คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : >>:: Chapter 2
CHAPTER 2
“โง่มาก!!”
เสียงเข้มของคุณชายแห่งตระกูลจินตเมธรตวาดใส่ใบหน้าหวานของคนฟังเสียงดัง “ปล่อยให้มันทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
“ก็...” คนถูกต่อว่าอึกอัก ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับเช่นไร
แล้วคุณชายเจ้าของเรือนผมสีเพลิงที่ยืนจ้องเธอเสียตาเขม็งก็เอ่ยออกมา “เขาบอกให้เดินเข้าไปหาก็ยอมเดินเข้าไปง่ายๆ”
“ก็...”
“ไม่ได้รู้จักระวังเอาซะเลย” ชินะแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตำหนิ และมันก็ทำให้คนที่กำลังถูกรุมต่อว่าถึงกับโมโหขึ้นมาบ้าง
“ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะคะว่าเขาจะทำแบบนั้นกับฉันน่ะ” ลัลทริมาโวยกลับ รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม ทั้งๆ ที่ตนเพิ่งจะถูกผู้ชายนิสัยเสียสุดๆ เท่าที่เคยรู้จักมากระทำการล่วงละเมิดโดยการขโมยจูบของเธอไป มันทำเอาเธอเสียขวัญไม่น้อย แต่แทนที่จะได้รับคำปลอบประโลม กลับกลายเป็นว่าเธอต้องมานั่งฟังคำต่อว่าของพวกคุณชายแทนเสียได้ “แย่จริงๆ”
“ทีนี้จะได้รู้จักระวังตัวเอาไว้ซะบ้าง” ภามเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แน่นอน...จะให้เขาอารมณ์ดีได้อย่างไรในเมื่อผู้หญิงตรงหน้าเพิ่งจะเสียจูบแรกให้กับชายอื่นไป...จูบที่เขาวางแผนแย่งชิงมาเป็นของตนหลายต่อหลายครั้ง ทว่าในทุกครั้งแผนการก็เป็นอันต้องล้มเหลวไป แต่แล้วมันกลับถูกช่วงชิงไปอย่างง่ายดายต่อหน้าต่อตาเขา โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจไอ้เจ้าอัลเวนนั่น
ลัลทริมามองแววตาที่เจือไว้ด้วยความผิดหวังและไม่พอใจของพวกคุณชายที่ต่างก็จ้องมองมาที่เธอแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น “แล้วพวกคุณมาโกรธอะไรที่ฉันล่ะ? บอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนั้นฉันคงไม่โง่เดินเข้าไปหาเขาหรอก”
“ก็รู้ตัวนี่ว่าโง่” การินตอกกลับมาอีกรอบ
“โอ๊ย!! พอเถอะ เลิกว่าฉันโง่ได้แล้ว ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับพวกคุณแล้วนะ” เด็กสาวว่าอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน “เอาเป็นว่าคราวหน้าฉันจะระวังเขาให้มากขึ้นก็แล้วกัน”
“จะทำได้เรอะ ยิ่งโง่ๆ อยู่ด้วย” คนที่เอ่ยปากด่าว่าเธอโง่ตั้งแต่ตอนแรกยังคงด่าประชดกลับมาอีก
“ไม่พูดเรื่องโง่กันแล้วนะ โอเคนะ” ลัลทริมาพูดกับการินด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหันมาสนใจพวกคุณชายที่เหลืออยู่ “ก็อย่างที่บอก ขอโทษด้วยก็แล้วกัน จากนี้ไปฉันจะระวังตัวนะ”
ทั้งที่เธอไม่ใช่ฝ่ายผิดแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกนี้ยังด่าทอต่อว่าเธอ แต่ลัลทริมากลับต้องมาเป็นฝ่ายพูดขอโทษเองเสียได้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องทำแบบนี้...รู้แค่ว่าเธอไม่อยากให้พวกนี้ต้องรู้สึกไม่สบายใจเพราะเรื่องของเธอก็เท่านั้นเอง
เด็กสาวปล่อยผ่านความสงสัยของตนเองไป ก่อนจะถามเอาคำตอบจากพวกคุณชาย “ตกลงว่าไง ที่ขอโทษไปเนี่ย จะยกโทษให้ไหมคะ?”
