ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic EXO] Silently::ไซเลนท์ลี่ CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #6 : Silently IV::รุก [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.21K
      24
      27 ส.ค. 56

    Silently IV

    รุก

    Author: Wi Lyn

     

     

     

    ความสุขมักจะอยู่กับเราไม่ได้นาน ตรงข้ามกับความทุกข์...มันจะคอยตามหลอกหลอนไม่มีวันจักจบจักสิ้น

     

     

     

    “เฮ้ย!ชานยอล วันเกิดมึงปีนี้ มึงจะชวนลู่ฮานมาปาร์ตี้ด้วยมั้ยวะ? ได้ข่าวมึงขายขนมจีบเขาอยู่นิ” จงแดถามชานยอลพลางส่งสายตาล้อเลียน

     

    ชานยอลเองเมื่อโดนล้อเลียนถึงบุคคลที่สามก็พาลหน้าแดงเอาดื้อๆ ผมนั่งมองจงแดแหย่ชานยอลไป หยิบขนมห่อของพวกมันเข้าปากไป อิ่มแบบไม่ต้องควักเงินซื้อซักวอน ^^

     

    “ไอ้ฮุน หยุดเลยนะมึง ตลกบริโภคละ เอามือโสโครกของมึงออกไปจากขนมของกู เดี๋ยวนี้!” จงแดที่หันขวับมาก็พบแต่ซากซองขนมแล้ว

     

    “เออ ว่าแต่ทำไมวันนี้ไอ้คริสมันยังไม่มาอีกวะ” ได้ทีผมก็เปลี่ยนหัวข้อการสนทนาทันที ทำให้จงแดลืมไปเสียสนิทว่ากำลังจะตบกบาลผมข้อหา แย่งขนมมันกิน

     

    โอ เซฮุนล่ะเพลีย มีเพื่อนอย่างพวกมันแล้วปวดหัว =_= แต่ก็เพราะพวกมันนี่แหละ ที่ทำให้ทุกวันนี้ผมมีความสุขดี

     

    “เมื่อเช้ามันโทรมาหาบอกว่ารายงานกลุ่มวันนี้มันไม่มา มันบอกว่าจะไปส่งแม่มันที่สนามบิน” ผมหันไปทางชานยอลทันทีที่ได้ยินคำตอบ

     

    “แม่มันไปช็อปปิ้งที่ไหนอีกวะรอบนี้?” ผมถามชานยอลถึงแม่ของคริสทันที เพราะรู้กันดีว่าแม่ของคริสนั้นเป็นพวกช็อปอโฮลิค

     

    “รอบนี้ไม่ได้ไปช็อปเว้ย แม่มันกลับแคนาดา เห็นว่าปู่ไอ้คริสมันเข้าโรงพยาบาล” ชานยอลตอบก่อนจะคว้าถุงขนมอีกห่อไปจากกระเป๋าจงแด

     

    “ไอ้ฟายยยยยยย กูอุตส่าห์ซ่อนจะเก็บไว้กินคนเดียว มึงยังเสือกตาดีมาเห็นอีกนะ เอาไปให้หมดเลย พวกมึงแม่งเลว” จงแดกระฟัดกระเฟียดเพียงลำพังก่อนจะเทขนมออกจากกระเป๋าที่ตั้งใจจะซุกไว้กินคนเดียว

     

    ผมกับชานยอลได้แต่หัวเราะกับท่าทางของมัน ก่อนที่ชานยอลจะสำลักน้ำลายตัวเอง แล้ววิ่งออกจากโต๊ะทันที

     

    “มันจะรีบไปไหนของมันวะ?” ผมด่าตามหลัง ก่อนจะมองตามแผ่นหลังกว้างๆของเพื่อนตัวสูง

     

    แล้วก็เห็นเพื่อนตัวเองวิ่งหน้าตั้งไปดักคนที่ชื่อ ลู่ฮานคนที่เพื่อนผมกำลังขายขนมจีบอยู่อย่างที่จงแดว่านั่นแหละ

     

    ท่าทางคนนี้ชานยอลมันจะชอบจริงๆ ลู่ฮานก็ดูน่ารักดีนะ ตัวเล็กๆผิวขาวๆ ใครๆก็ชอบกันทั้งนั้น แต่ผมเป็นพวกไม่มีสเป็ค เจอใครถูกใจก็ชอบไปเลย ไอ้เรื่องรักแรกพบนี่เป็นยังไงก็ไม่รู้นะ ไม่เคยเจอนี่หว่า!

