ฝอยฝนบนฟากฝั่งแคนาดาตะวันตก 1 - ฝอยฝนบนฟากฝั่งแคนาดาตะวันตก 1 นิยาย ฝอยฝนบนฟากฝั่งแคนาดาตะวันตก 1 : Dek-D.com - Writer

    ฝอยฝนบนฟากฝั่งแคนาดาตะวันตก 1

    ผู้เข้าชมรวม

    104

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    104

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 พ.ย. 56 / 13:35 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ฝอยฝนบนฟากฝั่งแคนาดาตะวันตก

      การมุ่งสู่ตะวันตก เหมือนเป็นความหมายที่ท้าทายให้พบความเจริญแห่งอารยะธรรมตะวันตก ตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือนี้อยู่ใกล้กับบ้านเรากว่าทางด้านตะวันออกเสียอีก มีเพียงมหาสมุทรแปซิฟิกที่เป็นมหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้นที่ขวางทางเราอยู่ เมื่อปีที่แล้วเราไปตะวันออกของแคนาดามา ตะวันตกที่เราหมายตาไว้จึงเป็นแผนของเราครั้งนี้ 

      เราเลือกสายการบินฮ่องกงแทนที่ไต้หวัน จึงได้พบความจริงที่ต้องเจอเองกับตา สัมผัสได้ด้วยใจว่านี่เป็นสายการบินของคนจีน ทั้งขาไปขากลับเราจะได้ยินเสียงในฟิล์มคุยกันตลอด ความจริงน่าจะพูดว่าตะโกนข้ามที่นั่งคุยกัน บางครั้งมากกว่านั้นใส่หูฟังด้วยแล้วตะโกนคุยกับเพื่อนฝูงข้ามที่นั่งกัน ท่านเดินกันได้ทั้งลำ กินอาหารกันได้ตลอดเวลา ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยก็คือ เราจะเห็นท่านเลือกที่จะนอนลงไปบนพื้นพรม พื้นเครื่องบินเลยครับ พื้นที่เราวางเท้าของเราลงไปนี่แหละครับ เราเห็นชาวจีน 3 คนนั่งล้อมวงเล่นไพ่นกกระจอก เล่นได้ทั้งคืนไม่ต้องนอน เมื่อถึงที่หมายเราเดินลงจากเครื่อง จึงพบว่า เศษกระดาษเกลื่อนไปทั่ว อย่างที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นบนเครื่องบิน และนี่คือตะวันออกบนความมุ่งหมายสู่ตะวันตก เพื่อความเจริญ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของปวงชน

      ตอนนั้นเรายังไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง ไปก่อนเวลามาก ถือโอกาสเลื่อนเที่ยวบินให้เร็วกว่าที่กำหนด หมายว่าอาจได้ช็อบที่ท่าอากาศยานแห่งใหม่ของฮ่องกงที่ลือกันว่าใหญ่มาก ก็เดินได้ไม่มากนัก จากฮ่องกงเราบินต่อไปยังจุดหมายเราคือ แวนคูเวอร์ เมืองท่าใหญ่มากทางฝั่งตะวันตกแคนาดา เราไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าเลยของที่นี่ เมืองแวนมีคนเอเชีย โดยเฉพาะคนจีนเป็นจำนวนมาก ท่าอากาศยานของที่นี่ แม้ไม่มีรถไฟด่วนบริการเหมือนที่อื่นแต่ก็มีรถเมล์บริการด่วนที่เรียกว่า Airporter วิ่งจากสนามบินมุ่งสู่ดาวน์ทาวน์อย่างชนิดที่รู้สึกว่าปลอดภัย ได้ชมเมืองแต่เริ่มต้นและสนนราคาที่ไม่ได้แพงจนเกินไป 12 เหรียญเที่ยวเดียวครับ เราเข้าพักที่โรงแรมย่านดาวน์ทาวน์นี้ชื่อโรงแรม เดย์อินส์ หาได้ไม่ยากเลย

