ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic punica] ; คุณหนูหน้าใสกับคุณชายอันตรายทั้ง 7

    ลำดับตอนที่ #4 : >>:: Chapter 2

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.พ. 58






    CHAPTER 2

     

     
     

                “โง่มาก!!

     

    เสียงเข้มของคุณชายแห่งตระกูลจินตเมธรตวาดใส่ใบหน้าหวานของคนฟังเสียงดัง “ปล่อยให้มันทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?”

     

    “ก็...” คนถูกต่อว่าอึกอัก  ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับเช่นไร

     

    แล้วคุณชายเจ้าของเรือนผมสีเพลิงที่ยืนจ้องเธอเสียตาเขม็งก็เอ่ยออกมา “เขาบอกให้เดินเข้าไปหาก็ยอมเดินเข้าไปง่ายๆ”

     

    “ก็...”

     

    “ไม่ได้รู้จักระวังเอาซะเลย” ชินะแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตำหนิ  และมันก็ทำให้คนที่กำลังถูกรุมต่อว่าถึงกับโมโหขึ้นมาบ้าง

     

    “ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะคะว่าเขาจะทำแบบนั้นกับฉันน่ะ” ลัลทริมาโวยกลับ  รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม  ทั้งๆ ที่ตนเพิ่งจะถูกผู้ชายนิสัยเสียสุดๆ เท่าที่เคยรู้จักมากระทำการล่วงละเมิดโดยการขโมยจูบของเธอไป  มันทำเอาเธอเสียขวัญไม่น้อย  แต่แทนที่จะได้รับคำปลอบประโลม  กลับกลายเป็นว่าเธอต้องมานั่งฟังคำต่อว่าของพวกคุณชายแทนเสียได้  “แย่จริงๆ”

     

    “ทีนี้จะได้รู้จักระวังตัวเอาไว้ซะบ้าง”  ภามเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์นัก  แน่นอน...จะให้เขาอารมณ์ดีได้อย่างไรในเมื่อผู้หญิงตรงหน้าเพิ่งจะเสียจูบแรกให้กับชายอื่นไป...จูบที่เขาวางแผนแย่งชิงมาเป็นของตนหลายต่อหลายครั้ง  ทว่าในทุกครั้งแผนการก็เป็นอันต้องล้มเหลวไป  แต่แล้วมันกลับถูกช่วงชิงไปอย่างง่ายดายต่อหน้าต่อตาเขา  โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย  ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจไอ้เจ้าอัลเวนนั่น

     

    ลัลทริมามองแววตาที่เจือไว้ด้วยความผิดหวังและไม่พอใจของพวกคุณชายที่ต่างก็จ้องมองมาที่เธอแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น  “แล้วพวกคุณมาโกรธอะไรที่ฉันล่ะ?  บอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้  ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนั้นฉันคงไม่โง่เดินเข้าไปหาเขาหรอก”

     

    “ก็รู้ตัวนี่ว่าโง่” การินตอกกลับมาอีกรอบ 

     

    “โอ๊ย!!  พอเถอะ  เลิกว่าฉันโง่ได้แล้ว  ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับพวกคุณแล้วนะ” เด็กสาวว่าอย่างเหนื่อยใจ  ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน  “เอาเป็นว่าคราวหน้าฉันจะระวังเขาให้มากขึ้นก็แล้วกัน”

     

    “จะทำได้เรอะ  ยิ่งโง่ๆ อยู่ด้วย”  คนที่เอ่ยปากด่าว่าเธอโง่ตั้งแต่ตอนแรกยังคงด่าประชดกลับมาอีก 

     

    “ไม่พูดเรื่องโง่กันแล้วนะ  โอเคนะ” ลัลทริมาพูดกับการินด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย  ก่อนจะหันมาสนใจพวกคุณชายที่เหลืออยู่ “ก็อย่างที่บอก  ขอโทษด้วยก็แล้วกัน  จากนี้ไปฉันจะระวังตัวนะ”

     

    ทั้งที่เธอไม่ใช่ฝ่ายผิดแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกนี้ยังด่าทอต่อว่าเธอ  แต่ลัลทริมากลับต้องมาเป็นฝ่ายพูดขอโทษเองเสียได้  ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องทำแบบนี้...รู้แค่ว่าเธอไม่อยากให้พวกนี้ต้องรู้สึกไม่สบายใจเพราะเรื่องของเธอก็เท่านั้นเอง

     

    เด็กสาวปล่อยผ่านความสงสัยของตนเองไป  ก่อนจะถามเอาคำตอบจากพวกคุณชาย “ตกลงว่าไง  ที่ขอโทษไปเนี่ย  จะยกโทษให้ไหมคะ?”

