ฝอยฝนบนฟากฝั่งแคนาดาตะวันตก 2
ผู้เข้าชมรวม
132
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
วันที่เจ็ด เช้าของเราที่ทะเลสาบหลุยส์ เลคหลุยส์เป็นเเค่เมืองเล็กๆที่อยู่ระหว่างเมืองท่องเที่ยวหลัก 2 เมืองคือเมืองแบนฟ์และแจสเปอร์ เลคหลุยส์อยู่ใกล้มาทางเมืองแบนฟ์ และอยู่ในวนอุททยานแห่งชาติแบนฟ์ ที่นี่มีทะเลสาบหลุยส์ คนไทยนิยมแหล่งท่องเที่ยวที่ชื่อเลคหลุยส์นี้มาก เราเลือกมาพักที่นี่ คาดการณ์ว่าน่าจะสวย สงบ และไปมาได้สะดวกแต่มาถึงแล้วอาจไม่ได้เป็นดั่งหวังนัก รถประจำทางเข้ามาจอดยังท่ารถ ปล่อยให้เราลงจากรถพร้อมกระเป๋าสัมภาระ เราสองคนก็ยังมองหาท่ารถไม่พบเหมือนกับท่ารถอื่นๆที่เราได้แวะระหว่างทาง หวังพึ่งแหล่งข้อมูล information ก็ยังเช้ามาก 8โมงเช้านี้ทุกอย่างยังไม่เปิดบริการ แต่ที่เรารู้ก็คือ หนาวมาก อากาศประมาณ 6-8 องศาเท่านั้น โรงแรมที่จองมาทางอินเตอร์เน็ตอยู่ที่ไหนก็ยังไม่หาไม่พบ คนที่มาด้วยเลือกให้เดินข้ามถนนมายังร้านอาหารที่เปิดแล้ว ก็หลบให้หายหนาว แล้วยังเป็นที่พึ่งของอาหารเช้าได้ด้วย พอพักได้หายหนาว ผมขออาสาเดินไปหาที่ตั้งโรงแรมที่พักก่อน แล้วก็เดินหาสำรวจทิศทางตามแผนที่ เมื่อเจอที่ตั้งโรงแรมก็กะว่าน่าจะห่างจากที่เราแอบตัวให้หายหนาวนั้นประมาณ 800 เมตร จึงกลับมาทานอาหารเช้ากันที่ร้านนี้จนอิ่ม แดดเริ่มออกมากแม้จะยังหนาวอยู่ อากาศดีขึ้นตามลำดับ 9 โมงเช้าโดยประมาณ เราก็ลากกระเป๋าใบใหญ่ สองใบ
ใบเล็ก 3 ใบมาถึงโรงแรม Lake Louis Inns โรงแรมแบบนี้มักให้เราเข้าเช็คอินตอนบ่าย เมื่อเราไปถึงเช้าก็จัดหาที่ทางให้เราเก็บกระเป๋าไว้ก่อน เราทำภารกิจส่วนตัวโดยอาศัยห้องน้ำของโรงแรม ได้เห็นว่าโรงแรมนี้ มีแม้กระทั่งสระว่ายน้ำในร่มบริการ เราจะนอนที่นี่ 2 คืนจะได้เที่ยวกันกี่ที่น้า…แล้วจะได้มาว่ายน้ำบ้างหรือเปล่า
เราพบว่าที่นี่มีรถรับส่ง เราเลือกนั่งรถบริการฟรีของสถานีรถกระเช้า ที่วิ่งรับส่งผู้คนตามโรงแรม ไปขึ้นกระเช้าชมเลคหลุยส์ วันนี้แดดดีมาก อากาศสดใส หนาวน้อยลง เมื่อมาถึงตอนจะขึ้นกระเช้า สองคนเห็นตรงกันว่าลองขึ้นกระเช้าแบบเปลือยที่มีไว้สำหรับนักเล่นสกี เราจึงขึ้นลง Lake Louis Gondola ด้วยกระเช้าเปิดโล่งนี้ บนภูเขา Whitehorn กระเช้าเมืองเลคหลุยส์พาเราขึ้นมาชมนี้ บรรยากาศสวยงามยิ่งนักกับเทือกเขาคานาเดียนร็อกกี้ที่รายล้อมรอบตัวเรา หนาวไม่มากแล้ว แดดออกแรงจัด บนยอดเขา เราได้เดินชมวิว เหมือนหนึ่งว่าอยู่ใกล้กับสวรรค์มาก เรามองเห็นโรงแรมชาโตว์เลคหลุยส์ในมุมไกล ที่นี่ก็ยังให้ความรู้เรืองหมี ให้ทุกคนรักสัตว์ รักษาธรรมชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่เบียดเบียนซึ่งกันอากาศดีมากจนทำให้เราสองคนผ่อนคลายมาก