      วันแรกของการเที่ยว แวนคูเวอร์ ในโรงแรมจะมีร่มเตรียมไว้บริการเสร็จเลยไม่ต้องไปร้องขอ เป็นสัญลักษณ์ของเมืองท่าชายฝั่งตะวันตกแห่งนี้โดยแท้ ที่เดี๋ยวก็มีแดด เดี๋ยวมีฝน เดี๋ยวมืด เดี๋ยวสว่างให้ต้องฝึกใจรับรู้ เตรียมพร้อมกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างพร้อมเราก็เริ่มออกเดิน วันแรกก็สว่างดีสมกับหน้าร้อน เดินนิดเดียวก็ถึงที่ที่เราจะมาประชุมเค้าเรียกกันว่า แคนาดา เพลส Canada Place มีวิวด้านกว้างริมอ่าวที่มองได้ไกล สวยงาม สุดตา ข้ามอ่าวไปจะเป็นแวนคูเวอร์ด้านเหนือ เราเลือกออกเดินมาทางตะวันออกของดาวน์ทาวน์ ไม่นานเราก็มาสู่ดินแดนสมัยวิคตอเรียที่เรียกว่าย่าน Gastown ตลอดทางของถนนน้ำ water street ก็ประดับดอกไม้แขวนกระเช้า แบบอังกฤษน่าดูไปหมด แล้วก็เดินถึงนาฬิกาไอน้ำ ได้ยินเสียงเปิดหวูดร้องก้องออกไปอย่างนั้น เมื่อเดินมาสุดถนนก็มาถึงตึกแคบเด่นสวยสง่า อยู่ตรงข้ามกับอนุสาวรีย์นายแจ็คที่ Maple Tree Square มิสเตอร์ Jack Deighton กลาสีเรือชาวอังกฤษเป็นผู้เข้ามาบุกเบิกในย่านนี้ ตั้งแต่ปี 1867 ที่เขาเรียกย่านนี้ว่า Gas townก็เรียกตามชื่อแกว่า “Gassy” นั่นเอง เราเดินมุ่งหน้าต่อไปยังย่านไชน่าทาวน์ สองข้างทางน่ากลัวด้วยผู้คนที่ดูแล้วไม่น่าวางใจเลย เข้าใจว่าน่าจะติดยา เมื่อวันเราจะกลับมีข่าวหนังสือพิมพ์ในแวนคูเวอร์ ว่า ต้องมีการแก้ไขการเสพยาเสพติดของผู้คนในย่านนี้ด้วยการสอนให้รู้จักวิธีฉีดยาที่ถูกต้อง safety injection นับว่าเป็นการยอมรับความจริงที่น่ากลัวในสังคม สังคมที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ดีและสิ่งที่เลวปะปนกันไป

      Chinatown ไชน่าทาวน์ที่นี่มีสวนซุนยัดเซ็นเป็นแหล่งท่องเที่ยว เรามาถึงที่นี่เย็นมาก สวนจึงปิดไปแล้ว ไชน่าทาวน์ยังเป็นแหล่งอาหาร ในที่สุดเราก็พบซุปเปอร์มาร์เก็ต จึงได้เสบียงตุนกันไว้ในการท่องเที่ยวของเราโดยไม่ต้องพึ่งอาหารแบบฝรั่ง แล้ววันแรกที่ไปถึงก็จบลงด้วยการเดินกลับถึงที่พักพร้อมเสบียง เนื้อไก่เอาไว้ใส่ม่าม่าที่เราเตรียมไป ผลไม้แบบองุ่นที่ถูกกว่าในบ้านเรา นอกจากนี้ก็จะเป็นพวกขนมปัง น้ำเปล่า น้ำหวานและของขบเคี้ยวเมื่อไปเที่ยวกันอย่างนั้น กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราก็พร้อมแล้วกับการท่องไปในแคนาดา

