คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Silently III::แพนด้ากับหมาแบค [100%]
Silently III
แพนด้ากับหมาแบค
Author : Wi Lyn
วันนี้เป็นวันแรกที่ผมมาเริ่มงานที่ร้านของพี่ชานมี ร้าน Patici’er ร้านของพี่ชานมีจะเปิดตอนสิบโมงตรง ซึ่งวันนี้ผมไม่มีเรียน เลยมาช่วยพี่ชานมีเปิดร้านและเรียนรู้สิ่งต่างๆก่อนจะเริ่มงาน
“แบคฮยอน งานที่พี่จะให้เราทำก็ไม่มีอะไรมากนะ พี่อยากให้เราเรียนรู้การทำเค้ก เพราะร้านนี้มีพี่คนเดียวที่ทำเค้ก ส่วนเรื่องเครื่องดื่มเรามีพนักงานอีกคน เดี๋ยววันนี้ก็ได้เจอ แล้วก็งานย่อยๆอย่างเก็บโต๊ะ ถูพื้น พี่วานให้เราช่วยด้วยละกัน” ผมพยักหน้าทันที ที่ได้รู้ว่างานของผมไม่ต้องใช้เสียงเสียด้วยซ้ำ
ขอบคุณพี่ชานมีจริงๆที่อำนวยความสะดวกเรื่องงานกับเรื่องร่างกายของผมขนาดนี้ เพราะตอนสัมภาษณ์พี่ชานมีถามว่ามีโรคประจำตัวมั้ย? ผมจึงตอบไปตามความจริงว่าผมเป็นความดันโลหิตต่ำ ทำให้หน้ามืดได้ง่าย หากทำงานหนักเกินไป พี่ชานมีเองก็เข้าใจ และบอกว่าไม่ต้องห่วง พี่จะหางานที่เหมาะกับเราแล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น
ประตูหน้าร้านเปิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะหันไปเห็นผู้ชายตัวสูง ท่าทางดูแบดบอยมาก ใบหน้าหล่อเหลานั่นถ้าสาวๆเห็นคงได้ละลายตายกันไปข้าง ไหนจะรอยคล้ำใต้ตาที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์มากกว่าเป็นจุดด้อยนั่นอีก ผู้ชายด้วยกันยังมองว่าหล่อโคตรเลย!
ผมยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะพบว่านี่มันแปดโมงครึ่งเท่านั้น ป้ายหน้าร้านก็บอกอยู่ว่า Close อ่านไม่ออกรึยังไง!
ผมเดินไปหาคนตัวสูงทันที แล้วก็เอามือสองข้างดันหน้าอกเขาเอาไว้ แล้วใช้ท่าทางเป็นตัวบอกว่านี่มันยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน พร้อมกับจิ้มไปที่นาฬิกาข้อมือซ้ำๆ
คนตัวสูงหรี่ตามองแบบเนือยๆ ก่อนจะผลักหัวผมอย่างแรงให้หลบพ้นทางเดิน ผมเซไปนิดหน่อย ก่อนจะเบรกตัวเองทัน แล้ววิ่งไปหาพี่ชานมีทันที
หยิบสมุดเล่มเล็กที่ใส่ในผ้ากันเปื้อนขึ้นมาเขียนเพื่อฟ้องพี่ชานมีว่ามีลูกค้าเข้ามาตอนที่ร้านยังไม่เปิด พี่ชานมีขมวดคิ้วแล้วก็สบถเล็กน้อยก่อนจะออกเดินไปหน้าร้านทันที
ชายคนเดิมที่บุกเข้ามาเวลานี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดียวกันกับที่ผมใส่ ผมออกอาการงงเล็กน้อย ก่อนจะชี้นิ้วไปทางตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องวิ่งโร่ไปฟ้องพี่ชานมี
“แบคฮยอน นั่นเทา พนักงานอีกคนของร้านเราไง พนักงานที่อยู่ประจำเคาเตอร์เครื่องดื่มน่ะ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก” พี่ชานมีว่าก่อนจะจับหัวผมโยกไปมาสองที
อ้าว!นั่นก็พนักงานเหมือนกันหรอ? นึกว่าใครซะอีก ก็เล่นหล่อขนาดนี้ ใครจะไปคิดว่าจะมาทำงานร้านเค้กเล่า =_=
“ขี้ฟ้องจังนะนาย คราวหน้าก็หัดถามซะก่อนสิ ทำตัวเป็นพวกคิดไม่เป็นไปได้” นายเทาพูดประชดแล้วก็ส่ายหน้า เออเว้ย!สรุปนี่เราผิดใช่มั้ย?