     

    เกิดความเงียบขึ้นในวงสนทนา  เด็กสาวเริ่มจะขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิมจนมันแทบจะผูกติดกันเป็นโบว์อยู่แล้ว  ดวงตากลมโตไล่สายตามองหน้าคุณชายทุกคน  ทว่าพวกนั้นกลับเบนสายตาหนีจากเธอ  ไม่มีใครยอมสบตากับเธอแม้แต่น้อย  ท่าทางบ่งบอกชัดเจนว่ายังคงโกรธเธอไม่หาย

     

    เด็กสาวถอนหายใจยาวกับท่าทางของพวกนั้น  “ฉันเข้าใจว่าฉันผิดเพราะไม่รู้จักระวังตัวให้ดี  แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว  แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วด้วย  แล้วคนที่ควรจะเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากที่สุดมันก็คือฉัน  แต่นี่ฉันกลับต้องมานั่งขอโทษพวกคุณ  แถมพวกคุณยังไม่ยอมตอบ  ไม่ยอมมองหน้าฉันแบบนี้  ฉันว่าเราก็คงไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วล่ะ”  ว่าจบร่างบางก็หันหลังเตรียมเดินหนีออกจากห้องไป  แต่ร่างสูงของแคปเปอร์กลับรีบวิ่งมาคว้าแขนของเธอเอาไว้เสียก่อน  

               

                “เดี๋ยวก่อนสิครับคุณลัล” 

     

    ไม่มีคำพูดใดๆ จากลัลทริมา  เธอเพียงแค่หันกลับมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าเหนื่อยใจอย่างเห็นได้ชัด  จนฝ่ายแคปเปอร์ต้องรีบเอ่ยต่อ  “ขอโทษนะครับที่ไม่ตอบคุณ  แล้วก็...ไม่ใช่ว่าพวกผมไม่อยากจะยกโทษให้คุณหรอกนะครับ  แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้พวกผมไม่พอใจจนลืมคิดไปว่าคนที่น่าจะเสียใจกับเรื่องนี้มากที่สุดก็คือคุณลัลเอง”

     

    “ฉันขอโทษ...” ภามเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเป็นจริงอย่างที่เธอและแคปเปอร์พูด  เพราะพวกเขามัวแต่สนใจความรู้สึกของตัวเองจนลืมใส่ใจความรู้สึกของเธอ   

     

    “ฉันเองก็ขอโทษด้วยแล้วกัน  โกรธจนลืมคิดไปหน่อย” เชียรว่า

     

    “ขอโทษเหมือนกันนะ” ชินะเอ่ยขึ้นมา  นัยน์ตาคู่นั้นมองมาทางเธออย่างรู้สึกผิด “ที่มัวแต่คิดว่ามันเป็นความผิดของเธอที่ไม่รู้จักระมัดระวังตัว  ทั้งๆ ที่เธอออกจะซื่อ(และอาจจะบื้อ)ขนาดนั้น  คงไม่มีทางรู้เท่าทันไอ้เจ้าอัลเวนมันอยู่แล้ว”

     

    “นี่ขอโทษหรือด่าคะเนี่ย?” ลัลทริมาว่าด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก  พลางยิ้มตอบให้ชินะที่ยิ้มขันให้กับเธอ

     

    “ผมขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ยอมพูดอะไรเลยตอนที่คุณขอโทษพวกเรา” เรวินว่าพลางยิ้มให้กับเด็กสาว “ปล่อยให้คุณลัลขอโทษอยู่ได้ทั้งๆ ที่คุณไม่ได้ผิดเลยแม้แต่น้อย”

     

    “อืม  ขอโทษ...” การินว่า “แต่เรื่องที่ด่าเธอว่าโง่น่ะ  ฉันไม่ขอโทษหรอกนะ  เพราะยังไงมันก็เป็นเรื่องจริง”

     