ได้พักอย่างแท้จริง สมใจที่มาถึงที่นี่เมืองทะเลสาบ เที่ยงวันกว่าแล้ว เราจะซื้อตั๋วล่วงหน้าที่จะกลับเมืองแวนคูเวอร์ เมื่อเราหาท่ารถเจอที่คนที่นี่มักจะเรียกว่าdepot ออกเสียงว่า เดบโป้ เราก็พบว่าตั๋วรถโดยสารgreyhound ต้องซื้อล่วงหน้าถึง 3 วันจึงจะได้ส่วนลด เราจึงโดยสารรถประจำทางครั้งนี้ด้วยค่าตั๋วตามปกติโดยตลอด ที่เดบโป้นี้จะมีข้อมูลการซื้อตั๋วทุกอย่าง เป็นทั้งที่ทำการไปรษณีย์ ที่แลกเงิน รวมทั้งมีข้อมูลการเที่ยวทุกอย่าง เที่ยวบ่ายวันนี้ เป็นการทัวร์ทะเลสาบและในวันนี้เราจะได้ชมทะเลสาบมรกตที่เรียกว่า Emerald Lake
บ่ายโมงพอดีพอดี ตัวฤทธิ์เต็มคันรถ คนไทย 2 คนอยู่ในนั้นด้วย ทัวร์พาเราเข้าไปเที่ยวยังอุทยานแห่งชาติโยโฮก่อน ที่นี่ย้อนกลับมาอยู่ในเขต BC British Columbia ครับ แล้วเราก็ได้ชมน้ำตกสูงเป็นที่สองในแคนาดาชื่อ Takakkaw Falls ออกเสียงว่า ต๊ะคะคา ที่มีความหมายเป็นภาษาอังกฤษว่า It is wonderful แล้วก็กลับมาชม Natural Rock Bridge ที่นี่ก็แปลกเราจะเห็นสายน้ำที่ทั้งทำลายทุกที่ ที่เป็นผ่านของสายน้ำ ในเวลาเดียวกันสายน้ำก็พัดพาตะกอนตะกรันมาสร้างเป็นทางเชื่อมต่อติดทางขาดด้วย เหมือนสังคมมนุษย์ มนุษย์ที่เป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายในเวลาเดียวกัน แล้วทัวร์ก็พาเรามาจบที่ Emerald Lake สวยมากกว่าที่ได้เห็นรูปภาพมากเลย สุข สงบ สว่าง สันติ ผู้คนส่วนหนึ่งลงไปพายเรือในทะเลสาบ คู่แต่งงานมาหาโลเกชั่นเก็บภาพแต่งงานประทับใจที่ไม่อาจลืมได้ น้ำในทะเลสาบเป็นสี เทอร์ก๊อยส์ turquoise จริงๆ เป็นทะเลสาบที่สวยมาก
แล้วก็กลับมาที่ Lake Louise เราเลือกเดินหาซื้ออาหารเย็นแล้วเข้าที่พักในโรงแรม ห้องพักในโรงแรมของเรา วิวหน้าต่างที่มองออกมาเห็นเทือกเขาแคนาเดียนร็อกกี้ เป็นวิวเหมือนภาพวอลล์เปเปอร์เลย แต่ที่นี่เรากำลังอยู่กับของจริงทั้งนั้น สองคนยังตื่นเต้นกับความยิ่งใหญ่จริงๆที่ได้มาเจอ เรากำลังได้นอนพักที่เลคหลุยส์ แต่เรายังไม่ได้เห็นทะเลสาบหลุยส์และที่ตั้งของโรงแรม Fairmont Chateau Lake Louise เลย ศึกษาเส้นทางแล้วห่างจากโรงแรมที่พักประมาณ 5 กม. เราจะไปให้ถึงได้ยังไงนะ
วันที่แปด เราซื้อทัวร์ที่ออกจาก Lake Louise ไปชม Columbia Icefield เดินทางผ่านเส้นทาง Icefields Parkway ที่เป็นเส้นทางเดียวที่เชื่อมระหว่าง Banff และ Jasper national parks คนขับรถที่เป็นทั้งไกด์คุยว่าคำถามที่แกเบื่อที่สุดคือแล้วเราจะได้ชมหมีที่จะวิ่งลงมามั้ย แกบอกเลยว่ามีโอกาสน้อยมาก อย่าคอยถามแกเลย ทัวร์พาเราดูอุโมงค์มหัศจรรย์สำหรับรถไฟแล่นผ่าน เป็นการเจาะก้อนหินในภูเขาเป็นอุโมงค์ หัวรถออกไปถึงที่สูงนู่นแล้ว แต่ท้ายขบวนยังคดเคี้ยวไปมา