นั่งรถไฟเที่ยวไปในแคนาดาตะวันออก 2 - นั่งรถไฟเที่ยวไปในแคนาดาตะวันออก 2 นิยาย นั่งรถไฟเที่ยวไปในแคนาดาตะวันออก 2 : Dek-D.com - Writer

    นั่งรถไฟเที่ยวไปในแคนาดาตะวันออก 2

    โดย Jack1960

    ผู้เข้าชมรวม

    168

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    168

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 มิ.ย. 56 / 10:40 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

     

           รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟที่วิ่งจากนิวยอร์คปลายทางที่โตรอนโต 

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

             รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟที่วิ่งจากนิวยอร์คปลายทางที่โตรอนโต นั่งบนรถไฟไม่นานก็หลับอย่างสบายพอควร คาดการณ์ล่วงหน้าว่าเมื่อถึงโตรอนโตคงได้อาหารจีน อาหารญวณหรือญี่ปุ่นก็ยังดีที่เมืองใต้ดินที่เราไปเห็นมา แต่ไปถึงแค่ 2 ทุ่มเศษ ร้านรวงที่ว่าก็ปิดให้บริการกันหมด เหลือแต่ร้านอาหารจานด่วนเท่านั้น ในที่สุดก็ได้มิเตอร์ซุป เป็นขนมปังท่อนยาวตรงกลางใส่ทั้งผัก แฮมน้ำซอสหลายอย่างลงไป ท่อนเดียว สองคนเกือบจะทานกันไม่หมด ท่อนใหญ่มาก ห้องน้ำสถานีรถไฟยูเนื่ยนนี้เราคุ้นเคยบ้างแล้ว จึงใช้บริการอย่างจัดเจน เมืองแคนาดาไม่ขี้เหนียวเรื่องน้ำ เราซื้อน้ำขวดแล้ว เก็บขวดมากรอกน้ำกดที่สถานีรถไฟเหล่านี้ได้ ประหยัดได้มาก

      ตู้โทรศัพท์ เครื่องอินเตอร์เนตหยอดเหรียญก็มีบริการ เธอโทรศัพท์ถึงกรุงเทพได้อย่างสบายๆ เราซื้อบัตรโทรศัพท์แบบจ่ายก่อนทางอินเตอร์เนต เหมือนพินโฟน โทรได้นาน โทรได้ทุกวัน โทรได้ทุกที่ ไม่เปลืองและกลับมาเมืองไทยก็ยังไม่หมด สักที 20 ดอลล่าร์อเมริกันนี้ โทรได้นาน เสียงชัดเหมือนโฆษณาไว้ดีจริง 5 ทุ่มโดยประมาณ ก็ได้เวลาขึ้นรถไฟไปมอลทรีล เป็นการเตรียมตัวนอนบนรถไฟ รถไฟวิ่งไกล และนานถึง 8 ชั่วโมงอย่างนี้มีชื่อขบวนด้วยนะว่าเอนเตอร์ไพร็ส์ enterprize เหมือนยานอวกาศอย่างนั้น ชั้นหนึ่งได้ขึ้นก่อนดูแลดีทีเดียว รถไฟขบวนนี้มีตู้เก็บกระเป๋าเดินทาง ดังนั้นเราลากจูงกระเป๋าแล้วมาส่งให้เจ้าหน้าที่เก็บใส่ตู้ รถไฟใหม่มาก แม้ชื่อว่าชั้นประหยัดที่นั่งปรับเอนนอนได้ กว้างขวาง เหยียดเท้าสบาย คิดไปถึงตอนเรียนที่เชียงใหม่ต้องนั่งรถทัวร์ขึ้นลงกรุงเทพเชียงใหม่บ่อยๆ นอนในรถทัวร์แบบนั้น รถไฟขบวนใหญ่ยักษ์นี้นอนสบายกว่ามากทีเดียว มีบริการหมอนหนุน ผ้าห่มบนรถพร้อมสรรพ การ์ดหรือพนักงานตรวจตั๋วเดินดูความเรียบร้อย จัดที่นั่งให้ทุกๆคนพอใจ พยายามจัดให้คนลงปลายทางเหมือนเรานั่งในตู้เดียวกัน คนลงก่อนจะทำเครื่องหมายเตือนไว้เหนือที่นั่ง มีการมาปลุกให้ลงหากไม่ยอมตื่นด้วย

