ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic EXO] Silently::ไซเลนท์ลี่ CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #44 : Silently XXXII::ไม่มีวันไหนไม่คิดถึงคุณ [마지막회] --100%--

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.59K
      14
      29 พ.ย. 56

    Silently XXXII [END]

    ไม่มีวันไหน ไม่คิดถึงคุณ

    Author : Wi Lyn

     

     

    “Not a day goes by that I don’t think of you”

    “ไม่มีวันไหน ไม่คิดถึงคุณ”


     

     

    1 ปีต่อมา

     

    แบคฮยอนมาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษได้หนึ่งปีแล้ว ชีวิตวนเวียนอยู่กับวัฏจักรเดิมๆแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเบื่อ ตื่นนอนตอนเช้า อาบน้ำ แต่งตัวไปเรียน เรียนเสร็จก็เข้าห้องสมุด

     

    แล้วก็กลับบ้าน ทานข้าวเย็นคนเดียว แล้วก็ทบทวนตำราเรียนประจำวัน จากนั้นก็เข้านอน ช่วงแรกๆที่มาอยู่ที่นี่ก็ปรับตัวค่อนข้างจะยาก

     

    ช่วงเดือนแรกชานยอลโทรมาหาทุกวัน แต่เพราะช่วงเวลาที่ต่างกันทำให้จากทุกวันก็กลายเป็นวันเว้นวัน จากวันเว้นวันก็เป็นสามวันโทรมาที

     

    ตอนนี้ชานยอลโทรมาหาแค่เดือนละครั้งเท่านั้น...

     

    แต่ครั้งล่าสุดที่ชานยอลโทรมาหาก็เมื่อสามเดือนที่แล้ว!!!

     

    ไม่ว่าแบคฮยอนจะส่งข้อความไปหาเท่าไร ก็ไม่ได้รับการตอบกลับใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะส่งอีเมล์ไปเท่าไร ชานยอลก็ไม่เคยตอบ

     

    สามเดือนแล้วที่ปาร์คชานยอลหายไป!!!

     

    แต่ด้วยความที่ถูกปลูกฝังให้มองโลกในแง่ดี สิ่งที่คิดจึงมีแค่ ชานยอลคงจะยุ่ง

     

    คนรักกัน สิ่งสำคัญคือความเชื่อใจ

     

    การเริ่มความสัมพันธ์กับใครซักคนไม่ใช่เรื่องยาก ง่ายพอๆกับการจบความสัมพันธ์นั่นแหละ แต่สิ่งที่ยากคือ การประคับประคองซึ่งกันและกันต่างหาก

     

    คนสองคนควรจะก้าวเดินไปพร้อมกัน หากมีใครคนหนึ่งก้าวยาว จากที่จะเดินไปพร้อมๆกัน กลับกลายเป็นเดินนำหน้าแล้วให้อีกคนหนึ่งเดินตาม ก็เท่ากับว่าระยะห่างระหว่างคนสองคนกำลังกว้างขึ้น

     

    เมื่อระยะห่างกว้างมากขึ้น ความเข้าใจซึ่งกันและกันก็ลดน้อยลงสวนทางกับระยะห่างที่นับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น

     

    โจทย์ที่ยากที่สุดของคนรักกัน นั่นคือ ความเชื่อใจและศรัทธา

     

    เคยได้ยินไหม? ความรักนั้น ปกครองโดยไม่ต้องใช้ดาบ ผูกมัดโดยไม่ต้องใช้เชือก

     

     

    อากาศวันนี้ค่อนข้างเย็น สายฝนโปรยปรายตลอดทั้งวันโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆ หยดน้ำพราวเกาะตามกระจกเงาใส ร่างบางนั่งเท้าคางมองหยดน้ำหยดแล้วหยดเล่า ไหลรวมกันจนร่วงสู่พื้น

     

    แบคฮยอนเข้ามาหลบฝนในคอฟฟี่ช็อปภายในมหาวิทยาลัย ตั้งใจว่าจะรอให้ฝนซาแล้วค่อยเดินกลับหอพัก แต่เพราะฝนยังคงตกบวกกับอากาศเย็นชื้นจากภายนอก ทำให้ร่างบางเลือกที่จะนั่งผ่อนคลาย อยู่ในสถานที่ที่เคล้าไปด้วยกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นนี้แทน

     

    คาราเมลมัคคีอาโตที่สั่งมาพร่องไปไม่ถึงครึ่งแก้วด้วยซ้ำ บราวนี่น่าตาน่ารับประทานก็ยังคงถูกร่างบางเมิน แบคฮยอนยังคงจมอยู่กับความคิดจนลืมไปแล้วว่ามีเครื่องดื่มและของหวานน่าทานอยู่ตรงหน้า

     

    พอได้มานั่งมองบรรยากาศร้านกาแฟแบบนี้แล้ว มันก็พาลคิดถึงร้านน่ารักๆเล็กๆของพี่ชานมี ร้านที่พาแบคฮยอนมาเริ่มต้นชีวิตใหม่...

     

    วันที่เหนื่อยจากการเดินเตะฝุ่นหางานพิเศษ จนได้มาเจอสองพี่น้องที่มีน้ำใจ หยิบยื่นทั้งไมตรีและโอกาสให้ จุดเริ่มต้นของเรื่องราววุ่นวายที่มีทั้งสุขและทุกข์

     


    แบคฮยอนคงไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกลายเป็นเป้าสายตาของใครหลายๆคนในร้าน เพราะรอยยิ้มน่ารักที่ประดับบนใบหน้านั้นตรึงสายตาคนมากมาย

     

    ริมฝีปากเล็กสีแดงธรรมชาติ ยกยิ้มอย่างมีความสุขยามนึกถึงเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ร้ายๆที่ผ่านเข้ามารอยยิ้มที่เคยประดับบนใบหน้าก็ค่อยๆจางหายไป

     

    แทนที่ด้วยแววตาวูบไหวของคนที่กำลังสับสน แม้ภายนอกจะแสดงออกว่ารับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ภายในใจไม่เคยมีซักวินาทีที่จะหยุดคิดถึงเรื่องราวเลวร้ายที่จงอินทำเอาไว้ได้เลย

     

    มันคงไม่ง่ายเลยสินะ ที่ชานยอลจะต้องมาแบกรับเรื่องพวกนี้...

     

    ความคิดถูกหยุดด้วยเสียงเลื่อนเก้าอี้ของฝั่งตรงข้าม ผู้ชายคนหนึ่งทิ้งตัวนั่งลงโดยไม่ขออนุญาตคนที่นั่งอยู่อย่างแบคฮยอนซักนิด ร่างบางหันมองภายในร้านก็พบว่าโต๊ะเต็มแทบจะทุกตัว

     

    ผู้ชายคนนี้คงเห็นว่าโต๊ะว่างล่ะมั้ง? ถึงได้มานั่งตรงนี้...แต่ก็ควรจะถามกันก่อนตามมารยาทสิ ไม่ใช่นึกจะนั่งก็นั่ง

     

    Do you like rain?” ผู้ชายคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแบคฮยอนถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ ก่อนจะเท้าคางมองหน้าแบคฮยอนเพื่อรอคำตอบ

     

    ร่างบางยังคงงงที่จู่ๆก็ถูกชวนคุย ถ้าเรียบเรียงประโยคก็แปลว่า คุณชอบฝนไหม?แต่ผู้ชายคนนี้อาจจะหมายถึง Rain ที่เป็นนักร้องก็ได้...

     

    แบคฮยอนจึงชี้นิ้วไปที่กระจกให้อีกฝ่ายมองหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ประปราย ก่อนอีกฝ่ายจะหัวเราะแล้วพยักหน้า

     

    แบคฮยอนเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูเป็นมิตร(มากเกินไป)ก็เริ่มวอกแวกมองซ้ายที ขวาทีเพื่อหาทางออกให้กับสถานการณ์น่าอึดอัด

     

    Hey! Don’t worry.I’m not a bad guy J I just want to talk with you.” (เฮ้!ไม่ต้องกังวล ผมไม่ใช่คนไม่ดีนะ แค่อยากจะชวนคุยเท่านั้น) แบคฮยอนเมื่อได้ฟังก็ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างงงๆ

     

    Yes,Sorry if I make you panic (ใช่ ขอโทษด้วยถ้าทำให้คุณตกใจ) แบคฮยอนเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของอีกฝ่ายแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบกลับตามมารยาท

     

    ดูๆแล้วภายนอกเขาก็เป็นคนดูดีนะ ตัวสูง ผิวขาวจัดตามแบบฉบับผู้ชายตะวันตก ตาสีน้ำตาลเข้มสวย ผมสีเดียวกับดวงตา บวกกับการแต่งตัวสบายๆแต่ดูเท่ทำให้ผู้ชายคนนี้ดูหล่อไม่น้อย

     

    I’m Jay,Nice to meet you.And?” (ผมชื่อเจย์ ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วคุณ?) ชายแปลกหน้าแนะนำตัวเสร็จสรรพก่อนจะเว้นช่วงพลางทำสีหน้าไม่แน่ใจ

     