      วันที่สอง ในแวนของเราก็ตื่นสายกว่าประชาชนคนแคนาดาเค้ากัน หลังจากทำภารกิจหน้าที่เสร็จ เราก็เริ่มสำรวจเมืองแวนกัน เรามาจนถึงท่าเรือ ที่นี่จะมีเครื่องหยอดเหรียญจำหน่ายตั๋วที่ใช้ในการเดินทาง จะไปด้วยเรือ ด้วยรถเมล์หรือรถไฟลอยฟ้าก็ไปได้ทั้งหมดด้วยตั๋วเดียว เราเลือกแบบตั๋วที่ใช้ได้แบบ 1 วัน ราคา 8 เหรียญ ลงเรือนั่งข้ามอ่าวไปยังตลาดลอนส์เดล เคว (Lonsdale Quay) เรือนี้เรียกว่า Sea Bus เป็นเรือใหญ่และปลอดภัยมากเมื่อมาถึงตลาดแล้วจะต่อรถเมล์ไปจนถึง ภูเขาเกลาส์ Grouse Mountain แล้วก็จะกลับมาเที่ยวที่สะพานแขวนแกว่งคาปิลาโน Capilano Suspension Bridge (ความจริงเขาเรียกกันว่าสะพานแขวนแค่นั้น แต่ผมว่ามันแขวนแล้วยังเเกว่งให้หวั่นใจด้วย จึงเรียกเองว่า สะพานแขวนแกว่ง) จากนั้นจะกลับมาที่ตลาดท่าเรือนี้เพื่อชมวิวและหาอาหารเย็น 

      เมื่อขึ้นจากซีบัสมา เดินหารถเมล์สาย 236 ไม่ยากเลย เราเข้าแถวเป็นระเบียบเหมือนตัวฤทธิ์คนอื่นๆรถเมล์ก็วิ่งตามแนวทางของแวนคูเวอร์เหนือมาจนถึงภูเขาเกลาส์ในที่สุด 30 นาทีโดยประมาณแหล่งท่องเที่ยวในแคนาดา
      จะเป็นเหมือนกันหมดที่ชอบมีกระเช้าหรือหอสูงในนักท่องเที่ยวขึ้นไปชมเมืองในมุมสูง กระเช้าเกลาส์ก็เช่นกันพาเราสองคนมาถึงมุมสูงบนภูเขา ฝนเริ่มหล่นเป็นฝอยๆจากฟ้า ทั้งที่ตอนออกมายังมีแดดจ้า บนยอดเขาเราก็พบการแสดงของนกที่ถูกฝึกอย่างน่ารัก ชมวิธีที่ผู้คนเขาพยายามดูแล รักษาหมีใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของแคนาดา แล้วมาจบที่การแสดง ลัมโบแจ็ค ก็เป็นคนแคนาดาตัวใหญ่ 2 คนมาแข่งกันทั้งตัดท่อนซุงด้วยขวานอันใหญ่ ขว้างขวานเข้าเป้าเอาคะแนนมาแข่งกัน ตัดแต่งต้นซุงด้วยเลื่อยไฟฟ้า จบลงด้วยการเลี้ยงตัวบนท่อนซุงที่ใช้เท้าทั้งสองปั่นซุงเพื่อหวังให้คู่ต่อสู้ตกลงไปในน้ำ ก็สนุกในเนื้อหาสมกับคนแคนาดา ตั๋วขึ้นภูเขาเกลาส์นี้นำมาใช้ลดราคาตั๋วเข้าชมสะพานแขวนแกว่งได้ด้วย เราจึงขึ้นรถเมล์เบอร์เดิมกลับมายังสะพานแขวนคาปิลาโน

