ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic EXO] Silently::ไซเลนท์ลี่ CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #2 : Silently I::เมื่อพบกัน...[100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.75K
      27
      8 ส.ค. 56

    Silently I

    เมื่อพบกัน...

    Author: Wi Lyn

     

     

     

    ป้ายรถบัสสายที่จะไปกวังฮวามุนเวลานี้แออัดไปด้วยผู้คน ทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน จนไปถึงวัยชรา ผู้คนที่เบียดเสียดกันเพื่อที่จะเข้ามายืนอยู่ใต้จุดรอรถบัสเพื่อหลบแดด ที่นั่งทุกที่เต็มจนหลายคนต้องนั่งตักกัน รถที่ควรจะมาเมื่อสิบห้านาทีก่อน จนตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววจะโผล่มา

     

     

    ผมนั่งกอดกระเป๋าเป้ใบใหญ่แนบไว้กับอก ก่อนจะมองซ้ายขวาเพื่อฟังบทสนทนาของคนรอบข้าง อย่างผู้หญิงคนข้างๆผม เธอกำลังคุยโทรศัพท์ คาดว่าน่าจะเป็นแฟนอีกคนของเธอ เพราะเมื่อห้านาทีก่อน ถ้าผมจำไม่ผิด เธอยังคุยอยู่กับคนปลายสายอีกคน

    ส่วนคุณลุงคนข้างๆผมก็กำลังนั่งบ่นอยู่คนเดียว ว่าทำไมช่วงนี้แดดช่างร้อนเสียเหลือเกิน สงสัยเพราะผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แล้วลุงแกก็เริ่มอารมณ์เสียอีกรอบเมื่อรถที่รอไม่มีทีท่าว่าจะโผล่มาแม้แต่ไฟหน้ารถ

     

    ผมได้แต่นั่งมองไปรอบๆเพื่อสังเกตชีวิตของแต่ละคน มันเป็นเช่นนี้ทุกวัน ทุกที่ๆผมไป สิ่งที่ผมทำมีเพียงแค่ นั่งมองผู้คนรอบข้างและฟังบทสนทนาไปเรื่อยๆ อาจจะฟังดูเหมือนเป็นคนไร้มารยาท แต่เชื่อเถอะ คนอย่างผม บยอนแบคฮยอน ทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ =_=

     

     

    เมื่อผ่านไปอีกสิบนาที รถสายที่ทุกคนรอก็มาจอดเทียบป้าย ก่อนที่ทุกคนจะแย่งกันขึ้น เหมือนสงครามกลางเมืองยังไงยังงั้น ผมได้แต่ยืนมองผู้คนที่พากันแย่งขึ้นรถ แล้วอีกส่วนก็เบียดเพื่อจะลงป้ายนี้ ค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อย จนสุดท้ายผมก็ส่งตัวเองมายืนโหนรถบัสประจำทางได้ในที่สุด

     

     

     

     

    ความจริงผมว่าผมควรจะไปรถไฟใต้ดินตั้งแต่แรกนะ คิดๆดูแล้ว ไปด้วยวิธีนี้มันน่าหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะผมยืนอยู่ข้างชายวัยทำงานคนหนึ่ง คงเพราะอากาศร้อนที่ทำให้เสื้อเชิ้ตบริเวณรักแร้ของเขา เกิดความแฉะเป็นวงกว้างขึ้นมา แต่สิ่งที่ไม่พึงประสงค์มันไม่ใช่สิ่งนั้นน่ะสิ มันคือกลิ่นตัวที่ผสมมากับกลิ่นน้ำหอมราคาแพง สองสิ่งนี้กำลังตีกันยุ่ง จนผมที่ตอนแรกตั้งใจจะเฉยๆกลับต้องย่นจมูกทันที ผมเบือนหน้าหนีเพื่อหลบกลิ่นนั้น เพราะมันเริ่มทำให้ผมมึนหัว แล้วเมื่อผมมึนหัว ผมก็จะอยากอ้วกน่ะสิ! นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากให้เกิดเป็นอันดับที่สองรองจากตะโกนด่าว่าชายคนนั้น(ซึ่งอย่างหลังมันคงยากหน่อยสำหรับผม)