    แบคฮยอนเปิดกระเป๋าหยิบสมุดกับกล่องปากกาออกมา เทปากกาหมึกสีทั้งหมดออกจากกล่อง พลางใช้นิ้วชี้เคาะริมฝีปากตัวเอง ชั่งใจว่าจะหยิบสีไหนมาใช้ดี

     

    โมเม้นน่ารักๆเช่นนี้ ทำเอาคนฝั่งตรงข้ามถึงกับยิ้มกว้างทันใด คนตัวเล็กจะรู้ไหมนะ? ว่าท่าทางน่ารักแบบนี้ทำเอาใครใจสั่นไปบ้าง

     

    ก่อนจะตัดสินใจหยิบสีฟ้าน้ำทะเล บรรจงเขียนชื่อตัวเองทั้งภาษาอังกฤษและพ่วงแถมภาษาเกาหลีให้

     

    ‘Byun Baekhyun’

    변백현

     

    เจย์พยายามอ่านออกเสียงให้ถูกต้องแต่ก็พบว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน สุดท้ายชายหนุ่มก็ยอมแพ้แล้วเปลี่ยนใจจะตั้งชื่อเล่นที่เรียกง่ายๆให้แบคฮยอนแทน

     

    I called you Jack or Jake or Jill or…” (งั้น...ผมเรียกคุณว่า แจ็ค หรือ เจค หรือจิล หรือ..) เจย์หยุดพูดทันทีเมื่อแบคฮยอนยกมือขึ้นเป็นท่าปางห้ามญาติ

     

    ก่อนจะก้มหน้าเขียนอะไรยิกๆเพื่อสื่อสารกับชายตรงหน้าที่พยายามจะตั้งชื่อให้เขาใหม่ แทนชื่อเกาหลีที่เจ้าตัวคิดว่าเรียกยาก

     ‘Please called me BAEK.OK?’ (เรียกผมว่า แบคก็พอ โอเค?) แบคฮยอนตัดปัญหาเรื่องตั้งชื่อโดยให้อีกฝ่ายเรียกเขาด้วยชื่อต้นคำเดียวพอ

     

    ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะแนะนำตัวให้สนิทสนมกันไปเพื่ออะไร? เพราะสุดท้ายก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกันอยู่ดี

     

    แต่น่าแปลกที่ผู้ชายคนนี้ พอเห็นแบคฮยอนใช้วิธีสื่อสารเช่นนี้กลับไม่เอ่ยถามอะไรซักคำ...



     

    15%

     

     

    แต่ละวันดำเนินไปเช่นเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ ชานยอลหายไป ในขณะที่ใครอีกคนเข้ามาแทน!!! ถึงจะบอกตัวเองว่าให้เข้าใจและมองโลกในแง่ดี แต่สุดท้ายความคิดด้านลบมักจะมีอิทธิพลเสมอ

     

    การที่ชานยอลหายไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรมันทำให้ใจแบคฮยอนกระวนกระวายไม่น้อย ถึงแม้เพื่อนตัวสูงอย่างเทาจะชอบอีเมล์มาเล่าสารทุกข์สุกดิบให้ฟังบ่อยๆแต่ก็ไม่เคยจะเล่าถึงชานยอลซักครั้ง

     

    คนอื่นๆเองก็เช่นกัน จะมีก็แต่คยองซูที่ส่งข้อความมาหาบ่อยๆส่วนใหญ่ชอบส่งมาด่าเทาให้ฟัง ด่าตรงๆแล้วเพื่อนตัวสูงดันไม่สะทกสะท้าน คยองซูเลยด่าลับหลังซะเลย

     

    ตื่นเต้นดี -_-; (คยองซูว่าอย่างนั้น...)

     

     

     

    Hey,What are you thinking? About me?” (เฮ้ คิดอะไรอยู่น่ะ? เกี่ยวกับผมหรือเปล่า?) เจย์เดินถือกองหนังสือที่ซ้อนกันสามสี่เล่มเข้ามาหาแบคฮยอนที่จองที่นั่งรออยู่ ก่อนจะพบว่าแบคฮยอนเอาแต่เหม่อจนไม่ได้สนใจเพื่อนต่างชาติรูปหล่อที่เพิ่งเข้ามา

     

    What’s wrong? Could you tell me” (เกิดอะไรขึ้น? บอกหน่อยสิ?) เจย์สอบสังเกตใบหน้าหวานอย่างสงสัยว่าเรื่องอะไรที่ทำให้คนหูดีอย่างแบคฮยอนเหม่อถึงขนาดที่ว่าเขาเรียกก็ยังไม่ได้ยิน

     

    แต่ร่างบางก็ยังคงเป็นมิสเตอร์ปฏิเสธอยู่ทุกครั้ง ตอบคำถามของเจย์ด้วยการส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มบนสุดที่เจย์เอามาเปิดอ่านทีละหน้า

     

    เจย์เองก็คิดว่าป่วยการที่จะคาดคั้นเอาคำตอบกับคนที่เขาไม่อยากจะพูด เลยเลือกที่จะเงียบแล้วจดบันทึกเนื้อหาของเรื่องเรียนต่อไป

     

    หลังจากที่มีโอกาสได้พูดคุยกันในร้านกาแฟคราวนั้น แบคฮยอนก็ได้รู้ว่าเจย์เรียนบริหารธุรกิจอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ที่บ้านทำธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ประเทศไทย อายุเจย์มากกว่าแบคฮยอนหนึ่งปี

     

    ด้วยนิสัยที่เจย์เป็นคนชอบเข้าสังคม ทำให้รู้วิธีที่จะเข้าหาคนโลกส่วนตัวสูงอย่างแบคฮยอนได้ไม่ยาก ทุกครั้งที่ใช้เวลากับแบคฮยอน เจย์จะเป็นฝ่ายชวนคุยและเล่าเรื่องสนุกๆให้ฟังเสมอ

     

    แม้จะมีอุปสรรคทางการสื่อสาร แต่เจย์กลับไม่เคยรังเกียจหรือดูถูกแบคฮยอนซักครั้ง เจย์เหมือนภาพสะท้อนของชานยอล เจย์กับชานยอล ชานยอลกับเจย์ เหมือนกันจนน่าแปลกใจ!!!

     

    Baek,What are you doing tonight? I went to go party at Lindsay house’s.Come with me.” (แบค คืนนี้จะทำอะไร?ผมจะไปปาร์ตี้บ้านลินซีย์ ไปด้วยกันสิ) เจย์เงยหน้าจากกองหนังสือแล้วเอ่ยชวนเพื่อนตัวเล็ก

     

    แบคฮยอนส่ายหัวทันทีโดยไม่ต้องคิดหรือลังเล ลินซีย์คือใคร? หน้าตาเป็นยังไง? ก็ยังไม่เคยเห็นอยู่ๆจะให้โผล่ไปปาร์ตี้ของเขาทั้งๆที่เจ้าของงานไม่ได้เชิญน่ะหรอ? ไม่มีทางที่แบคฮยอนจะไปแน่ๆ

     

    Why? If you said you don’t know Lindsay.Stop I don’t wanna heard it.” (ทำไมล่ะ? ถ้าคุณพูดว่าไม่รู้จักลินซีย์ล่ะก็ หยุดเลยนะ ผมไม่อยากได้ยิน) เจย์ที่อ่านความคิดของร่างบางออกก็รีบเอ่ยดักคอขึ้นมาทันที

     

    แบคฮยอนที่กำลังจะลงมือเขียนอธิบายก็ชะงักมือกลางอากาศที่เพื่อนใหม่รู้ทันตน จะหาข้อแก้ตัวยังไงล่ะทีนี้?

     

    ‘Yes,and I don’t like party.You can go alone or take someone with you’ (ใช่ แล้วก็ผมไม่ชอบปาร์ตี้ คุณก็ไปคนเดียวหรือไม่ก็พาใครซักคนไปกับคุณสิ) แบคฮยอนบอกเหตุผลตรงๆออกไป หวังว่าเจย์จะยอมแพ้และยอมปล่อยให้เขาได้นอนอยู่หอพักสบายๆ

     

     

    2 ทุ่มตรง

     

    เสียงเพลงสากลดนตรีหนักๆดังก้องไปทั่วบ้านสไตล์ยุโรปราคาแพง บ้านของลินซีย์ซักคนในมหาวิทยาลัยนี่แหละ สุดท้ายแบคฮยอนก็แพ้เจย์ จนถูกลากมางานปาร์ตี้ทั้งที่ไม่เต็มใจ

     


    Isn’t fun?” (ไม่สนุกหรอ?) เจย์ก้มลงมากระซิบข้างหูแบคฮยอนที่ยืนทำหน้าตายดูไม่สนุกสนานไปกับเสียงดนตรี

     

    แบคฮยอนแกะมือเจย์ที่โอบไหล่ตนเอาไว้ แล้วเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งของเพื่อนใหม่ชาวต่างชาติ ก่อนจะเดินหลบผู้คนมากมายที่กำลังโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนาน

     