    ร่างบางเบะปากใส่การินน้อยๆ  “นี่ไม่เรียกขอโทษแล้วนะคะ” ก่อนจะหันหน้ามามองทางอคินที่เดินเข้ามาใกล้เธอ

     

    “เอาเป็นว่าคราวหน้าถ้าเจอก็อย่าเข้าไปใกล้มันล่ะ  หมอนั่นมันเป็นตัวอันตรายสำหรับผู้หญิง” อคินว่าก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างเบามือ “ขอโทษด้วยนะที่โกรธเธอ”

     

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ลัลทริมายิ้มบางให้กับพวกคุณชาย “เอาเป็นว่าเราจบเรื่องนี้แค่นี้นะคะ  ห้ามพูดเรื่องนี้กันอีก  ไม่งั้นคราวนี้ฉันจะเป็นฝ่ายโกรธพวกคุณบ้าง”

     

    “คร้าบๆ” พวกคุณชายตอบรับ 

     

    “ดีมากค่ะ” ร่างบางยิ้มร่า  ก่อนจะหันไปสบตากับอคินที่ยืนอยู่ข้างๆ  ทำเอาร่างสูงเลิกคิ้วมองเธออย่างแปลกใจ  แต่ไม่รอให้เขาเอ่ยอะไรออกมา  ลัลทริมาก็ชิงถามก่อนทันที “หมอนั่น...เขาเป็นใครเหรอคะ?  ทำไมถึงหน้าตาเหมือนคุณมากขนาดนั้นล่ะ?”

     

    อคินขมวดคิ้วทันทีเมื่อรู้ว่าลัลทริมาเอ่ยถามถึงเรื่องของ อัลเวน’  นั่นเพราะเขาไม่อยากจะนึกถึงหรือพูดถึงเรื่องราวของเขากับหมอนั่นเลยแม้แต่น้อย  แต่เมื่อมองสบกับแววตาอยากรู้ของลัลทริมาแล้ว  เขาก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้  เจ้าของเรือนผมสีดำแซมเงินทำได้เพียงถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมา “หมอนั่นเป็นพี่ชายฉันน่ะ”

     

    “เอ๋..?” ลัลทริมาตาโตกับสิ่งที่ได้ยิน  “ไม่คิดเลยนะคะว่าคุณชายอคินจะมีพี่ชายกับเขาด้วย”

     

    “ก็แค่พี่ชายคนละแม่”  พูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก  

     

    ฝ่ายคนฟังยังคงมองหน้าอคินด้วยแววตาอยากรู้  ทว่าเจ้าของนัยน์ตาต่างสีกลับไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย  เธอจึงต้องเอ่ยต่อ “แล้วไงต่อคะ..?”

     

    “รู้แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง” อคินถอนหายใจแรง  ใจจริงก็อยากจะเล่าให้เธอฟังทั้งหมด  แต่พอนึกถึงเรื่องระหว่างเขากับอัลเวนขึ้นมา...มันก็พาให้เขาต้องนึกถึงเรื่องราวของพ่อแม่ของตนเองไปด้วย  ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เขาไม่สะดวกใจจะเล่าให้เธอฟัง  มือหนายกขึ้นขยี้เรือนผมสีดำของตน  ก่อนจะเดินหนีไปนั่งลงที่โซฟา  ปล่อยให้ลัลทริมายืนมองด้วยสายตางุนงง 

     

    “อ้าว...” ลัลทริมามองตามอีกฝ่าย  แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรต่อไปอีก.. 

               

                “ผมเล่าให้ฟังดีกว่านะครับ  เรื่องของอัลเวนน่ะ”                  

               

                ..แคปเปอร์ก็เอ่ยขึ้นขัดมาเสียก่อน  เรียกให้ลัลทริมาหันมามองหน้าเขาแทน

               

                “พวกผมได้รู้จักกับอัลเวนตอนอายุ 7 ขวบน่ะครับ” แคปเปอร์ว่า “จำได้ว่าตอนนั้นพวกผมไปเล่นกับอคินที่บ้าน  ก็เลยได้พบกับอัลเวนเข้า  หมอนั่นเป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาเหมือนอคินราวกับแกะเลยล่ะครับ  แถมยังเป็นคนขี้เล่นอีกด้วย  พวกผมเลยสนิทกับหมอนั่นค่อนข้างเร็ว...แม้หมอนั่นจะอายุมากกว่าเราหนึ่งปีก็ตามที”