ผมเลยเดินไปหลังร้านเพื่อไปเอาไม้ถูพื้นมาถูเพื่อที่จะได้เอาเก้าอี้ลงแล้วเริ่มจัดร้าน ผมถูพื้นไปเรื่อยๆแบบไม่รีบร้อน เพราะเวลานี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้าน ระหว่างถูพื้นสายตาผมก็เหลือบมองนายเทาอะไรนั่นเป็นระยะๆ
ดูท่าเขาจะค่อนข้างเก่งเลยทีเดียว เช็ดแก้วทรงสูงได้เร็วแล้วก็สะอาด ใสแจ๋วเชียว เผลอแป๊บเดียว เขาก็จัดร้านส่วนบาร์เครื่องดื่มเรียบร้อย
ก่อนจะเดินมาช่วยผมเอาเก้าอี้ลง แล้วก็เช็ดโต๊ะ ผมทึ่งเล็กน้อยกับน้ำใจของเขา แต่พอประโยคต่อมาที่หลุดจากปากนี่ ทำเอาความฟินนาเร่ในน้ำใจของคนหน้าโหดหายไปจนหมดเลย
“เห็นทำอยู่นานแล้ว ขาแขนสั้นสินะ เลยทำอะไรก็ช้ากว่าชาวบ้านเขาไปหมด” นี่เป็นครั้งแรกที่ผมอยากจะพูดได้เหลือเกิน อยากจะสวนคำด่ากลับไปมาก
ผมเลิกสนใจไอ้เทาอะไรนั่น แล้วก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อเรียนวิธีการอบเค้กเบื้องต้น
พี่ชานมีสาธิตวิธีทำเค้กช็อคโกแลตที่เป็นอีกเมนูที่ลูกค้ามักจะสั่ง สุดท้ายผมก็ได้รู้ว่า ผมเองก็ทำขนมเก่งใช่ย่อย พี่ชานมียังชมเลยว่าเรียนรู้ได้เร็ว ผิดกับชานยอล รายนั้นไม่อบเค้กไหม้ รสชาติก็กระเดือกไม่ลง
“แบคฮยอน เคยรู้สึกว่าอยากจะกลับมาพูดได้บ้างมั้ย?” ระหว่างที่รอเค้กสุกจู่ๆพี่ชานมีก็ถามคำถามขึ้นมา
ผมชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะคิดทบทวนว่า เคยมีมั้ย? ที่คิดอยากจะกลับไปพูดได้เป็นปกติเหมือนเมื่อก่อน
จนเมื่อได้คำตอบ ผมก็พยักหน้า ผมอยากพูดได้นะ อยากมาก แต่อย่างที่รู้ มันรักษาไม่ได้ ทำให้ผมเริ่มทำใจที่จะต้องใช้ชีวิตแบบไม่หือไม่อือ ไม่มีการออกความคิดเห็น
พี่ชานมีมีสีหน้าไม่ค่อยสดใสเท่าไร คงเป็นเพราะความเห็นใจที่พี่เขามีต่อผม ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีที่ผมต้องกลายเป็นแบบนี้
“แล้วพ่อกับแม่ล่ะ ท่านหายไปไหน?” พี่ชานมียังคงยิงคำถามเกี่ยวกับตัวผมเช่นเดิม คำถามนี้แม้จะผ่านมานานหลายปี แต่ผมก็ยังรู้สึกหน่วงทุกครั้งที่มีคนถามถึง
เหมือนมีใครเอาเหล็กร้อนๆไปจี้ที่หัวใจ เจ็บปวดเมื่อนึกถึงจนต้องควบคุมสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติ
ผมหยิบสมุดเล่มเล็กจากผ้ากันเปื้อนออกมาเขียน ตอบคำถามพี่ชานมี
‘พ่อกับแม่เสียไปแล้วครับ เสียตอนอุบัติเหตุ แต่ผมรอดมาได้ หลังจากนั้นผมก็อาศัยกับญาติ’ ผมเขียนตอบพี่ชานมี เรียกให้สีหน้าของพี่ชานมียิ่งสลดลงมากกว่าเดิมเมื่อได้อ่านข้อความ
พี่ชานมีจึงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยคำขอโทษออกมาที่ถามถึงเรื่องที่สะเทือนใจ ก่อนที่พี่ชานมีจะเปลี่ยนประเด็นไปพูดถึงเรื่องร้านนี้ให้ฟัง
พอทำเค้กเสร็จพี่ชานมีก็กวักมือเรียกนายเทาให้มาช่วยชิมฝีมือพ่อครัวอบขนมคนใหม่อย่างผม นายเทาเดินเหมือนผีซอมบี้หน้าตาหล่อเหลาเรื่องนึงที่ผมเคยดู ไหนจะเสียงครางฮือ ฮือ นั่นอีก นั่นคนใช่มั้ย?
เทาเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าผม ก่อนจะไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเอ่ยคำที่ทำให้ผมอยากจะถอดรองเท้าผ้าใบที่ใส่อยู่ไปยัดปาก
“เท่าที่ประเมินจากสายตาดูแล้ว ไม่น่าจะเกิน 175 ซม.นะ ฉันเดาถูกมั้ย?” เทาว่าพลางยื่นมือมาทาบหัวผมกับไหล่ตัวเอง
เดี๋ยวนะ!ไอ้นี่มันกำลังล้อผมว่า ‘เตี้ย’ ใช่มั้ย? นั่นคำเซนซิทีฟอันดับสองในชีวิตเลยนะ เฮ้ย!
พี่ชานมีหัวเราะดังลั่นทันที ก่อนจะสมทบนายเทาเพื่อแกล้งผมอีกคน
“เฮ้ย เทาเก่งนะเรา ในใบสมัครงานแบคฮยอนกรอกส่วนสูงมา 174 ซม. นายเดาเก่งอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ” พี่ชานมีหัวเราะเสียงดังพลางเอามือกุมท้อง
ก่อนที่ผมจะส่งมือตัวเองไปตีไหล่กว้างนั่น ก็ต้องหยุดชะงักลง เพราะเสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้น
“สวัสดีคร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบบบ นูน่าชานมีคนสวยของพวกผม” คณะประสานเสียงโอเปร่าเดินทางมาถึงสาธารณรัฐเกาหลีใต้แล้ว เฮ้ย!ไม่ใช่
กลุ่มผู้ชายห้าคนเดินเข้ามา ก่อนจะทักทายพี่ชานมีแล้วก็โค้งให้จนแทบจะจูบกับพื้น
“มาทำอะไรกันแต่เช้า นี่พึ่งจะเก้าโมงครึ่งเองนะ หรือว่าวันนี้จะมาช่วยพี่เรียกลูกค้า” พี่ชานมีเอ่ยทักทายกลุ่มหนุ่มๆที่พึ่งเข้ามาใหม่
สายตาผมก็สแกนทุกคนที่เดินเข้ามา คนแรกมีผิวขาวมาก แถมตัวก็สูง หน้าตาค่อนไปทางน่ารักมากกว่าหล่อ ส่วนคนที่สองสูงกว่าคนแรกเสียอีก แถมหุ่นก็ดี เหมือนนักกีฬาบาสเกตบอลเลย หน้าตาก็...มีคำที่สูงกว่าขั้นสุดของคำว่าหล่อมั้ยครับ?