             รถไฟเคลื่อนตัวแล้วโตรอนโตกับมอลทรีลไกลกันไม่น้อย น่าจะนอนได้บนรถไฟที่เตรียมให้นอน แต่ผมกลับนอนไม่หลับ กลางคืนของเขา กลางวันของเรา พรุ่งนี้ต้องเที่ยวต่ออีกนะบอกกับตัวเอง ยังหวนคิดถึงน้ำตก ความยิ่งใหญ่อมตะนิรันดร์กาล ของน้ำตก คิดถึงเมืองท่องเที่ยวแบบนี้ ที่เขาทำได้จนเรารู้ถึงความปลอดภัย คนที่อยู่ร่วมกันมีความสุข รถไฟเคลื่อนตัวต่อไป สถานีแล้วสถานีเล่าจนรถไฟหยุดสนิท เครื่องเสียต้องซ่อมหรือเปล่า หลายคนยังหลับ ที่นั่งที่เราว่าเราสบายๆแล้วฝรั่งตัวใหญ่ หรือว่าตัวเล็กก็ตามหลายคนสบายกว่านั้นอีก พี่แกเล่นนอนขวางเก้าอี้ นอนบนเก้าอี้นั่งสองตัวที่ติดกันเลย นอนให้สบายเต็มที่ รถจอดนิ่งสนิทเป็นเวลานานถึง 30-40นาที แล้วก็เคลื่อนขบวนต่อ ทราบภายหลังว่า รถจอดรอขบวนสวนทางกัน และจะจอดนานอย่างนี้ทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับครับ เช้าวันนั้นตรงตามเวลาที่กำหนด 8 โมงเศษเราก็เห็นเมืองมอลทรีล เมืองที่เรากำหนดว่าจะมาประชุม ตึกสูงเสียดฟ้ามากมายเป็นวิวที่เราคุ้นจากหนังสือ ตึกหนึ่งที่เรา 2 คนเรียกกันว่าตึกพนมมือไหว้ ชื่อว่าตึก 1000 มองไปคล้ายตึกนี้พนมมือ ไหว้ทุกคนที่มาเยือนมอลทรีล แคว้นควิเบค เมืองภูเขาริมแม่น้ำ สวยเหลือเกินเมือง คนที่นี่พูดภาษาฝรั่งเศส มากกว่าภาษาอังกฤษ เมืองสวยเป็นปารีส ฝรั่งเศสบนแผ่นดินอเมริกาเหนือนั่นเอง

            สถานีรถไฟกลางเมืองมอลทรีลนี้ สวย ทันสมัย มากกว่าในโตรอนโต จากสถานีลงมาที่ชานชาลารถไฟ มีบันไดเลื่อนบริการ ก็เท่ สะดวกมากขึ้น พอมาถึง คิดเองว่าเดี๋ยวคงมารอรับกระเป๋าที่สายพานรับกระเป๋า เอ่เอ้ ไม่มาสักทีสอบถามเจ้าหน้าที่เราต้องย้อนลงไปครับ ไปรับกระเป๋าเราเองที่ตู้เก็บ พี่แกบริการให้แต่พวกชั้นหนึ่งเท่านั้น ได้กระเป๋าก็นำมาฝากที่บริการรับฝากของสถานีแล้วออกเดินเที่ยวเช่นเคยสะพายเป้กัน 2 คนแล้วเดินดูเมืองสวย มอลทรีล