               

                “แต่ยิ่งรู้จักก็ยิ่งพบว่า...ไอ้หมอนั่นมันนิสัยเสียสุดๆ เลยล่ะ” ภามกล่าวต่อทันทีหลังจากที่แคปเปอร์พูดจบ

               

                “ใช่  ฉันยังจำได้อยู่เลย  ตอนที่อคินบอกหิวน้ำแล้วหมอนั่นก็กำลังถือแก้วน้ำไว้ในมือพอดี....แล้วอยู่ๆ หมอนั่นก็เอาน้ำราดใส่อคินเฉยเลย” เชียรว่า  ใบหน้าหล่อคมแสดงความไม่ชอบใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อถึงเรื่องราวในตอนนั้น  

               

                “จะว่าไป...ของเล่นที่ฉันเอาไปเล่นกับพวกนายก็โดนหมอนั่นแย่งไปจนหมด  แถมยังพังทิ้งต่อหน้าต่อตาอีกด้วยนี่นะ” ชินะกล่าวขึ้นมาบ้าง

               

                “ใช่ครับๆ” เรวินตอบให้  “แถมไม่ใช่แค่ของเล่นนะครับ  เพราะแม้แต่...”

               

                ก่อนที่จะทันได้เอ่ยจบ  มือขาวของการินก็ปิดปากเรวินเอาเสียก่อน  ทำให้ลัลทริมาที่กำลังฟังอยู่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เพราะแม้แต่อะไรคะ...?”

               

                “ไม่มีอะไรหรอก” การินตัดบทให้  ก่อนจะปล่อยมือออกจากปากของเรวิน  แล้วใช้สายตาดุดันของตัวเองมองคุณชายผิวสีเข้มราวกับจะเป็นการปรามๆ ไม่ให้เขาพูดอะไรออกมาอีก 

               

                “อ้าว...สรุปนี่ฉันแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะคะ  นอกจากว่าหมอนั่นเคยราดน้ำใส่คุณชายอคิน  แล้วก็ชอบแย่งของเล่นของพวกคุณชาย” เด็กสาวเพียงคนเดียวในห้องกล่าว

     

    “ไม่ต้องอยากรู้มากก็ได้  เรื่องของพวกฉันน่ะ” การินจึงตอบกลับ  ทำให้ร่างบางอดที่จะไม่พอใจเล็กๆ ไม่ได้ 

     

    ...ทีเรื่องของฉันนี่รู้กันดีจังเลยนะ  ทีเรื่องของพวกตัวเองละไม่ยอมเล่าให้ฟังกันบ้างเลย...นี่ไม่เชื่อใจกันขนาดนั้นเลยรึไงกัน...

     

    เด็กสาวได้แต่ครุ่นคิดในใจ  เพราะถึงแม้เอ่ยออกไป  พวกคุณชายก็คงไม่ยอมเล่าอะไรให้เธอฟังอีกเป็นแน่  “เอาเถอะ  ไม่รู้ก็ได้ค่ะ”

     

    “แล้วนี่...เธอจะเอายังไงล่ะ?” ภามที่เห็นว่าลัลทริมาเริ่มจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาจึงเอ่ยคำถามกับเธอเพื่อหันเหความสนใจของเธอไปที่ประเด็นอื่นแทน

     

    “เอายังไงอะไรคะ?”

     

    ซึ่งก็ดูจะได้ผลดีเสียด้วยเมื่อลัลทริมาหันมาสนใจกับคำถามของเขา  คุณชายเจ้าของใบหน้าง่วงซึมจึงรีบเอ่ยต่อทันที “ก็...เธอจะย้ายมาอยู่ที่นี่เลย  หรือว่าจะเอายังไง”

     

    “ย้ายมาอยู่ที่นี่  ย้ายมาทำไมคะ?” ลัลทริมาถามออกมาด้วยอาการงุนงงมากกว่าเดิม

     

    เชียรจึงอดที่จะแขวะขึ้นมาไม่ได้ “นี่เธอสมองปลาทองรึไงกัน?”

     

    “เชียร  แกอย่าไปว่าคุณลัลสิ” แคปเปอร์จึงต่อว่าเชียรไปแทน  แล้วช่วยอธิบายให้ลัลทริมาเข้าใจ “ก็...ภามถามเรื่องที่คุณลัลบอกว่าจะมาสมัครเป็นคนรับใช้ของพวกผมไงครับ...”