     

    ผ่านไปซักพักชานยอลก็เดินจูงมือลู่ฮานเข้ามาหาพวกผมที่นั่งมองมันอยู่ที่โต๊ะ ไอ้เดินมาด้วยกันนี่ก็ไม่เท่าไรหรอกนะ แต่สองคนดันจับมือกันเนี่ยสิ

     

    ปากไวเท่าความคิด จงแดก็ถามทันที “เฮ้ย ยังไงวะเนี่ย เดินจับมือกันแล้วด้วย ตกลงปลงใจกันแล้วสิเนี่ย”

     

    ลู่ฮานหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ ส่วนชานยอลก็ยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นมาเกาท้ายทอยตามนิสัย
     

     

     

    ชานยอลพยักหน้าทีนึง “ลู่ตกลงคบกับกูแล้ว ความจริงกูขอคบกับเขาไปเมื่ออาทิตย์ก่อน แต่เขาไม่ให้คำตอบกูซักที เอาแต่หลบหน้า วันนี้เจอพอดี กูเลยเค้นเอาคำตอบซะเลย”

     

    ชานยอลหัวเราะในความใจร้อนของตัวเอง ก่อนจะบีบมือลู่ฮานเบาๆแล้วสองคนก็จ้องตากัน

     

    ลู่ฮานหลบตาก่อนเพราะความเขินอาย ก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นมาเกาท้ายทอย สองคนนี้เหมือนกันเลย!

     

    ผมมองชานยอลกับลู่ฮานแล้ว รู้สึกเหมือนเห็นบรรยากาศรอบตัวเป็นสีชมพูยังไงไม่รู้ เฮ้อ!ชักอยากจะมีใครซักคนเหมือนไอ้ชานยอลซะแล้วสิ

     

    “ลู่ อีกสองวันเราจะมีปาร์ตี้วันเกิดอ่ะ ที่เคยเล่าให้ฟังจำได้มั้ย? มีแต่พวกนี้ทั้งนั้น เลยอยากให้ลู่ไปด้วย ฐานะที่เป็น แฟน เราไง” ชานยอลเอ่ยชวนลู่ฮานก่อนจะเน้นหนักตรงคำว่าแฟน

     

    “ฮิ้วววววววววววววววววววววววววววววว” จงแดส่งเสียงเชียร์เสียงดังซะจนคนที่เดินผ่านไปมาหันมามอง

     

    ลู่ฮานพยักหน้าตกลงก่อนจะถามถึงของขวัญวันเกิดที่ชานยอลอยากได้

     

    “เราไม่อยากได้อะไรหรอก แต่ขอเป็นลู่ฮานใส่ชุดวันเกิด ผูกโบว์ ใส่กล่องมาเป็นของขวัญก็ดีนะ ฮ่าๆๆๆ” ชานยอลเอ่ยขออย่างทะเล้น ทำให้ลู่ฮานต้องส่งมือไปตีไหล่แรงๆโทษฐานทำให้เขิน

     

    หลังจากพูดคุยกันซักพักชานยอลก็ขอตัวไปส่งลู่ฮานที่บ้าน ทำให้ตอนนี้เหลือแค่ผมกับจงแดสองคน

    “เอาไงดีมึง งานคงไม่ได้ทำแล้วล่ะ แยกย้ายเหอะ กูเบื่อขี้หน้ามึงแล้ว ไอ้ตุ๊ด” จงแดชวนกันแยกย้ายแต่ยังไม่วายแขวะผม

     

    “ตุ๊ดพ่อมึงสิ จะลองมั้ย? จะได้รู้ว่ากูหรือมึงกันแน่ที่ตุ๊ด” ผมหันไปสวนก่อนจะเล่นปูไต่ที่ขาอ่อนจงแด

     

    ทำให้จงแดรีบลุกขึ้นจากโต๊ะ ก่อนจะกวาดของทุกอย่างลงกระเป๋าแล้ววิ่งหนีไปทันที มึงกลัวกูหรอ?

     

    จากตอนแรกเหลือจงแดเป็นเพื่อน แต่ดันไปแหย่มันจนเหลือคนเดียวเลย ไปไหนดีล่ะกู =_=

     

     

     

     

    “เอ้า ชนเว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” วันนี้พวกเราสี่คนรวมลู่ฮานอีกคน มารวมตัวกันที่คอนโดของไอ้คริส เพราะห้องมันใหญ่ที่สุด(อิจฉามึงจริงๆ ห้องกูเท่าห้องน้ำมึงเลย...)