เกิดความเงียบขึ้นในวงสนทนา เด็กสาวเริ่มจะขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิมจนมันแทบจะผูกติดกันเป็นโบว์อยู่แล้ว ดวงตากลมโตไล่สายตามองหน้าคุณชายทุกคน ทว่าพวกนั้นกลับเบนสายตาหนีจากเธอ ไม่มีใครยอมสบตากับเธอแม้แต่น้อย ท่าทางบ่งบอกชัดเจนว่ายังคงโกรธเธอไม่หาย
เด็กสาวถอนหายใจยาวกับท่าทางของพวกนั้น “ฉันเข้าใจว่าฉันผิดเพราะไม่รู้จักระวังตัวให้ดี แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วด้วย แล้วคนที่ควรจะเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากที่สุดมันก็คือฉัน แต่นี่ฉันกลับต้องมานั่งขอโทษพวกคุณ แถมพวกคุณยังไม่ยอมตอบ ไม่ยอมมองหน้าฉันแบบนี้ ฉันว่าเราก็คงไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วล่ะ” ว่าจบร่างบางก็หันหลังเตรียมเดินหนีออกจากห้องไป แต่ร่างสูงของแคปเปอร์กลับรีบวิ่งมาคว้าแขนของเธอเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิครับคุณลัล”
ไม่มีคำพูดใดๆ จากลัลทริมา เธอเพียงแค่หันกลับมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าเหนื่อยใจอย่างเห็นได้ชัด จนฝ่ายแคปเปอร์ต้องรีบเอ่ยต่อ “ขอโทษนะครับที่ไม่ตอบคุณ แล้วก็...ไม่ใช่ว่าพวกผมไม่อยากจะยกโทษให้คุณหรอกนะครับ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้พวกผมไม่พอใจจนลืมคิดไปว่าคนที่น่าจะเสียใจกับเรื่องนี้มากที่สุดก็คือคุณลัลเอง”
“ฉันขอโทษ...” ภามเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเป็นจริงอย่างที่เธอและแคปเปอร์พูด เพราะพวกเขามัวแต่สนใจความรู้สึกของตัวเองจนลืมใส่ใจความรู้สึกของเธอ
“ฉันเองก็ขอโทษด้วยแล้วกัน โกรธจนลืมคิดไปหน่อย” เชียรว่า
“ขอโทษเหมือนกันนะ” ชินะเอ่ยขึ้นมา นัยน์ตาคู่นั้นมองมาทางเธออย่างรู้สึกผิด “ที่มัวแต่คิดว่ามันเป็นความผิดของเธอที่ไม่รู้จักระมัดระวังตัว ทั้งๆ ที่เธอออกจะซื่อ(และอาจจะบื้อ)ขนาดนั้น คงไม่มีทางรู้เท่าทันไอ้เจ้าอัลเวนมันอยู่แล้ว”
“นี่ขอโทษหรือด่าคะเนี่ย?” ลัลทริมาว่าด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก พลางยิ้มตอบให้ชินะที่ยิ้มขันให้กับเธอ
“ผมขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ยอมพูดอะไรเลยตอนที่คุณขอโทษพวกเรา” เรวินว่าพลางยิ้มให้กับเด็กสาว “ปล่อยให้คุณลัลขอโทษอยู่ได้ทั้งๆ ที่คุณไม่ได้ผิดเลยแม้แต่น้อย”
“อืม ขอโทษ...” การินว่า “แต่เรื่องที่ด่าเธอว่าโง่น่ะ ฉันไม่ขอโทษหรอกนะ เพราะยังไงมันก็เป็นเรื่องจริง”
ร่างบางเบะปากใส่การินน้อยๆ “นี่ไม่เรียกขอโทษแล้วนะคะ” ก่อนจะหันหน้ามามองทางอคินที่เดินเข้ามาใกล้เธอ
“เอาเป็นว่าคราวหน้าถ้าเจอก็อย่าเข้าไปใกล้มันล่ะ หมอนั่นมันเป็นตัวอันตรายสำหรับผู้หญิง” อคินว่าก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างเบามือ “ขอโทษด้วยนะที่โกรธเธอ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ลัลทริมายิ้มบางให้กับพวกคุณชาย “เอาเป็นว่าเราจบเรื่องนี้แค่นี้นะคะ ห้ามพูดเรื่องนี้กันอีก ไม่งั้นคราวนี้ฉันจะเป็นฝ่ายโกรธพวกคุณบ้าง”
“คร้าบๆ” พวกคุณชายตอบรับ
“ดีมากค่ะ” ร่างบางยิ้มร่า ก่อนจะหันไปสบตากับอคินที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำเอาร่างสูงเลิกคิ้วมองเธออย่างแปลกใจ แต่ไม่รอให้เขาเอ่ยอะไรออกมา ลัลทริมาก็ชิงถามก่อนทันที “หมอนั่น...เขาเป็นใครเหรอคะ? ทำไมถึงหน้าตาเหมือนคุณมากขนาดนั้นล่ะ?”