เราโชคดีที่ไปถึงอุโมงค์พร้อมกับเห็นรถไฟขบวนยาวแล่นผ่านพอดี คนที่ไปด้วยบอกว่าเป็นเหมือนจัดฉากให้รถไฟมาวิ่งโชว์ให้ตรงเวลาตัวฤทธิ์มาชม จากนั้นทัวร์พาเราชมธารน้ำแข็งที่มีรูปร่างมีชื่อต่างๆกันเช่น ธารน้ำแข็งตีนกา Crowfoot Gracier ชมทะเลสาบอีกเช่นทะเลสาบโบว์ bow lake ทะเลสาบเพย์โต preyto ในที่สุดก็มาถึง Columbia Icefield มันเป็นยังไงไอ้สนามน้ำแข็งเนี่ย
Glacier ธารน้ำแข็งนี้เป็นหิมะที่ตกทับถมกันเป็นเวลานานมาก น้ำแข็งที่ทับกันหนา กินพื้นที่ประมาณ 3 เท่าของสนามฟุตบอล ดังนั้นแม้จะเป็นหน้าร้อน น้ำแข็งไม่มีทางละลายจนหมด แต่น้ำแข็งมากๆแบบนี้พาให้ทุกคนที่เข้ามาใกล้ ยังคงรู้สึกหนาว ที่นี่เที่ยวได้ก็แต่ในหน้าร้อน หน้าหนาวทุกอย่างเป็นหิมะจะเข้ามาไม่ได้ แหล่งท่องเที่ยวนี้ก็คล้ายกับที่ไนแองการา เห็นอยู่แล้วว่าเป็นน้ำตกไหลแรง เราก็ยังอยากลงเรือไปเล่นให้มันเปียก ที่Glacier นี้ก็รู้อยู่แล้วว่าหนาว หิมะขาวโพลน เราก็ยังอยากขึ้นไปเห็น ไปเหยียบย่ำหิมะ ให้เรารู้สึกหนาว ได้ชื่อว่าไปบนธารน้ำแข็งมาแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต ทัวร์พาเรามาพักรอปรับตัวและทานอาหารกลางวันกันก่อนที่ Icefield Centre ที่นี่จะมีทั้งร้านขายของที่ระลึก ภัตตาคาร และห้องจัดแสดงเล็กๆสอนให้เรารู้ว่าธารน้ำแข็งเป็นอย่างไร จากนั้นเมื่อได้เวลา ก็ขึ้นรถบัสคันใหญ่ขับขึ้นไปบนเชิงเขา แล้วไปต่อรถโค้ชหิมะ SnowCoach ที่พาเราไปจนถึงลานน้ำแข็ง เราได้เหยียบลงไปบนพื้นน้ำแข็งเย็นฉ่ำของ Athabasca Glacier เป็นทัวร์ไฮไลท์สุดยอดที่สุดของการมาเที่ยวที่ แคนาเดียนร็อกกี้ แถบนี้
ทัวร์นี้วิ่งมาจากเมืองbanff และเลคหลุยส์ หลายคนจะมุ่งหน้าต่อรถไปยัง Jasper แต่บางคนมาจากทางJasper เขาจะขึ้นรถกลับมาทางเมืองbanff สำหรับ เราสองคน มาจากทางไหนกลับไปทางนั้น เราจะกลับมานอนที่เลคหลุยส์ เมื่อมาถึงเลคหลุยส์ เราจึงเลือกการลงรถทัวร์ที่เลค ที่โรงแรมที่เราอยากมาชมนั่นเอง คนขับรถถามเราก่อนลงจากรถว่าพักที่นี่ใช่ไหม อยากโก้เราเลยตอบว่าใช่ครับ เราสองคนจึงได้เดินชม ถ่ายรูป เลคและโรงแรมแสนสวยของที่นี่จนสาแก่ใจ เมื่อถึงตอนจะกลับมายังโรงแรมที่พัก คนที่ไปด้วยอยากเดินชมวิวลงมาเรื่อยๆจนถึงโรงแรมที่พัก เป็นระยะทางประมาณ 5 ก.ม.แล้วเราก็เดินๆ พัก ๆ ชมวิว ถ่ายรูป จนมาถึงโรงแรมที่พักในที่สุด อากาศเย็นลงทุกที วันนี้ก็ไม่มีแดดเลยต่างจากวันวาน คืนนี้เป็นคืนที่มองออกไปไม่เห็นวิวภูเขาสวยเหมือนเมื่อวาน พรุ่งนี้เราจะออกจากเมืองเลคหลุยส์ จะไปทางตะวันออกไปเมือง banff เที่ยวที่นี่ก่อนย้อนกลับไป แวนคูเวอร์ ในตอนเย็น