    เมื่อเดินออกมาถึงสนามหญ้าหน้าบ้าน แบคฮยอนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างคนขาดออกซิเจนบริสุทธิ์ ข้างในนั้นทั้งเบียดเสียด ทั้งอึดอัด เสียงเพลงก็ดังจนแสบแก้วหู มีแต่กลิ่นเหล้าเคล้าบุหรี่

     

    Baek,Wait! Where’re you going?” (แบค เดี๋ยวก่อน!จะไปไหน?) เจย์วิ่งตามร่างบางออกมาจากปาร์ตี้ ดีที่วิ่งมาทันก่อนที่แบคฮยอนจะโบกแท็กซี่ขึ้นหนีไปเสียก่อน

     

    แบคฮยอนทำมือเป็นสามเหลี่ยมแทนตัวบ้าน เพื่อชาวต่างชาติพยักหน้าเข้าใจก่อนจะโบกรถแท็กซี่แล้วพาไปส่งที่ห้อง

     

    ตลอดทางเจย์นั่งนิ่งเอาศีรษะพิงกับเบาะรถ หรือเจย์จะเมากันนะ? เห็นเพื่อนทักร่างสูงเยอะแยะ แถมทุกครั้งที่โดนทักก็ต้องดื่มเพิ่มเข้าไปทุกที

     

    ตั้งแต่เข้าไปในปาร์ตี้เจย์ก็ทำตัวติดกับแบคฮยอนตลอด จะไปไหนก็ลากแบคฮยอนไปด้วย เพื่อนๆในงานต่างก็เข้าใจว่าสองคนกำลังคบกันอยู่ แบคฮยอนพูดไม่ได้ก็เลยไม่รู้จะปฏิเสธด้วยวิธีไหน

     

    I’m drunk and headache.” (ฉันเมาแล้วก็ปวดหัวด้วย) เจย์ยกมือขึ้นนวดขมับแล้วก็บ่นเปรยๆขึ้นมา แบคฮยอนชี้หอพักที่ถัดไปอีกหนึ่งบล็อกให้โชเฟอร์เห็น ก่อนจะใช้หลังมือทาบหน้าผากเจย์

     

    ความร้อนอุ่นๆทำให้แบคฮยอนรู้ว่าเจย์คงมีอาการไข้น้อยๆ พอดีกับที่รถแท็กซี่จอดเทียบข้างทางทั้งที่ยังไม่ถึงหอพัก

     

    Alley is narrow.Can’t access” (ตรอกนี้แคบ รถผ่านไม่ได้หรอก) โชเฟอร์แท็กซี่พูดขึ้น ร่างบางมองมิเตอร์แล้วก็ยื่นค่าโดยสารให้ ก่อนจะหันไปสะกิดเพื่อนที่ร่วมทางมาด้วยกัน

     

    เมื่อเห็นว่าเจย์ไม่ตื่น บวกกับสายตาเร่งให้ลงจากรถของคนขับ แบคฮยอนก็จนปัญญา ตัดสินใจพยุงเจย์ออกจากรถแล้วหิ้วปีกเพื่อนพาขึ้นไปพักบนห้องแทน

     

    ร่างบางประคองเพื่อนให้เดินตรงที่สุด แต่ก็พบว่ามันช่างยากเย็นเพราะขนาดตัวที่แตกต่างกัน อีกทั้งเจย์ยังทิ้งน้ำหนักมาทางฝั่งแบคฮยอนทั้งตัว เดินไปได้ก้าวเดียวก็แทบจะล้มลงไปกองกับพื้นกันทั้งคู่แล้ว

     

    เจย์เอาแต่พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ แถมมือไม้ยังอยู่ไม่สุข ปัดป่ายไปมาจนแบคฮยอนรำคาญ คนเราต่อให้หล่อแค่ไหน พอเมาเมื่อไร สภาพก็น่าสมเพชกันทุกรายนั่นแหละ -_-

     

    ร่างบางแบกเพื่อนมาจนถึงหน้าหอพัก ก็เริ่มรู้สึกว่าแข้งขาอ่อน เจย์ทำท่าจะล้มลงไปนั่งร้อนถึงคนแบกต้องรีบจับเอวหนาประคองเอาไว้ ใบหน้าหล่อซุกอยู่ที่ซอกคอของร่างบาง ลมหายใจร้อนๆผสมกลิ่นแอลกอฮอล์ชวนให้รู้สึกมึนหัว

     

    “แบคฮยอน” ภาษาเกาหลีดังมาจากที่ไหนซักที่ ร่างบางมองสลับซ้ายขวาก่อนจะพบคนที่ขาดการติดต่อไปนานกว่า 3 เดือน

     

    ร่างสูงที่หายไปยืนมองแฟนตัวเองด้วยสายตาตัดพ้อและผิดหวัง ก่อนจะได้ดึงรั้งอีกคนเอาไว้ คำพูดทำร้ายจิตใจทำให้แบคฮยอนหดมือกลับทันที

     

    มีใหม่แล้วก็ไม่บอก ฮึ! ถ้าไม่มาให้เห็นกับตา ฉันก็คงจะโดนนายหลอกไปเรื่อยๆสินะ มาเห็นจังๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เกลียดนายคงช่วยให้เรื่องนี้ง่ายขึ้น” ชานยอลพูดรัวไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้อ้าปาก

     

     

    ชานยอลมองแบคฮยอนด้วยสายตาเจ็บปวด ยิ่งเห็นร่างบางยืนนิ่ง ไม่ปล่อยมือจากเอวผู้ชายคนนั้นก็ยิ่งเสียใจ

     

     

    เวลาเปลี่ยน ทำไมใจคนจะเปลี่ยนกันไม่ได้?

     

    ร่างสูงกลับหลังหันเปิดกระเป๋าก่อนจะวางกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินกรมท่าไว้ที่ตีนบันได ชานยอลยกกระเป๋าพาดบ่าแล้วเดินจากไปไม่แม้แต่จะหันกลับมามองด้วยซ้ำว่าร่างบางต้องต่อสู้กับเพื่อนต่างชาติที่เมาไม่รู้เรื่อง

     

    แบคฮยอนปล่อยเจย์ทิ้งกับพื้นแล้วตั้งใจจะวิ่งตามไปรั้งชานยอลเอาไว้ แต่เจย์ที่เมาอยู่กลับไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ร่างสูงออกแรงยื้ออีกคนเอาไว้

     


    ร่างบางแกะมือเพื่อนออกแล้วออกแรงผลักเจย์ให้พ้นจากตัว แต่เมื่อหันไปมองยังทิศที่ชานยอลเดินจากไป กลับพบเพียงความว่างเปล่า

     

    ชานยอลหายไปแล้ว!!!

     

    ร่างบางทรุดตัวนั่งลงกับพื้น น้ำตาไหลอาบแก้ม เสียใจที่ทำให้ชานยอลผิดหวัง เสียใจที่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะอธิบาย พูดไม่ได้มันน่าหงุดหงิดก็เพราะแบบนี้แหละ

     

    อยากพูด อยากอธิบาย มันก็ติดขัดไปเสียหมด...

     

    แบคฮยอนคว้ากล่องกำมะหยี่ขึ้นมาเก็บใส่กระเป๋า ก่อนจะหันกลับไปมองเจย์ที่นอนหลับคาพื้นก็ต้องถอนหายใจ ไม่มีอารมณ์ดูแลใครทั้งนั้นแหละ แต่อากาศที่เริ่มเย็นแบคฮยอนก็ไม่สามารถปล่อยให้เพื่อนนอนตากลมตรงนี้ได้

     

    สุดท้ายก็แบกเพื่อนขึ้นหอพักอย่างทุลักทุเล ร่างสูงที่ไม่ได้เดินลับหายไปไหน เดินออกมาจากมุมหนึ่งของตึกที่หลบอยู่ เฝ้ามองดูคนที่ตัวเองรักแบกผู้ชายอีกคนขึ้นไปบนห้อง

     

    เหนือความผิดหวังคือความเสียใจ

     

    เหนือความเสียใจคือความเจ็บปวด


    40%



     

     

    เช้าวันรุ่งขึ้นร่างบางตื่นแต่เช้าเพื่อลงมาซื้อเสบียงอาหาร ระหว่างที่กำลังจะเปิดประตูหอพักออกไป สายตาก็เหลือบไปเห็นซองจดหมายสีพีชลวดลายสวยงามโผล่ออกมาจากกล่องจดหมายที่ประทับหมายเลขห้องของตัวเอง

     

    ร่างบางไม่ลีลา เดินย้อนกลับไปยืนตรงหน้ากล่องจดหมายที่เรียงรายกันมากมายตามจำนวนห้อง ก่อนจะเพ่งมองหมายเลขห้องตนเองแล้วดึงซองจดหมายออกมา

     

    เป็นซองจดหมายสีเดียวกัน 3 ฉบับที่ถูกมัดติดกันเป็นปึก จ่าหน้าซองถึง บยอนแบคฮยอน จากไอ้หูกาง PCY

     

    จดหมายจากชานยอลหรอ? แต่ทำไมถึงถูกส่งมาจากเชจูล่ะ???