     

    ลัลทริมาพยักหน้าเข้าใจ  “แล้วเกี่ยวอะไรกับย้ายมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ?”

     

    “ฉันว่าฉันบอกเธอไปแล้วนะ  ว่าพวกฉันตกลงรับเธอเข้าทำงาน  แล้วสถานะของเธอก็คือ คนรับใช้ของพวกฉัน เพราะฉะนั้นถึงได้ถามไงว่าเธอจะย้ายมาอยู่ที่นี่เลยรึเปล่า??” การินว่า

     

    “อ้อ...” ลัลทริมาร้องออกมาอย่างเข้าใจ  ก่อนจะยิ้มแหยกลับไปให้พวกคุณชาย “อันที่จริง...ฉันแค่ล้อเล่นเฉยๆ ค่ะ  ไม่ได้คิดจะมาสมัครเป็นคนรับใช้พวกคุณจริงๆ ซะหน่อย”

     

    “หา!!?” คำตอบของเธอเรียกเสียงอุทานจากพวกคุณชายกันเสียยกใหญ่ “นี่เธอกล้ามาล้อเล่นกับพวกฉันได้ยังไงกัน” 

               

                “แหมคุณชาย  ก็ฉันหายหน้าหายตาไปจากพวกคุณเป็นปีเลยนี่คะ  พอกลับมา...ฉันก็ไม่กล้ามาสู้หน้าพวกคุณอ่ะ   คุณอธิศเลยบอกว่าให้ลองมาขอสมัครเป็นคนรับใช้ดู  ก็เลยตามนั้นน่ะค่ะ”

     

    “ตามนั้นบ้าอะไรล่ะ!? อย่าพูดเหมือนกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่สิฟะ!!” เชียรตวาดใส่ลัลทริมาเสียงดัง  ทำเอาเด็กสาวต้องรีบเอานิ้วอุดหูเป็นพัลวัน 

     

    “โธ่ คุณชาย!  ถึงฉันจะมาสมัครจริงๆ และต่อให้พวกคุณรับฉันเข้าทำงานแล้วก็ตามที  แต่คิดเหรอคะว่าน้าโรสจะยอมให้ฉันมาทำงานเป็นคนรับใช้น่ะ??” ร่างบางอธิบาย  “อย่าลืมสิคะว่าตอนนี้ฉันเป็นคนของตระกูลวิกรานต์วรสริตนะ น้าโรสคงไม่มีทางยอมให้ฉันมาทำงานเยี่ยงทาสรับใช้ให้กับพวกคุณอีกหรอกค่ะ”

     

    “อ๋อ จะบอกว่าตอนนี้เป็นคุณหนูแล้ว  ทำงานหนักๆ เหมือนก่อนไม่ได้แล้วงั้นสินะ?” อคินว่าพลางใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของลัลทริมาแรงๆ

     

    “ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นซะหน่อย” ลัลทริมารีบแย้ง

     

    “งั้นหมายความว่าไง”  คำถามคาดคั้นจากพวกคุณชายยังคงโถมใส่ลัลทริมาเรื่อยๆ ราวกับต้องการกดดันให้เธอยอมแพ้และตอบตกลงเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ให้ได้ 

     

    ก๊อกๆๆๆ

     

    ทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น  ความโกลาหลภายในห้องก็หยุดลง  แต่ยังไม่ทันได้มีใครโต้ตอบ  บุคคลภายนอกก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ

     

    “ขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ  แต่ว่าคุณรสวดีให้มาเรียนกับลัลทริมาว่าได้เวลากลับแล้ว”

     

    “เข้าใจแล้วค่ะคุณอธิศ” ลัลทริมาตะโกนตอบคนข้างนอก  ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้กับพวกคุณชายแล้วโบกมือลาน้อยๆ “ไปนะคะ บ๊ายบาย”

     

    ไม่ต้องรอให้ใครแย้งอะไรออกมา  ลัลทริมาก็รีบจ้ำออกมาจากห้องนั้นทันที  ด้วยกลัวว่าหากช้ามีหวังพวกนั้นคงจะรั้งตัวเธอเอาไว้อีกแน่  และถ้าเป็นแบบนั้นคนที่แย่ก็คงจะเป็นเธอ  เพราะพวกคุณชายคงจะไม่ยอมปล่อยตัวเธอจนกว่าพวกเขาจะได้คำตอบที่ถูกใจแน่ๆ