     

    “นี่ วันเกิดในความหมายของพวกนาย ไม่มีเหล้าไม่ได้ใช่มั้ย?” ลู่ฮานเอ่ยถามขึ้นก่อนจะคว้าแก้วชานยอลที่เป็นเจ้าของงานวันนี้ออกอย่างอารมณ์เสีย

    “กินไปเยอะแล้วนะ เมาแล้ว พูดก็ไม่ฟังเลย นี่แฟนนะ” ลู่ฮานดุชานยอลโดยเอาคำว่าแฟนมาอ้าง

     

    ชานยอลหัวเราะร่าทันทีที่ได้ยินลู่ฮานดุ ถึงแม้มันจะเมา แต่สายตาที่มันมองลู่ฮานก็ยังคงเต็มไปด้วยความรัก ถึงแม้สติจะเหลือน้อยนิด แต่มันก็ยังคงกุมมือลู่ฮานเอาไว้

     

    ผมหวั่นไหวกับภาพนั้น...ไม่เข้าใจตัวเองเลย ผมที่เคยมองว่าลู่ฮานก็เหมือนคนหน้าตาน่ารักธรรมดาทั่วๆไป แต่ทำไมวันนี้เขาถึงได้ดู สวยหรือเพราะเหล้ากำลังพาสติผมให้ลอยไป เลยคิดอะไรบ้าๆกับแฟนเพื่อนแบบนี้

     

    “กูว่าเอาไอ้ชานยอลมันไปล้างหน้าล้างตาแล้วพามันไปนอนเถอะ ปกติมันไม่กินเยอะขนาดนี้หรอกนะ สงสัยวันนี้มันจะดีใจที่เป็นวันเกิดปีแรกที่มีนาย” คริสหันไปยกความดีความชอบ(?)ให้ลู่ฮาน
     

     

     

    ลู่ฮานพยักหน้าก่อนจะพยายามพยุงร่างชานยอลทั้งๆที่ตัวเองตัวเล็กกว่าไอ้ชานยอลตั้งเยอะ ผมเลยเข้าไปช่วยหิ้วปีกไอ้ชานยอลอีกข้าง แล้วช่วยกันประคองร่างมันให้ไปที่ห้องน้ำ

     

    ลู่ฮานจัดการเปิดน้ำที่อ่างล้างหน้า แล้วก็ใช้มือรองน้ำมาลูบหน้าเพื่อเรียกสติชานยอล แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไร เพราะนอกจากไอ้ยอลมันจะไม่ตื่นแล้ว มันยังกรนเสียงดังอีกต่างหาก

     

    “เราว่าพามันไปนอนเหอะ สภาพแบบนี้ล้างหน้ามันจนบางก็ไม่ตื่นแล้วล่ะ” ผมเสนอความคิดเห็น ก่อนจะได้รับการพยักหน้าจากร่างเล็กว่าเห็นด้วย

     

    ผมเป็นคนพยุงไอ้ชานยอลให้เข้ามานอนในห้องคริส เมื่อมาถึงก็โยนมันลงเตียงทันที แต่มันก็กลิ้งซ้ายขวาไปมา สุดท้ายก็หล่นตุ๊บ ลงไปนอนที่พื้นอยู่ดี

    ผมยกมือห้ามลู่ฮานเพราะคนตัวเล็กจะเข้าไปช่วยปลุกให้ตื่นไปนอนบนเตียง

     

    “ปกติเวลามันมานอนที่นี่ มันก็นอนพื้นแหละ มันบอกเย็นดี พอนอนเตียงมันเลยรู้ว่าไม่ใช่ที่มัน มันเลยกลิ้งกับที่มันน่ะ” ผมว่าพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ลู่ฮานเองก็เช่นกัน

     

    รอยยิ้มเล็กๆนั่น น่ารักอย่าบอกใครเลย....................... ^^

     

    “นายนอนบนเตียงละกัน ตอนนี้ดึกแล้ว ถ้าจะกลับคงไม่มีใครลุกไปส่งไหวหรอก” ลู่ฮานพยักหน้าแล้วก็ปีนขึ้นเตียงไปนอนขดอยู่ตรงกลาง ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมมิดจนเหลือแค่ตา

     

    “แล้วพวกนายนอนไหนกันอ่ะ?” ลู่ฮานถามแต่ก็ยังซุกตัวอยู่ในผ้าห่มเหมือนเดิม

     