     

    ความสงสัยเริ่มทำงานด้วยการดึงจดหมายออกจากปึกมาหนึ่งฉบับ แบคฮยอนใจเต้นเหมือนกลองที่กำลังรัวเพลงร็อค มือสั่นเหมือนตั้งระบบสั่นขั้นสุดยอด

     

    แค่จดหมายเท่านั้น...

     

    แต่...

     

     

    มันเป็นจดหมายจากคนที่หายไปตลอดสามเดือน พอโผล่มากลับมีเรื่องให้ต้องเข้าใจผิดกัน

     

    วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 20XX

     

    เอ๊ะ!นี่มันจดหมายจากปีที่แล้วนี่นา?

     

    ทำไมพึ่งส่งมาถึงล่ะ? แล้ววันนี้ก็วันที่ 31 ตุลาคม เพียงแค่ต่างปีกันเท่านั้น...วันฮัลโลวีน

     

    ไปรษณีย์ประเทศเกาหลี เดี๋ยวนี้เขาใช้เวลาในการส่งจดหมายจากเกาหลีมาอังกฤษตั้งหนึ่งปีเชียวหรอ?

     

    อะแฮ่ม แปลกใจใช่ไหมแบคฮยอน? เออ แปลกใจมากด้วย -_-

     

    นายคงคิดว่าจดหมายอะไรกันนะ ส่งช้าไปตั้งหนึ่งปี... แถมที่อยู่ยังมาจากเชจูอีก นายเคยได้ยินเรื่องจดหมายอนาคตไหม? จดหมายที่จะส่งถึงผู้รับในอีกหนึ่งปีข้างหน้าน่ะ มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องของเราสองคนในอนาคต

     

    สิ่งที่ฉันฝัน สิ่งที่ฉันต้องการ คนที่ฉันอยากใช้ชีวิต ฉันเลยตัดสินใจเขียนจดหมายอนาคตขึ้นมา เพื่อส่งให้นายในอีกหนึ่งปีถัดไป แล้วฉันก็ตั้งใจจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆแม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันก็ตาม

     

    อ่านมาถึงตรงนี้ ร่างบางที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้กลับปล่อยให้มันไหลลงมาอาบแก้ม ความรักและความอบอุ่นที่สะท้อนผ่านตัวหนังสือของชานยอล ทำให้แบคฮยอนเจ็บปวดเหลือเกินยามคิดถึงแววตาเย็นชาของชานยอลเมื่อคืนนี้

     

    มันอาจจะฟังดูเลี่ยน แต่นายอย่าอ้วกเสียก่อนล่ะ หนึ่งปีข้างหน้า ฉันขอให้เรายังมีกันและกัน แม้ความฝันและความต้องการของเราสองคนจะพาให้เราห่างไกลกัน แต่ขอให้นายรู้ไว้ว่าทุกวินาที ฉันคิดถึงคนที่ชื่อ บยอนแบคฮยอนทุกลมหายใจ

     

    หยดน้ำตาหนึ่งหยดตกลงบนจดหมาย ส่งผลให้ตัวหนังสือบางส่วนเริ่มเลือนรางเพราะสีของปากกาไม่กันน้ำ ร่างบางพอรู้ว่าตัวเองกำลังจะทำให้ข้อความบนจดหมายขาดหาย ก็รีบเช็ดน้ำตาทิ้งทันที

     

    แต่ยิ่งเช็ดเท่าไร เนื้อความในจดหมายกลับยิ่งทำให้อยากร้องไห้มากเท่านั้น...

     

    ฉันอยากให้นายมีความสุข ฉันอยากเป็นคนที่นายรักตลอดไป ฉันอยากเป็นคนที่นายคิดถึงทุกลมหายใจ ฉันอยากเป็นคนที่ปกป้องดูแลนาย ฉันอยากเป็นทุกสิ่งในชีวิตของบยอนแบคฮยอน ฉันอยากไปหมดเมื่อมันเกี่ยวกับนาย...

     

    ฉันอยากให้นายรู้สึกเหมือนกัน ต้องการฉันเหมือนที่ฉันต้องการนาย คิดถึงเหมือนที่ฉันคิดถึง รักเหมือนที่ฉันรัก ขอให้มันเป็นอย่างนี้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า นายอาจจะคิดว่าฉันขอช่วงเวลาสั้นไปสินะ หนึ่งปีเองหรอ?

     

    แต่ฉันจะเขียนจดหมายส่งให้นายแบบนี้ทุกปี แล้วก็จะขอมันแบบเดิมทุกปี ทำไปเรื่อยๆแบบนี้แหละ ฉันไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเราจะยังรักกันอยู่เหมือนเดิมไหม? แต่ตอนนี้ วินาทีนี้ ฉันรู้แค่นายคือคนที่ฉันอยากจะยอมแพ้ ฉันรู้แค่นายคือคนที่ทำให้ฉันอยากดีขึ้นเพื่อใครซักคน

     

    นายทำให้ฉันรักแบบนี้ ต้องรับผิดชอบนะ 




     

    รับผิดชอบด้วยการ...

     

     

    ให้รักที่มากกว่าตอบแทนกลับมา เข้าใจไหม? J

     

    สองมือเล็กสั่นจนควบคุมไม่อยู่ แบคฮยอนยกมือขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นจนจุกในลำคอ สองขาอ่อนแรงจนต้องใช้แขนค้ำกำแพงเพื่อพยุงตัวเอง ทำนบน้ำตามากมายบดบังการมองเห็น มีเพียงภาพของชานยอลเท่านั้นที่ไหลวนไปมาในห้วงความคิด

     

    ชานยอลทำเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้ด้วยความเอาใจใส่ เขียนจดหมายส่งหาเขาแบบไม่ธรรมดาแต่ต้องส่งช้าไปถึงหนึ่งปี ความรักที่เล่าผ่านลายมือยึกๆยือๆไม่สวยงามเมื่อมองด้วยสายตา แต่กลับงดงามเมื่อมองด้วยหัวใจ

     

    แต่...สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน มันจะเปลี่ยนแปลงความรักของชานยอลหรือเปล่า?

     

    ความเข้าใจผิดจะทำให้ชานยอลเลือกที่จะเลิกรักเขาหรือเปล่า?

     

    ความคิดในหัวตีกันยุ่งไปหมด เมื่อคิดได้ก็ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาลวกๆก่อนจะกระชับเสื้อหนาวของตัวเองให้แนบกายแล้วตัดสินใจออกตามหาชานยอล

     

    แม้จะไม่รู้ว่าร่างสูงพักที่ไหน? แต่ถ้าหากให้มานั่งรออยู่แบบนี้ มันอาจจะเท่ากับว่า แบคฮยอนปล่อยให้เวลาและความเข้าใจผิดทำให้ความรักครั้งนี้จบลง

     

    ซึ่งมันจะต้องไม่เกิดขึ้น!!!!!

     

    สองมือผลักประตูไม้บานใหญ่ออกไป สายลมเย็นๆเมื่อใกล้สิ้นปีพัดเข้ากระทบใบหน้าให้ชาเล่นๆก่อนจะพบแผ่นหลังคุ้นตานั่งอยู่บริเวณบันไดหน้าหอพัก

     

     

     

     

     

     

     

    ชานยอล...

     

    50%


     

     

    แบคฮยอนค่อยๆย่องเข้าไปหาร่างสูงที่ยังคงนั่งกับบันไดพลางใช้ศีรษะพิงราวจับ เสื้อโค้ทตัวหนาสีน้ำตาลไม่ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นได้เท่าที่ควร เพราะคนตัวโตกำลังสั่นเพราะอากาศที่เริ่มเย็น

     

    สองมือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ทเพื่อป้องกันไม่ให้มือแข็ง เปลือกตาสีนวลปิดลงเมื่อต้องการพักผ่อน แพขนตาหนากระเพื่อมไปมาเนื่องจากเจ้าตัวคงนอนหลับไม่สบายเท่าไร

     

    แบคฮยอนยกสองมือขึ้นป้องปากกลั้นน้ำตาเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชานยอล ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยขาวจัดตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะโดนความหนาวเย็นของอากาศบาดผิว

     

    ใบหน้าที่โหยหาตลอดเวลาที่ผ่านมา ตอนนี้อยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปสัมผัส กลัวไปต่างๆนาๆกับสิ่งที่ยังไม่ทันได้ลงมือทำ

     

    ร่างสูงที่ปิดเปลือกตาหาได้หลับอย่างที่คนตัวเล็กเข้าใจ แค่เพียงเสียงสะอื้นเล็กๆที่หลุดออกมาก็เหมือนกระชากลมหายใจของปาร์คชานยอลให้ขาดช่วง

     

    ร่างสูงรอสัมผัสจากคนรัก รอให้แบคฮยอนใช้มือเล็กที่อบอุ่นทั้งสองข้างโอบกอดตน อยากจะแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้พรากเอาคำว่ารักของเราสองคนจากไป...