อคินขมวดคิ้วทันทีเมื่อรู้ว่าลัลทริมาเอ่ยถามถึงเรื่องของ ‘อัลเวน’ นั่นเพราะเขาไม่อยากจะนึกถึงหรือพูดถึงเรื่องราวของเขากับหมอนั่นเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อมองสบกับแววตาอยากรู้ของลัลทริมาแล้ว เขาก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้ เจ้าของเรือนผมสีดำแซมเงินทำได้เพียงถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมา “หมอนั่นเป็นพี่ชายฉันน่ะ”
“เอ๋..?” ลัลทริมาตาโตกับสิ่งที่ได้ยิน “ไม่คิดเลยนะคะว่าคุณชายอคินจะมีพี่ชายกับเขาด้วย”
“ก็แค่พี่ชายคนละแม่” พูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
ฝ่ายคนฟังยังคงมองหน้าอคินด้วยแววตาอยากรู้ ทว่าเจ้าของนัยน์ตาต่างสีกลับไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย เธอจึงต้องเอ่ยต่อ “แล้วไงต่อคะ..?”
“รู้แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง” อคินถอนหายใจแรง ใจจริงก็อยากจะเล่าให้เธอฟังทั้งหมด แต่พอนึกถึงเรื่องระหว่างเขากับอัลเวนขึ้นมา...มันก็พาให้เขาต้องนึกถึงเรื่องราวของพ่อแม่ของตนเองไปด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เขาไม่สะดวกใจจะเล่าให้เธอฟัง มือหนายกขึ้นขยี้เรือนผมสีดำของตน ก่อนจะเดินหนีไปนั่งลงที่โซฟา ปล่อยให้ลัลทริมายืนมองด้วยสายตางุนงง
“อ้าว...” ลัลทริมามองตามอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรต่อไปอีก..