      รู้เลยว่าที่นี่ทุกที่ท่องเที่ยว ค่าเข้าชมจะแพง เมื่อมาถึงก็เข้าชมสะพาน สะพานแขวนแล้วยังแกว่งได้อีกนี้เห็นตามรูปก็น่ากลัว แลดูเหมือนยาวมาก แต่เอาเข้าจริงก็ยาวไม่มากนัก แต่คนที่ไปด้วยก็ยังกลัวอยู่ดี เราเดินข้ามไปยังสวนป่าที่เขาต่อสะพานไม้ให้เดินชมวิวทิวทัศน์พร้อมกับสอนบอกแสดงให้ผู้คนที่ผ่านมารักษา อนุรักษ์ป่า อย่าทำลายธรรมชาติ ให้สายน้ำ ป่าเขาดำรงอยู่คู่โลกของเรา ที่นี่เราได้ลองอาหารคนแคนาดากัน เราอยากได้ฮ็อทดอก แต่สั่งแล้วกลับได้มัฟฟินมาทานกับกาแฟ เป็นเรื่องล้อเลียนของคนที่ไปด้วยโดยตลอด พร้อมทั้งบีบบังคับให้ทานมัฟฟินอร่อยไม่มากเลยคนเดียว กว่าจะหมดก็ต้องใช้เวลา 2-3วัน เมื่อได้เวลาเราขึ้นรถเมล์สายเดิมกลับมาถึงตลาดท่าเรือ ลอนส์เดลเคว์ จะคล้ายตลาดท่าพระจันทร์หรือเปล่าน้า

      มาถึงแล้วจะรู้เลยว่ามาแวนคูเวอร์นี่จะต้องลงเรือมาที่ตลาดLonsdale Quay ได้ชมวิวมุมกว้างของ แวนคูเวอร์ เมืองท่าที่สวย เสพอากาศบริสุทธิ์ สวยด้วยแดดออกอีกแล้วเมื่อกี้พึ่งมีฝนเอง มีตลาดให้ได้เดินเลือกหาสินค้า พร้อมทั้งมีร้านอาหารให้เลือกมากมายที่นี่ เราเลือกได้อาหารเวียดนามครับมื้อเย็นนี้ 