     

     

    ความอบอุ่นแล่นอาบโอบอุ้มหัวใจหนึ่งดวงที่กำลังรอคอยสิ่งที่หวัง แบคฮยอนใช้สองมือป้องปากอังลมร้อนจากภายในร่างกายจากนั้นก็ใช้สองมือแนบลงที่แก้มแดงๆของชานยอล

     

    ทำเช่นนั้นอยู่หลายรอบให้แน่ใจว่าร่างสูงจะอุ่นขึ้นมาบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี ร่างบางถอดผ้าพันคอออกจากตัวเอง แล้วบรรจงพันรอบคอให้คนรักอย่างเบามือที่สุด เพราะไม่อยากจะทำให้ชานยอลตื่น

     

     

    จะตื่นได้ยังไง...ก็คนมันไม่ได้หลับ

     

     

    “นายควรปลุกฉันนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขัดขึ้นส่งผลให้มือบางปล่อยชายผ้าพันคอที่กำลังพันอยู่ทันที แต่มือหนาก็คว้าท้ายทอยเอาไว้แล้วกดใบหน้าเล็กลงกับไหล่กว้างของตัวเอง

     

    “ไม่ได้หลับ รู้ตัวตั้งแต่นายย่องเข้ามาแล้ว ขอบคุณมากนะ ทั้งมืออุ่นๆแล้วก็ผ้าพันคอ” น้ำเสียงอบอุ่นทำให้แบคฮยอนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

     

    หนึ่งหยด

     

    สองหยด

     

    แล้วตามมาอีกเป็นสาย

     

    จนเสื้อโค้ทขนเฟอร์ตัวละแสนแปด(เว่อ)ของชานยอลเปียกโชกเป็นดวงๆ มือหนาทำเพียงแค่ลูบศีรษะทุยไปมาเพื่อปลอบโยนให้ใจเย็น

     

    “หยุดร้องไห้ก่อนนะ ตอนนายเอามือมาวางบนแก้มฉัน ฉันว่าฉันรู้สึกเย็นๆที่แก้มข้างขวานะ ใส่แหวนใช่ไหม?” ชานยอลดันคนตัวเล็กออกก่อนจะจับมือข้างซ้ายขึ้นมาดู

     

    แหวนเงินสะท้อนล้อกับแสงแดดอ่อนๆทำให้ปาร์คชานยอลยิ้มออกมา เพราะนอกจากก้านนิ้วเรียวของแบคฮยอนจะสวยแล้ว แหวนวงนี้มันก็ดูเหมาะกับแบคฮยอนมาก

     

    “ถอดออกมา!!!” แต่ถ้อยคำต่อมากลับทำให้แบคฮยอนรู้สึกเหมือนทุกอย่างดิ่งลงเหว ชานยอลพูดคำนั้นออกมาได้ง่ายๆบอกให้เขาถอดแหวนออก

     

    ร่างบางทำเพียงแค่สบดวงตาคู่โตก่อนจะก้มมองแหวนเงินที่นิ้วนางข้างซ้ายทั้งที่ตัวเองเพิ่งสวมมันเมื่อคืน ถอนหายใจก่อนจะถอดแหวนออกแล้วส่งมันกลับคืนให้เจ้าของ

     

    “ที่ให้ถอดน่ะ เพราะฉันจะใส่ให้ อย่าทำหน้าหมาหงอยแบบนั้นได้ไหม? เห็นแล้วรู้สึกผิดนะ” ชานยอลรับแหวนไปก่อนจะจับศีรษะเล็กโยกไปมาอย่างนึกขัน

     

    ทำไมเมื่อคืนไม่ใจเย็นฟังแบคฮยอนซักนิดนะ...

     

    ปาร์คชานยอลโง่เรื่องง่ายๆเสมอ ใครๆก็รู้ J

     

    “ขอโทษนะ ที่เมื่อคืนทำตัวเป็นไอ้งี่เง่า ไม่ฟังเหตุผลอะไรเลยทั้งที่แววตานายมันก็บอกชัดทุกอย่างว่านายยังรักฉันอยู่ไม่เปลี่ยน” มือหนาเลื่อนมากุมใบหน้าเล็กเอาไว้ พร้อมกับพร่ำคำขอโทษออกมา

     

    ขอโทษที่ทำร้ายจิตใจกัน

     

    ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้เสียน้ำตา

     

    ขอโทษที่งี่เง่าและเอาแต่ใจ

     

    ขอโทษที่ไม่เชื่อมั่นในความรักของอีกคน....

     

     

     

    แต่มันก็เพราะ รัก ที่ทำให้เรื่องงี่เง่ากลายเป็นเรื่องใหญ่

     

    แบคฮยอนส่ายหน้าไปมาอย่างไม่นึกโกรธ ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้ร่างสูง ตาหยีๆแก้มแดงๆ ทำให้ความอดทนเส้นสุดท้ายของชานยอลขาดผึง

     

    ร่างสูงตรงเข้าช่วงชิงริมฝีปากบางแดงสด ก่อนจะบดขยี้เพียงแผ่วเบาแล้วละออก “มัดจำค่าแหวนไง วันนี้เบาะๆ วันหน้าขอลองจูบหลายๆแบบนะ ฮ่าๆๆๆๆ”

     

    ชานยอลหัวเราะร่าเมื่อเห็นแบคฮยอนแก้มแดงระเรื่อ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน อีกทั้งท่าทางเขินอายที่ทำให้เจ้าตัวดูน่ารัก น่าเอ็นดูขึ้นเป็นกอง เพราะน่ารักขนาดนี้ไง ใครเข้าใกล้ถึงได้หึงจนหน้ามืดตามัวน่ะ

     

    ชานยอลจับมือข้างซ้ายแบคฮยอนเอาไว้แน่น จากนั้นก็บรรจงสวมแหวนเงินวงเดิมเข้าไปที่นิ้วนาง ก่อนจะตามด้วยจูบแผ่วเบาที่ประทับลงที่ตำแหน่งแหวนเป็นเพื่อแสดงความรักที่มี

     

    “ฉันจะไม่ถามว่าเรื่องเมื่อคืนมันเป็นยังไง? ฉันเชื่อมั่นในตัวนายนะ เชื่อในความรัก ถึงแม้มันจะเป็นคำโกหกแต่ถ้ามันออกจากปากนาย ฉันพร้อมจะเชื่อมันทุกคำ” ชานยอลส่งยิ้มละมุนให้แบคฮยอน ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนแล้วดึงสร้อยเงินออกมา

     

    สร้อยที่ห้อยแหวนเอาไว้หนึ่งวง...

     

    แบบเดียวกับที่แบคฮยอนใส่อยู่...

     

    “ใส่ให้หน่อย” ชานยอลแกะตัวแหวนออกจากสายสร้อยแล้วส่งแหวนวงนั้นให้กับแบคฮยอน คนตัวเล็กทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก แต่ก็รับแหวนวงนั้นมาถือเอาไว้ในมือ

     

    แบคฮยอนสวมแหวนให้ชานยอลที่นิ้วนางข้างซ้ายเช่นเดียวกัน ก่อนจะยิ้มแล้วใช้ภาษามือสื่อสาร...

     

     

    แบคฮยอนกำนิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย เหลือเพียงนิ้วโป้งและนิ้วชี้ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้รูดตรงบริเวณลำคอจนนิ้วทั้งสองสัมผัสกัน

     

     

    “นี่ คนกำลังได้อารมณ์หวานๆอ่ะ มาตัดบทบอกว่าหิวแบบนี้มีที่ไหนกัน ฮึ!” ชานยอลหัวเราะร่าก่อนจะทำทีเป็นดุแบคฮยอนหลอกๆ

     

    คนตัวเล็กหัวเราะคิกคักก่อนจะชะงักไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเก็บจดหมายของชานยอลเอาไว้ในกระเป๋าด้านในเสื้อกันหนาว

     

    แบคฮยอนหยิบจดหมายออกมาหนึ่งจากสามฉบับ ส่งมันให้ชานยอล แอบลอบสังเกตใบหน้าหล่อก็เห็นริ้วสีแดงแต้มอยู่ที่แก้มสองข้าง

     

    ไม่รู้ว่าเพราะอากาศหรือเพราะกำลังเขินที่ตัวเองเขียนจดหมายกันแน่

     

    “เดี๋ยวนี้มีอีเมล์หรือไม่ก็โลกโซเชี่ยลเกลื่อนก็จริง แต่มันจะมีอะไรดีเท่าการเขียนจดหมาย แล้วเมื่ออีกฝ่ายเปิดอ่านก็สามารถรับรู้ได้ผ่านลายมือล่ะ จริงไหม?” ชานยอลยืดอกให้กับความคิดที่สุดจะเท่ของตัวเอง

     

     

    ชานยอลคนแมน J

     



    แบคฮยอนแย่งจดหมายมาไว้ในมือ ก่อนจะจิ้มไปที่ตัวหนังสือแบบไม่ตั้งใจ แล้วยกนิ้วโป้งให้ชานยอล ยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กน้อยก่อนจะคว่ำนิ้วโป้งลงเป็นเชิงบอกกลายๆว่าลายมือห่วยสุดๆ

     

    “นี่ ว่าลายมือฉันหรอ? สิ่งสำคัญมันคือเนื้อหา นี่อ่านรึยังอ่ะ? เนื้อความในจดหมายเขาออกจะหวาน นี่ไงๆ ประโยคนี้ที่เขาบอกว่า รักอ่ะ เห็นไหมๆๆๆ”

     

    “จะให้อ่านซ้ำไหม ชานยอลรักแบคฮยอนอ่ะ เนี่ยๆบรรทัดสุดท้าย มี XOXO ด้วย คิสๆอ่ะ โป๊ะๆอ่ะ” ชานยอลจิ้มจึกๆเน้นไปที่บรรทัดสุดท้าย

     

    ข้อความบอกรักเรียบง่ายแต่ความหมายยิ่งใหญ่เหลือเกิน

     

     

    ชานยอลเงยหน้ามองแบคฮยอนที่ยิ้มมุมปาก สายตาแพรวพราวก่อนจะสำนึกได้ว่าตัวเองหลุดอะไรไป...