คนที่สามก็ตัวเล็กนะ หน้าเกาหลีสุดๆ ยิ้มทีงี้ มองหาเตารีดแทบไม่ทัน ส่วนคนสุดท้าย ใบหน้าหวานๆนั่น ทำให้ผมละสายตาไปไหนไม่ได้เลย ไหนจะรอยยิ้มที่ดูสดใสนั่นอีก ชานยอลเดินรั้งท้ายเข้ามาก่อนจะเดินมาขนาบข้างคนตัวเล็กน่ารักคนสุดท้าย แล้วเอาแขนแกร่งพาดคอ
“ไอ้พวกนี้มันตั้งใจจะมากินเค้กฝีมือพี่ก่อนไปเรียนน่ะ แล้วก็จะมาช่วยเปิดร้านด้วย” ชานยอลเดินแหวกกลางมายืนอยู่หน้าสุด พร้อมๆกับมือที่กุมกับคนตัวเล็กหน้าตาน่ารักที่ผมเองยังหยุดมองไม่ได้
ผมมองไล่ตั้งแต่มือเรื่อยขึ้นมาจนถึงใบหน้า ก่อนจะสบตาเข้ากับใครบางคน ที่ถึงแม้ปากจะยิ้ม แต่แววตาเขากลับไม่ค่อยเป็นมิตรซักเท่าไร
ชานยอลหันมาทางผมก่อนจะโบกมือทักทาย แล้วก็เริ่มต้นแนะนำผมให้เพื่อนๆของเขารู้จักทันที
“ทุกคนนี่แบคฮยอนที่กูเคยเล่าให้พวกมึงฟังไง ส่วนไอ้นี่ ชื่อเซฮุน คนข้างๆที่หล่อๆนั่นก็ชื่อ คริส ส่วนไอ้เตี้ยนั่นก็ จงแด ส่วนคนนี้ แฟนเราเอง ชื่อลู่ฮาน” ชานยอลแนะนำเพื่อนๆของเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมสรรพนามล้อเลียนเพื่อนตัวเอง
ผมจึงก้มหัวลงเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะมีบางประโยคสวนขึ้นมาที่เล่นเอาผมตัวชาไปชั่วครู่
“คนนี้หรอ? ที่ยอลเล่าให้ฟังอ่ะ เป็นใบ้ใช่มั้ย?” อีกแล้ว ผมเจอคำนี้อีกแล้ว ต้องโดนจิกเรียกแบบนี้ไปทั้งชีวิตเลยใช่มั้ย?
“ลู่ฮาน ไม่เอานะ อย่าเรียกแบคฮยอนแบบนั้น แบคฮยอนเป็นคนน่ารักนะ” ชานยอลหันไปปรามแฟนตัวเองก่อนจะเอามือลูบหัวอย่างเอ็นดู
นี่สินะ สาเหตุที่เขามองผมด้วยสายตาไม่เป็นมิตรในตอนแรก คนหน้าตาน่ารักถึงได้เลือกใช้คำพูดเชือดเฉือนไม่รักษาน้ำใจกันซักนิด
คนที่ชื่อจงแด เลยเอ่ยปากชวนทุกคนไปนั่งที่โต๊ะ เพื่อทำลายบรรยากาศไม่ดีทันที
“ชานยอล ทำไมมึงยอมให้ลู่ฮานเรียกแบคฮยอนแบบนั้นวะ เสียมารยาทว่ะ แฟนมึงอ่ะ” คริสเดินเข้าไปกระซิบกับชานยอล แต่เพราะผมเดินตามหลังมาทำให้ได้ยินโดยอัตโนมัติ
คริสเห็นผมเดินตามหลังมาก็ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ช่างมันเถอะ!บางทีลู่ฮานเขาอาจจะไม่ถูกชะตากับเราก็ได้ คิดได้ดังนั้นผมก็เตรียมจะหันหลังกลับไปช่วยพี่ชานมีในครัว
แต่ตาเจ้ากรรมดันเหลือบไปเห็นเพื่อนชานยอลที่ชื่อเซฮุน จับมือลู่ฮานจากทางข้างหลัง ในขณะที่อีกมือของลู่ฮานก็ยังคงจับกับชานยอล แล้วไหนจะสายตาที่ทั้งสองส่งให้กันอีก
บอกผมทีว่าเมื่อกี้นี้ผมตาฝาด!
-----------------50%--------------
สงสัยเมื่อกี้ตาไม่ดีมั้ง? ช่างมันเถอะ เรื่องของคนอื่นเขา เราไม่ควรเสือก ฮะ!!!
“เฮ้ย!ชานยอล แบคฮยอนน่ารักดีนะ กูว่าหลังจากนี้กูจะแวะมาร้านพี่มึงบ่อยๆแล้วล่ะ” ไอ้คริสว่าพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะจ้องแบคฮยอนไม่วางตา
“มึง...ชอบเขาหรอ?” ผมถามออกไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจ ปกติคริสไม่ค่อยสนใจใคร ถ้าคนๆนั้นไม่พิเศษพอให้สายตาคริสหยุดมอง
“ประมาณนั้น แต่ก็ไม่แน่ใจนะ ดูท่าเขาจะไม่ค่อยสนกูเท่าไร” คริสว่าพลางยักไหล่ ตกลงยังไงของมัน ชอบหรือไม่ชอบ พูดให้เคลียร์ดิ!