     

     

     

     

    วิวจากหน้าต่างช่วยดึงความสนใจของผมได้เป็นอย่างดี จนเวลาผ่านไปผมก็รู้สึกถึงแรงสะกิดที่ไหล่เล็กน้อย ก่อนที่จะมีเสียงทุ้มมากระซิบที่ข้างหู

     

     

    “นี่ ที่นั่งตรงนี้ว่าง เราว่านายมานั่งเถอะ” ผมหันไปมองตามแรงสะกิด ก่อนจะพบว่าเป็นผู้ชายตัวสูง ผิวขาว ผมหน้าม้าสั้นสีดำ แต่งตัวแฟชั่นแม้วันอากาศร้อน กำลังพูดกับผม

    เพราะคำพูดของเขาทำให้ผมก้มไปมองที่นั่งที่ว่างอยู่

    “นั่งสิ นายตัวเล็กแถมแบกกระเป๋าก็หนัก” ชายคนเดิมบอกจุดประสงค์ก่อนจะยิ้มให้ผมเล็กน้อย

    ผมเองก็เริ่มจะล้าแล้วเหมือนกัน ไหล่ของผมก็เริ่มปวด เพราะอย่างนั้นผมเลยนั่งลงตรงที่นั่งที่ว่างนั้นอย่างรู้สึกขอบคุณในน้ำใจของคนตัวสูงคนนี้

    ผมถอดสายสะพายกระเป๋าออกจากไหล่สองข้าง แล้วจัดการวางมันไว้บนตัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปก้มหัวเป็นเชิงขอบคุณกับชายคนนั้น

    “คนไรวะ เสียมารยาทชิบหาย ขอบคุณซักคำก็ไม่มี” เสียงบ่นเบาๆแต่กลับชัดเจนเพราะผมมันคนหูดี

    ผมไม่ได้เสียมารยาท แต่การที่ผมก้มหัวนั่นก็หมายความว่าผมขอบคุณเขา ถึงเขาจะแค่พูดกับตัวเอง แต่คนที่ใช้หูฟังทุกสิ่งแม้กระทั่งเสียงมดเดินอย่างผม กลับได้ยินเต็มชัดสองรูหู

     

     

    ผมไม่เคยชินเลยกับการถูกค่อนขอดจากผู้คนที่ให้ความช่วยเหลือผมแล้วไม่ได้รับคำขอบคุณ คนพวกนี้ทำเพียงเพื่ออยากดูดี อยากได้รับคำสรรเสริญเยินยอเท่านั้นเองหรอ?

     

     

     

     

    ผมเลยรูดซิบเปิดประเป๋าเพื่อหาสมุดโน้ตเล่มใหญ่ แล้วก็ปากกาเมจิก ก่อนจะบรรจงเขียนตัวหนังสือใหญ่ๆลงไป

     

     

     

     

    ขอบคุณครับสำหรับที่นั่ง ผมไม่ใช่คนไร้มารยาท ผมแค่คนพูดไม่ได้ เมื่อเขียนเสร็จผมก็กระตุกชายเสื้อชายคนนั้นเบาๆเพื่อเรียกเขา

    แล้วชูสมุดให้เขาดู เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดที่ผมมักได้รับเสมอ

    คนตัวสูงเมื่ออ่านข้อความแล้วก็ขมวดคิ้วยุ่ง ตีสีหน้านิ่งจนผมเดาอารมณ์เขาไม่ออก

    “นาย...เป็นใบ้หรอ?” สิ่งที่ผมได้รับคือคำถามตอบกลับมา

    เป็นใบ้... คนใบ้... งั้นหรอ? ก็ถูกอย่างที่เขาว่า แต่ผมไม่อยากได้ยินคำนั้นจริงๆ


     