“ผมเล่าให้ฟังดีกว่านะครับ เรื่องของอัลเวนน่ะ”
..แคปเปอร์ก็เอ่ยขึ้นขัดมาเสียก่อน เรียกให้ลัลทริมาหันมามองหน้าเขาแทน
“พวกผมได้รู้จักกับอัลเวนตอนอายุ 7 ขวบน่ะครับ” แคปเปอร์ว่า “จำได้ว่าตอนนั้นพวกผมไปเล่นกับอคินที่บ้าน ก็เลยได้พบกับอัลเวนเข้า หมอนั่นเป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาเหมือนอคินราวกับแกะเลยล่ะครับ แถมยังเป็นคนขี้เล่นอีกด้วย พวกผมเลยสนิทกับหมอนั่นค่อนข้างเร็ว...แม้หมอนั่นจะอายุมากกว่าเราหนึ่งปีก็ตามที”
“แต่ยิ่งรู้จักก็ยิ่งพบว่า...ไอ้หมอนั่นมันนิสัยเสียสุดๆ เลยล่ะ” ภามกล่าวต่อทันทีหลังจากที่แคปเปอร์พูดจบ
“ใช่ ฉันยังจำได้อยู่เลย ตอนที่อคินบอกหิวน้ำแล้วหมอนั่นก็กำลังถือแก้วน้ำไว้ในมือพอดี....แล้วอยู่ๆ หมอนั่นก็เอาน้ำราดใส่อคินเฉยเลย” เชียรว่า ใบหน้าหล่อคมแสดงความไม่ชอบใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อถึงเรื่องราวในตอนนั้น
“จะว่าไป...ของเล่นที่ฉันเอาไปเล่นกับพวกนายก็โดนหมอนั่นแย่งไปจนหมด แถมยังพังทิ้งต่อหน้าต่อตาอีกด้วยนี่นะ” ชินะกล่าวขึ้นมาบ้าง
“ใช่ครับๆ” เรวินตอบให้ “แถมไม่ใช่แค่ของเล่นนะครับ เพราะแม้แต่...”
ก่อนที่จะทันได้เอ่ยจบ มือขาวของการินก็ปิดปากเรวินเอาเสียก่อน ทำให้ลัลทริมาที่กำลังฟังอยู่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เพราะแม้แต่อะไรคะ...?”
“ไม่มีอะไรหรอก” การินตัดบทให้ ก่อนจะปล่อยมือออกจากปากของเรวิน แล้วใช้สายตาดุดันของตัวเองมองคุณชายผิวสีเข้มราวกับจะเป็นการปรามๆ ไม่ให้เขาพูดอะไรออกมาอีก
“อ้าว...สรุปนี่ฉันแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะคะ นอกจากว่าหมอนั่นเคยราดน้ำใส่คุณชายอคิน แล้วก็ชอบแย่งของเล่นของพวกคุณชาย” เด็กสาวเพียงคนเดียวในห้องกล่าว
“ไม่ต้องอยากรู้มากก็ได้ เรื่องของพวกฉันน่ะ” การินจึงตอบกลับ ทำให้ร่างบางอดที่จะไม่พอใจเล็กๆ ไม่ได้
...ทีเรื่องของฉันนี่รู้กันดีจังเลยนะ ทีเรื่องของพวกตัวเองละไม่ยอมเล่าให้ฟังกันบ้างเลย...นี่ไม่เชื่อใจกันขนาดนั้นเลยรึไงกัน...
เด็กสาวได้แต่ครุ่นคิดในใจ เพราะถึงแม้เอ่ยออกไป พวกคุณชายก็คงไม่ยอมเล่าอะไรให้เธอฟังอีกเป็นแน่ “เอาเถอะ ไม่รู้ก็ได้ค่ะ”
“แล้วนี่...เธอจะเอายังไงล่ะ?” ภามที่เห็นว่าลัลทริมาเริ่มจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาจึงเอ่ยคำถามกับเธอเพื่อหันเหความสนใจของเธอไปที่ประเด็นอื่นแทน
“เอายังไงอะไรคะ?”
ซึ่งก็ดูจะได้ผลดีเสียด้วยเมื่อลัลทริมาหันมาสนใจกับคำถามของเขา คุณชายเจ้าของใบหน้าง่วงซึมจึงรีบเอ่ยต่อทันที “ก็...เธอจะย้ายมาอยู่ที่นี่เลย หรือว่าจะเอายังไง”
“ย้ายมาอยู่ที่นี่ ย้ายมาทำไมคะ?” ลัลทริมาถามออกมาด้วยอาการงุนงงมากกว่าเดิม
เชียรจึงอดที่จะแขวะขึ้นมาไม่ได้ “นี่เธอสมองปลาทองรึไงกัน?”
“เชียร แกอย่าไปว่าคุณลัลสิ” แคปเปอร์จึงต่อว่าเชียรไปแทน แล้วช่วยอธิบายให้ลัลทริมาเข้าใจ “ก็...ภามถามเรื่องที่คุณลัลบอกว่าจะมาสมัครเป็นคนรับใช้ของพวกผมไงครับ...”
