ลูกสาวขุนนาง-daughter of nobility
ชั้นอยากจะให้ครอบครัวของเรามีความสุข อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แล้วก็ชั้นอยากจะมีอิสระออกไปไหนมาไหนก็ได้ตามใจชอบ
ผู้เข้าชมรวม
95
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
“เธอรับได้หรอ ที่ชั้นเป็นคนของตระกูลนี้”
“อืม รับได้สิ ก็เธอเป็นคนดีนี่นา”
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มแย้ม และตอบตกลงรับคำขอแต่งงานของชั้นเป็นอย่างดี ทั้ง ๆ ที่เป็นแบบนั้นแท้ ๆ
“ขอโทษนะคะ ชั้นรับไม่ได้จริง ๆ เราหย่ากันเถอะค่ะ คิดเสียว่า เราไม่เคยเจอกันมาก่อน”
“ทำไมล่ะ ไหนเธอเคยบอกว่ารับได้ทุกอย่างไงล่ะ”
“ชั้นนึกว่าคุณเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ใช่ผู้นำตระกูลแบบนี้ ชั้นรับไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ขอโทษนะคะ จริง ๆ แล้วคุณเป็นคนที่ดีมาก แต่ชั้นรับไม่ได้จริง ๆ ค่ะ”
“อืม ชั้นเข้าใจ” ในสวนดอกไม้แห่งนี้ ชั้นได้แต่มองเธอเดินจากไป
“คุณท่านครับ จะให้ฆ่าเด็กคนนี้ไหมครับ” พ่อบ้านที่ปรากฏกายขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ในอ้อมแขนอุ้มเด็กทารกเอาไว้คนหนึ่ง
“ไม่ต้อง ชั้นจะเลี้ยงเธอเอง” ว่าพลางรับเด็กทารกมาจากพ่อบ้าน ชายหนุ่มแย้มรอยยิ้มเศร้า “พ่อจะเลี้ยงลูกเอง”
##########
วันเวลาผ่านไป จากทารกเติบโตขึ้นเป็นเด็กหญิง หล่อนวิ่งเล่นไปรอบ ๆ กับพี่น้องคนละแม่ของเธอ แม้จะเป็นเช่นนั้น พวกขาก็รักใคร่กันดี ไม่ได้มีปัญหาดราม่าอย่างครอบครัวอื่นแต่อย่างใด จนกระทั่งเด็กหญิงมีข้อสงสัย
“คุณพ่อมีตาสีฟ้า พี่ชายก็มีตาสีฟ้า พี่สาวก็มีตาสีฟ้า แล้วทำไมตาของหนูถึงเป็นสีดำล่ะคะ?”
ราวกับคำสาป ทันทีที่เด็กหญิงถามคำถามดังกล่าว ผู้เป็นพ่อรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก จนต้องลดตัวลงวางเด็กหญิงที่อุ้มอยู่ มือทั้งสองข้างที่เป็นอิสระนั้น กุมศีรษะด้วยท่าทีที่ทรมานเป็นอย่างยิ่ง เด็กหญิงรู้สึกงุนงง ได้แต่หันมองซ้ายมองขวา จนพบพี่น้องของเธอที่ดูตกใจ และรีบวิ่งเข้ามา พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้ผู้เป็นพ่อ และไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
เมื่อความเจ็บปวดนั้นจบลง ผู้เป็นพ่อของพวกเขานั้นเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เค้าได้ต่อว่าและบริพาทเด็กหญิงด้วยคำพูดที่รุนแรง ทั้ง ๆ ที่ปกติมีแต่ถ้อยคำที่อ่อนโยนใจดี
“ดวงตาที่น่ารังเกียจ แกก็เป็นเหมือนกับแม่แก ไว้ใจไม่ได้”