    ผมหันกลับมาสนใจวิวข้างทางที่หน้าต่าง คำถามของชายคนนั้นผมก็ไม่ได้ตอบไป แต่คิดว่าเขาเองน่าจะรู้ดี ซึ่งเขาเองก็ไม่ถามเซ้าซี้อะไรอีกให้ผมรำคาญใจ

     

    ผม บยอนแบคฮยอน อายุ 22 ปี เป็นนักศึกษาชั้นปี 3 มหาวิทยาลัยเล็กๆแห่งหนึ่งในโซล เรียนเกี่ยวกับการดูแลผู้พิการทางการพูดและได้ยิน เพราะผมเองเคยได้ใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปมา 14 ปี

    ถูกแล้วครับ ผมไม่ใช่คนพิการมาแต่กำเนิด ผมพูดไม่ได้เมื่อตอนอายุ 15 เนื่องจากอุบัติเหตุที่ส่งผลทำให้กล่องเสียงของผมไม่ทำงาน ดังนั้น วิธีการสื่อสารที่เข้ามาแทนการพูดคือ ภาษามือและการเขียน

     

    ผมดูแลเด็กจำนวนมากที่พิการทางการพูด ช่วยฝึกและสอนให้พวกเขาเรียนรู้ภาษามือและช่วยสอนการเขียนที่ถูกต้องให้พวกเขา เป็นงานที่ผมรักและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ แม้การทำงานในโรงพยาบาลจะไม่น่าพิสมัยสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับผม เวลา 80% ในชีวิต ผมก็หมดไปกับการดูแลเด็กพวกนี้

     

    หลายคนที่รู้จักผม พูดเสมอว่าอยู่กับผมแล้วสบายใจ ไม่น่ารำคาญเพราะผมไม่พูด เพราะผมไม่บ่น ความจริงแล้วไม่ใช่เพราะผมไม่พูดแต่เป็นเพราะผมพูดไม่ได้ ไม่ใช่เพราะผมไม่บ่น แต่เป็นเพราะผมบ่นไม่ได้ต่างหาก

     

    สำหรับผมที่ถึงแม้จะพูดไม่ได้ แต่หูผมก็ยังทำงานได้ดี ดีเสียยิ่งกว่าตอนพูดได้อีก แต่สำหรับเด็กหลายคนที่ผมเจอนอกจากจะพูดไม่ได้แล้ว พวกเขายังหูหนวก บางคนแย่จนถึงขั้นหูหนวก ตาบอด พูดไม่ได้ แพ็คเกจมาแบบทริปเปิ้ลเลยทีเดียว

     

    แรงสะกิดที่ไหล่เกิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะเงยหน้าไปพบคนตัวสูงคนเดิม ชายคนนั้นยกมือขึ้นมาทั้งสองข้าง ก่อนจะกางขายาวๆสองข้างออกเพื่อพยุงตัวเองไม่ให้เซไปตามแรงกระชากของรถ

     

    เขายกมือซ้ายขึ้นมาระดับหน้าอก ปลายนิ้วมือซ้ายชี้มาทางผม จากนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นมา ปลายนิ้วมือขวาวนเหนือฝ่ามือซ้ายในทิศตามเข็มนาฬิกาสามรอบ ก่อนจะแสดงสีหน้าเศร้าๆออกมาเพื่อระบุความหมายสิ่งที่มือของตนกำลังสื่อ

    ผมแปลกใจมากที่คนๆนี้รู้จักการใช้ภาษามือ ก่อนจะยิ้มออกมาในที่สุด ผมจึงกางฝ่ามือสองข้างหันเข้าหาตัว ส่ายหน้าพร้อมกับสะบัดปลายนิ้วทั้งสองให้สวนกันไปมาสามรอบ เพื่อบอกเขาว่า ไม่เป็นไร

     