      เรารู้ว่าตอนเที่ยงจะกลับมาขึ้นรถไฟไปควิเบคซิตี้ กางแผนที่ดูที่เที่ยว ออกสำรวจด้วยสองเท้าดีที่สุด ไม่หนาวมากนัก อากาศดี ไม่มีฝนแต่อากาศก็ดูขุ่นมัวแบบฤดูใบไม้ร่วง เดินตามทางชมเมือง เรามีที่หมายของคำว่าไชน่าทาวน์เผื่อไว้ว่าอาจจะได้อะไรๆอร่อยทาน ในที่สุดก็พบ ทั้งโรงแรมที่พัก ที่ประชุม เมืองจีนในมอลทรีล แต่อาจเช้าไปหรือเป็นวันเสาร์ก็ได้ ไม่มีร้านบริการ เราเดินกลับมาสถานีรถไฟ ทางกลับเราแวะโบสถ์ที่ศาสนาคาทอริกมาลงหลักในมอลทรีลที่ชื่อว่า Cathedral Marie Reine du Monde  เดินจนเข้าไปภายในตัวตึกพนมมือไหว้โดยไม่รู้ตัว เห็นลานสเก็ตขาวโพลน มีครอบครัวคนมอลทรีลพาลูกหลานตัวเล็กตัวน้อยมาเล่นสเก็ตน้ำแข็ง กีฬาสเก็ตน้ำแข็งเป็นของชอบของคนที่นี่อย่างแท้จริง ลงไปถึงสถานีรถไฟใต้ดินกลางที่เป็นศูนย์กลางของเมือง ที่ชื่อว่าโบนาเวนเจอร์ เมืองใต้ดินที่นี่อาจไม่ต่อเนื่องกว้างขวางเท่าที่โตรอนโตแต่ก็มีให้เห็น ในที่สุดเราก็กลับมารอรถไฟที่สถานีกลาง เธอแข็งแรงมากเดินได้ดี ซ้อมมา ไม่ปริปากบ่น เราอุดหนุนร้านคนจีนจนได้ภายในสถานีได้ทานซุปอร่อย เครปฝรั่งเศส รสชาติไม่เลวเลย จิบกาแฟรอจนได้เวลาออกจากมอลทรีลไปควิเบค เมืองแสนสวยของเรา รถไฟออกแล้ว นั่งบนรถแล้ว แปลกใจเล็กๆ พลขับประกาศว่า เราจะถอยหลังออกไปก่อน แล้วจึงเข้าสู่เส้นทางเดินหน้าไปสู่ควิเบคซิตี้ แดดออกดีมาก

      2 ข้างทางรถไฟ ใบไม้เปลี่ยนสีจากฤดูร้อนผลัดใบเปลี่ยนสีกลายเป็นฤดูใบไม้ร่วง จากใบสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล สีส้ม สีแดงสวยแปลกตา แทบทั้งหมดเป็นต้นเมเปิ้ล สัญลักษณ์ ของแคนาดานั่นเอง คนเรามองเห็นเป็นสีสวยงาม ประทับใจไว้ หากแต่ทั้งปวงเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่คงไว้เป็นการเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล ดับไป อันเป็นนิรันดร์

              

       

       

       

       

       

             ขบวนรถไฟเที่ยวนี้ดูเป็นรถขบวนเก่า บ่าย 3 โมงโดยประมาณจะพาเราถึงควิเบคซิตี้ แคว้นควิเบคนี้เมืองเอกคือมอลทรีล เมืองน่าเที่ยวก็ต้องที่นี่ ควิเบคซิตี้ เมืองมรดกโลก ที่เป็นหนึ่งของเมืองเก่าที่สวยเสียเหลือเกิน มีโรงแรมสวยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง ที่ชื่อว่า Chateau Frontenac ระหว่างทางบนรถไฟ นอกจากจะเห็นทิวไม้เมเปิ้ลเปลี่ยนสีสวยงามเป็นช่วงๆแล้ว ระหว่างทางยังผ่านทิวเขา ยังพบเห็นสายน้ำที่รถไฟแล่นผ่านไปบนสะพานสูง สายน้ำเบื้องล่างสวยใสดั่งกระจก ผู้คนยืนริมฝั่งตกปลา สายน้ำไหลเอื่อย ผ่านไปบนโขดหินก้อนเล็กก้อนน้อย ยามรถไฟเคลื่อนขบวนเลี้ยวโอบล้อม คดโค้งไปตามทิวเขา รถเคลื่อนตัวช้า มองเห็นขบวนรถเคลื่อนไปตามรางโอบกอดทิวเขาไว้ อีกข้างเป็นทะเล แม่น้ำ มหาสมุทรบ้างอย่างนั้น หากชีวิตถูกลิขิตมาชัดเจนเช่นดั่งรางรถไฟนี่แล้ว ขบวนรถชีวิตที่เคลื่อนไปคงได้พบแต่สิ่งที่กำหนดมาแล้วใช่หรือไม่ หากแต่ชีวิตเป็นได้แต่แบบสายน้ำไหล ที่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน บ้างไหลแรง บ้างไหลเอื่อยอ่อย พบสิ่งขวางทาง ให้พบเห็น ให้ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้สิ้นสุด อย่างนั้นดอกหรือ คือชีวิตมนุษย์