วันที่เก้า เราเดินทางออกจากโรงแรมพร้อมด้วยฝนที่ลงมาหนาเม็ด จำเป็นต้องเรียกแท็กซี่มารับกระเป๋าและตัวเราสองคนจากห้องพัก แท็กซี่แล่นนิดเดียวก็พาเรามาถึงเดบโป้ท่ารถเมล์ เรานั่งรถประจำทางมาถึงเมือง Banff ก็ประมาณเที่ยงครึ่งแล้ว เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวโดยแท้ ท่ารถ ตึกรามสวยงามประดับดอกไม้ ต้อนรับตัวฤทธิ์ เป็นเมืองสวยสำหรับเราสองคนทีเดียว ดูสวยกว่าวิสเล่อร์ ที่ท่ารถนั่นเอง เราเลือกซื้อทัวร์อยากไปนั่งล่องเรือเที่ยวทะเลสาบ มินนิวังกา ทะเลสาบปีศาจ ที่จัดว่าเป็นทะเลสาบใหญ่ที่สุดของอุทยานแห่งชาติ banff น่าทึ่งที่เรามาถึงท่ารถแล้วเราอยากไปทะเลสาบ ถามคนขายตั๋วว่าเราอยากไปที่นี่จะไปยังไง เธอตอบว่า ถ้าอยากไปต้องไปเดี๋ยวนี้เพราะรถกำลังจะออก เรามาเที่ยวเมืองนี้มีเวลาถึง 2 ทุ่มรถจะออกจากท่ารถนี้กลับไปแวนคูเวอร์ จึงต้องตัดสินใจเที่ยวทะเลสาบปีศาจนี้ เมื่อมาถึงตัวฤทธิ์ในภาษาของผมนี้ก็มีอยู่ไม่มากเลย ลงเรือล่องไปในทะเลสาบกว้าง ใหญ่ที่สุดของอุทยานแห่งชาติแบนฟ์ ทะเลสาบที่ใหญ่มากก็เพราะมีการสร้างเขื่อนมากั้นด้วยเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า วิวที่ชมยังคงเป็นทิวทัศน์ที่อมตะเหมือนฝัน ข้างล่างท้องน้ำสูงขึ้นไปนิดเป็นป่าสน เทือกเขาสูงรองรับยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะและธารน้ำแข็ง เรือพาเรามาชมที่เขาเรียกว่า Hoodoos ที่เป็นผลจากการกัดเซาะด้วยเเรงลมทำให้ยอดเขามีรูปร่างเปลี่ยนไป แล้วเรือก็พาเรามายังจุดที่เรียกว่า devil gab ช่องว่างปีศาจ เป็นทางน้ำที่ตีบแคบระหว่างเทือกเขา มีคำร่ำลือด้วยว่า ทะเลสาบนี้มีสัตว์ประหลาด ภูติผีปีศาจ เมื่อเรือล่องกลับมายังท่า อากาศขณะนั้นหนาวมาก ต้องหาทางหลบเข้าไปในศาลา กินแซนวิชกัน ก่อนออกมาเก็บภาพที่ระลึก ถึงความสงบ เงียบ สวยงาม ทะเลสาบน้ำใหม่ที่สีน้ำแตกต่างจากทะเลสาบมรกตที่เราเคยเห็นมา เป็นทะเลสาบกว้างใหญ่สมคำร่ำลือ
เมื่อรถทัวร์คันเดิมมารับกลับ คนขับรถแกก็เสนอเราให้ขึ้นไปชม Sulphur Mountain Gondola ของเมือง Banff ต่อเลย แกติดต่อทางวิทยุให้เสร็จสรรพ นับว่าเป็นการดำเนินธุรกิจที่ครบถ้วนกระบวนความ แกพาเรามาตีตั๋วทัวร์นี้ที่โรงแรม Mount Royal Hotel มีข้อมูลว่านี่แหละคือโรงแรมของบริษัททัวร์ Brewer แล้วเราสองคนก็ได้มาขึ้นกระเช้าเมืองนี้อีก เป็นกระเช้าครั้งที่สี่แล้ว รถพาเราผ่านมาเห็น The Fairmont Banff Springs hotel เป็นโรงแรมใหญ่สวยเชิงเขากำมะถัน กระเช้าเมืองนี้จัดว่าเป็นกระเช้าแรกเริ่มของแคนาดาทีเดียว อากาศหนาวที่เราสัมผัสได้ตั้งแต่ที่ทะเลสาบ บอกว่าเมื่อขึ้นกระเช้าเราจะได้เห็นหิมะเกาะตามยอดสน เมื่อถึงยอดเขา เรามีเวลาชมเบื้องล่างได้ไม่นาน หิมะก็ตกลงมา คนไทยสองคนที่ไม่ได้เกิดมาเห็นหิมะบ่อยนัก