      วันที่สามของเรา เป็นวันที่ต้องตื่นแต่เช้าที่สุด 6โมงเช้าบ้านเขา นับเวลาแล้วเป็น 1 ทุ่มตรงที่บ้านเราครับ สัมมนาพร้อมอาหารเช้าเริ่มที่ 7 โมงเช้า อย่างที่ยังไม่ตื่นดี 8 โมงกว่าๆการประชุมปกติก็เริ่มขึ้น หลังจบประชุม เมื่อได้เวลา ก็มุ่งสู่ตะวันตกของดาวน์ทาวน์กัน ด้วยรถเมล์สาย 19 ขึ้นที่หน้าโรงแรมที่พัก ก็พาเราเข้ามาถึงกลางสวนสแตนลี่ย์ (Stanley Park )ที่นี่จะมีชื่อเสียงเกี่ยวกับสวนสัตว์น้ำ เราได้เข้าไปชมสวนสัตว์น้ำ น่าทึ่งมาก พร้อมได้ดูอะควาเรียม ที่สวยมากจริงๆ การมาเที่ยวเองแบบนี้เวลาเป็นของเรา จึงได้เพลิดเพลินกับการแสดงของปลาโลมา วาฬเผือก วักน้ำใส่คนดู ได้เห็นตัวออตเตอร์ขี้เกียจ นอนหงายอาบแดดคุยกัน รักกัน สองตัวแบบนั้น จากนั้นเราก็ออกชมสวนใหญ่กว้างมาก เรียกว่าเดินกันไม่ไหวเลยครับ (แต่เราสองคนก็ได้เดินบ้างที่เขาเรียกกันว่า sea wall ) สวนแห่งนี้มีรถเมล์วิ่งรอบสวนบริการฟรีพาเรามาชมเสาอินเดียนแดง Totem Poles ได้เห็นต้นไม้ซีดาร์ที่กล่าวว่ามีอายุมากที่สุดในโลก เห็นวิวทิวทัศน์รอบสวนแล้วก็ขึ้นรถเมล์กลับเข้ามาที่ดาวน์ทาวน์ 
      ยังใช้ตั๋วเดินทางอายุ 1 วันเดินทางขึ้นรถเมล์กี่เที่ยวก็ได้ไปไหนก็ได้ ทุกเย็นวันอังคารเราทราบว่ามีพิพิธภัณฑ์ Museum of Anthropology ที่เปิดให้เข้าชมฟรี เป็นแหล่งที่แสดงวัฒนธรรมของชาวพื้นเมืองดั้งเดิม คนที่นี่เรียกว่า First nation จริงๆแล้วก็คือคนอินเดียนแดงที่เรารู้จักนั่นเอง ที่นี่เขาจะเปิดดูฟรีตั้งแต่ 5 โมงเย็น ถึง 3ทุ่ม 
      เรา 2 คนไปด้วยรถเมล์สาย 44 ที่วิ่งเข้าไปถึงปลายทางที่มหาวิทยาลัยบริทิชโคลัมเบีย คนที่นี่จะใช้ตัวย่อว่า UBC ปีที่แล้วเราได้เดินชมมหาวิทยาลัยแมคกิลที่มอลทรีออลมาแล้ว ปีนี้ได้หลงเดินชมมหาวิทยาลัย UBC ที่คาดว่ามีนักศึกษาถึง 4-5 หมื่นคน แน่นอนมันกว้างขวางใหญ่โตมาก เดินเมื่อย กว่าจะถึงพิพิธภัณฑ์ ในมิวเซียมนี้ก็จัดแสดงเสา Totem Polesรวมทั้งงานแกะสลักชิ้นใหม่ๆ ที่มีชื่อมากของ Bill Reid ชื่อว่า The Raven And The First Men เมื่อสมควรแก่เวลา ก็กลับมาดาวน์ทาวน์  ตอนนั้นเกือบจะ 2 ทุ่มแล้วแต่เมืองใหญ่เมืองนี้ยังสว่างไสว จึงนั่งรถเมล์ต่อกันมาถึง 2 ต่อก็มาถึงย่าน บขส.ของเขาเพื่อสำรวจท่ารถเตรียมแผนขึ้นรถ greyhound ไปเที่ยวที่เลคหลุยส์กัน เรามาถึงย่านไชน่าทาวน์เพื่อทานดินเน่อร์ เดินหาจนเจอร้านอาหารจีนที่ชื่อว่า Foo’s HoHo เราได้ชิมเนื้อไก่ที่วางไว้บนข้าวเหนียวที่รสชาติคล้ายบะจ่าง รวมกันชุบแป้งทอด อาหารจีนร้อน อร่อยมากจานนี้เป็นรสชาติที่ยากบรรยายจริงๆ อาหารจานใหญ่ เราทานกันไม่หมด เจ้าของร้านก็รู้รีบบริการห่อกลับมาทานต่อที่โรงแรม คนที่ไปด้วยยังอยากแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตอีก เพื่อกักตุนเสบียงวันต่อมา จึงได้ส้มซันควิซราคาไม่แพงมาทานต่อเนื่องได้อีกหลายวัน

      2-3 วันแล้วในแคนาดา เราเริ่มปรับตัวได้ คืนนี้หลับสนิทกว่าทุกคืน ที่แวนนี้ วิทยุจะมีรายการเพลงจีนฮ่องกงชนิดที่เปิดฟังได้ทั้งคืน ดีเจที่พูดจีนคำ ฝรั่งคำ กล่อมเราให้หลับไปพร้อมเสียงดีเจจีน และเพลงจีนฮ่องกง