“ไอ้คุณคริสครับ แบคฮยอนพูดไม่ได้นะครับ ข้อนี้มึงโอเคหรอ?” คริสหันมาจ้องหน้าจงแด พร้อมๆกับชานยอล ก่อนจะโดนสายตาทิ่มแทง เหตุเพราะพูดไม่เข้าหู
“แล้วยังไงวะ พูดไม่ได้ก็ดีซะอีก ไม่ต้องมาคอยตามตื๊อ ตามบ่น ตามจิกให้น่ารำคาญ อีกอย่าง กูว่าเขาเป็นเด็กดี เห็นกูชอบหม้อคนอื่น แต่กูก็เลือกนะเว้ย” คริสพูดก่อนจะหัวเราะคนเดียว
ผมฟังแล้วบอกตามตรงว่า หงุดหงิด ตัวโตๆ เลยครับ ผมหงุดหงิด
ผมก็ดีใจนะที่คริสมันไม่คิดมากเรื่องที่แบคฮยอนพูดไม่ได้ แต่ไอ้ที่มันบอกว่าจะได้ไม่ต้องมีคนคอยตามจิก ตามบ่นนี่ นั่นหมายความว่า ถ้ามันได้แบคฮยอนมันก็จะไปหาคนอื่นใช่มั้ย?
ผมมองตามแบคฮยอนที่กำลังเดินวนไปวนมาเพื่อหาของ ก่อนจะเปิดตู้ที่อยู่บนสุดเพื่อเอื้มหยิบแก้ว แต่เพราะส่วนสูงที่ทำให้ต้องเขย่งจนสุดเท้า
ถึงแม้จะเขย่งสุดความสูง แต่ก็ยังคว้าแก้วไม่ได้ซักที ผมเลยตั้งใจจะเดินไปหยิบให้ แต่เทาก็เดินออกมา ก่อนจะเดินไปซ้อนหลังแบคฮยอนแล้วเอื้อมมือไปหยิบแก้วให้ ก่อนจะส่งแก้วใบนั้นให้แบคฮยอนไป
ผมมองเทาอย่างจับผิด ก็ปกติมันเคยสนใจใครล่ะ ทำหน้าเหมือนแพนด้าง่วงอยู่ตลอดเวลา สงสัยที่บ้านมันลืมเซ่นใบไผ่ให้กิน (ไม่เกี่ยวนะ ^^) แต่วันนี้มันดันช่วยแบคฮยอน
แบคฮยอนเดินออกมาจากหลังร้านพร้อมกับถือถาดที่มีจานเค้กอยู่ห้าจาน พร้อมกับเครื่องดื่มอีกจำนวนหนึ่ง คริสเห็นว่าแบคฮยอนถือถาดหนัก เลยอาสาลุกขึ้นไปช่วย
สงสัยแม่งอยากจะทำคะแนน ฮึ่ย!!!
แบคฮยอนจัดการวางอาหารว่างลงบนโต๊ะ ก่อนจะล้วงเอาสมุดโน้ตเล่มเล็ก กับปากกาลูกลื่นธรรมดาขึ้นมาเขียน พอเขียนเสร็จก็ฉีกกระดาษหน้านั้นส่งให้ผม
‘กินเยอะๆนะ อร่อยไม่อร่อยบอกเราด้วย เราทำเอง ^^’ นี่ทำเองหรอเนี่ย?
“ทำเองหรอเนี่ย? นี่ไปเรียนมาจากไหนกันอ่ะ?” ผมเอ่ยถามแบคฮยอนอย่างรู้สึกประหลาดใจ
มีอะไรที่คนตัวเล็กคนนี้ทำไม่ได้บ้างมั้ยน๊า!!!
แบคฮยอนตั้งท่าจะเดินหันหลังกลับ แต่คริสก็คว้าข้อมือคนตัวเล็กเอาไว้เสียก่อน ก่อนจะดึงให้นั่งลงข้างๆตัวเอง
“อ่ะนี่ นายทำเอง ก็ควรลองชิมดูเองก่อนนะ” คริสว่าก่อนจะใช้ส้อมจิ้มชิ้นเค้กช็อคโกแลตขึ้นมาคำหนึ่ง
ผมและเพื่อนๆที่เหลือไม่คิดว่ามันจะรุกขนาดนี้ ดูแบคฮยอนสิ เอียงคอเป็นท่าหมางงไปเลย
แบคฮยอนส่ายหน้าไปมา แล้วก็โบกมือ แต่พอโดนคริสคะยั้นคะยอมากๆเข้า ก็ยอมแพ้ กินเค้กคำที่คริสป้อนให้แบบขอไปที
“อร่อยมั้ย?” คริสถามแบคฮยอน ก่อนที่หัวเล็กๆนั้นจะพยักหน้ารัวๆไปมาเหมือนตุ๊กตาดุ๊กดิ๊กหน้ารถ
คริสเห็นว่าที่มุมปากของแบคฮยอนมีครีมช็อคโกแลตติดอยู่ เลยเอื้อมมือไปเช็ดออกให้ ทำให้คนตัวเล็กถึงกับตาโตทันที O_O
เกิดมาไม่เคยมีใครทำอย่างนี้เลยนะ แล้วนี่อะไรกันเนี่ย?