    (ขอบคุณข้อมูลจาก Kapook นะคะ ไรท์เองไม่มีความรู้เรื่องภาษามือเลย จึงทำได้แค่ค้นหาวิธีการสื่อสารด้วยภาษามือคร่าวๆตามกูเกิ้ล)

     

    คนตัวสูงกว่ามาก(ย้ำว่ามาก)ทำท่านึกอยู่ซักพักก่อนจะร้องอ๋อ แล้วดีดนิ้ว

    “ไม่เป็นไรใช่มั้ย? ท่าเมื่อกี้แปลว่าไม่เป็นไรใช่มั้ย?” ผมหัวเราะน้อยๆกับท่าทางตอนที่เขาถามผม

    ผมจึงพยักหน้าตอบกลับเพื่อเฉลยสิ่งที่เขาถาม เรียกรอยยิ้มกว้างที่โชว์ฟันครบทุกซี่ ก่อนที่คนตัวสูงจะคว้าเอาสมุดโน้ตกับปากกาของผมไปถือเอาไว้ แล้วจดอะไรยิกๆอยู่คนเดียว

     

    เมื่อรถบัสจอดสนิทเทียบป้าย คนตัวสูงดูรีบเขียนให้เสร็จ เพราะเขาเอาแต่เงยหน้ามองคนขับรถสลับกับมองสมุดโน๊ต ก่อนเขาจะวางสมุดลงบนกระเป๋าของผม แล้ววิ่งลงจากรถบัสทันที

     

    ผมมองตามร่างสูงจนเขาวิ่งหายเข้าไปในซอย จึงหันกลับมาสนใจสมุดโน๊ตและสิ่งที่เขาเขียนลงไป

     

    ขอโทษที่ฉันว่านาย ไม่คิดว่านายจะพูดไม่ได้ แล้วก็ขอโทษที่เสียมารยาทเรียกนายว่าคนใบ้ ทั้งที่รู้ว่ามันหยาบคาย ฉันมีญาติที่หูหนวก เลยได้เรียนรู้ภาษามือเล็กน้อยมาจากเขา

    ปาร์ค ชานยอล’

     

    ผมยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกของวัน เพียงประโยคสั้นๆที่เขียนลงไป ทำให้ผมลืมความขุ่นมัวในใจไปหมดสิ้น คนๆนี้ต่างจากคนอื่นๆสินะ ต่างตรงที่ไม่ได้ทำดีเพื่อหวังคำขอบคุณ หรือสรรเสริญเยินยอ ต่างตรงที่เขารู้จักเอาใจใส่ความรู้สึกคนอื่น ต่างตรงที่เข้าใจและใช้ภาษามือได้อย่างถูกต้องแม้ไม่เชี่ยวชาญ ผมอยากให้คนทั้งโลกเป็นเหมือนคนตัวสูงจังเลย

     

     

     

    อยากให้มีคนแบบ ปาร์ค ชานยอล อยู่กระจายๆไปทั่วโลกจริงๆ ^^

     


     

    --------50%---------
     

     

    “วิ่งรอบสนามอีกสิบรอบนะ วันนี้นายเป็นอะไร สมาธิไปไหนหมด ไปวิ่งเลยนะ ไม่ครบไม่ต้องกลับบ้าน” เสียงทุ้มดังที่ฟังแล้วรู้สึกเหมือนแก้วหูจะร้าว กำลังตะโกนด่าลูกศิษย์ในความดูแล ที่วันนี้ดูไม่มีสมาธิกับการซ้อมเลย

    “ครับโค้ช” พอรับคำสั่งแล้วก็หันหลังวิ่งไปที่สนามขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัย วิ่งสิบรอบ งานยักษ์เลยนะนั่น!

     

    ที่วันนี้ผมไม่มีสมาธิมันก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่วันนี้รู้สึกเหนื่อยมาแล้วทั้งวันก็เท่านั้นเอง เช้ามาก็เรียน ตอนบ่ายพี่สาวดันใช้ให้ไปส่งเค้กให้ลูกค้าแทนตัวเองที่ต้องไปรับลูกชาย พอตกเย็นก็ต้องรีบมาซ้อมกีฬาอีก ชีวิตปาร์คชานยอลนี่มัน เหนื่อยชะมัด!