             บ่ายมากแล้วกว่าจะถึงควิเบค สถานีรถไฟเมืองนี้สวยอย่างกับเป็นปราสาท ทั้งยังเก่าแก่ เป็นทั้งสถานีรถไฟและสถานีรถโดยสารด้วยในตัว มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาด้วย 2 ใบเราหาที่ฝากที่สถานีนี้ก็ไม่ได้ จึงต้องพึ่งบริการรถแท็กซี่ เพื่อไปให้ถึงโรงแรมจาดีนส์บนถนนเซนส์แอนน์ ก็ไม่ได้ผิดหวังเลยเพราะโรงแรมอยู่ใกล้ที่เที่ยว ใกล้สถานีรถไฟ ที่พักที่นี่เป็นโรงแรมเล็กๆที่น่ารัก เหมือนในยุโรป เป็นห้องเล็กๆ บริการอาหารเช้าด้วยเป็นการบริหารแบบครอบครัว เป็นกันเองอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ถึงโรงแรมก็อดใจไม่ได้ รีบเก็บข้าวของแล้วก็รีบอีก รีบออกไปชมเมือง อยากดูอยากเห็นความสวยงามของเมือง ได้เห็นมาก่อนแล้วหลายเมืองที่เรียกตัวเองว่าเป็นเมืองสวย เมืองน่ารัก หากได้เห็นควิเบคซิตี้ ยามนี้ วันนี้ ความสวย ความน่ารักที่เคยว่าไว้แล้ว อาจต้องเปลี่ยนนิยามไปเลย เมืองเก่าเมืองนี้สวยเสียจริง เดินออกจากโรงแรมที่พักนิดเดียว ก็ได้เดินเที่ยวสำรวจอย่างตื่นตะลึง เมืองน่ารักเสียจริง ไม้ดอกไม้ประดับ รับกับเมืองเก่า โรงแรมฟอนตาแนกที่มีชื่อ ตั้งเป็นสง่าเหมือนหลักชัยแห่งอารยชนคนถิ่นนี้ ผู้คนหนุ่มสาวนักท่องเที่ยวนานาเผ่าพันธ์ เดินชมเมืองอย่างอิ่มใจ เห็นศุนย์ท่องเที่ยวที่หลายคนเข้าไปหาข้อมูลที่พัก เห็นชานกว้างที่เรียกกับว่า Terrasse Dufferin นอกชานริมโรงแรมฟอนตาแนก เมื่อมองลงมาเป็นเมืองเชิงเขาลดหลั่น เห็นย่าน Place Royale ร้านรวงประดับด้วยดอกไม้ สีแดงทาทับสีเหลืองมลังมะเลืองสลับกันไปมาบนพื้นหลังคาของตึกย่านนี้ แม่น้ำเซนท์ ลอเรนซ์ ไหลแบบนิ่งสนิททอดวางข้างหน้า เราวางแผนตามข้อมูลแล้วว่า

      จะนั่งรถกระเช้าลงมาเบื้องล่างที่เป็นย่าน Place Royale

             กระเช้าเสียสตังค์เคลื่อนตัวช้าๆลงมาร้านรวงเมืองข้างล่าง ผู้คนที่เดินอยู่รอบตัวเปี่ยมด้วยความสุขที่บ่งบอกออกมาด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและทางแววตา

            เดินชมเมือง ลงมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ลงเรือข้ามฟากมายังฝั่งเลไว ไม่ได้อยากไปที่ไหน แต่เมื่อลงเรือแล้วย้อนมองมายังเมืองเก่าอย่างควิเบคซิตี้ เหมือนดังกับมองมายังเมืองใน นิทานที่ว่าไว้ถึงปราสาทเมืองเก่า เหมือนในจินตนาการวัยเด็กที่เราเคยวาดฝันไว้ เรือเคลื่อนออกจากฝั่ง แล้วเรือก็แล่นย้อนกลับเข้าท่าเดิมดังนั้น นี่เป็นเพียงเย็นวันที่ 3 ของเราในแคนาดา หนาวสะอาดของอากาศเมืองนอก เราได้พักผ่อน คลายตัวเอง เราจะไม่ลืม ที่นี่ ควิเบค เมืองมรดกโลก เมืองสวยที่ยังสวยไม่สร่างซา