      วันที่สี่ เช้านี้ตื่นอย่างสดชื่น ไม่ต้องฝืนไปคุยตอนเช้าตรู่กับเขาแล้ว เสร็จจากการเข้าประชุมเราเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ลอยฟ้า มาถึงสวนซุนยัดเซ็น ฝนแรงไม่น้อยจึงได้โอกาสถือร่มโรงแรมติดมือมาด้วย น่าแปลกใจไม่น้อยเมื่อแจ้งความจำนงอยากซื้อตั๋วเข้าชมสวน คนขายรู้เลยว่าเราน่าจะเป็นคนไทยมีเชื้อจีนปน จึงแนะนำเลยว่าลองไปเดินดูสวนที่เขาเปิดให้ดูฟรีข้างๆนี้ก่อนดีกว่า เขาว่ามันได้แล้ว 80-90 % ของสวนแล้ว เขาคงทราบว่าเราคงไม่ตื่นเต้นกับสวนนี้เพราะเป็นสวนแบบจีนคล้ายๆกับ
      หลายๆที่ในบ้านเรา ชมสวนแล้วเราพอจะซึมซับถึงหยินหยาง ร้อนเย็น ได้บ้าง สงบใจก่อนออกมาพบความวุ่นวายของสังคม ด้วยรถไฟลอยฟ้าก่อนจะวิ่งลงมาเป็นรถไฟใต้ดินเมื่อวิ่งเข้าสู่ดาวน์ทาวน์ คนที่ไปด้วยว่าถึงเวลาช็อบปิ้งบนถนนร็อบสัน (Robson Street Shopping )กันแล้ว จึงเลือกมาลงรถไฟที่ดาวน์ทาวน์พร้อมเดินตามทางใต้ดินที่เชื่อมติดต่อกันตลอด มาเข้าห้าง Bay ที่กำลังลดราคา คนที่ไปด้วย ช็อบได้รองเท้าใส่สบายมาคู่นึง อารมณ์จิตใจจึงชื่นบานไปไม่น้อย 

      พอตอนเย็นๆจึงไปเที่ยวตลาดแกรนวิลกัน รถเมล์มีป้ายบอกว่าไปแกรนวิล เห็นมาแล้ว พอขึ้นมาจริงๆ รถก็ไปต่ออีกไกลมาก 
      รถไม่ได้ไปจอดที่ตลาดเกาะแกรนวิล (Granville Island )ตลาดใต้สะพานที่อยากไป 
      ต้องขึ้นรถเมล์ย้อนกลับ พร้อมกับเดินอีกไกลโข ทั้งๆที่ตอนกลับ จึงรู้ว่าถ้าขึ้นรถเมล์สาย 50 จะมาถึงตลาดนี้อย่างสะดวก ตลาดแกรนวิลเต็มไปด้วยของขายนักท่องเที่ยว การเดินตลาดนี้ทำให้เราได้อาหารญี่ปุ่นพร้อมกับได้ปลาแซลมอลรมควันมาทานกันอร่อย ในตลาดเรายังเจอคนไทยที่แกนำมาขายคือ น้ำแกงครับเป็นน้ำแกงเขียวหวานที่มีแต่น้ำ ฝรั่งซื้อไปต้องไปหาผัก หาเนื้อใส่เองแล้วนำใส่ไมโครเวบ ทำให้คิดไปว่าจะขายได้หรือเปล่าน้า เพราะเท่าที่แอบดูไม่เห็นมีใครซื้อเลยครับ เมื่อสมควรแก่เวลาเรากลับมาตั้งหลักที่โรงแรม ที่หมายของคืนนี้ เราจะไปให้ถึง เมโทรทาวน์ ว่ากันว่าเป็นห้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุด สมคำลือจริงๆ คนที่ไปด้วยเป็นนักช็อบ ก็จับจ่ายจนหนำใจ 4 ทุ่มกว่าจึงกลับมาพักผ่อน พรุ่งนี้จะไป Whistler เมืองที่น่าเล่นสกีมากที่สุดในโลก 
      ปี 2010 เป็นสถานที่สำคัญในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวด้วย