ก็รู้สึกดีมาก ตื่นเต้น สวยกับบรรยากาศที่ได้ถ่ายรูปกับหิมะ มันสวยงาม เยือกเย็น มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกกับการท่องเที่ยวครั้งนี้ ที่ได้พบกับฤดูร้อน ฤดูฝน และในที่สุดฤดูหนาวจนได้เห็นหิมะร่วงจากฟ้า แคนาดาที่มีพื้นที่กว้างขวางมากจนลมฟ้าอากาศมีได้ทุกรูปแบบในช่วงเวลาเดียวกัน ได้เวลาลงจากเขา เราเดินเล่นในเมือง Banff สัญญาเล็กๆกับตัวเองว่านี่เป็นอีกเมืองของแคนาดาที่น่าจะได้มาชมเมืองนี้อีก สักครั้ง 2 ทุ่มแล้วเราก็ได้ขึ้น greyhound กลับมาแวนคูเว่อร์ ตัวผมเองเมารถเล็กน้อยเมื่อรถขับเร็วและเลี้ยวซ้ายขวากับเทือกเขาไปมาตลอดทางในช่วงแรก ต้องทานยาแก้เมากัน ต้องรักษาสุขภาพครับ ที่เที่ยวที่หมายของเรา ต่อไปคือ เมืองวิคตอเรีย บนหมู่เกาะแวนคูเวอร์กำลังรอเราสองคนอยู่ก่อนจะเดินทางขึ้นเครื่องกลับบ้าน
วันที่สิบ แล้ว เร็วอะไรอย่างนั้น รถ greyhoundพาเรามาเมืองแวน 8 โมงเช้า เราเดินทางกันต่อเลย
จุดหมายคือเมืองวิคตอเรีย เราอยู่เมืองแวนก่อนตั้งหลายวันทำไมไม่คิดเที่ยว ระหว่างอยู่ที่นี่ มีเหตุผลครับ การเดินทางมายังเมืองวิคตอเรีย บนหมู่เกาะแวนคูเวอร์นี้จะต้องขึ้นรถมายังท่าเรือประมาณ 45 นาที แล้วต่อเรือเฟอรี่นาน ชั่วโมงครึ่ง แล้วต่อรถบัสคันเดิมอีกประมาณ 45 นาที จึงจะถึงเมืองวิคตอเรีย ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดนานประมาณ 3 ชั่วโมง เราเห็นว่าเดินทางนาน เลยคิดว่าน่าจะจองโรงแรมในวิคตอเรีย เดินทางไปแล้วเข้าที่พัก เช้าเที่ยวชมสวน เที่ยวเมืองนี้ให้สมใจ
ก่อนเที่ยงเล็กน้อยเราก็ถึงวิคตอเรีย ฟังแล้วน่าจะเดินทางเหนื่อย เพราะนั่งรถทั้งคืน ต่อรถลงเรือจนมาถึงแต่เอาเข้าจริง เหมือนมีน้ำมันก็อกสอง ให้มีเเรงเมื่อเห็นเมือง เห็นที่เที่ยว เราเลือกโรงแรมมาทางอินเตอร์เน็ตที่เชื่อว่าใกล้ท่ารถมาก ชื่อโรงแรม สแตรชโคน่า (strathcona) เอาเข้าจริงเมื่อมาถึงฝนก็ตก ทางเดินมาโรงแรมก็เห็นแล้วแต่ต้องลากกระเป๋าขึ้นเนิน เล่นเอาคนที่มาด้วยเสนอนั่งกินแซนวิชเอาแรงก่อนเมื่อถึงครึ่งทาง อิ่มและพอมีแรงแล้วจีงลากกระเป๋ามาถึงโรงแรม
โรงแรมดีพอควร วิวทิวทัศน์ไม่เลว ไม่นานแดดก็ออก เราจึงออกเดินเที่ยว เมืองวิคตอเรียนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวสวยงาม น่ารักกว่าที่คิด อากาศดีมากเข้ามาแทนที่ เหมือนทั่วไปที่หลังฟ้าฝนตก อากาศกลับมาสว่างไสว พาจิตใจของเราแช่มชื่นไปด้วย เราเข้าชมพิพิธภัณฑ์ The Royal British Columbia Museum ตื่นตาตื่นใจกับวิธีการจัดแสดงของที่นี่มาก ทั้งเรื่องไดโนเสาร์ เรื่องชนพื้นเมือง เรื่องสัตว์ต่างๆในชายฝั่งตะวันตกนี้ รวมทั้งจัดแสดงชีวิตของคนเมืองของเขาเองที่มาอยู่บุกเบิกนับตั้งปี 1700 เป็นต้นมา การจัดแสดงของเขาเสนอเป็นภาพในตู้กระจกที่มองลึกเข้าไปเป็นรูปสามมิติ คนที่ไปด้วยเป็นคนที่เดินไปในมิวเซียมมาแล้วหลายแห่ง หลายประเทศยังออกปากว่า การจัดแสดงที่ดี แปลก เร้าใจ และน่าสนใจมาก