     

     “ลัล” รสวดีหันมาเห็นหลานสาวกำลังเดินเข้ามาหาก็ยิ้มกว้างให้ “น้าคุยธุระเรื่องเรียนกับคุณนรินทร์ให้เรียบร้อยแล้วนะ  เดี๋ยวรอคุณนรินทร์ทำเรื่องเทียบโอนหน่วยกิตให้  ลัลก็ย้ายเข้าไปเรียนที่นิศาพาณิชย์ได้แล้ว”

     

    “ขอบคุณนะคะที่ช่วยพูดคุยให้” หลานสาวกล่าวขอบคุณน้าของตน  ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ขอบคุณนรินทร์ที่จะช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องการเรียนของเธอให้ “ขอบคุณคุณผู้ชายด้วยนะคะ”

     

    “ไม่เป็นไรหรอกลัลทริมา” นรินทร์รับไหว้พร้อมยิ้มให้เธอด้วยความเอ็นดู

     

    เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว  รสวดีจึงกล่าวคำลาและคำขอบคุณนรินทร์ทั้งเรื่องอาหารและเรื่องของหลานสาวของตนเอง  แล้วสามน้าหลานจึงพากันเดินมาขึ้นรถเพื่อกลับบ้านของตนเอง        

     

    @@@@@@@@@@@@@@@@@

     

    หลังจากวันที่ไปคุยธุระเรื่องการเรียนที่บ้านของผู้อำนวยการนรินทร์เมื่อสามวันก่อน  ทางนรินทร์ก็แจ้งกับรสวดีว่าให้ลัลทริมาเตรียมตัวไปเรียนได้ในวันจันทร์ที่จะถึง...หรือก็คือวันพรุ่งนี้  ส่วนลัลทริมาเองแม้จะรู้ว่าพรุ่งนี้ตนต้องไปโรงเรียน  แต่ก็แทบจะไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นใดๆ  อาจเป็นเพราะครั้งหนึ่งเธอก็เคยเรียนที่นิศาพาณิชย์มาแล้ว  และเพื่อนๆ ของเธอก็ยังคงเรียนอยู่ที่นั่น  จึงทำให้เธอไร้ความกังวลในเรื่องของการหาเพื่อนใหม่  นอกจากนี้แล้วยังมีเรื่องสำคัญกว่าให้เธอต้องขบคิดอีกมากมายด้วย

     

    ..เรื่องของพวกคุณชาย..

     

    ลัลทริมานึกถึงตอนที่อคินทำท่าจะเล่าเรื่องของเขาให้ฟัง  แต่อยู่ดีๆ เขากลับเลือกที่จะไม่พูด  แล้วยังพาลนึกไปถึงเรื่องของการินในวันครบรอบวันเสียชีวิตของแม่เขา  ในตอนนั้นการินเองก็ไม่ยอมบอกอะไรกับเธอเลย  เช่นกันกับคุณชายคนอื่นๆ  แล้วไหนจะเรื่องที่เรวินทำท่าเหมือนจะหลุดปากพูดอะไรออกมา  แต่คุณชายคนอื่นๆ กลับปรามเขาเอาไว้...ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เธอจะรู้ไม่ได้หรือไม่อยากจะให้เธอรู้

     

    จะว่าไปแล้วตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับพวกนั้นมา  เธอแทบจะไม่รู้เรื่องราวของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ  ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว เรื่องที่พวกเขามาเป็นเพื่อนกัน  หรือแม้แต่เรื่องที่ว่าทำไมอยู่ดีๆ พวกเขาถึงได้ย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านจินตเมธรกัน  แล้วก็ไม่เคยเห็นครอบครัวของพวกพวกคุณชายติดต่อมาเลยสักครั้ง  เธอไม่รู้อะไรเลยแม้สักนิด...ยกเว้นเรื่องนิสัย  ที่เธอยอมรับเลยว่าเธอรู้จักนิสัยของพวกเขาดีมากๆ ...มากจนเกินไปเลยด้วยซ้ำ  แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องการจะรู้มากที่สุด

     

    ...ทำไมถึงไม่ยอมบอกอะไรกันเลยนะ...แล้วทำไมเราจะต้องมาคิดเรื่องของพวกคุณชายด้วยเนี่ย!?..