    “ไอ้สองคนนั้นนอนไหนก็ได้ ห้องน้ำมันยังนอนมาแล้วเลย ส่วนเราก็เดี๋ยวนอนโซฟาหน้าทีวีนั่นแหละ” ผมตอบก่อนจะเดินออกจากห้อง แล้วก็พบว่าไอ้เพื่อนสองตัวนอนขาพาดกันสลบไปเรียบร้อย

     

    ปกติเวลาผมมานอนที่ห้องไอ้คริส ผมเป็นคนเดียวที่ได้ครองที่นอน ที่ตอบลู่ฮานไปน่ะ ผมโกหก! เวลามากินเหล้าที่ห้องนี้ทีไร พวกมันสามคนหลับคาวงเหล้าตลอด ผมเป็นคนเดียวที่คลานขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างสบาย

     

    แต่วันนี้ลู่ฮานนอนอยู่ จะทำยังไง? ปกติไม่ชอบนอนที่อื่นนี่นา เอาวะ!มีชานยอลนอนอยู่ที่พื้นอีกทั้งคน ผมเลยเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนใหญ่ ก็เห็นลู่ฮานหลับไปแล้ว ส่วนไอ้ชานยอล รายนั้นกลิ้งไปอยู่มุมห้องแล้ว อีกนิดมันจะถึงพรมหน้าห้องน้ำแล้ว

     

    ผมค่อยๆย่องเข้าไปในห้อง ปิดประตูให้เบาที่สุด แล้วก็เดินไปที่เตียง ลู่ฮานนอนดิ้นไปอยู่ทางฝั่งซ้ายของเตียง ผมเลยเดินไปนอนที่เตียงฝั่งขวา ฝั่งเดียวกับที่ไอ้ชานยอลมันกลิ้งอยู่

     

    ลู่ฮานขยับตัวเล็กน้อยตอนที่ผมทิ้งตัวลงบนที่นอน จะแย่งผ้าห่มมาก็กลัวจะทำคนตัวเล็กตื่น นอนมันทั้งอย่างนี้แหละ

     

    ผมที่กำลังเคลิ้มๆจะหลับ เพราะตัวเองก็กินไปไม่น้อยเหมือนกัน ในขณะที่กำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา เตียงก็ยวบอีกครั้ง ผมหันไปมองก็เห็นว่าคนตัวเล็กกำลังขยับตัว ก่อนจะกลิ้งมานอนติดกับผม

     

    กลิ่นโคโลจน์หอมอ่อนๆลอยเข้าจมูกผม บวกกับกลิ่นของยาสระผมจากศีรษะของคนตัวเล็ก ทำให้ตอนแรกที่เคลิ้มจะหลับกลับตาสว่างขึ้นมาอีกรอบ

     

    ลู่ฮานค่อยๆเลื่อนตัวหาไออุ่นก่อนจะมาจบลงที่อกผม คนตัวเล็กเอาหัวดันไปมาก่อนจะหยุด แล้วแขนสองข้างก็โอบรอบเอวผม

     

    “ฮืมมม เจอหมอนข้างซะที” ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กจะคิดว่าผมเป็นหมอนข้างของเขานะ ลืมไปรึเปล่าว่าไม่ได้นอนอยู่ห้องตัวเองน่ะ!

     

    ผมนอนตัวแข็งให้คนตัวเล็กกอด ก่อนที่สติจะค่อยๆเลือนหายไป เพราะความรู้สึกบางอย่างกำลังตื่นตัว
     

     

     

    ความรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ไม่อาจรู้ได้ว่าเพราะฤทธิ์จากเหล้าหรือจากคนที่นอนอยู่ข้างๆ ยิ่งคนกอดกระชับอ้อมแขนเข้ามาแน่นเท่าไร คนโดนกอดก็ยิ่งรู้สึกร้อนขึ้น

    ความต้องการพุ่งพล่าน โดนปลุกปั่นอารมณ์จากกลิ่นหอมของคนข้างกาย ความรู้สึกจุกตีขึ้นคอเพราะยับยั้งความต้องการ

     

    สิ่งสุดท้ายที่ผมจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นคือ................การหักหลังเพื่อนตัวเอง

     

     

     

     

     

     

    แต่วินาทีที่ความต้องการอยู่เหนือสติและความถูกต้อง

     

     

     

     

     

    ผมกลับเป็นคนกลืนน้ำลายตัวเอง ทำร้ายเพื่อนได้อย่างหน้าไม่อาย.......