            เช้าวันใหม่ที่ตื่นมาพบกับแสงแดดจ้า ทราบมาว่ามีทัวร์พื้นที่พาออกไปเที่ยวนอกเมือง แต่มักเป็นตอนบ่าย ตอนเช้าพาดูในเมือง แต่เมื่อมาถึงที่นี่เราค้นพบว่ามีอีกบริษัท พาเราไปนอกเมืองตอนเช้ากลับมาตอนบ่ายตามที่เราอยากไป อาหารเช้าที่พี่น้องเจ้าของโรงแรมช่วยกันจัดเตรียมก็เป็นขนมปังทาแยม ชากาแฟแบบนั้น มีผลไม้ด้วยแต่เป็นผลไม้ปลอมๆเท่านั้น เราเช็คเอาท์เลย พร้อมโทรศัพท์แจ้งบริษัททัวร์พื้นที่ตามโบร์ชัวร์ว่าเราจะไปกับเขาด้วย แวะมารับเรา 2 คน 9 โมงเช้าที่หน้าโรงแรมนะ ฝากกระเป๋าไว้ก่อนที่โรงแรมเหมือนเคย แล้วรอรถ สายไป 10 นาทีแล้วครับ เธอของผมร้องเรียนเลยว่าเธอพูดกับเขารู้เรื่องหรือเปล่า พูดภาษาอังกฤษนะ ผมก็ว่ารู้เรื่องซีครับ

      สายไปถึง15 นาทีตาอ้วนคนขับรถก็มาหน้าโรงแรม ร้องเรียกเก็บตังค์ก่อนขึ้นรถเลย คนละ 40 ดอล ในรถมีแต่ผู้สูงวัยกว่าเรา ส่วนใหญ่เป็นอเมริกัน รวมเราด้วยแล้ว ประมาณ 18 คน ตาอ้วนทั้งขับ ทั้งไกด์ เดี๋ยวพูดอังกฤษ เดี๋ยวพูดฝรั่งเศสสลับ เพลินเสียงไปตลอดทาง ควิเบคแปลตรงๆว่าที่แม่น้ำมันแคบ ที่นี่พูดฝรั่งเศสเป็นหลัก ฝรั่งเศสในอเมริกาเหนือก็ที่นี่ครับ ทั้งๆที่แคนาดาเป็นอาณานิคมอังกฤษ ทำไมควิเบคจึงไม่ลดลาความสำคัญของฝรั่งเศสในควิเบคลงไปเลย ตาอ้วนแกตอบอเมริกันชนที่ช่างสงสัย ตามความเห็นของแกว่า ศาสนาครับ ศาสนาที่คนแถบนี้ยึดถือ บาทหลวง คำสวดที่ต่อเนื่องยาวนานมา ยึดสังคม ยึดความคิดความเชื่อรวมคนให้ภูมิใจในความเป็นควิเบคจนทุกวันนี้ แน่นอน แกว่าต้องให้เครดิตความใจกว้างของอังกฤษที่เขามาครองครองเมืองรบชนะด้วยว่า ไม่หักหาญให้ได้ดั่งใจไปตลอด ยินยอมให้คนแถบนี้ใช้ภาษาฝรั่งเศสที่ตนคุ้นเคยต่อไป แต่อย่าหักหลังอังกฤษ หรือร่วมกันโค่นอำนาจมหาอำนาจอย่างอังกฤษ แบบที่ทำกันในอเมริกาแล้วกัน เค้าพาเรามาชมน้ำตกนอกเมืองชื่อ Montmorency falls ว่ากันว่าเป็นน้ำตกที่สูงกว่าน้ำตกไนแองการาอีก เมื่อได้เห็นน้ำตกจริงๆ มีหลากหลายวิธีด้วยกันที่จะชมความงามของน้ำตกนี้

            เรา 2 คนน่าจะมีอายุน้อยที่สุดในรถ แต่เป็นเพียง 2 คนที่ขึ้นกระเช้าชิงช้าพาเราจากเชิงเขาขึ้นไปสู่ยอดน้ำตก ได้เห็นวิวอย่างสวยงามของน้ำตก เห็นใบไม้เปลี่ยนสี ใบไม้หลากสีแสนสวยงาม มองไปเห็นทางเดินขึ้นไปน้ำตกที่ถูกสร้างขึ้น จินตนาการตามว่าหากต้องเดินขึ้นเองสงสัยจะแย่แน่ ตาอ้วนขับรถพาคนอื่นๆขึ้นตามทางถนนไปรอเราที่ข้างบนแล้ว