     

    เด็กสาวคิดจนปวดหัว  แต่คิดมากไปเธอก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมาทั้งสิ้น  สุดท้ายก็ต้องเลิกคิดเรื่องของพวกนั้นไปเอง  ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองหลับไปเพื่อที่พรุ่งนี้เธอจะได้เริ่มต้นชีวิตนักเรียนในโรงเรียนนิศาพาณิชย์ใหม่อีกครั้ง...แม้จะเป็นการย้ายไปหลังจากโรงเรียนเปิดเทอมไปสองสัปดาห์แล้วก็ตามที

     

    @@@@@@@@@@@@@@   

     

    เริ่มต้นยามเช้าด้วยอากาศที่สดใส  ลัลทริมาเดินเข้ามาในโรงเรียนด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเปกันไป  และความรู้สึกที่เด่นชัดที่สุดคงจะเป็นความรู้สึกคิดถึง  แม้จะผ่านมานานถึงหนึ่งปีเต็ม  แต่ความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้กลับไม่เคยจางหายไปเลย

     

    “ลัล!!

     

    เสียงเรียกที่คุ้นเคยพาให้ลัลทริมาต้องหันมองตามที่มาของเสียง  ก่อนจะพบสาวแว่นผมเปียสุดคุ้นตากำลังวิ่งเข้ามาหาเธอ

     

    “นี!!” ลัลทริมาเอ่ยเรียกชื่อของเพื่อนสาว  ก่อนจะโผเข้าไปกอดมัณฑินีที่วิ่งอ้าแขนเข้ามาหาเธอ

     

    “คิดถึงจังเลยลัล!! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย  แล้วนี่ทำไมเธอถึงแต่งชุดนักเรียนมาที่นี่ล่ะ? อย่าบอกนะว่าจะมกลับมาเรียนนี่ที่อีกน่ะ” มัณฑินีรัวคำถามใส่จนลัลทริมาเลือกตอบไม่ถูก  ฝ่ายคนถามเองก็เหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าถามมากไป  จึงได้แต่ยิ้มแหยให้ลัลทริมา  ก่อนจะลากเธอไปยังโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ “มานั่งคุยกันดีกว่า”

     

    แต่ยังไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรต่อ  เสียงตะโกนของเด็กสาวอีกคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

     

    “ลัล!!!!” เสียงเรียกที่ทำให้ทั้งลัลทริมาและมัณฑินีหันมามองด้วยความตกใจ  แต่ก็ต้องยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือเอมิกา  เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงวิ่งเข้ามาหาสองสาวอย่างรวดเร็ว  ก่อนจะกอดลัลทริมาแน่นด้วยความคิดถึง  แล้วผละออกมาเพื่อถามคำถามกับเพื่อนผู้ที่หายหน้าหายตาไปนานถึงหนึ่งปี

     

    “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่!!” เอมิกาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น 

     

    “เอ่อ...กลับมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วน่ะ” ลัลทริมาเว้นช่วงเล็กน้อย  ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด “ขอโทษนะที่ไม่ได้ติดต่อพวกเธอเลย”

     

    เอมิกาและมัณฑินีมองหน้ากัน  ก่อนจะยิ้มน้อยๆ แล้วบอกกับลัลทริมาว่าไม่เป็นไร  พวกเธอทั้งสองไม่ได้คิดมากกับเรื่องนั้นหรอก  แล้วก็ชวนคุยเรื่องอื่นๆ อีกมากมายอย่างที่คนเป็นเพื่อนมักจะจับกลุ่มสนทนาเวลาที่ไม่ได้เจอกันนานแล้วกลับมาเจอกันอีกครั้ง 

     

    บทสนทนาดำเนินต่อไปด้วยความสนุกสนาน  ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ ที่ดังขึ้นมาเสียงดังจนทั้งลัลทริมา  เอมิกา  และมัณฑินีต้องหันไปมองทางต้นเสียงด้วยความงุนงง  ก็เห็นสาวๆ กลุ่มใหญ่ยืนกรี๊ดกันอยู่

     

    “เขากรี๊ดอะไรกันน่ะ?” ลัลทริมาเอ่ยถามเพื่อนสาวของตน

     