     

    ไอ้ตื่นมาเรียนตอนเช้านั่นก็ไม่มีปัญหาหรอก เพราะตื่นเช้าเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว แต่ที่เหนื่อยเนี่ยเห็นจะเป็นส่งเค้กแทนพี่สาวนั่นแหละ ลูกค้าพี่ดันอยู่นอกเมือง ผมเลยต้องนั่งรถออกไปอีกหลายชั่วโมง แล้วก็นั่งกลับมาโซล เพราะหลานชายตัวแสบของผมมันดันก่อเรื่องชกต่อยที่โรงเรียน ร้อนถึงพี่สาวผมที่เป็นแม่ต้องตามไปจัดการ ทำให้ภาระมาตกอยู่ที่ผมผู้เป็นน้องชาย

     

    ครอบครัวเรามีกัน 5 คน มีคุณแม่ของผม พี่สาวของผม แล้วก็สามีและลูกของเธอ รวมผมอีกคน ครอบครัวเราไม่ใช่ครอบครัวใหญ่ที่ดูแลยากเย็น แต่ละคนมีหน้าที่ของตัวเองต้องรับผิดชอบกันไป ปวดหัวหน่อยก็ตรงไอ้หลานชายคนเดียวของบ้านนี่แหละ...

     

    ผมเป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทางด้านกีฬา ปีนี้กำลังจะเข้าคัดตัวเป็นนักกีฬาทีมชาติตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ เป็นได้ซักครึ่งของ ปาร์คจีซอง ก็ดีนะ นามสกุลก็เหมือนกัน ความเก่งมันต้องถ่ายทอดกันผ่านนามสกุลบ้างแหละวะ!

     

    ผมวิ่งรอบสนามไปเรื่อยจนถึงรอบที่สาม สายตาก็หันไปเห็นรุ่นพี่กำลังซ้อมรุ่นน้องให้จับไม้เทนนิสอย่างถูกต้อง แต่ดูเหมือนว่าพี่จะดุน้องแรงไปหน่อย น้องเลยทำแค่ก้มหน้าจะคางชิดอก ถามอะไรก็ไม่ตอบ ผมไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องปกติ

     

    จนผมวิ่งผ่านมาอีกรอบเป็นรอบที่สี่ ก็ยังคงได้ยินเสียงรุ่นพี่คนเดิมกำลังดุรุ่นน้องคนเดิม

    “ถามทำไมไม่ตอบวะ เข้าเรียนที่นี่ได้ยังไง? จับไม้เทนนิสยังไม่ถูกเลย นี่!เป็นใบ้หรือไง?” เป็นใบ้งั้นหรอ?

     

    เพราะประโยคที่ผมได้ยินเมื่อครู่ ทำให้ย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อกลางวัน บนรถบัสประจำทาง

     

     

    ผมยืนโหนรถบัสหลังจากกลับจากไปส่งเค้กให้ลูกค้า ไม่เข้าใจเลย ทำไมวันนี้คนมันเยอะ หรือมันเยอะแบบนี้เป็นปกติ? ที่น่ารำคาญก็เพราะผู้หญิงคนข้างๆกำลังเบียดผมอยู่น่ะสิ แถมยังพยายามเอานมมาดันตัวผมจนจะรวมร่างกันอยู่แล้ว พอรถจอดที่ป้ายหน้า ผมก็รีบย้ายร่างตัวเองมายืนบริเวณกลางๆรถทันที

     

    พอย้ายมากลางรถ ดันมาเจอกระเป๋าเป้ใบเท่าบ้านอัดท้องเข้าอีก ไอ้เจ้าของมันขนอะไรมานักหนานะ ตัวก็เตี้ย แรงก็ดูน้อย ไหล่จะหลุดแล้วมั้งนั่น!