              น้ำตกสวยรับกับแดดสาดแสงแรงจ้าเช้าวันอาทิตย์ คนพื้นที่พากันออกจากบ้านมาสังสรรค์พักผ่อนกันที่บ้านสวย ภัตตาคารของน้ำตกนี้ เราเดินไปจนถึงสะพานขึงที่พาดเท่าความกว้างของน้ำตก สวยจริงนะเออ แสงแดดสาดสู้กับใบไม้เปลี่ยนสี สวยมหัศจรรย์ยิ่งนัก เกินกว่าจินตนาการ ผู้คนที่พบพาน แพร่ซ่านความสุข อิ่มอารมณ์กันไปทุกที่ เก็บภาพสวยไว้ในกล้อง ไว้ในใจเราให้ได้มากที่สุด ตาอ้วนสำทับว่าถึงสะพานขึงแล้วยูก็เดินกลับมาเถอะนะ การอยู่ในกลุ่ม 18-20 คนนี้เราก็ควรตรงต่อเวลาให้ขบวนการกลุ่มร่วมกันเที่ยวเป็นไปอย่างสนุก

             การเที่ยวไปกับฝรั่งแบบนี้จะไม่มีหยุดให้ทานอาหาร เมื่อถึงเวลารถก็ออก สารถีพาเราชมบ้านนอกของฝรั่งแถบนี้จริงๆ เห็นฟาร์มของเขา เห็นโบสถ์เล็กๆที่มีอยู่เนืองๆ ให้คนของเขามีศรัทธาต่อพระเจ้า ศรัทธาต่อคุณงามความดี ที่เพียรกระทำต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคมประเทศชาติ ตาอ้วนให้เราแวะร้านป้ามาลี ภาษาอังกฤษ ก็อ่านแมรี่อะไรแบบนี้ มาถึงแคนาดาก็ต้องได้มาชิมน้ำเชื่อมเมเปิ้ลสิครับ ร้านป้ามาลีนี่แกก็มีทุกอย่างของเมเปิ้ลจะเป็นแบบครีมแบบน้ำเชื่อม แบบชา แบบไว้ทาขนมปัง แบบไว้ใส่ไวน์ ใส่เหล้า ซื้อหาตามอัธยาศัย เลยได้ชิมขนมปังทาครีมน้ำเชื่อมเมเปิ้ล ก็หวานเท่านั้น ลิ้นของเราไม่อาจบอกว่ามันสุดวิเศษเป็นอย่างอื่นไปได้ เธฮสวมวิญญาณนักช็อบอุดหนุนกันหน่อยเป็นของฝากจากแคนาดา เรามาถึงโบสถ์ชื่อ Saint- Anne-de-Beaupre โบสถ์ที่ต้องมาดู วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผู้คนเต็มอาคารภายในโบสถ์ที่ใหญ่โต มีการสวด ทำพิธีกันพอดี เราจึงได้พบความรัก ความศรัทธาที่เป็นรากฐานยึดถือได้อันหนึ่งในชีวิตมนุษย์ ศรัทธาต่อพระเจ้า ความดี ความถูกต้อง ภายในโบสถ์ ดูสวยดี เดินเข้าชมชั้นบนชั้นล่าง แล้วก็ได้มาพบที่เขาเอาไม้ค้ำ ไม้เท้ามาแขวนติดไว้ที่เสาใหญ่ในตัวโบสถ์ เป็นศรัทธาที่หลายคนกล่าวขวัญถึงความศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ว่า คนเดินไม่ได้มาที่นี่แล้วกลับมาเดินได้ ทิ้งไม้ค้ำ ทิ้งไม้เท้าไปได้เลย แสงแดดยังคงแรง อากาศเย็นนะ ไม่หนาวมาก ศรัทธาในพระเจ้าของผู้คนจำนวนมากรอบข้างสร้างความอบอุ่นแก่เรา ผู้มาเยือน