ลัลทริมาพยักหน้าเข้าใจ “แล้วเกี่ยวอะไรกับย้ายมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ?”
“ฉันว่าฉันบอกเธอไปแล้วนะ ว่าพวกฉันตกลงรับเธอเข้าทำงาน แล้วสถานะของเธอก็คือ ‘คนรับใช้ของพวกฉัน’ เพราะฉะนั้นถึงได้ถามไงว่าเธอจะย้ายมาอยู่ที่นี่เลยรึเปล่า??” การินว่า
“อ้อ...” ลัลทริมาร้องออกมาอย่างเข้าใจ ก่อนจะยิ้มแหยกลับไปให้พวกคุณชาย “อันที่จริง...ฉันแค่ล้อเล่นเฉยๆ ค่ะ ไม่ได้คิดจะมาสมัครเป็นคนรับใช้พวกคุณจริงๆ ซะหน่อย”
“หา!!?” คำตอบของเธอเรียกเสียงอุทานจากพวกคุณชายกันเสียยกใหญ่ “นี่เธอกล้ามาล้อเล่นกับพวกฉันได้ยังไงกัน”
“แหมคุณชาย ก็ฉันหายหน้าหายตาไปจากพวกคุณเป็นปีเลยนี่คะ พอกลับมา...ฉันก็ไม่กล้ามาสู้หน้าพวกคุณอ่ะ คุณอธิศเลยบอกว่าให้ลองมาขอสมัครเป็นคนรับใช้ดู ก็เลยตามนั้นน่ะค่ะ”
“ตามนั้นบ้าอะไรล่ะ!? อย่าพูดเหมือนกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่สิฟะ!!” เชียรตวาดใส่ลัลทริมาเสียงดัง ทำเอาเด็กสาวต้องรีบเอานิ้วอุดหูเป็นพัลวัน
“โธ่ คุณชาย! ถึงฉันจะมาสมัครจริงๆ และต่อให้พวกคุณรับฉันเข้าทำงานแล้วก็ตามที แต่คิดเหรอคะว่าน้าโรสจะยอมให้ฉันมาทำงานเป็นคนรับใช้น่ะ??” ร่างบางอธิบาย “อย่าลืมสิคะว่าตอนนี้ฉันเป็นคนของตระกูลวิกรานต์วรสริตนะ น้าโรสคงไม่มีทางยอมให้ฉันมาทำงานเยี่ยงทาสรับใช้ให้กับพวกคุณอีกหรอกค่ะ”
“อ๋อ จะบอกว่าตอนนี้เป็นคุณหนูแล้ว ทำงานหนักๆ เหมือนก่อนไม่ได้แล้วงั้นสินะ?” อคินว่าพลางใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของลัลทริมาแรงๆ
“ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นซะหน่อย” ลัลทริมารีบแย้ง
“งั้นหมายความว่าไง” คำถามคาดคั้นจากพวกคุณชายยังคงโถมใส่ลัลทริมาเรื่อยๆ ราวกับต้องการกดดันให้เธอยอมแพ้และตอบตกลงเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ให้ได้
ก๊อกๆๆๆ
ทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น ความโกลาหลภายในห้องก็หยุดลง แต่ยังไม่ทันได้มีใครโต้ตอบ บุคคลภายนอกก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ แต่ว่าคุณรสวดีให้มาเรียนกับลัลทริมาว่าได้เวลากลับแล้ว”
“เข้าใจแล้วค่ะคุณอธิศ” ลัลทริมาตะโกนตอบคนข้างนอก ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้กับพวกคุณชายแล้วโบกมือลาน้อยๆ “ไปนะคะ บ๊ายบาย”
ไม่ต้องรอให้ใครแย้งอะไรออกมา ลัลทริมาก็รีบจ้ำออกมาจากห้องนั้นทันที ด้วยกลัวว่าหากช้ามีหวังพวกนั้นคงจะรั้งตัวเธอเอาไว้อีกแน่ และถ้าเป็นแบบนั้นคนที่แย่ก็คงจะเป็นเธอ เพราะพวกคุณชายคงจะไม่ยอมปล่อยตัวเธอจนกว่าพวกเขาจะได้คำตอบที่ถูกใจแน่ๆ
“ลัล” รสวดีหันมาเห็นหลานสาวกำลังเดินเข้ามาหาก็ยิ้มกว้างให้ “น้าคุยธุระเรื่องเรียนกับคุณนรินทร์ให้เรียบร้อยแล้วนะ เดี๋ยวรอคุณนรินทร์ทำเรื่องเทียบโอนหน่วยกิตให้ ลัลก็ย้ายเข้าไปเรียนที่นิศาพาณิชย์ได้แล้ว”