เรื่องทุกอย่างนั้นดูสับสนไปหมด รู้สึกตัวอีกทีก็ดูเหมือนว่าเด็กหญิงจะถูกตัดสินให้ถูกจองจำเอาไว้ในบ้านน้อยหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของตระกูล
เป็นเรื่องแปลกประหลาด และน่าสับสนเป็นอย่างยิ่ง ในตอนแรกบ้านหลังนั้นเต็มไปด้วยสาวใช้มากมาย อย่างน้อยเด็กหญิงก็เป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่นี่นะ
เหล่าสาวใช้ที่ใจดีคอยปลอบโยนเธอให้ผ่านวันเวลาอันเหงาหงอยนี้ผ่านไป
แต่แล้วเมื่อผู้เป็นพ่อมาพบว่าเธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดี เขากล่าวว่า เธอเป็นแค่ปีศาจที่คอยล่อลวงผู้คนด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ดูเหมือนว่ายิ่งโต เธอจะยิ่งดูเหมือนแม่สินะ รูปลักษณ์ภายนอกของเด็กหญิงนั้น ไม่มีตรงไหนที่ไม่น่ารัก ไม่งดงามต่างหาก เหล่าสาวใช้ปลอบใจเธอว่า จริง ๆ แล้วพ่อของเธอแค่ป่วยเฉย ๆ ป่วยเพราะว่าคิดถึงแม่ของเธอ หล่อนจากไปนานมากแล้ว และไม่เคยได้กลับมาอีก แต่ทว่าหลังจากนั้น เหล่าสาวใช้ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับเธอ ทำให้เธอยิ่งรู้สึกเหงา
พี่น้องของเธอเห็นเป็นเช่นนั้น จึงแอบหนีมาเล่นกับเธอบ่อย ๆ จนกระทั่งผู้เป็นพ่อจับได้ พ่อต่อว่าเธอว่าล่อลวงพี่น้องให้หลงผิด เค้ากล่าวว่าเธอทำมนต์เสน่ห์อะไรถึงล่อลวงให้คนอื่นเข้าข้างเธอ และเห็นใจเธอ เด็กหญิงได้แต่ปฏิเสธ ผู้เป็นพ่อคิดจะฆ่าเธอเสียให้พ้นหู พ้นตา พวกพี่น้องทั้งหลายได้แต่นั่งกอดขาผู้เป็นพ่อ ขอร้องไม่ให้ฆ่าเธอ พ่อของเธอตอบตกลงพร้อมเงื่อนไขมากมาย และหนึ่งในนั้น คือ การไม่มาพบเธออีก ส่วนเธอนั้นจะถูกขังอยู่คนเดียว โดยมีสมาชิกระดับสูงของตระกูลผลัดกันมากางข่ายเวทย์มนต์ที่ขังเธออยู่ข้างใน โดยไม่ทำให้เธอหิว เพราะพวกเขาไม่แม้แต่จะให้อาหารเธอกิน แม้แต่การพบปะผู้คนยังเป็นไปไม่ได้ สมาชิกของตระกูลแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งกล่าวว่าผู้เป็นพ่อของเธอไร้เหตุผล อีกฝ่ายกล่าวชื่นชมว่าทำตัวเหมาะสมกับการเป็นผู้นำตระกูลนี้เป็นอย่างยิ่ง
เด็กหญิงได้แต่ใช้ชีวิตอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่ชายที่เธอรักหนักหนาเข้ามาหาเธอ สีหน้าเค้าดูย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง เค้ากล่าวว่าผู้เป็นพ่อต้องการให้เธอเข้าพบ แต่มีเงื่อนไข
เด็กสาวรับฟังเงื่อนไขอย่างสงบ
“เนื่องจากผู้เป็นบิดาของเธอป่วยหนัก ถ้าหากว่าเธอยินดีเสียสละลูกตาที่น่าชิงชังนั้นไป ผู้เป็นบิดาจะกลับมาหายดีดังเดิม”
ช่างเป็นคำขอที่ไร้เหตุผลยิ่งนักแต่เด็กสาวเพียงยิ้มน้อย ๆ ไร้ระลอกคลื่นแห่งความโกรธเคือง
