

               โบสถ์ใหญ่มาก มองจากรูป เห็นจากหนังสือ เห็นโบสถ์มาจากยุโรป หรือที่เคยไปพบโบสถ์ศาสนาคริสต์ที่ผ่านมา เราว่าแห่งนี้แหละใหญ่ที่สุดสำหรับเรา โดยเฉพาะโดมสีเขียวตรงกลางกล่าวกันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เส้นผ่าศูนย์กลาง 38 เมตรมีความสูงถึง 44.5เมตร ที่นี่ไม่เก็บเงินแต่ทุกที่จะเข้าชมหรือหยิบกระดาษข้อมูลอะไร ก็จะเชิญชวนให้บริจาคตามศรัทธา ภายในใหญ่โตขนาดที่ต้องมีมีบันไดเลื่อนให้ขึ้นไปชมชั้นบน มีรถบริการขึ้นฟรีส่งต่อถ้าเราจะเข้าชมอีกบริเวณของตัวโบสถ์ เมื่อเข้าไปถึงตัวห้องโถงโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว เรา 2 คนนั่งพัก หลบฝนที่ยังตกฝอยๆ คนเพียง 6 คนชาย 2 หญิง 4 ส่งเสียงร้องเพลงบูชาพระเจ้าของเขา เหมือนลองไฟลองเสียง เรานั่งในนั้น เสียงยิ่งใหญ่ไพเราะ มีมนต์ขลังยากจะบอกออกมาได้ เสียงเพลงร้องประสานจบลงแล้ว ต้องทึ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะไม่จำเป็นเลยเครื่องขยายเสียงใดๆ เดินออกมาจากตัวโบสถ์ มีอาคารโบสถ์เล็กๆทางด้านซ้ายของโบสถ์ใหญ่ ที่เหมือนที่พักของบาดหลวงที่สมถะ ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาทที่นี่มาก่อน อยู่อย่างสมถะ พอมีพอกิน แกชื่อบราเดอร์อังเดร บราเดอร์ท่านนี้แกยังนิยมสะสมการจัดแต่งห้องแสดงตอนประสูติของพระเยซู  จัดแสดงไว้น่ารักมาก ต้องนึกตามให้ได้ว่าห้องแสดงเหล่านี้ก็เหมือนเอากล่องกระดาษวางในแนวตั้งขึ้น มีตุ๊กตาตัวเล็กๆแสดงเป็นช่วงเวลาประสูติมีชาวนาเลี้ยงวัวมาร่วมยินดี ห้องแสดงเหล่านี้มีของทุกชาติในโลก แม้แต่กล่องแสดงที่มาจากประเทศไทย

               วันที่ 7 ของเราที่นี่แล้ว เราไม่เคยพบนักท่องเที่ยวชาวไทย แต่ทุกแห่งที่เป็นร้านขายของที่ระลึกเราจะพบญี่ปุ่นเสมอ ที่นี่ก็เช่นกัน นักท่องเที่ยวที่ซื้อได้ทุกอย่าง ที่โบสถ์นี้มีเหรียญเหมือนกับเหรียญหลวงพ่อห้อยคอ เป็นนักบุญในเกือบทุกนาม ปรากฏไว้ให้ซื้อหาด้วย เราเห็นว่าฟ้าปิดคงดูแสงไฟไม่ได้แน่ เราก็กลับที่พักดีกว่า แวะซื้อของจากร้านรวงที่เราหมายตาไว้ ไม่หวังพึ่งน้ำบ่อหน้า ก็เลยได้ทั้งสลัดปลาไก่ทอดน่าทานดี ผลไม้แบบองุ่น ส้ม ลูก พลับแล้วขึ้นรถกลับ จะเข้าโรงแรมก็ต้องผ่านไชน่าทาวน์อยู่ดี เห็นอีกแล้วข้าวหน้าเป็ด ที่เย้ายวนมาก ก็ต้องเห็นปาท่องโก๋ด้วย ทุ่มครึ่งคืนนี้ คน 2 คนจึงไม่มีความสุขอะไรมากกว่าอาหารจีน ฝรั่ง ผลไม้ที่วางอยู่ตรงหน้า หลับแล้วหลับเลย ไม่ได้สนใจทีวีต่อเลยว่าควีนมาถึงเมืองไหนเเล้ว จับสไนเปอร์ของอเมริกาได้หรือยัง เราหลับอย่างอร่อยครับคืนนี้

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×