      วันที่ห้า ทัวร์ไป Whistler resort ออกเดินทาง 8 โมงเช้าโดยประมาณ Whistler Resort Tourเป็นการเดินทางรวมแล้วประมาณ 10 ชั่วโมง โดยรถบัสปรับอากาศสะดวกสบายมาก เราเดินทางไปตามเส้นทางที่เรียกกันว่า Howe Sound เป็นเส้นทางที่แล่นเรียบชายฝั่งตะวันตกขึ้นมาทางเหนือ ซ้ายมือของเราจึงเป็นเกาะแก่งในมหาสมุทรแปซิฟิก วิวทิวทัศน์ตระการตา เราแวะกันที่แรกเป็นชุมชนของfirst nation มีของที่ระลึกขายชื่อร้าน Legends Of The Moon ฟังดูชื่อร้าน จะเห็นว่าเป็นชื่อแบบอินเดียนแดง เก๋มากใกล้ๆกันนั้นจะเห็นมิวเซียมของการทำเหมืองแร่ คนขับรถที่เป็นทั้งไกด์บอกว่าเป็นฉากในหนังสคูปีดู ตอนสองด้วย จากนั้นทัวร์ก็พามาดูน้ำตก Shannon Falls เป็นน้ำตกที่ว่าสูงกว่าไนแองการามากและสูงเป็นที่ 3 ในแคนาดา ในที่สุดทัวร์ก็พาเรามาถึงเมืองที่ว่าน่าเล่นสกี เป็นski resort ที่สวยที่สุดในโลก มาถึงฝนก็ตก อากาศขมุกขมัวมาก ตัวฤทธิ์หลายคนออกเสียงไม่อยากจ่ายเงินขึ้น Whistler gondola แต่ในที่สุดทุกคนก็ต้องขึ้นไปเพราะไม่รู้จะอยู่ข้างล่างทำอะไร และในที่สุดอากาศก็เริ่มดี แดดออก Whistler Villageเป็นเมืองสร้างใหม่ ออกแบบเพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ร้านรวงเพื่อการซื้อหาข้าวของมากมาย ขึ้นกอนโดล่ามาถึงยอดที่ว่ายังเห็น glaciers ธารน้ำแข็งอยู่เลย เราออกข้างนอกได้ไม่นานเลยเพราะอากาศหนาวมาก
      แม้วันนี้ไม่มีหิมะให้เห็นแต่ฝนฝอยที่ลงมา มองออกไปเป็นสายรุ้ง กั้นเทือกเขาสูงเป็นทิวทัศน์รอบๆตัวเรา สภาพอากาศบอกให้เรารักษาสุขภาพ เก็บแรงไว้เพื่อเที่ยวที่อื่นๆ ทัวร์ให้เวลาเราเกินพอในการเดินชมเมืองนี้ ตอนขากลับทัวร์ก็พาเราแวะชมน้ำตกอีกที่หนึ่งด้วยชื่อ Brandywine falls เป็นทั้งบรั่นดี ทั้งไวน์เลยสงสัยจะเมาแย่ ตัวน้ำตกน่ากลัวมากสำหรับคนที่เดินมาในป่าเพราะอยู่ๆก็จะมีหน้าผาสูง แล้วก็มีน้ำตก เมื่อเรามายืนดูที่น้ำตก ไกด์ก็แนะนำให้เราจ้องที่กลางลำน้ำตกที่กำลังไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง นานระยะนึง ตาของเราที่จ้องอยู่จะกระดกสู้กับน้ำตกที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่องไม่รู้ตัว เมื่อเราเปลี่ยนไปมองทิวทัศน์ด้านข้างน้ำตกที่ใดก็ได้ เราจึงเห็นต้นไม้ข้างๆยกตัวขึ้น ขยับเคลื่อนไหวอย่างน่ามหัศจรรย์
      เมื่อกลับมาถึงโรงแรม คนที่ไปด้วยชวนออกมาเดินตอนกลางคืนเมืองแวนส่งท้ายหน่อย พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่มีการประชุม แล้วจะออกเดินทางไปเลคหลุยส์ ได้เวลากลับโรงแรม ตอนใกล้เวลาปิดร้าน ร้านขายข้าวปั้นญี่ปุ่นชวนให้ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง คืนนี้ก่อนนอนเราสองคนจึงอิ่มด้วยข้าวปั้นญี่ปุ่น ในแผ่นดินแคนาดา ญี่ปุ่นเจ้าแห่งเศรษฐกิจโลกมีอิทธิพลไปทุกที่ในโลก ในแคนาดายังมีถนนแม้แต่ไกด์ยังเรียกว่า โตเกียว สตรีด เพราะมีร้านรวงญี่ปุ่นเต็มไปหมด แน่นอน ราคาสินค้าและบริการก็แพงมากด้วย