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยพูดคุยให้” หลานสาวกล่าวขอบคุณน้าของตน ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ขอบคุณนรินทร์ที่จะช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องการเรียนของเธอให้ “ขอบคุณคุณผู้ชายด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกลัลทริมา” นรินทร์รับไหว้พร้อมยิ้มให้เธอด้วยความเอ็นดู
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว รสวดีจึงกล่าวคำลาและคำขอบคุณนรินทร์ทั้งเรื่องอาหารและเรื่องของหลานสาวของตนเอง แล้วสามน้าหลานจึงพากันเดินมาขึ้นรถเพื่อกลับบ้านของตนเอง
@@@@@@@@@@@@@@@@@
หลังจากวันที่ไปคุยธุระเรื่องการเรียนที่บ้านของผู้อำนวยการนรินทร์เมื่อสามวันก่อน ทางนรินทร์ก็แจ้งกับรสวดีว่าให้ลัลทริมาเตรียมตัวไปเรียนได้ในวันจันทร์ที่จะถึง...หรือก็คือวันพรุ่งนี้ ส่วนลัลทริมาเองแม้จะรู้ว่าพรุ่งนี้ตนต้องไปโรงเรียน แต่ก็แทบจะไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นใดๆ อาจเป็นเพราะครั้งหนึ่งเธอก็เคยเรียนที่นิศาพาณิชย์มาแล้ว และเพื่อนๆ ของเธอก็ยังคงเรียนอยู่ที่นั่น จึงทำให้เธอไร้ความกังวลในเรื่องของการหาเพื่อนใหม่ นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องสำคัญกว่าให้เธอต้องขบคิดอีกมากมายด้วย
..เรื่องของพวกคุณชาย..
ลัลทริมานึกถึงตอนที่อคินทำท่าจะเล่าเรื่องของเขาให้ฟัง แต่อยู่ดีๆ เขากลับเลือกที่จะไม่พูด แล้วยังพาลนึกไปถึงเรื่องของการินในวันครบรอบวันเสียชีวิตของแม่เขา ในตอนนั้นการินเองก็ไม่ยอมบอกอะไรกับเธอเลย เช่นกันกับคุณชายคนอื่นๆ แล้วไหนจะเรื่องที่เรวินทำท่าเหมือนจะหลุดปากพูดอะไรออกมา แต่คุณชายคนอื่นๆ กลับปรามเขาเอาไว้...ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เธอจะรู้ไม่ได้หรือไม่อยากจะให้เธอรู้
จะว่าไปแล้วตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับพวกนั้นมา เธอแทบจะไม่รู้เรื่องราวของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว เรื่องที่พวกเขามาเป็นเพื่อนกัน หรือแม้แต่เรื่องที่ว่าทำไมอยู่ดีๆ พวกเขาถึงได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านจินตเมธรกัน แล้วก็ไม่เคยเห็นครอบครัวของพวกพวกคุณชายติดต่อมาเลยสักครั้ง เธอไม่รู้อะไรเลยแม้สักนิด...ยกเว้นเรื่องนิสัย ที่เธอยอมรับเลยว่าเธอรู้จักนิสัยของพวกเขาดีมากๆ ...มากจนเกินไปเลยด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องการจะรู้มากที่สุด
...ทำไมถึงไม่ยอมบอกอะไรกันเลยนะ...แล้วทำไมเราจะต้องมาคิดเรื่องของพวกคุณชายด้วยเนี่ย!?..