“เข้าใจแล้วล่ะค่ะ ถ้าทำแบบนั้นแล้วพ่อมีความสุข หนูก็จะทำค่ะ”
ในทางกลับกันผู้เป็นพี่ของเธอใจแทบสลาย เค้าได้ร้องไห้ออกมา พร้อมกล่าวกับเธอว่า สัญญาสิว่าจะไม่ลืมตา
หลังจากนั้น ดวงตาของเธอได้ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล พร้อมปิดทับด้วยหน้ากากอันงดงาม จากนั้นสาวใช้ก็ได้มาช่วยเหลือเธอในการแต่งกาย พร้อมประคองร่างของเธอไปยังบ้านที่แท้จริง
เมื่อผู้เป็นพ่อเห็นสภาพของเธอ น้ำเสียงของเค้ามีความสุขยิ่ง คำสั่งนั้นอันที่จริงแล้วก็ไม่ได้เป็นคำโกหก ผู้เป็นพ่อนั้นปฏิบัติตนกับเธอดีขึ้นเป็นอย่างมาก เพียงไม่มีดวงตาที่น่ารังเกียจ และใบหน้าที่เหมือนกับผู้ที่ไม่ควรเอ่ยถึง เธอก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ดังเดิม
อันที่จริงเธอก็คิดว่าพ่อนั้นแปลก ๆ แต่ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร ดูเหมือนว่าผู้เป็นพี่นั้นจะต้องคอยประกบผู้เป็นพ่อตลอดเวลา และเมื่อผู้เป็นพ่อออกอาการปวดศีรษะ หรืออาการใด ๆ ที่แปลก ๆ ไป พี่ชายและพี่สาวต่างสร้างสถานการณ์เบี่ยงเบนความสนใจของผู้เป็นพ่อไป ราวกับว่าหากอาการนั้นกลับมา พ่อจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
ตอนนั้นชั้นอยู่ที่ระเบียงฝั่งหนึ่ง นั่งมองพ่อและพี่ชายกำลังนั่งทำงานเอกสารอยู่ที่ห้อง ๆ หนึ่ง พอทอดสายตาลงมาที่ลานกว้างด้านล่าง เห็นพี่สาวอยู่ที่ลานกว้างกับเหล่าสาวใช้ ดูเหมือนอยู่ ๆ พ่อก็ปวดหัวขึ้นมา พี่ชายมองออกมาที่นอกหน้าต่าง เมื่อเห็นชั้น เค้าก็รูดม่านปิดทันที แต่ดูเหมือนพ่อจะพยายามเปิดมัน ทันใดนั้นเองเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น เปลวไฟกำลังเผาสาวใช้คนหนึ่งทั้งเป็น ร่างนั้นดีดดิ้นและกรีดร้องไปมา เมื่อพ่อเห็นภาพนั้น เค้าก็แย้มยิ้มและดูสงบลง แต่ชั้นนั้นรับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง ชั้นวิ่งลงไปหาพี่สาวด้วยความรวดเร็วพร้อมต่อว่าเธอว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ พี่สาวของชั้นได้แต่เสียใจ และบอกชั้นว่า รู้ไหม เพื่อเธอแล้วพวกเราต้องทำตามคำสั่งของพ่อ คำสั่งของตระกูล ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยากจะทำ พวกเรานั้นต้องฆ่าคนและทรมานพวกเค้าสารพัด ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยากจะทำ พี่สาวจิตใจไม่เข้มแข็งเหมือนกับพี่ชาย ถ้าเกิดว่าไม่หลอกตัวเองว่ากำลังสนุกกับสิ่งที่ทำ ชั้นคงแตกสลายไปนานแล้ว
ชั้นเข้าใจ แต่บางทีก็ไม่อยากจะเข้าใจ ชั้นกล่าวว่า ที่แบบนี้ชั้นไม่อยากอยู่แล้ว