     

     

    ก็สีหน้าของแบคฮยอน มันเหมือนกำลังล้อเลียนอยู่น่ะสิ

     

     

    สีหน้าประมาณว่า ก็รอให้พูดคำว่ารักอยู่ >//<


    65%


     

     

    ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์

     

    “ไหนมันบอกว่าเครื่องแลนดิ้งเที่ยง แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามเข้าไปละเนี่ย เที่ยงของมันนี่ เที่ยงประเทศไหนวะ?” ร่างสูงยืนบ่นพลางมองนาฬิกาเรือนใหญ่หลายสิบเรือนที่ข้างใต้ติดชื่อเมืองหลวงและประเทศต่างๆเอาไว้กลางสนามบินที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย

     

    “มาถึงจะปล่อยแม่งทิ้งไว้ที่นี่แหละ เสียเวลาเราสองคนเนอะแบคฮยอน” ร่างสูงที่พึ่งจะหัวเสียเมื่อสองวินาทีที่แล้ว จู่ๆก็เปลี่ยนอารมณ์เสียกลางอากาศ เล่นเอาคนตัวเล็กที่ยืนขนาบข้างตามอารมณ์ไม่ทัน

     

    เลยได้แต่แอบลอบยิ้มกับตัวเอง J

     

    ชานยอลทำตัวออดอ้อนจนน่าหมั่นไส้มากเวลาอยู่กับแบคฮยอนสองต่อสอง...

     

    ร่างบางไม่พูดอะไรปล่อยให้ชานยอลเอาหน้าถูไหล่ ส่วนตัวเองก็มองไปรอบๆอย่างสนอกสนใจ พร้อมทั้งยังคอยมองหาคนที่ทำให้ทั้งสองต้องมาแกร่วรอร่วมสามชั่วโมง

     

    “แบคฮยอนน้องเพ่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงแหลมสูงสำเนียงเกาหลี ทำให้ทั้งแบคฮยอนและชานยอลตกใจ พากันมองหาต้นเสียงให้ควั่ก

     

    ไม่นานก็ปรากฏร่างหญิงสาวหุ่นเพรียวก้าวเท้าออกมาจากเกท หมวกปีกกว้างสีดำ ไม่เด่นเท่ารองเท้าบู๊ทสีชมพูช็อกกิ้งพิงค์ที่เหมือนจะเรืองแสงได้แม้ในที่โล่งแจ้ง บวกกับเสื้อโค้ทตัวยาวที่คอพาดด้วยผ้าพันคอขนอะไรซักอย่าง ผู้หญิงคนนี้จึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในสนามบินไปในทันที

     

    ชานยอลล่ะอาย พี่สาวทำขายหน้าไกลยันอังกฤษ -_-

     

    “ชานมี น้องพี่น่ะผม ที่พี่กอดน่ะแฟนเขานะ ปล่อย แล้วไปยืนตรงมุมโน้นคนเดียวเลย แฟชั่นอะไร น่ากลัวได้ขนาดนี้ ถามจริงผ่านตม.ได้ไง?” พอได้ยินถ้อยคำเราะร้ายจากน้องชาย ชานมีทิ้งกระเป๋าใบสวยลงพื้นก่อนจะเท้าสะเอวฉับ

     

    มือซ้ายยกนิ้วชี้ชี้หน้าน้องชาย “ถ้ายังไม่อยากให้ฉันเอาไม้นวดแป้งฟาดหัวกับปากแกตอนนี้ให้เป็นประเด็นกลางสนามบิน ก็หุบปากนะคะน้องชาย พี่สาวไม่อยากแปลงร่าง”

     

     

    คนบ้าอะไร...มาอังกฤษพกไม้นวดแป้ง!!!

     

    ตอนตรวจกระเป๋านี่ผ่านมายังไงวะนั่น?

     

    พอปรับอารมณ์ที่น้องชายตัวดีทำเสีย ชานมีก็หันมาคว้าคอแบคฮยอนเข้ากอดหมับ ทำให้ร่างบางที่ไม่ทันตั้งตัวขาพันกันเข้าซบไหล่หญิงสาวพอดี ชานยอลก็ได้แต่เงียบปากก้มเก็บกระเป๋าที่พี่สาวทิ้งลงพื้นมาถือไว้

     

    “ตัวเล็กลงนะ ปรกติพี่กอดเรา หอมเราตัวนุ่มนิ่มกว่านี้ สงสัยพี่มาครั้งนี้ต้องพากินให้ทั่ว เพิ่มน้ำหนักซะหน่อย เวลาเจ้าชานยอลกอดมันจะได้เต็มไม้เต็มมือ” ชานมีพูดไปสายตาก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม

     

    พี่ชานมีชักน่ากลัว!

     

    แล้วพอชานมีละกอดจากแบคฮยอนไป คยองซูก็วิ่งเข้าใส่เพื่อนตัวเองทันที กอดแน่นจนแทบจะสิงร่างเดือดร้อนเทาต้องจับงัดร่างเล็กของคยองซูออกจากแบคฮยอน

     

    “กอดอะไรขนาดนั้นวะ?” พอแยกคยองซูออกจากแบคฮยอนได้ เทาก็ดีดหน้าผากคนตัวเล็กที่ยืนหน้ามุ่ย ทำตาเหลือกใส่ไปสองที

     

    “เจ็บนะเว้ย กอดเพื่อนผิดตรงไหน? นี่หึงกูหรอ?” คยองซูเอามือลูบหน้าผากป้อยๆ ปากรูปหัวใจเบะคว่ำก่อนจะโยนหินถามทางด้วยคำถามสุดท้าย

     

    “เปล่า...กูหวงแบคฮยอน อย่างมึงกูไม่หึงให้เสียเวลาหรอก” เทาพูดหยอกเสร็จก็หัวเราะดังอยู่คนเดียว หารู้ไม่ว่าคำพูดหยอกของตนทำเอาคนตัวเล็กเบะปาก สายตาส่อแววตัดพ้อ ก่อนจะใช้เท้าเล็กถีบเข้ากลางเป้า

     

    “อ...อะ ไอ้...เตี้ย..ก ก กู โอ๊ยยย” คนตัวเล็กไม่สนร่างสูงที่หน้าดำหน้าเขียวเข่าทรุดไปกับพื้น ทำตาเหลือกใส่ก่อนจะแลบลิ้น แมรง ใส่เข้าให้หนึ่งที

     

    แล้วคยองซูก็จับมือแบคฮยอนเดินออกไปหาพี่ชานมีที่ยืนกดโทรศัพท์หาสามีที่เกาหลีทันที ชานยอลเห็นเพื่อนดูท่าจะเจ็บก็ใจดีเลยเข้าไปช่วยพยุง เทาลุกขึ้นอย่างเก้ๆกังๆแต่รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปากทำให้ชานยอลแปลกใจ

     


    “ได้ข่าวน้องชายมึงโดนถีบ นี่ยิ้มได้คืออะไร? เข้าห้องน้ำไหม? เผื่อแม่งพังไปแล้ว” ชานยอลพูดอย่างจริงจังเพราะท่าทางของเทาไม่ใกล้เคียงกับคนที่ควรจะเจ็บน้องชาย

     

    “เมื่อกี้ไม่เห็นหรอ? คยองซูแลบลิ้นทำ แมรง ใส่กูอ่ะ น่ารักใจสั่นเลยมึง >//< กูกลั้นยิ้มแทบตาย ลืมเจ็บเลยอ่ะ” ชานยอลปล่อยแขนที่พยุงก่อนจะเดินตัวปลิว ทิ้งเทาไว้ตรงนั้น ปล่อยมันเพ้อไปก่อน

     

    เมื่อได้เวลาทั้งห้าคนก็ขับรถออกจากสนามบิน โดยมีสารถีคือชานยอลนั่นเอง มีชานมีนั่งข้าง ส่วนแบคฮยอนนั่งเบาะถัดไป ข้างหลังเป็นเทากับคยองซูที่เถียงกันไปมาไม่หยุด หันไปทีไรก็เห็นคยองซูเอากระเป๋าเดินทางเขวี้ยงใส่เทาทุกที

     

    “แบคฮยอนอยู่ที่นี่คงจะชินแล้วใช่ไหม? อยู่ที่นี่มีใครมาจีบบ้างหรือเปล่านะ?” พี่ชานมีหันหลังมาคุยกับแบคฮยอนที่เบาะหลัง พร้อมทั้งถามคำถามไป สังเกตใบหน้าของน้องชายไป