เด็กสาวคิดจนปวดหัว แต่คิดมากไปเธอก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมาทั้งสิ้น สุดท้ายก็ต้องเลิกคิดเรื่องของพวกนั้นไปเอง ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองหลับไปเพื่อที่พรุ่งนี้เธอจะได้เริ่มต้นชีวิตนักเรียนในโรงเรียนนิศาพาณิชย์ใหม่อีกครั้ง...แม้จะเป็นการย้ายไปหลังจากโรงเรียนเปิดเทอมไปสองสัปดาห์แล้วก็ตามที
@@@@@@@@@@@@@@
เริ่มต้นยามเช้าด้วยอากาศที่สดใส ลัลทริมาเดินเข้ามาในโรงเรียนด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปกันไป และความรู้สึกที่เด่นชัดที่สุดคงจะเป็นความรู้สึกคิดถึง แม้จะผ่านมานานถึงหนึ่งปีเต็ม แต่ความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้กลับไม่เคยจางหายไปเลย
“ลัล!!”
เสียงเรียกที่คุ้นเคยพาให้ลัลทริมาต้องหันมองตามที่มาของเสียง ก่อนจะพบสาวแว่นผมเปียสุดคุ้นตากำลังวิ่งเข้ามาหาเธอ
“นี!!” ลัลทริมาเอ่ยเรียกชื่อของเพื่อนสาว ก่อนจะโผเข้าไปกอดมัณฑินีที่วิ่งอ้าแขนเข้ามาหาเธอ
“คิดถึงจังเลยลัล!! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย แล้วนี่ทำไมเธอถึงแต่งชุดนักเรียนมาที่นี่ล่ะ? อย่าบอกนะว่าจะมกลับมาเรียนนี่ที่อีกน่ะ” มัณฑินีรัวคำถามใส่จนลัลทริมาเลือกตอบไม่ถูก ฝ่ายคนถามเองก็เหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าถามมากไป จึงได้แต่ยิ้มแหยให้ลัลทริมา ก่อนจะลากเธอไปยังโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ “มานั่งคุยกันดีกว่า”
แต่ยังไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรต่อ เสียงตะโกนของเด็กสาวอีกคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“ลัล!!!!” เสียงเรียกที่ทำให้ทั้งลัลทริมาและมัณฑินีหันมามองด้วยความตกใจ แต่ก็ต้องยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือเอมิกา เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงวิ่งเข้ามาหาสองสาวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกอดลัลทริมาแน่นด้วยความคิดถึง แล้วผละออกมาเพื่อถามคำถามกับเพื่อนผู้ที่หายหน้าหายตาไปนานถึงหนึ่งปี
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่!!” เอมิกาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น
“เอ่อ...กลับมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วน่ะ” ลัลทริมาเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด “ขอโทษนะที่ไม่ได้ติดต่อพวกเธอเลย”
เอมิกาและมัณฑินีมองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มน้อยๆ แล้วบอกกับลัลทริมาว่าไม่เป็นไร พวกเธอทั้งสองไม่ได้คิดมากกับเรื่องนั้นหรอก แล้วก็ชวนคุยเรื่องอื่นๆ อีกมากมายอย่างที่คนเป็นเพื่อนมักจะจับกลุ่มสนทนาเวลาที่ไม่ได้เจอกันนานแล้วกลับมาเจอกันอีกครั้ง