     

    ----------------50%-------------

     

     

    วันนี้ก็เป็นวันธรรมดาอีกวัน ตื่นเช้าไปเรียนหนังสือ พอบ่ายก็เข้ามาทำงานที่ร้าน Patici’er พอร้านปิดก็กลับบ้าน ถึงชีวิตจะวนเวียนอยู่แค่นี้ แต่สำหรับผม นั่นถือเป็นเรื่องดี เพราะไม่ต้องมีเรื่องให้ทุกข์ใจ ไม่ต้องมีอุปสรรคมาให้เราต้องข้ามผ่าน

     

    ใครจะมองว่าชีวิตผมมันน่าเบื่อผมก็ไม่สน ลองมาผ่านความลำบากอย่างผมสิ แล้วจะเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

     

    เพราะว่าวันนี้ลูกค้าเยอะกว่าปกติ จากที่ปิดร้านสามทุ่ม เลยเลทไปเป็นสี่ทุ่ม กว่าผมจะมาถึงหอพักก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว วันนี้อากาศเริ่มเย็น ทำให้ผมต้องกระชับเสื้อคาร์ดิแกนตัวบางให้แน่นขึ้น เพื่อบรรเทาความเย็น

     

    แสงไฟจากไฟทางเดินที่ติดๆดับๆ บอกให้รู้ว่าย่านหอพักที่ผมอาศัยนั้น ไม่ได้น่าอยู่ซักเท่าไร การเดินเข้าซอยเปลี่ยวๆคนเดียวทำให้ผมอดเสียวสันหลังไม่ได้

    หลายครั้งที่เทาต้องมาส่ง เพราะเขาเองก็กลัวว่าผมจะเป็นอันตราย ถึงแม้จะอยู่ในซอยบ้านตัวเองก็เถอะ ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจะมีปัญญาไปร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้

     

    อีกไม่ไกลก็จะถึงที่พักของผมแล้ว ผมจึงค้นกุญแจที่อยู่ในกระเป๋าออกมาไขประตู ก่อนจะพบสัมภาระวางเกะกะอยู่ที่โถงทางเดิน

     

    กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของผม กล่องหนังสือสามใบที่มีชื่อผมติดอยู่ และข้าวของอีกมากมายที่ล้วนแล้วแต่เป็นของผมทั้งนั้น ความสงสัยก่อตัว ว่าทำไมข้าวของส่วนตัวของผมถึงมากองอยู่ตรงนี้ ทั้งที่มันควรจะอยู่ภายในห้อง

     

    โพสต์อิทสีเหลืองสว่างถูกติดเอาไว้ที่กล่องใบใหญ่สุด ลายมือที่ผมจำได้ดี เพราะมันคือลายมือของป้าเจ้าของห้อง

     

    แบคฮยอน ป้าต้องขอโทษด้วยที่ต้องให้หนูย้ายออก มีคนเช่าใหม่เขามาขอเช่า ให้ราคาดีกว่า แล้วป้าก็มีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ป้าปล่อยห้องนั้นให้เขาเช่า ป้าเก็บของให้แล้วนะ....ป้าเอง

     

    เพียงแค่ข้อความสั้นๆทำให้ผมทรุดนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ป้าปล่อยให้คนอื่นเช่าทั้งๆที่ผมอยู่กับป้ามาสามปี ทำแบบนี้ได้ยังไง!



    ผมรีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องของตัวเองทันที ก่อนจะจัดการไขกุญแจห้องที่อยู่มาตลอดสามปี แต่ก็พบว่ามันได้ถูกเปลี่ยนกลอนไปแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะกุญแจดอกไหนที่ผมมี มันก็คงจะไขเข้าไปไม่ได้

     

    ผมไม่อยากอ่อนแอ ผมไม่ชอบเลยเวลาตัวเองรู้สึกจนปัญญา หาทางออกไม่ได้ ชีวิตผมจะมีแต่สิ่งดีๆเข้ามาบ้างไม่ได้หรอ? ทำไมมีแต่เรื่องตลอด ถ้าพระเจ้าอยากจะทดสอบกันนัก ก็ช่วยให้ผมเกิดมาอยู่ในสภาพที่ดีกว่านี้หน่อยได้ไหม?

     

    น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลออกมา แต่ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเช็ดมันออก ตอนนี้ยอมรับว่าท้อ เหนื่อยเหลือเกิน กับชีวิตที่มีแต่ปัญหา เข้มแข็งเท่าไร กัดฟันสู้ยังไง มันก็ยังเหมือนเดิม

     

    ไม่เดินหน้า......มีแต่ถอยหลัง

     

    เหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจนอยากจะตามไปอยู่กับพ่อแม่ เหนื่อย......