     

    ผมมองแล้วก็นึกสงสาร หน้าตาเขาก็ดูเหมือนคนใกล้จะเป็นลม พอผมเห็นที่นั่งว่างก็ตั้งใจจะเสียบทันที แต่ติดตรงที่เห็นใบหน้าด้านข้างของคนตัวเล็กแล้วก็ใจอ่อน เลยสะกิดเพื่อเรียกให้นั่งลงตรงเก้าอี้ตัวที่ว่าง

     

    “นี่ ที่นั่งตรงนี้ว่าง เราว่านายมานั่งเถอะ” ผมสะกิดเรียกเขาที่ไหล่เบาๆ คนตัวเล็กกว่าหันหน้ามามองผม ผมจึงยิ้มให้เล็กน้อย

     

    เขาก้มลงไปมองยังตำแหน่งที่ผมบอกว่าว่างทันที ก่อนจะย่นคิ้วเป็นเชิงสงสัยนิดหน่อย

    “นั่งสิ นายตัวเล็กแถมแบกกระเป๋าก็หนัก” ผมเลยบอกจุดประสงค์เพื่อให้เขาสบายใจ ว่าที่ผมบอกให้นั่งลงนั่นเป็นเจตนาดี

     

    เขาเลยนั่งลงตรงที่ว่าง แล้วถอดสายสะพายกระเป๋าออกจากไหล่สองข้าง แล้วจัดการวางมันไว้บนตักเล็กๆ

     

     

     

     

     

     

    พื้นฐานจิตสำนึกของคนเรา เมื่อได้รับน้ำใจที่หยิบยื่นให้ ก็ควรจะต้องขอบคุณ นั่นเป็นเหมือนกฎของสังคมที่ทุกคนควรปฏิบัติตาม ผมรอให้คนตัวเล็กเอ่ยคำขอบคุณอยู่เกือบนาที แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปาก

     

     

    “คนไรวะ เสียมารยาทชิบหาย ขอบคุณซักคำก็ไม่มี” ผมบ่นออกมาเบาๆหวังให้ตัวเองได้ยินเพียงลำพัง

     

    ผมเลยเลิกสนใจที่จะรอฟังคำขอบคุณ สายตาก็มองนาฬิกาสลับกับมองวิวข้างทาง ถ้าเข้าซ้อมไม่ทันมีหวังโค้ชตัดชื่อออกจากการเข้าคัดตัวแน่ๆเลย =_=

     

    ผ่านไปไม่นาน จู่ๆผมก็รู้สึกถึงแรงกระตุกเบาๆที่ชายเสื้อ ก่อนจะก้มลงไปมองที่มา ก็พบว่าเป็นคนตัวเล็กคนเดิม เขาชูสมุดโน้ตเล่มใหญ่ให้ผมดู ก่อนที่ผมจะขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้อ่าน

     

    ขอบคุณครับสำหรับที่นั่ง ผมไม่ใช่คนไร้มารยาท ผมแค่คนพูดไม่ได้ เขาเป็นใบ้งั้นหรอ?

     

    “นาย...เป็นใบ้หรอ?” ผมถามออกไปอย่างที่ใจคิด โดยไม่ทันได้ไตร่ตรองให้ดี ว่าสรรพนามที่ใช้เรียกออกไป อาจสร้างความไม่พอใจให้อีกฝ่าย

    แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ผมจึงเลือกที่จะเงียบดีกว่า คนตัวเล็กเองก็หันหน้าเข้าหาหน้าต่างเพื่อมองวิว จนผมทนแรงกดดันจากตัวเองไม่ไหว เลยสะกิดเรียกเขาที่ตำแหน่งเดิมเบาๆอีกรอบ

     

    ผมยกมือขึ้นมาทั้งสองข้าง ก่อนจะกางขายาวๆออกเพื่อพยุงตัวเองไม่ให้เซไปตามแรงกระชากของรถ เพราะผมมีญาติเป็นคนหูหนวก ทำให้ภาษามือพื้นฐานของผมที่พอจะรู้มาบ้างถูกขุดมาใช้