จากที่พักของเรา สามารถออกเดินชมดาวน์ทาวน์วิคตอเรียไปได้ทั่ว อากาศดี การเดินมามิวเซียมก็ไม่ไกล เดินอีกนิดก็ถึงรัฐสภา เห็นโรงแรม Empress เห็นทิวทัศน์ริมอ่าวที่รูปแบบคลาสสิกของเมืองวิคตอเรีย เราลงมาชมวิวอีกครั้งในช่วงกลางคืน มีการเปิดไฟเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เพลินใจ ปลายซัมเมอร์แล้ว นักท่องเที่ยวมีไม่มาก ร้านรวงติดป้ายสาลี ก็คือป้ายsale กันหลายแห่ง มีวณิพกมาบรรเลงกลองชุดได้ยินก้องไปในคุ้งน้ำ บรรยากาศหวานสงบ เรายังพบคนเดินขอเงินนักท่องเที่ยว เป็นสังคมแบบทุนนิยมที่ยังได้ทั้งคนมี และคนจนมีช่องว่างให้เราพบได้อยู่ แล้วเราก็เข้านอนแบบที่มีแผนว่า พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวสวนดอกไม้ที่มีชื่อเสียง สวนบุชชาตท์ สวนที่เราตั้งใจจะไปชมแต่เช้าเลย...
วันที่สิบเอ็ด เราจะได้ชมสวนที่ว่ามี ดอกไม้ที่งามกว่าดอกไม้ เราตื่นเช้าเตรียมตัวออกจากโรงแรม เป็นการนอนคืนสุดท้ายในแคนาดาของเรา ทัวร์แคนาดาในที่สุดก็จะจบลงที่วันนี้ เราเลือกออกจากโรงแรมแต่เช้า ฝากกระเป๋าเดินทางเราไว้ที่โรงแรมก่อน แล้วก็เลือกเดินทางเที่ยวเช้าสุดของ Buchart express เป็นรถของบริษัทท่องเที่ยว Grey line ที่ออกจากท่ารถที่เราคุ้นเคยไปยังสวนดอกไม้ที่สวยกว่านั้น คิดราคาทั้งค่ารถและค่าเข้าชมสวนเสร็จสรรพเลย
ดอกไม้สวยอาจเห็นได้ทั่วไป หาไม่ยาก แต่ที่บุชชาตท์ เราจะเห็นภูมิทัศน์ landscape ทำให้เราเห็นการจัดสวนในแง่มุมแปลกตา พาเราไปชมแต่ละที่ เป็นแบบแปลกๆ แบบว่าเดี๋ยวเป็นสวนจม sunken garden เดี๋ยวมีน้ำพุ เดี๋ยวกลางแจ้ง เดี๋ยวแอบซ่อนแบบสวนญี่ปุ่น ยังสวนจัดจ้าแบบอิตาลี สวนดอกกุหลาบสวยไปหมด การได้ไปแต่เช้า ผู้คนยังน้อย สวนสวยจึงสุขสงบ จิบกาแฟร้อนชมสวน อากาศเย็นนิดๆ ฝนก็ยังไม่มา แต่พอสายหน่อยเท่านั้น ตัวฤทธิ์ที่มาจากเมืองแวนมาถึง เจ็กจีนฝรั่งแขกมากมายเข้ามากเท่านั้น สวนก็สับสนขึ้นมาทันที ต้องเดินสวนทางผู้คนมากมาย เข้ามาเติมกาแฟที่คนขายบอกว่า ให้เก็บถ้วยกาแฟไว้แล้วนำถ้วยมาเติมอีกได้ เราทานอาหารกลางวันแซนวิซอร่อยของเรา แกล้มกับสวนน้ำพุเต้นระบำที่อยู่ตรงหน้า จิตใจสุขสงบสวยไปกับสวนสวยจริงๆของวิคตอเรีย