     

    Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr

    โทรศัพท์รุ่นเก่าที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะไม่สนใจ แต่สุดท้ายก็หยิบมันขึ้นมากดดูข้อความ

     

    ไอ้หมา ถึงบ้านยัง? พรุ่งนี้ให้ไปรับมั้ย? จะได้ไปร้านพร้อมกันเลย เทานั่นเอง ที่ส่งข้อความมา

     

    ถึงแล้ว กำลังจะอาบน้ำนอนแล้วเนี่ย พรุ่งนี้ไม่ต้องมารับหรอก เจอกันที่ร้านเลย เรามีธุระต้องไปจัดการก่อน ผมพิมพ์ตอบกลับไปเช่นนั้น

     

    ขอโทษนะที่ต้องโกหก แต่เวลานี้ ผมไม่อยากดึงใครเข้ามาปวดหัวกับปัญหาชีวิตของผมจริงๆ เพราะผมคิดว่ายิ่งขอความช่วยเหลือจากคนอื่นมากเท่าไร ขาของเราก็ยิ่งอ่อนแรงลงเท่านั้น อ่อนแรงจนพอถึงจุดสุดท้าย เราก็จะลืมว่าการยืนด้วยขาของตัวเองมันเป็นยังไง

     

    ผมตัดสินใจเดินไปที่ห้องของคุณป้า ก่อนจะขอนอนที่โถงทางเดิน พอเช้าค่อยย้ายของออก นับว่าป้ายังใจดี(?)ที่ให้ผมอาศัยโถงทางเดินเป็นที่นอนชั่วคราวสำหรับคืนนี้

     

    อย่าคิดว่าป้าเขาจะให้ผมปูฟูกนอนหรืออะไรนะครับ ป้าบอกให้ผมดันของไปไว้ที่มุมทางเดิน แล้วให้ผมหาที่นอนเอาว่าจะนอนตรงไหน แต่อย่าขวางทาง

     

    ดีเหมือนกัน......ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ยังดีกว่าอยู่กับคนแบบนี้ ที่จิตใจช่างจืด ช่างดำ

     

    ผมเลือกนั่งที่มุมทางเดิน เพื่อที่จะได้เฝ้าของ นั่งลงข้างๆลังหนังสือ ก่อนจะฟุบหน้าลง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง แล้วก็เฝ้าภาวนา ขอให้ผ่านคืนนี้ไปเสียที

    ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพราะรู้สึกเหมือนโดนเขย่าแรงๆ

    “ไอ้หมา ตื่นเดี๋ยวนี้นะ ไหนเมื่อคืนบอกว่ากำลังจะอาบน้ำนอน นี่หรอ? ที่นอนของนาย” ทันทีที่ผมลืมตา ก็พบว่าคนตัวสูงที่ชื่อเทา กำลังยืนทำหน้าทมึงทึงใส่ผมแล้ว

     

    ผมรีบลุกขึ้นยืน ก่อนจะขยี้ตาแรงๆเพื่อให้ตัวเองตื่นเต็มตา แต่กลับพบว่าช่างปวดตาเหลือเกิน

    “ไอ้หมา หยุดขยี้ตาเดี๋ยวนี้นะ เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่มั้ย? ทำไมมีอะไรไม่บอกกัน” เทายังคงดุไม่หยุด

     

    เขาคงโมโหมากที่ผมโกหกเขาเมื่อคืน แต่นั่นก็เพราะผมไม่อยากให้เขาต้องมาเดือดร้อน ปัญหาของใครก็ของมันสิ!

     

    ผมค้นสมุดมาเล่มหนึ่ง หาพื้นที่ว่างก่อนจะเขียนอธิบายถึงเจตนาที่ไม่บอกเพื่อนตัวสูง

    ขอโทษ แต่มันเป็นปัญหาของเรา อีกอย่างเราตั้งใจจะย้ายออกอยู่แล้ว แต่ป้าเขาดันชิงตัดหน้าไล่เราซะก่อน ผมยื่นสมุดให้เทาก่อนจะแจกยิ้มเพื่อให้เพื่อนสบายใจ

     

    “ไม่ต้องมาโกหก ดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้รู้สึกดี เพราะฉะนั้นไม่ต้องพยายาม ถามหน่อยสิ นายมีเพื่อนเอาไว้ทำไม หรือเราไม่ใช่เพื่อนกัน?” ผมรีบส่ายหน้าทันที