รู้สึกมึนหัว ตัวร้อน ตาลาย ปวดหัวไม่หาย ความดันขึ้น โอยยยยยยยย!!!!!!
-----------70%----------
จ ำได้ไหม? ที่ผมเคยบอกว่าความฝันของผมคือการเป็นนักร้อง
แต่เพราะกลายเป็นคนพิการพูดไม่ได้ ทำให้ความฝันที่เคยสวยหรูต้องพังลง
แต่ตอนนี้จะเรียกว่ามีอีกคนมาช่วยขีดความฝันครั้งใหม่ให้ก็ว่าได้
พี่ชานมี เปรียบเหมือนนางฟ้าสำหรับผม (แต่ชานยอลกรอกหูผมเสมอว่าพี่ชานมีคือซาตาน =_=)
ผมมาทำงานที่ร้าน Patici’er ได้เดือนกว่าแล้ว เงินเดือนๆแรกพี่ชานมีก็ให้ตามค่าแรงปกติที่ควรจะได้รับ เงินที่ผมได้รับส่วนหนึ่งก็เก็บเอาไว้ในบัญชีไว้ใช้ยามจำเป็น ส่วนอีกครึ่งถึงแม้จะเป็นเงินเล็กๆน้อยๆแต่ผมก็โอนเข้าบัญชีให้ป้าที่เลี้ยงดูผม
แม่สอนผมเสมอว่า ให้รู้จักกตัญญูรู้คุณคน หากใครช่วยเหลือเรา เราควรรู้จักตอบแทน ในเวลานี้ก็เช่นกัน ผมกำลังทำหน้าที่พนักงานที่ดี เพื่อตอบแทนพี่ชานมีที่หยิบยื่นโอกาสให้กับผม
“หมา กินข้าวมายัง วันนี้แม่เราทำหมูผัดเปรี้ยวหวาน เลยตั้งใจจะเอามาแบ่งกินกับนาย” เสียงเทาดังขึ้นข้างๆตัว
ตอนนี้เพื่อนคนนี้เป็นคนที่ผมสนิทที่สุดก็ว่าได้ เพราะเราทำงานที่ร้านพี่ชานมีเหมือนกัน เจอกันแทบทุกวัน แรกๆก็ทะเลาะกันบ่อยอยู่หรอก(แกทะเลาะกับเทายังไงฮะ แบค) แต่หลังๆดูเหมือนเทาอยากจะสงบศึกแล้วจับมือเป็นพันธมิตรเสียมากกว่า
“หมา วันนี้เลิกงานแล้วไปซื้อของขวัญวันเกิดให้ม๊าเป็นเพื่อนหน่อยดิ ช่วยเลือกหน่อย ไม่รู้จะซื้อไรดี ม๊ายิ่งเรื่องมากอยู่” ผมได้ยินแล้วก็ตีไปที่แขนแกร่งแรงๆทีนึง โทษฐานที่เอาแม่มานินทา
วันนี้ผมกับเทาเลยออกมาเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆกับบ้านของผม เพราะจะได้สะดวก ผมพาเทาเดินเข้าร้านนี้ ออกร้านนั้น ปากก็บ่นว่า ‘ม๊าไม่ชอบหรอก’ ‘อันนี้ม๊ามีแล้ว’ ‘ม๊าไม่ชอบสีนี้’ ผมเริ่มรำคาญนิดๆแล้วนะ!