ชั้นกับเหล่าสาวใช้ของชั้นได้ย้ายกลับไปที่บ้านน้อยหลังนั้น ข้อดีของมันคงเป็นความเงียบสงบและห่างไกลผู้คนล่ะมั้ง หลังจากนั้นชั้นก็เก็บตัวเงียบ ไม่ต่างจากตอนที่ได้รับโทษกักบริเวณ
บางทีพี่ชายกับพี่สาวก็มาเยี่ยมชั้นบ้าง อารมณ์ชั้นในตอนนี้สงบลงแล้ว จึงรู้สึกมีความสุข
พวกเขาถามว่าชั้นมีความปรารถนาอะไรหรือเปล่า
ชั้นตอบว่าชั้นอยากจะให้ครอบครัวของเรามีความสุข อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แล้วก็ชั้นอยากจะมีอิสระออกไปไหนมาไหนก็ได้ตามใจชอบ
เป็นคำขอที่เรียบง่ายอย่างหนึ่ง
พวกเค้าได้แต่ยิ้มเศร้า และลูบหัวชั้น
ความปรารถนาของน้องนั้นเรียบง่ายมาก แต่ถ้าไม่มีคนตายมันก็เป็นไปไม่ได้
ตอนนั้นชั้นได้แต่หัวเราะ
หลายปีผ่านไป ดูเหมือนว่าอาณาเขตรอบบ้านจะเบาบางขึ้นเรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้ ชั้นสามารถออกมาเดินเล่นในสวนได้อย่างง่ายดาย และพี่น้องของชั้นก็มาคุยกับชั้นบ่อยขึ้น ถ้าจะมีอีกคนที่มาคุยกับชั้นบ่อย ๆ คงจะเป็นท่านอา ชั้นไม่แน่ใจความสัมพันธ์หรือแผนผังตระกูลมากกนัก แต่คงจะอายุน้อยกว่าพ่อ เค้าเป็นผู้นำฝ่ายที่บอกว่าการกักขังชั้นนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่มีข้อพิสูจน์ใด ๆ ที่กล่าวหาว่าชั้นเป็นปีศาจได้ เท่าที่ฟัง ๆ มา ดูเหมือนว่าจะเป็นเวทย์มนต์ของคนในตระกูลเองที่ทำให้พ่อเป็นแบบนี้ โดยทั่วไปพ่อเป็นคนที่มีสามัญสำนึกปกติคนหนึ่ง และยิ่งดีขึ้นมากตอนที่อยู่กับแม่ของชั้น แต่ดูเหมือนคนบางกลุ่มในตระกูลจะไม่พอใจสักเท่าไร ตระกูลของเราจะว่าไปแล้ว ในสังคมโลกภายนอกถือเป็นตระกูลผู้มีอิทธิพลในเรื่องเลว ๆ ตระกูลหนึ่ง จึงควรทำตัวเลวมากกว่าดีถึงจะถูก ชั้นก็พอจะเข้าใจอยู่นะ
วันหนึ่งพี่สาวมาหาชั้นและอยู่กับชั้นนานมาก ๆ จนชั้นกังวลเลยว่ามันจะผิดปกติไปหรือเปล่า พี่สาวหัวเราะและถามชั้นว่ามีความสุขหรือเปล่า
ชั้นรู้สึกงงกับคำถามนั้น
ไม่รู้สึกเบาสบายบ้างหรือ
ก็รู้สึกดีขึ้นจริง ๆ นั่นแหละ บรรยากาศที่เคยกดดันที่นี่เบาบางลงมาก แล้วก็เขตอาคมที่เสื่อมลงเรื่อย ๆ แต่ไม่ยักจะมีใครมาเสริมมันก็ดูแปลกจริง ๆ แต่ชั้นได้แต่ครุ่นคิดในใจ รอให้พี่สาวเฉลยออกมา
เพื่อความสุขของเธอพวกเราได้ฆ่าคนมากมาย คนในตระกูลที่ลงอาคมที่นี่เอาไว้ พวกเราไปเด็ดหัวมาทีละคน ๆ ตอนนี้ก็เลยวุ่นวายมากเลยล่ะ แต่ระยะห่างในหารฆ่านานไปหน่อย ก็จะได้ไม่เป็นที่สงสัยไงล่ะ พี่ชายน่ะ วางแผนจนปวดหัวเชียวล่ะ สาวน้อย