    “งั้นช่างมัน เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยจัดการนายทีหลัง แต่ตอนนี้ ลองตอบมาสิ หลังจากนี้จะย้ายไปอยู่ที่ไหน?” เทากอดอกเพื่อรอฟังคำตอบจากผม สายตาคาดคั้นที่ส่งมากดดัน ทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนเหลือเกิน

     

    จะให้ตอบว่ายังไง ในเมื่อพึ่งโดนไล่ออกจากที่พักเมื่อคืนนี้เอง ที่อยู่ใหม่ก็ยังไม่ได้หา

    เทาที่เห็นผมเงียบก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินทางของผมไปถือไว้ แล้วก็แบกลังอีกใบขึ้นบ่า

     

    ผมยังคงงงๆกับสิ่งที่เขาทำ คงเพราะบนหน้าผากผมมีเครื่องหมายคำถามแปะอยู่ล่ะมั้ง? เขาถึงได้หันมาตอบคำถามเพื่อไขข้อข้องใจให้ผม

     

    “ไปอยู่บ้านเราก่อน ซักวันสองวัน แล้วเราจะให้ม๊าช่วยหาที่อยู่ถูกๆให้ แล้วก็อย่าปฏิเสธนะ ถ้ายังเห็นว่าเราเป็นเพื่อน” เทาตอบก่อนจะหันหลังเดินไปที่รถอีโคคาร์คันกะทัดรัดของม๊าเขา

     

    เทาจัดการขนสัมภาระของผมขึ้นรถจนครบทุกชิ้น ก่อนจะเดินไปด่าป้าเจ้าของห้องอีกรอบ แล้วขับรถออกจากที่นั่นทันที

     

    “ย้ายออกมาน่ะดีแล้ว คนแบบนั้นดูก็รู้ว่าไม่จริงใจ อยู่ไปก็เสียดายเงิน แบคฮยอน ขอร้องล่ะ ต่อไปนี้มีอะไรบอกเราได้มั้ย? เราเพื่อนกันนะ” เทาหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนในประโยคหลัง



    หลังจากวันนั้นที่เทาไปรับผมที่หอพักเก่า ผมก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านเทาทันที ม๊าบอกว่าให้เทาแชร์ห้องให้ผมอาศัยด้วย เพราะจะได้สนิทสนมกันมากขึ้น แถมม๊ายังบอกอีกว่าอยู่ตลอดไปเลยก็ได้ ม๊าไม่ถือ

     

    “เฮ้ย!ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวค่อยมาทำการบ้านต่อก็ได้” เทาโยนผ้าเช็ดตัวมาให้ผมก่อนจะออกคำสั่งทำให้ผมต้องทำตามทันที

     

    เรื่องที่ผมถูกไล่ออกจากหอพักเก่ายังไม่มีใครรู้นอกจากเทา เพราะผมไม่อยากให้พี่ชานมีหรือใครต้องมาคิดมาก บอกตามตรง ทุกวันนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวผมอยู่ที่ไหน ปัญหาอยู่ที่นั่นยังไงไม่รู้

     

    วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมกับเทามาทำงานช่วงบ่ายพร้อมกัน หลังจากที่ผมมาอยู่บ้านเทา ม๊าก็ยกรถคันเก่งให้เทาใช้ แล้วก็สั่งให้เทาไปรับไปส่งผมทั้งที่เรียนแล้วก็ที่ร้าน เทาเองก็เต็มใจ

     

    “สองคนนี้มาด้วยกันหลายวันแล้วนะ แถมเทายังขับรถมาด้วย นี่ซื้อรถเพื่อเอามารับส่งแบคฮยอนโดยเฉพาะเลยล่ะสิ” พี่ชานมีที่พอเห็นเราสองคนเดินเข้าร้านก็แซวทันที

     

    เทายักไหล่ ก่อนจะเดินหายเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมส่ายหัวเพื่อปฏิเสธสิ่งที่พี่ชานมีคิดอยู่

    ผมเดินเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ดันสวนกับลู่ฮานที่เดินมาเข้าห้องน้ำ สายตาของเราสองคนสบกันโดยบังเอิญ

     

    “ทำไมมองฉันแบบนั้น หน้าฉันมีอะไรติดอยู่รึไง?” จู่ๆผมก็นึกถึงสิ่งที่เขาทำกับชานยอล ทำให้ผมเผลอมองเขาด้วยสายตาดูแคลน

     