‘เทา เลือกซักอย่างได้มั้ย? นี่เราเดินกันมาจะสามชั่วโมงแล้วนะ เราเมื่อยแล้วด้วย ม๊าเทาชอบอะไรเป็นพิเศษมั้ย?’ ผมตัดสินใจเขียนเพื่อดุทันที ก่อนจะถามถึงสิ่งที่ม๊าของเทาชอบ
“ม๊าชอบเครื่องหอมนะ พวกน้ำมันหอมระเหย อโรมาเทอราปิไรเงี้ย ม๊าชอบแช่น้ำในอ่างอาบน้ำนานมาก ห้องน้ำมีแต่กลิ่นดอกไม้ด้วย” เออ!ทำไมผมไม่ถามมันตั้งแต่แรก แล้วที่เดินขาลากมาเกือบสามชั่วโมงเพื่อ?
ผมพยักหน้า ก่อนจะพากันเดินหาร้านที่ขายเกี่ยวกับพวกเครื่องหอม สุดท้ายของขวัญวันเกิดม๊าของเทา ก็เป็นเซ็ตน้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกกุหลาบ
นี่ถ้าเทาไม่ได้สัญญาว่าจะเลี้ยงข้าวเย็นผมมื้อใหญ่ ผมคงไม่ออกมาเดินขาลากเป็นเพื่อนเขาหรอกครับ (แบคฮยอนเป็นคนดีนะพี่ชาย ^^)
จนพอ 5 โมงครึ่ง ผมก็เริ่มท้องร้อง เพราะวันนี้คนเข้าร้านเยอะ จนผมไม่มีเวลากินข้าวเลย ตั้งแต่ตอนเช้าก็กินหมูผัดเปรี้ยวหวานฝีมือม๊าเทาไปไม่กี่คำเอง
เทาเลยพาผมเข้าไปกินอาหารญี่ปุ่นในห้างเพื่อตากแอร์เย็นๆ ทั้งๆที่เทาบอกว่าจะเลี้ยงผม แต่เขากลับสั่งของตัวเองเป็นชุดจัมโบ้เซ็ต แล้วบอกให้ผมกินแค่ราเมงถ้วยเดียวก็พอ เพราะผมไม่ต้องการสารอาหารเยอะเช่นเขา =_=
“หมา อีกปีเดียวก็จะเรียนจบแล้ว จะทำไรต่ออ่ะ เรียนต่อป้ะ?” เทาถามพลางยกแก้วชาเขียวซดดัง ซู๊ด!
เล่นเอาคนหันมามองกันทั้งร้าน แต่เทาถือคติ ด้านได้ อายอด แค่นี้มันเลยไม่แคร์...
‘ก็ตั้งใจจะเรียนต่อนะ ตอนนี้กำลังดูๆทุนอยู่ อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ’ ผมเขียนตอบไปอย่างรวดเร็วด้วยความเคยชิน ก่อนจะเงยหน้ามองเทาที่คิ้วขมวดเป็นปมไปเรียบร้อย
“ทำไมต้องเมืองนอก เรียนที่นี่ไม่ได้หรอ?” เทาขึ้นเสียงถามผม ก่อนจะหรี่ตามองเหมือนตำหนิ
‘แค่อยากหาประสบการณ์เท่านั้นเอง อีกอย่างก็แค่คิดไว้ จะสอบได้มั้ยยังไม่รู้เลย’ ผมเขียนตอบไปอีกครั้ง ก่อนจะโบกมือบอกให้เลิกถาม แล้วหันมาสนใจชามราเมงของตัวเอง
เราสองคนใช้เวลาอยู่ในร้านอาหารเกือบสองชั่วโมง จนตอนนี้ใกล้จะสองทุ่มแล้ว ผมเลยขอตัวกลับบ้าน เพราะพรุ่งนี้มีเรียนตอนเช้า
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่คนกำลังพลุกพล่านเลย สองข้างทางมีแต่วัยรุ่นมาเดินช็อปปิ้ง มาเดทกันบ้างตามประสาคู่รัก ผมก็ได้แต่มองซ้ายขวาไปอย่างเพลิดเพลิน
ก่อนสายตาจะไปหยุดที่คนสองคนกำลังยืนจูบกัน ท่ามกลางผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา แล้วก็มองพวกเขาสองคนอย่างสงสัย
การแสดงความรักของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บางคนไม่ชอบให้แสดงความรักอย่างโจ่งแจ้ง บางคนก็ชอบแสดงความรักในที่สาธารณะ มันคงไม่แปลกหากสองคนนี้จะเป็นคนประเภทที่สอง
ถ้าคนสองคนที่ผมเห็นไม่ใช่ เซฮุนกับลู่ฮาน!!!