ชั้นรู้สึกอึ้งไป ความสุขของชั้นแลกมาด้วยชีวิตคนอื่นหรือ ชั้นก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ถ้าเธอรู้สึกผิดก็หมายความว่าพวกเราทำเรื่องเลว ๆ งั้นสินะ ทั้ง ๆ ที่พวกเราทำเรื่องพวกนี้เพื่อเธอแท้ ๆ คนพวกนั้นต่างหากที่ผิด พวกเค้าแค่อยากรักษารากฐานของตระกูลที่ทำแต่เรื่องเลว ๆ ต่างหาก คิดว่าที่พ่อวิปลาสไปแบบนี้เพราะใครกัน ก็คนพวกนั้นอีกนั่นแหละ
ชั้นนิ่งไปเล็กน้อย พร้อมพยักหน้า พี่สาวจากไปแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน พี่ชายก็มา ชั้นถามพี่ชายถึงเรื่องพวกนั้น พร้อมตัดพ้อที่ว่าทำไมไม่ทำให้มันเร็วกว่านี้ พี่ชายทำสีหน้าเคร่งเครียด มันไม่ง่ายเลยนะที่จะไปอยู่ในจุด ๆ ที่ทุกคนไว้วางใจ และไม่สงสัย ชั้นรู้ว่าพี่ลำบากใจแต่อยากให้เรื่องจบเร็ว ๆ ชั้นขอไม่ให้พี่ฆ่าท่าอา แต่พี่บอกว่าการไว้ชีวิตใครสักคนนั้น จะเป็นที่น่าสงสัย ทำไม่ได้หรอก
อาณาเขตเบาบางลงเรื่อย ๆ ในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่เดือน สร้างความสับสนวุ่นวายในตระกูลเป็นอย่างมาก เป็นไปได้อย่างไรที่บุคคลระดับสูงอย่างนั้นจะถูกลอบสังหารได้โดยง่าย
หลังจากนั้นไม่นานท่านอาก็ถูกลอบสังหาร
บุคคลระดับสูงคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ คือ พ่อของชั้นเอง ชั้นบอกกับพี่ ๆ ว่าอย่าเพิ่งฆ่าทิ้ง ชั้นมีเรื่องจะคุยก่อน
ภายใต้สถานการณ์ความวุ่นวายของตระกูล ชั้นอาบน้ำแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายที่งดงามที่สุดที่ชั้นมี ก่อนจะเดินทอดน่องก้าวผ่านซากศพทั้งหลาย ไปที่ห้องโถงใหญ่ เดินไปที่เก้าอี้ของหัวหน้าตระกูล พ่อที่ใกล้ขาดใจของชั้นแค่นเสียงหัวเราะเมื่อเห็นชั้น ในวาระสุดท้ายนี้ชั้นไม่อยากปิดบังพ่ออีกแล้ว ชั้นถอดหน้ากากออกมา พร้อมลืมตาให้พ่อได้เห็นชัด ๆ ดวงตาของชั้นไม่ได้มืดบอด และใบหน้าที่พ่อชิงชังนั้น ก็เหมือนกับแม่ยิ่งนัก
“เป็นแกที่ล่อลวงคนอื่น หลอกลวงลูก ๆ ที่น่ารักของชั้นให้ทรยศตระกูล แกมันปีศาจ”
ชั้นไม่สนใจคำพูดพวกนั้น แต่ถามคำถามที่ชั้นอยากรู้มากที่สุดแทน
“พ่อเคยรักหนูบ้างไหมคะ”
“ชั้นเกลียดแก”
ชั้นหลับตาลง พร้อมกับศีรษะของพ่อที่ปลิดปลิวลงไปกับพื้น ด้วยฝีมือพี่ชายของชั้นเอง ท่ามกลางความล่มสลาย ผู้คนมากมายรวมถึงพี่ชาย และพี่สาวได้คุกเข่าต่อหน้าชั้น “ผู้นำคนใหม่” ของตระกูล
ชั้นได้แต่หลับตาลงและร้องไห้เงียบ ๆ
คำกระซิบที่ข้างหูแผ่วเบา
“ชีวิตก็เหมือนกับความฝันฉากหนึ่ง อย่าใส่ใจมันขนาดนั้นเลย”
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งหลับอยู่บนบัลลังก์สูง
แย่จริง เผลอหลับไปเสียได้
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ixoraFlowerlady ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ixoraFlowerlady
ความคิดเห็น