เที่ยงกว่าๆ เป็นเวลาที่เราเลือกกลับมาดาวน์ทาวน์วิคตอเรีย เป้าหมายเราจะไปชมประสาทเก่ากันชื่อ Craigdarroch Castle ก็คล้ายกับปีที่แล้วที่เราจบด้วยประสาทโคซ่าโลมา ประสาทนี้นั่งรถเมล์จากดาวน์ทาวน์เข้าไปชมไม่ยากเลย สาย 11 หรือสาย 14 ก็ได้ ปราสาทเป็นของคนร่ำรวยมากสร้างขึ้นมา จากนั้นตกทอดเป็นสมบัติของคนรุ่นต่อมาที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ปราสาทจึงเคยกลายเป็นโรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย ในที่สุดอนุรักษ์ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เปิดให้ผู้คนเข้ามาชม กล่าวกันว่ากระจกเพนท์สีที่ประสาทเคร็กดาร็อกนี้ เป็นกระจกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาเหนือทีเดียว ได้เยี่ยมชมแล้วต้องระลึกรู้ไว้เสมอว่าไม่มีอะไรแน่นอน เป็นสมบัติผลัดกันชม ปรากฏให้เรารู้เห็นมาตลอด
แล้วก็ได้เวลากลับกันซะที ลากกระเป๋าที่คราวนี้เป็นขาลงเนิน ไม่ลำบากนักมายังท่ารถ ต้องถึงก่อนเวลาเพราะต้องแก้ตัวจากปีที่แล้วที่เกือบจะตกเครื่อง ปีนี้มาถึงท่ารถก่อนเวลาเสมอ หนนี้ก็เผื่อเวลาไว้มากจนถือโอกาสก่อนรถออก นั่งทานอาหารเย็นรองท้องกันในสวนสาธารณะหลังท่ารถ แต่ก็ยังเป็นสวนสวยมากที่ตั้งอยู่ข้างโรงแรมเอมเพลสที่สวยมาก เวลานาทีไม่เคยคอยใคร แล้วเราก็ได้ขึ้นรถ ลงเรือ ต่อรถคันใหม่ที่พาเราพุ่งตรงมายังท่าอากาศยานนานาชาติแวนคูเวอร์ 4 ทุ่มเอง เครื่องจะออกตั้งเกือบตี 3 ที่ gate 53นั่นเอง เราก็เลยมีที่นอนเป็นที่นั่งพักรอ เสียงของทีวีที่แต่เรื่อง อิซาเบล พายุหมุนรุนแรงที่กำลังเล่นงานฝั่งตะวันออกของอเมริกา
แล้วเราก็หลับไป ตื่นขึ้นมาพร้อมกับได้เวลาขึ้นเครื่องไปผจญกับเสียงในฟิล์ม เสียงตะโกน การเล่นไพ่นกกระจอกกันของผู้คนบนเครื่อง เวลาก็พาเราถึงยังฮ่องกง ท่าอากาศยาน เช็ค แล็บ ก็ก Chek lab kok อย่างเท่ๆ สมกับชื่อสายการบิน ที่เราต้องคิดอีกนานว่าจะกล้ามาบินไปกับสายการบินนี้อีกดีหรือเปล่า เข็ดครับ
วันที่สิบสาม เรามาถึงฮ่องกง เกาะมังกรหอมที่มีแต่ของขาย เป็น เวลา 7 โมงเช้าฮ่องกง วันที่สิบสองหายไปบนเครื่องบินและกาลเวลาที่ต่างกัน เราจะออกจากฮ่องกง 6โมงเย็น จึงอยากได้ประสบการณ์ การเข้าเมืองแบบทรานซิท (In- transit) ว่าจะเป็นอย่างไร ตม.ฮ่องกงให้เรากรอกคำขอเข้าเมืองไปเที่ยวชั่วคราว แล้วเราก็เอาเงินสดแคนาดาที่ยังเหลือมาแลกเป็นเงินฮ่องกง เรามาขึ้นรถเมล์ด่วนสายสนามบินเข้าไปยังเมืองเกาลูน สาย A 21 ครับ ค่ารถแค่ 33 เหรียญถูกกว่ารถไฟใต้ดินอันนั้นตั้ง 75 นั่งรถ 2 ชั้น เลือกนั่งชั้นบนอยู่แล้วชมวิวสวยไม่มากนักของเกาะฮ่องกงไปตลอดทาง ทดลองนั่งจนสุดทางก็ทราบว่ารถเมล์พาเราถึงท่าเรือเฟอรี่ ที่มีทั้งสถานีรถไฟใกล้ๆกันนั้นด้วย เลยได้อุดหนุนอาหารเช้าฮ่องกงที่ร้านอาหารสถานีรถไฟ ก็อร่อยปากเราตามแบบคนไทยที่มีเชื้อจีนในสายเลือด เรา 2 คนมีความมุ่งหมายมาจับจ่ายที่บริเวณที่ขายของเล่น บริเวณฮาเบอร์ซิตี้แถบนั้น จึงขึ้นรถเมล์ย้อนกลับมายังย่านถนนนาธาน จิมซาโจ่ยที่คนไทยรู้จักกันดี และได้ยินเสียงคนไทยพูดคุยกันจนเป็นเรื่องธรรมดาที่แถบนี้ของเกาลูน