บทสนทนาดำเนินต่อไปด้วยความสนุกสนาน ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ ที่ดังขึ้นมาเสียงดังจนทั้งลัลทริมา เอมิกา และมัณฑินีต้องหันไปมองทางต้นเสียงด้วยความงุนงง ก็เห็นสาวๆ กลุ่มใหญ่ยืนกรี๊ดกันอยู่
“เขากรี๊ดอะไรกันน่ะ?” ลัลทริมาเอ่ยถามเพื่อนสาวของตน
“สงสัยพวกคุณชายจะมาโรงเรียนแล้วมั้ง เห็นเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว มาถึงโรงเรียนปุ๊บ สาวๆ วิ่งตามกันเป็นพรวนเลย” มัณฑินีว่า “พวกรุ่นน้องน่ะชอบคุณชาย 7 คนนั้นกันมากเลยนะ ก็นะ..ทั้งหล่อ เท่ ฉลาด แถมยังรวยอีกต่างหาก ไม่แปลกหรอกที่สาวๆ จะกรี๊ดกัน”
“เหอะ” เอมิกาพ่นลมหายใจเสียงดัง ก่อนจะกล่าวอย่างหมั่นไส้ “นิสัยเสียขนาดนั้นชอบลงไปได้ไง”
“แหม...ก็พวกรุ่นน้องเขายังไม่รู้จักนิสัยคุณชายกันล่ะมั้ง” สาวแว่นว่า
“นั่นสินะ ถ้ารู้จักนิสัยของพวกนั้น...บางทีคงไม่จบแค่เลิกชอบหรอก อาจจะเกลียดไปเลยด้วยซ้ำ” เอมิกาว่าพลางหยิบช็อคโกแลตในกระเป๋าออกมาแกะกิน
ลัลทริมาได้แต่หัวเราะกับท่าทางของเพื่อน ก่อนจะพยายามชะเง้อมองไปยังกลางวงที่กลุ่มสาวๆ กำลังรายล้อมอยู่ ด้วยสงสัยว่าจะเป็นคุณชายจริงเหรอ เพราะพวกนั้นไม่น่าจะมาโรงเรียนแต่เช้าแบบนี้ แต่ถ้าไม่ใช่พวกคุณชาย...สาวๆ ก็คงไม่กรี๊ดกันเสียงดังขนาดนี้แน่ๆ แต่จะเป็นใครก็ช่างเถอะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธออยู่แล้ว เด็กสาวเลิกสนใจกลุ่มคนเหล่านั้นแล้วหันมาคุยเล่นกับเพื่อนต่อ โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าคนที่กำลังถูกสาวๆ รุมล้อมอยู่นั้นมองเห็นเธอเข้าเสียแล้ว และตอนนี้เขาเองก็กำลังเดินฝ่าวงล้อมมายังโต๊ะม้าหินอ่อนที่พวกเธอนั่งอยู่
“สวัสดีครับสาวๆ”
น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยขึ้นมาจากทางด้านหลังของลัลทริมา เธอขมวดคิ้วเพราะรู้สึกคุ้นน้ำเสียงนั้นอยู่ในที แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน พอหันหน้าไปมองก็สบเข้ากับนัยน์ตาคมสีทองที่จ้องมาทางเธออยู่ก่อนแล้ว
“คุณ...!!!” ลัลทริมาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หัวใจเต้นแรงอย่างหวาดวิตก...
...ที่ได้พบหน้าคนที่เธอไม่อยากจะพบมากที่สุด!!
สวัสดีมิตรรักนักอ่านทุกท่าน หายไปนานพอดู
สำหรับตอนนี้เนื้อเรื่องเหมือนพายเรือวนในอ่าง อาจอืดอาดยืดยาดบ้างในช่วงแรก
และช่วงท้ายก็อาจกระชับจนงง
และที่จะกล่าวจริงๆ คือ...รู้สึกว่าการทำเรื่องเทียบโอนหน่วยกิตนี่น่าจะใช้เวลาสัก ๑ สัปดาห์
หรือ ๑ เดือนรึเปล่านะ?? ไม่แน่ใจ
แต่ในเรื่องคือใช้เวลาเพียง ๓ วัน นั่นเพราะทางลัลทริมามีเอกสารเตรียมพร้อม
และผู้ที่ทำเรื่องให้ก็คือ ผอ. เองเลย งานเลยเดินเร็วกว่าที่คิดค่ะ ๕๕.
และแล้วมันก็กลับมา
...หนุ่มนัยน์ตาสีทอง...
ไม่มีอะไรจะกล่าวแล้ว โชคดีนะคะ ๕๕.
ความคิดเห็น