    “สงสัยพวกคุณชายจะมาโรงเรียนแล้วมั้ง  เห็นเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว  มาถึงโรงเรียนปุ๊บ  สาวๆ วิ่งตามกันเป็นพรวนเลย” มัณฑินีว่า “พวกรุ่นน้องน่ะชอบคุณชาย 7 คนนั้นกันมากเลยนะ  ก็นะ..ทั้งหล่อ  เท่  ฉลาด  แถมยังรวยอีกต่างหาก  ไม่แปลกหรอกที่สาวๆ จะกรี๊ดกัน”

     

    “เหอะ” เอมิกาพ่นลมหายใจเสียงดัง  ก่อนจะกล่าวอย่างหมั่นไส้  “นิสัยเสียขนาดนั้นชอบลงไปได้ไง”

     

    “แหม...ก็พวกรุ่นน้องเขายังไม่รู้จักนิสัยคุณชายกันล่ะมั้ง” สาวแว่นว่า

     

    “นั่นสินะ  ถ้ารู้จักนิสัยของพวกนั้น...บางทีคงไม่จบแค่เลิกชอบหรอก  อาจจะเกลียดไปเลยด้วยซ้ำ” เอมิกาว่าพลางหยิบช็อคโกแลตในกระเป๋าออกมาแกะกิน

     

    ลัลทริมาได้แต่หัวเราะกับท่าทางของเพื่อน  ก่อนจะพยายามชะเง้อมองไปยังกลางวงที่กลุ่มสาวๆ กำลังรายล้อมอยู่  ด้วยสงสัยว่าจะเป็นคุณชายจริงเหรอ  เพราะพวกนั้นไม่น่าจะมาโรงเรียนแต่เช้าแบบนี้  แต่ถ้าไม่ใช่พวกคุณชาย...สาวๆ ก็คงไม่กรี๊ดกันเสียงดังขนาดนี้แน่ๆ  แต่จะเป็นใครก็ช่างเถอะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธออยู่แล้ว  เด็กสาวเลิกสนใจกลุ่มคนเหล่านั้นแล้วหันมาคุยเล่นกับเพื่อนต่อ  โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าคนที่กำลังถูกสาวๆ รุมล้อมอยู่นั้นมองเห็นเธอเข้าเสียแล้ว  และตอนนี้เขาเองก็กำลังเดินฝ่าวงล้อมมายังโต๊ะม้าหินอ่อนที่พวกเธอนั่งอยู่

     

     

    “สวัสดีครับสาวๆ”

     

    น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยขึ้นมาจากทางด้านหลังของลัลทริมา  เธอขมวดคิ้วเพราะรู้สึกคุ้นน้ำเสียงนั้นอยู่ในที  แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน  พอหันหน้าไปมองก็สบเข้ากับนัยน์ตาคมสีทองที่จ้องมาทางเธออยู่ก่อนแล้ว

     

    “คุณ...!!!” ลัลทริมาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  หัวใจเต้นแรงอย่างหวาดวิตก...

     

    ...ที่ได้พบหน้าคนที่เธอไม่อยากจะพบมากที่สุด!!









     
    -TBC-




    สวัสดีมิตรรักนักอ่านทุกท่าน หายไปนานพอดู

    สำหรับตอนนี้เนื้อเรื่องเหมือนพายเรือวนในอ่าง  อาจอืดอาดยืดยาดบ้างในช่วงแรก

    และช่วงท้ายก็อาจกระชับจนงง

    และที่จะกล่าวจริงๆ คือ...รู้สึกว่าการทำเรื่องเทียบโอนหน่วยกิตนี่น่าจะใช้เวลาสัก ๑ สัปดาห์
    หรือ ๑ เดือนรึเปล่านะ?? ไม่แน่ใจ  
    แต่ในเรื่องคือใช้เวลาเพียง ๓ วัน  นั่นเพราะทางลัลทริมามีเอกสารเตรียมพร้อม
    และผู้ที่ทำเรื่องให้ก็คือ ผอ. เองเลย งานเลยเดินเร็วกว่าที่คิดค่ะ ๕๕.

    และแล้วมันก็กลับมา 
    ...หนุ่มนัยน์ตาสีทอง...


    ไม่มีอะไรจะกล่าวแล้ว  โชคดีนะคะ ๕๕.









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×