     

    ร่างบางส่ายหน้า ก่อนจะยกแขนสองข้างขึ้นมาไขว้กันเป็นกากบาท ชานยอลมองร่างบางจากกระจกมองหลังก่อนจะยิ้มกับตัวเองแล้วส่ายหัวขำๆ

     

    “ไม่จริง!!! จริงๆแล้วที่นี่ก็ดูมีคนหล่อๆให้เลือกเยอะแยะ พี่แนะนำให้หาหนุ่มอังกฤษดีกว่าเอาน้องชายพี่นะ” พี่ชานมีพูดแกมหยอกแต่ทำเอาชานยอลถึงกับมือไม้อ่อนบังคับพวงมาลัยไม่ถูก

     

    แบคฮยอนหัวเราะสองพี่น้อง ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน อายุต่างกันเท่าไร แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือพี่ชานมีแกล้งชานยอลได้เอเวอรี่ไทม์จริงๆ

     

    “พูดดีๆนะชานมี ถ้าพี่ยังไม่อยากให้ผมปลดล็อคประตูแล้วโยนพี่ลงข้าง...โอ๊ย!” ยังไม่ทันจะจบประโยคดีพี่ชานมีก็เอากระเป๋าถือตบแก้มน้องปากเสียไปหนึ่งที

     

    ข้างหน้าก็มีพี่น้องตีกัน ข้างหลังก็มีคู่(รัก)กัดทะเลาะกัน อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่วันเงียบเหงาของแบคฮยอนอีกต่อไป

     

     

     

    “ออกมานั่งทำอะไรตรงนี้? หนีเสียงชานมีออกมาหรอ?” ชานยอลทิ้งตัวนั่งลงข้างแบคฮยอนก่อนจะคว้าสองมือเล็กมากุมเอาไว้ หลังกลับจากสนามบินชานมีก็ชวนปาร์ตี้ที่ห้องของแบคฮยอนทันที ใครจะห้ามเท่าไรก็ไม่สนใจ

     

    ร่างบางส่ายหน้า หัวเราะพรืดที่ชานยอลบอกว่าเขาหนีเสียงพี่ชานมีที่กำลังร้องเพลงคาราโอเกะอยู่ เสียงพี่ชานมีก็ไม่ได้แย่เท่าไรนะ? แค่มีเพื่อนบ้านสองสามคนเอาอะไรซักอย่างขว้างใส่ผนังแล้วตะโกนว่า Shut Up! ไม่แย่เท่าไร...

     

    “ดีเหมือนกันนะ เพื่อนๆมากันเต็มบ้านแบบนี้ นายดูมีความสุขมากเลย รีบๆเรียนให้จบไวๆล่ะ จะได้บินกลับเกาหลีกัน” ชานยอลยกมือเล็กขึ้นมาจูบ ทิ้งความอบอุ่นเอาไว้ที่หลังฝ่ามือแต่กลับอุ่นไปถึงหัวใจ

     

    ร่างบางพยักหน้าส่งยิ้มน่ารักให้อีกคน จนร่างสูงอดใจไม่ไหว ใช้แขนยันพื้นยกตัวเองให้ลอยขึ้นแล้วขโมยจุ๊บจากคนรัก เรียกเลือดสีแดงจากแก้มของแบคฮยอน

     

    แบคฮยอนไม่ได้มีท่าทางแปลกใจอย่างที่ชานยอลคาด แต่คนตัวเล็กกลับทำสิ่งที่ไม่คาดคิดด้วยการ ก้มตัวลงจูบหน้าผากร่างสูงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

     

    ริมฝีปากอุ่นร้อนประทับลงบนหน้าผากกว้าง กดแช่ส่งความรู้สึกผ่านทางริมฝีปากให้อีกคนรับรู้แทนคำพูดที่ยากเย็นเหลือเกินสำหรับตัวเอง

     

    ก่อนจะค่อยๆผละออกเมื่อรู้สึกว่านานจนเกินไป คนตัวเล็กกดใบหน้าตัวเองต่ำจนคางชิดอก ซ่อนความเขินอายต่อสิ่งที่เพิ่งทำแต่ไม่ว่าจะซ่อนเท่าไร เสียงหัวใจที่เต้นดังออกมานอกอกก็ไม่อาจปิดบังได้

     

    ร่างสูงยิ้มมีความสุขสัมผัสเมื่อครู่ยังตราตรึง ความร้อนบนใบหน้าเป็นเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ใช่มโนหรือฝันกลางวัน ร่างบางตรงหน้านี้ร่ายมนตร์อะไรใส่เขานะ ทำไมมีแต่จะรักมากขึ้นทุกวัน ทำไมคำว่ารักมันจุกในอกขนาดนี้

     

    “ถึงแม้ว่าฉันจะอยากได้ยินคำว่ารักแค่ไหน แต่ถ้านายทำมันไม่ได้ ฉันจะทำมันแทนนะ ฉันจะเป็นเสียง ฉันจะเป็นดวงตา ฉันจะเป็นลมหายใจ ฉันจะใช้ทั้งชีวิตเป็นทุกอย่างให้นายคนเดียว” ชานยอลพูดพร้อมใช้สายตาแทนคำมั่นสัญญา

     

    แบคฮยอนยิ้มรับ แต่กลับส่ายหน้า ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะกดปุ่มโน้นปุ่มนี้ไม่หยุด เมื่อเสร็จแล้วก็ส่งมันให้ชานยอลดู

     



    อย่าเป็นทุกอย่างเพื่อฉันคนเดียวนะ ใช้ชีวิตของนายทำเพื่อคุณแม่ เพื่อพี่ชานมีอีกสองคนนะ อย่าให้ฉันสำคัญที่สุด เพราะถ้านายทำอย่างนั้นฉันจะไม่ให้อภัยนายเลยล่ะ จำเอาไว้ด้วย!’ ข้อความของแบคฮยอนยิ่งทำให้ร่างสูงคิดในใจว่า...

     

    ปาร์คชานยอลช่างโชคดี J ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตามที่ทำให้เขาและแบคฮยอนได้เจอกัน เขาจะไม่ทำให้สิ่งนั้นผิดหวังเพราะเขาจะรักและดูแลคนๆนี้เท่าที่คนๆหนึ่งจะทำได้จะใช้ทั้งชีวิตเติมเต็มซึ่งกันและกัน

     

    คนบางคนเฝ้าวิ่งตามหาความรัก จนลืมมองสิ่งใกล้ตัว เพราะมันใกล้ตัวคนเราจึงมักมองไม่ค่อยเห็นจึงมองผ่านเลยไป แต่ถ้าลองหยุดวิ่งตามแล้วหันหลังกลับมามอง อาจจะพบสิ่งสำคัญหรือใครบางคนที่เขาวิ่งตามหลังเรามา

     

    ความรักบนโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว ความรักมีมากมายจนอาจจะเอ่ยถึงได้ไม่หมด เราไม่ควรดูถูกความรักของใคร ไม่ควรดูถูกแม้ว่าเขาจะรักเพศเดียวกัน เพราะความรักสวยงามเสมอ

     

    ความรัก...ทำให้เราก้าวเดินไปข้างหน้าเป็นแรงขับเคลื่อนในการดำเนินชีวิต

     

    ความทุกข์...สอนให้มนุษย์เราลุกขึ้นยืนแล้วก้าวผ่านอุปสรรคไปเพื่อพบเจอวันใหม่ที่สดใสกว่าเดิม

     

    มันอยู่ที่ว่าเราจะเลือกมองเช่นไร อยู่ที่ว่าเราจะรักด้วยสิ่งไหน รักด้วยหัวใจ รักด้วยร่างกายหรือรักด้วยทรัพย์สิน...

     

     

    “นี่ สองคนที่หวานอยู่ตรงระเบียง รับทราบ!!! ช่วยสนใจแขกที่มาด้วย” คยองซูทำปากคว่ำ ยืนเท้าสะเอวตั้งท่าจะเข้ามาลากแบคฮยอนออกไปจากชานยอล

     

    แต่คนตัวเล็กกลับโดนเทาล็อคคอลากเข้าครัวไปก่อนจะถึงตัวแบคฮยอนเสียอีก ทั้งชานยอลและแบคฮยอนหัวเราะลั่นในความแปลกของคู่นี้เข้าไปทุกที

     

    ชานยอลจูงมือร่างบางเดินเข้ามาข้างในห้องก็เห็นพี่ชานมีกำลังรื้อกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตัวเองอยู่ ก่อนจะคว้ากล่องของขวัญสีน้ำตาลเข้มขึ้นมา หันมาหาน้องชายตัวเองพร้อมกวักมือเรียก

     

    ชานยอลบอกให้แบคฮยอนเข้าไปเตรียมอาหารเพิ่มในครัว ก่อนตัวเองจะทิ้งตัวลงนั่งข้างพี่สาวคนสวย สีหน้าของชานมีจริงจังจนทำให้คนเป็นน้องใจเสียกลัวจะมีอะไรไม่ดี

     

    “อ่ะ พี่ให้ ของขวัญฉลองเนื่องในโอกาสที่ฉันอยากจะฉลอง เอิ้กก...ช่างเหอะ รับไปซะทีสิ” ชานมียัดกล่องของขวัญใส่มือน้องชาย ก่อนจะไหลลงไปนอนราบกับพื้นเพราะฤทธิ์เบียร์ที่ดื่มเข้าไป

     

    ไกลสามีหน่อยก็ซัดเต็มที่เลยนะ ถ่ายรูปเก็บไว้ขู่ดีไหมเนี่ย?