      วันที่หก เป็นวันสุดท้ายที่มีการประชุม เรื่องยังน่าสนใจ ได้เวลา เราก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม เรียกแท็กซี่พาเรามาถึงสถานี บขส.เพื่อเดินทางตอนเย็นไปเลคหลุยส์ที่อยู่ในรัฐอัลเบอร์ตา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 12 ชั่วโมง เราจะนอนบนรถบัส greyhound กัน นับว่าประหยัดค่าโรงแรมทั้งขาไปและขากลับ เหมือนปีที่แล้วที่เราเลือกนอนบนรถไฟ ชีวิตหนุ่มสาวของเราทั้งสอง ที่เคยนอนบนอินทราทัวร์ กรุงเทพ- เชียงใหม่ กลับมาให้ระลึกถึงอีกครั้ง เราพอมีเวลา ตรงข้ามกับสถานีรถประจำทางนี้มีโลกวิทยาศาสตร์ Science World ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ไปชมการจัดแสดงทางวิทยาศาสตร์มากมาย มีชั่วโมงทดลองทางวิทยาศาสตร์เล่นกับเด็กอย่างสนุก ทำให้รู้สึกอิจฉาเด็กๆชาวแคนาเดียนพร้อมกันเราได้ชมหนังจอโค้งใหญ่มากแบบ Omnimax เป็นจอโค้งบนหลังคาโดมใหญ่ เราดูเรื่อง Adrenalin rush ตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด 6 โมงเย็นเวลาเดินทางก็มาถึง เป็นครั้งแรกในชีวิตกับ Greyhound ชื่อสุนัขพันธุ์หนึ่งที่ให้บริการรถโดยสารประจำทางทั้งในอเมริกา และแคนาดา ต้องแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาก 2 ใบไปด้วย เมื่อขึ้นมาบนรถ รถดูใหม่มาก กลิ่นสะอาดทีเดียว รถวิ่งนุ่มมากกว่าอินทราทัวร์หลายเท่า หยุดจอดหลายที่ บางที่จอดนานถึง 45 นาทีเปิดโอกาสให้เรามีเวลาได้ทานแซนวิช ให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องน้ำกันอย่างสะดวก หลับๆตื่นๆสลับกันไป แล้วเราก็ตระการตากับสองข้างทางในเช้าวันใหม่ เทือกเขาแคนาเดียนร็อกกี้เรียงรายเป็นทิวทัศน์ตลอดทางกว่า 30 กิโลเมตรก่อนถึงเลคหลุยส์ปลายทางของเรา มองไปเลยพื้นล่างเป็นแอ่งน้ำ สูงขึ้นไปเป็นป่าสน สูงขึ้นไปเป็นเทือกเขาที่ปกคลุมยอดเขาด้วยหิมะธารน้ำแข็งขาวโพลน มหัศจรรย์กับธรรมชาติอันวิจิตร

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×