    ผมรีบส่ายหน้า แล้วโค้งขอโทษทันที ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในครัว วันนี้พวกเพื่อนๆของชานยอลมารวมตัวกันที่ร้านช่วงเย็น ทำให้ลูกค้าที่ปกติก็เยอะอยู่แล้ว ดันเยอะขึ้นอีก

     

    ผมทั้งเก็บโต๊ะ เช็ดโต๊ะ ถูพื้น อบเค้ก ทำวนไปมาจนหัวหมุนเลยทีเดียว เมื่อลูกค้าคนสุดท้ายของร้านออกไป ผมก็ทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างหมดแรง

     

    “ไหวไหมหมา เห็นวิ่งวุ่นทั่วร้านเลย อ่ะ กินชาเขียวเย็นๆไปก่อน เดี๋ยวที่เหลือจัดการให้” เทาเดินมาพร้อมแก้วชาเขียวสีมรกตสวย ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นชิม

     

    “แบคฮยอนอยากไปเดทกับเรามั้ย?” ชายนิรนามคนที่หนึ่งมาคุกเข่าอยู่ตรงเก้าอี้ที่ผมนั่ง

     

    “ไอ้คริส เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ?” ชานยอลเดินเข้ามาก่อนจะใช้เท้าเขี่ยที่ไหล่ของคริส

     

    “กูก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ มึงเงียบไปก่อนได้มั้ย กูรอให้แบคฮยอนตอบอยู่” คริสเอามือไปปัดเสื้อบริเวณที่โดนเท้าชานยอลเขี่ยเมื่อกี้



    “แบคฮยอนรับดอกไม้จากเราด้วยนะ” ชายนิรนามคนที่สอง

     

    “อะไรของพวกมึงกันวะ เมื่อกี้ก็ไอ้คริส นี่มึงอีกคนหรอ? ไอ้เทา” ชานยอลเห็นเทาโผล่มาอีกคนถึงกับหัวเสียทันที

     

    เทายื่นช่อดอกลิลลี่สีขาวสะอาดมาตรงหน้าผม ผมก็ได้แต่งง ก็ไอ้ช่อดอกลิลลี่อันนี้ ม๊าเทากำชับนักหนาตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านว่าให้ซื้อกลับมาเปลี่ยนแจกันที่บ้าน เทาก็แว๊บออกไปซื้อเมื่อช่วงเย็น แล้วเอามาให้เราทำไมกัน?

     

    เทาขยิบตาให้ผมเล่นตามน้ำ ผมจึงพยักหน้า ถึงแม้จะไม่เข้าใจนักว่าสองคนนี้กำลังเล่นอะไรกันอยู่

     

    “พวกมึงไปไกลๆตีนกูเลยนะ” ชานยอลตวาดเสียงดัง ก่อนจะไล่เพื่อนทั้งสองคนให้ออกจากร้าน

     

    ลู่ฮานที่เห็นแฟนตัวเองอารมณ์เสียก็เดินเข้ามาจับมือ ก่อนจะกระซิบกระซาบกันสองคน จนชานยอลยิ้มออกมา แล้วก็พากันเดินออกจากร้านไป

     

    อะไรที่ทำให้ชานยอลที่กำลังอารมณ์เสีย ยิ้มขึ้นมาได้นะ เป็นเพราะเรื่องที่ลู่ฮานกระซิบเป็นเรื่องดี หรือเพราะคนๆนั้นคือ ลู่ฮาน

     

     

    เมื่อไรกันที่ผมคิดว่า การมองลู่ฮาน ช่างเสียสายตาและน่าโมโห.........


    -----------100%----------


     

    [คุยกับไรท์เตอร์]

    ตอนนี้ยาวได้อีก ชีวิตแบคนี่มีแต่ปัญหา เนอะ!!!

    อัพครบร้อยแล้ว ใครที่ติดตามกันอยูู่ก็ติดตามไปเรื่อยๆนะคะ

    ขอบคุณมากสำหรับคนที่เข้ามาเม้นท์ให้กำลังใจ ไรท์อ่านแล้วรู้สึกขอบคุณจริงๆ

    ส่วนโพลที่ให้คะแนนเรื่องนี้ ก็อยู่ในเกณฑ์ดีทั้งนั้นเลยค่ะ กราบงามๆเลย ^^

    เจอกันตอนต่อไปนะคะ เร็วๆนี้เลย

    ปย๊ง!!!!!!

    สำหรับใครที่เล่นทวิต รบกวนติดแท็ก #ฟิคเงียบ ให้ไรท์ทีนะคะ จะได้เช็คง่ายหน่อย 

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×