     

    ชานยอลเลิกสนใจพี่สาวขี้เมา หันมาสนใจกล่องของขวัญสีน้ำตาลในมือ ตัดสินใจดึงโบว์ที่ผูกเอาไว้ออก แต่สิ่งที่อยู่ภายในกล่องก็ทำเอาร่างสูงปิดกล่องแทบไม่ทัน

     

    ชานมี๊ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พี่ให้อะไรผมเนี๊ยยยยยยยยยย....

     

    ชานยอลพยายามหาที่ซ่อน ของขวัญที่ชานมีให้ มองซ้ายขวาเพื่อหาจุดที่ลับที่สุดในการซ่อน มองไปก็เห็นซอกหลังตู้เสื้อผ้าเอาไว้ตรงนี้ก่อนแล้วค่อยหาที่ซ่อนใหม่ก็แล้วกัน

     

    ชานยอลสไลด์ตัวไปที่ตู้เสื้อผ้าก่อนจะเอากล่องของขวัญเจ้าปัญหาของพี่สาวยัดเข้าไปบริเวณซอกดังกล่าว แต่แรงสะกิดที่ไหล่ก็ทำให้ชานยอลสะดุ้งเผลอปล่อยมือจากกล่องของขวัญ

     

    กล่องสีน้ำตาลลอยละลิ่วกลางอากาศก่อนจะตกลงกระแทกพื้น ส่งผลให้ฝากล่องเปิดออก สิ่งที่อยู่ภายในก็กระเด็นออกมา

     

    ร่างสูงเหวอกิน ทำอะไรไม่ถูก ตาคมจดจ้องก็แต่สิ่งของที่กระเด็นออกมาจากกล่อง แบคฮยอนก็เช่นกัน แต่รายนั้นจ้องแล้วก็รีบเบือนหน้าหนีทันที ใบหน้าเล็กร้อนผ่าวจนคล้ายจะเป็นลม

     

     

     

     

     

     

     

    ดิลโด้อันกะทัดรัด

     

     


    ใครจะทนมอง TT

     

    “ไม่ใช่ของฉันนะ ของชานมีเลย ยัยนั่นยื่นให้บอกว่าของขวัญฉันก็รับมา พอเปิดกล่องเท่านั้นแหละ ตกใจแทบตายเลยต้องหาที่ซ่อนกลัวนายเห็น” ชานยอลร่ายอธิบายยาวเพราะกลัวคนรักจะเข้าใจตนเองผิด

     

    แบคฮยอนพยักหน้าเข้าใจแต่กลับไม่ยอมมองหน้าชานยอลตรงๆ เป็นเวลาเดียวกับที่เทาและคยองซูเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น สายตาของทั้งคู่ก็ปะทะเข้ากับดิลโด้ที่ตกอยู่บนพื้น

     

    เทาเห็นอย่างนั้นก็อายหน้าแดง ผิดกับเคะอย่างคยองซู ทั้งที่ควรจะอายกับสิ่งของแบบนี้ คนตัวเล็กดันเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมา พลิกดูข้างใต้ก่อนจะพูดขึ้น

     

    “ของใครอ่ะ? สีสวยดี J  สีนี้ไม่ค่อยเห็นนะ” คนทั้งสามถึงกับสะดุ้งทันที ชานยอลน่ะไม่เท่าไร แบคฮยอนก็อายม้วนต้วนไปแล้ว หนักสุดก็เทานี่แหละ รายนี้ดูจะตกใจกับคำพูดของคยองซูที่สุด

     

    “โดคยองซู ไอ้ที่พูดว่าสีนี้ไม่ค่อยเห็นบ่อยนี่หมายความว่าไง? เคยใช้งั้นหรอ? เอาไปใช้กับใคร? บอกกูมานะ” นานเลยกว่าเทาจะหาเสียงตัวเองเจอ พอตั้งสติได้ก็ถามร่างบางด้วยน้ำเสียงน่ากลัว

     

    แต่มีหรือที่โดคยองซูคนนี้จะสน ถามมาก็ตอบไป เรื่องใหญ่ก็ไม่ใช่ ไอด้อนแคร์...

     

    “ก็เคยใช้นะ มีเป็นคอลเลคชั่นเลยด้วย เอามาตั้งเรียงกันนี่ไล่สีได้เลยนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ” ความจริงแล้วคยองซูไม่เคยใช้กับใครหรอก แค่อยากเอาคืนคนฟอร์มจัดอย่างเทาเท่านั้นเอง

     

    ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เทาลากตัวคยองซูออกไปนอกห้องเพื่อเคลียร์กันอีกรอบทันที ทิ้งให้คนสองคนมองตากันปริบๆก่อนที่แบคฮยอนจะหลุดยิ้มแล้วก้มลงเก็บกล่องของขวัญ(ดิลโด้อันนั้นคยองซูหยิบติดมือไปด้วย)

     

    “นี่ ไว้ว่างๆเอามาลองใช้ดูบ้างดีไหม?” แล้วหน้าผากชานยอลก็โนได้ด้วยไม้นวดแป้งที่ชานมีพกมา ขอบคุณที่แบคฮยอนเหลือบไปเห็นแล้วคว้ามันขึ้นทันทีหลังจากได้ยินคำที่ร่างสูงหลุดออกมา

     

    ชานยอลเอามือกุมหน้าผาก ร้องเจ็บโอดโอยเกินจริงเพื่อหลอกร่างบาง แล้วก็ได้ผลอาการสำออยของเขาทำให้แบคฮยอนใจเสียจนต้องเดินเข้ามาดูอาการ

     

    “ปามาได้ยังไง? เจ็บนะ?” ร่างสูงแกล้งบีบน้ำตา แบคฮยอนก็ใจอ่อนยวบเป่าลมจากปากใส่บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ

     

    ชานยอลฉวยโอกาสจับมือเล็ก กระตุกเพียงนิดเดียวคนที่นั่งด้วยท่าที่ไม่มั่นคงก็ลอยมาซบที่อกตัวเอง “ขอกอดหน่อย วันนี้กอดไปไม่เท่าไรเอง”

     

    ชานยอลนอนกอดแบคฮยอนที่พื้นแน่น แบคฮยอนพอได้ร่างชานยอลต่างที่นอนคนตัวเล็กก็ทำท่าเคลิ้มจะหลับ ร่างบางหลับตาลงสัมผัสความสุขที่แท้จริง ความสุขที่จับต้องได้ ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา

     

    แต่เสียงทุ้มของชานยอลที่ดังขึ้น ก็ทำให้ใจดวงน้อยในอกทำงานหนักขึ้น “ฉันรักนายนะ”

     

    แบคฮยอนน้ำตาไหลออกมาด้วยความสุขก่อนจะพยักหน้ารับรู้แล้วใช้นิ้วเรียววาดรูปหัวใจลงไปที่หน้าอกข้างซ้าย

     

    รัก

     

     

    คำบอกรักที่แม้ไม่ได้มาด้วยคำพูด แต่การกระทำก็สามารถทำให้รับรู้ได้ถึงความรักที่มีในหัวใจ คนบางคนใช้คำว่ารักพร่ำเพื่อ แต่กลับไม่เคยทำอะไรให้คนที่บอกว่ารัก

     

    รักแต่ปาก ไร้ซึ่งการกระทำ...

     

     

     

    THE END


    จบแล้วจริงๆสินะ #เป่าปี่ดีกว่า TT
    เฮ้อ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกในชีวิตที่กระแสตอบรับดีที่สุด
    ขอบคุณทุกคนจริงๆนะคะ

    ขอบคุณที่รักฟิคเรื่องนี้
    ขอบคุณหลายๆคนที่มาพูดคุยกับไรท์ทั้งทวิตแล้วก็ไลน์

    สำหรับความคืบหน้าของหนังสือ ไรท์จะอัพเดทบ่อยๆนะคะ
    ไรท์จะมาลงสปอยล์ตอนพิเศษในนี้ให้ดูเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อน
    ใครที่สั่งฟิคมาก็ได้อ่านแน่ค่ะ 

    แม้ตอนจบจะไม่เป็นอย่างที่รีดเดอร์ขอมา
    แต่หวังว่าจะชอบตอนจบที่ไม่ได้สวยงามในโลกนิยาย
    แต่...สวยงามในชีวิตจริงนะคะ


     

     

    ปย๊ง


    โฉมหน้าของเจย์ค่ะ #ชานยอลคือใครไอด้อนโน ฮ่าๆๆๆ

     

      

     

     

     





     
     

     

    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×