     

    เพราะผมรู้สึกไม่ดีที่ไปเรียกเขาว่าคนใบ้ บวกกับท่าทางที่นิ่งจนน่ากลัวของอีกฝ่ายทำให้ผมอยากจะ ขอโทษ

     

    ภาษามือที่หมายถึงขอโทษที่ญาติเคยสอนมา ผมจึงทำมือเท่าที่พอจะจำได้ แสดงสีหน้าเสียใจประกอบไปด้วย เขาจะได้รู้ว่าผมรู้สึกเสียใจจริงๆ

     

    คนตัวเล็กยิ้มออกมาทันที ก่อนจะตอบกลับคำขอโทษของผมด้วยภาษามือเช่นกัน เขากางฝ่ามือสองข้างหันเข้าหาตัว ส่ายหน้าพร้อมกับสะบัดปลายนิ้วทั้งสองให้สวนกันไปมาสามรอบ ว่าแต่...ท่านี้มันหมายถึงอะไรหว่า? แปลว่าไม่เป็นไรใช่มั้ยมั้ย?

     

    ผมร้องอ๋อทันที แล้วดีดนิ้ว เมื่อนึกได้ว่าท่านี้หมายถึง ไม่เป็นไร

    “ไม่เป็นไรใช่มั้ย? ท่าเมื่อกี้แปลว่าไม่เป็นไรใช่มั้ย?”คำตอบของผมเรียกรอยยิ้มได้อีกครั้งจากคนตัวเล็ก ผมเองก็อดภูมิใจกับตัวเองไม่ได้ ความจำเราก็ดีใช่ย่อยนะเนี่ย!

    ผมจึงคว้าเอาสมุดโน้ตเล่มใหญ่กับปากกาของเขา มาเขียนข้อความที่เป็นประโยคยาวๆแทนการใช้ภาษามือ ที่ผมรู้แค่งูๆปลาๆเท่านั้น เมื่อรถจอดเทียบป้ายที่ผมจะลง ผมจึงต้องรีบเขียนให้ไวกว่าเดิม ได้แต่หวังว่าเขาจะแกะลายมือของผมออก

     

    ขอโทษที่ฉันว่านาย ไม่คิดว่านายจะพูดไม่ได้ แล้วก็ขอโทษที่เสียมารยาทเรียกนายว่าคนใบ้ ทั้งที่รู้ว่ามันหยาบคาย ฉันมีญาติที่หูหนวก เลยได้เรียนรู้ภาษามือเล็กน้อยมาจากเขา

    ปาร์ค ชานยอล

    เมื่อเขียนเสร็จผมก็วางสมุดลงบนกระเป๋าของเขา แล้วรีบวิ่งลงจากรถทันทีก่อนที่รถจะออกแล้วผมต้องเสียเวลาไปลงป้ายหน้า

     

     

    “คงแย่มากเลยที่พูดไม่ได้ คราวหน้าถ้าฉันเจอนายอีก ฉันจะซื้อสมุดโน้ตอย่างดีกับปากกาเมจิกสีสวยๆให้
    นายนะ” ผมสัญญากับตัวเอง ก่อนจะวิ่งรอบสนามที่ยังคงเหลือหนทางอีกยาวไกล



     

    ---------------100%---------------

     

       


     

    [คุยกับไรท์เตอร์]

    เรียกว่ามาลงดูเรตติ้งก็ว่าได้ ตอนแรกๆมันก็แนวๆประมาณนี้แหละค่ะ 

    หลังจากนี้จะดราม่า หรือ เศร้า ยังไงก็คงต้องรอฟีลมันมาอีกที ห๊ะ!

     



    สำหรับใครที่เล่นทวิต รบกวนติดแท็ก #ฟิคเงียบ ให้ไรท์ทีนะคะ จะได้เช็คง่ายหน่อย

    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×