             บ่ายมาถึงอย่างไม่หิวเท่าไรเลย ตาอ้วนพาขบวนแวะที่ร้านมีชื่อเสียงทำงานฝีมือสลักบนแผ่นทองแดง จนกลายเป็นรูปสวยงามมากมาย เป็นงานชิ้นสำคัญที่วางไว้ตามโบสถ์ใหญ่หลายแห่งด้วยกัน น่าทึ่งไม่น้อย จากนั้นตาอ้วนพาเรามาถึงเกาะ Ile d Orleans แล่นข้ามสะพานสวย ตาอ้วนบอกว่า วันนี้รถมากจริงๆเพราะแดดดี หลายคนจึงออกจากบ้านมาปิกนิก พักผ่อนบนสวนสาธารณะรอบเกาะ ซึ่งมีวิวทิวทัศน์ที่สวยสงบ บ้างก็ตกปลา บ้างคุยสนทนา บ้างทำอาหารทานกัน เป็นไปอย่างมีความสุข มีกี่ที่รอบเมืองกรุงเทพที่จะเปิดโอกาสให้ครอบครัวได้มาใช้เวลาร่วมกันดั่งนี้ ห้างสรรพสินค้าหรือเป็นทางออกสุดท้ายทางเดียวของคนกรุงแบบพวกเรา

      แล้วเราก็กลับมาควิเบคในที่สุด กล่าวขอบคุณ ให้ทิปตาอ้วนนิดหน่อย แล้วเราก็เดินกันอีกตามลายแทงที่ได้มา เดินเรียบริมแม่น้ำ St.Lawrence เห็นการเล่นเรือใบอย่างสงบในแม่น้ำ มาจนถึงโรงแรมฟอนตาแนก นั่งชมวิวดูผู้คน เคล้าไปด้วยเสียงดนตรีของวณิพก ศิลปินริมทางเดิน ฮอทดอกที่แสนอร่อยปากของบ่ายแก่ๆนี้ รื่นรมย์ สมอุราเหนือคำบรรยายได้ เรานั่งกันอยู่ 2 คนแบบที่ไม่ได้รู้จักกับใครคนอื่นรอบข้าง แต่อารมณ์ พาให้คิดว่าทุกคนล้วนเป็นเพื่อนที่ต่างร่วมซึมซับความสุขสว่าง กระจ่าง สงบของจิตใจที่ผ่อนคลาย

              บ่ายแก่ๆลงไปอีก เรากลับโรงแรมเอากระเป๋าที่ฝาก มองหาแท็กซี่จนเจอ แล้วกลับมารอนั่งรถไฟกลับมอลทรีลเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมประชุม ซุปร้อนๆกับแซนวิชที่ร้านบนสถานีรถไฟ พาให้เวลาในรถไฟเป็นเวลาพักใจ ระลึกถึงสิ่งที่พบพานมา ในใจนึกไว้ว่า จะกลับมาอีก มาอีก มาซึมซับความงามของเมือง ของคนที่น่ารัก ควิเบคซิตี้ เมืองน่ารัก

           มืดแล้วราว 2 ทุ่มครึ่งได้ เรามาถึงมอลทรีล ก็รู้แล้วโรงแรมอยู่ที่ไหน ไม่ไกลนี่นา ก็พึ่งแท็กซี่เดินทางถึงโรงแรมที่พักย่านไชน่าทาวน์ เมืองจีนในมอลทรีล การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวก สื่อสารกับโรงแรมว่าเรามาประชุม จองไว้แล้ว อย่างที่บอกไว้ที่นี่พูดฝรั่งเศสจนชิน กว่าจะรู้ว่าพี่แกบอกให้เซ็นตรงนี้อีกที่นึงด้วย เล่นเอาฝรั่งคนที่รอคิวต่อจากเรา ทนไม่ไหว ต้องออกมาบอกกล่าวให้เป็นที่รู้เรื่องกัน ห้องพักเล็กกระทัดรัด ไม่มีตู้เสื้อผ้าอย่าหาให้ยาก ตั้งเตียงเสริมรอไว้เสร็จ แต่เราสองคนว่าเตียงขนาดนี้เราสองคนนอนได้สบายแล้ว ไม่เลวร้ายเลยเมื่อมองวิวนอกหน้าต่างจากห้องพักบนโรงแรม สะพานสวยวางไว้ถูกที่ รองรับด้วยตึกสูงนานาลักษณะ เมืองใหญ่ เมืองนี้ เมืองมอลทรีล เมืองแห่งการประชุม

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×