10 โมงเช้า ร้านรวงพึ่งเปิดกัน บางห้างที่เราเข้าไปชมจึงมีแค่เราเซียมตือ 2 คนกับคนขายมากมาย ร้านของเล่นจุดหมายของเราที่คาดว่าจะมีของเล่นมากมาย เศรษฐกิจแย่ลงหรืออะไรบางอย่างจึงทำให้ของเล่นน้อยลงไปมาก เรานำเงินฮ่องกงที่ค้างไว้นานกว่า 20 ปีแล้ว นำมาแลกเป็นธนบัตรใหม่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ก็ทำได้ครับ ธนบัตรที่นี่ ธนาคารหลายแห่งสามารถพิมพ์ออกมาใช้ได้เอง แบงค์จึงอาจมีรูปแบบแตกต่างกันไปตามแต่ละธนาคารได้ เราเลือกกลับมาด้วยรถโดยสารปรับอากาศสายสนามบินเหมือนเดิม จราจรยังไม่ทันแย่มาก ขนส่งมวลชนฮ่องกงล้ำหน้ากว่าบ้านเรามาก ขอให้รู้ว่าที่ป้ายรถเมล์ฮ่องกงสามารถเขียนไว้ได้เลยว่าเวลาไหน ที่รถเมล์จะถึงที่ป้ายนี้ ป้ายรถเมล์เป็นป้ายแบบของรถเมล์สายใครสายมันโดยเฉพาะ ไม่ต้องเสียค่าสนามบิน ต.ม.ฮ่องกงตรวจพาสปอร์ตเราแล้วให้เข้าสนามบินโดยสะดวก ติดแต่ตรงที่เอกซเรย์ เห็นว่าของเล่นที่ซื้อฝากหลานเป็นรูปหัวบัดกรีทั้งที่เป็นแบบพลาสติก แต่อีบอกว่าอันนี้เอกซเรย์แล้วมองได้ว่ามันคล้ายปืน อีขอยึดไว้ สนามบินเช็ค แล็บ ก็ก Chek lab kok ฮ่องกงนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1997 เป็นสนามบินใหญ่มาก มี Gate สำหรับขึ้นเครื่องมากถึง 80 ท่า เล่นเอาเราเดินเมื่อยเลยว่าจะถึงประตูที่ 65 ขึ้นเครื่องกลับมาเมืองไทยของเรา
ก็ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่จะถูกและดีเท่ากับเมืองไทยของเรา การท่องเที่ยวพาเราพบกับสิ่งใหม่ๆ ประสบการณ์แตกต่างกันไป เร้าใจให้ได้เรียนรู้มากมาย ทุกที่ที่ได้ไป ทุกผู้คนที่ได้สัมผัส เป็นเนื้อหาให้ได้เรียนรู้อย่างไม่มีวันจบ แต่ไม่ว่าจะท่องเที่ยวกว้างไกลเพียงใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับคนที่ไปด้วย คนที่ช่วยกันคิด ช่วยกันหลง ถูกทางบ้าง ผิดทางก็แยะ คนที่เป็นขวัญกำลังใจ เป็นเรี่ยวแรง มุ่งหมายให้การท่องเที่ยวพบแต่ความสุข สนุกสนานเป็นที่สุด
แอบถามเธอว่าเมื่อปีที่แล้วเที่ยวแล้วเกือบตกเครื่องบิน ปีนี้พามาเที่ยวอย่างนี้เป็นอย่างไรบ้าง เธอบอกว่า ถ้าสมัยก่อนๆครูคัดไทยชอบให้คะแนนเมื่อตรวจงานนักเรียน แบ่งออกเป็น 4 ขั้นว่า ตรวจแล้ว พอใช้ ดี ดีมาก เที่ยวเมื่อปีที่แล้ว ก็คงให้คะแนนว่าตรวจแล้ว เที่ยวปีนี้น่าจะให้ว่า พอใช้ ก็เธอยังอยากให้พาไปเที่ยวแก้ตัวใหม่..จนกว่าจะได้คะแนนดีมาก…นั่นเอง
กันยายน 2003
ผลงานอื่นๆ ของ Jack1960 ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Jack1960
ความคิดเห็น