เซฮุน ที่เป็นเพื่อนรักของชานยอล
ลู่ฮาน ที่เป็นคนรักของชานยอล
จะหาข้ออ้างอะไรที่ฟังแล้วดูดีได้ในเวลานี้ จะหาคำแก้ตัวใดๆในเมื่อเหตุการณ์ตรงหน้านี้มันชัดเจน
เพราะสนิทกันงั้นหรอ? หรือเป็นการทักทายแบบใหม่ที่ผมยังไม่เคยเห็นเพราะผมมันล้าหลัง? หรือเพราะอีกคนเป็นแฟนของเพื่อน? หรือเพราะสองคนนี้กำลัง ‘หักหลัง’ เพื่อนและคนรักของตัวเอง?
ผมไม่ตัดสินใจใครจากภายนอก เพราะเชื่อว่าทุกการกระทำของบุคคลนั้นย่อมมีเหตุผล แต่ทำไม...พอเห็นเซฮุนกับลู่ฮานแล้ว ผมถึงเชื่อเช่นนั้นไม่ลง
ชานยอลเปรียบเหมือนเพื่อนอีกคนของผม เขาคอยห่วงใย เอาใจใส่อยู่เสมอ ผมไม่เคยลืมว่าตั้งแต่พบเขา ชีวิตผมดีขึ้นมากแค่ไหน ทุกวันนี้อะไรที่พอจะตอบแทนร่างสูงได้ แบคฮยอนคนนี้ก็พร้อมจะทำ
แต่...หากผมเป็นชานยอล ผมจะรับมือกับเรื่องนี้ได้ยังไง? ผมรู้ว่าชานยอลจริงจังกับลู่ฮาน เพราะเคยได้ยินชานยอลถามพี่ชานมีว่า จะเป็นยังไง หากชานยอลตกลงปลงใจกับลู่ฮาน
ซึ่งพี่ชานมีก็ไม่คัดค้าน หากนั่นคือความสุขของน้องชายเพียงคนเดียวของเธอ ผมเองก็ยินดี เพราะชานยอลก็เหมือนผู้มีพระคุณอีกคนของผม
ผมตัดสินใจบอกกับตัวเองว่า เมื่อกี้เราไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น ก่อนจะกลับหลังหันเดินเลี่ยงไปอีกทาง จิตใจว้าวุ่นคิดแต่เรื่องเมื่อครู่ ทั้งที่พยายามสลัดทิ้ง
เรื่องของเราก็ไม่ใช่ จะเก็บมาใส่ใจทำไมก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ สิ่งเดียวที่เป็นห่วงคือ ความรู้สึกของชานยอล
หากวันหนึ่งชานยอลรู้เรื่องนี้ล่ะ? หากวันหนึ่งชานยอลต้องเจ็บปวดเพราะคนสองคนนั้นล่ะ? มีอะไรที่ผมพอจะช่วยเขาได้บ้างไหม?
ช่วงที่ผมกำลังเดินคิดอะไรเพลินๆทำให้ไม่ทันสังเกตว่ามีคนรั้งกระเป๋าผมเอาไว้ ว่าแล้ว!เดินตั้งนานทำไมไม่ไปไหนซักที...
ก่อนจะหันกลับไปมองก็เจอชานยอลยืนยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว ประหนึ่งพรีเซนเตอร์ดาร์ลี่
“มาแอบหนีเที่ยวที่นี่เอง ว่าแล้ว ทำไมเข้าไปที่ร้านถึงไม่เจอ” ชานยอลเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะเดินมาเขกหน้าผากผมหนึ่งที
ทำให้ผมต้องยกมือตัวเองขึ้นมาลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ แค่นี้ไม่เจ็บหรอก...
ผมถอดสายสะพายกระเป๋าออกจากไหล่ข้างหนึ่ง ก่อนจะวาดกระเป๋ามาข้างหน้า แล้วรูดซิปเอาสมุดกับปากกาออกมา
‘วันนี้มาช่วยเทาซื้อของขวัญให้ม๊าเขาน่ะ ใกล้จะวันเกิดม๊าเทาแล้วไง’ ผมเขียนใส่กระดาษด้วยปากกาหมึกสีพีชที่ชานยอลชอบ
ชานยอลพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะลากผมกลับไปในทิศทางเดิมที่ผมเดินมา ตอนแรกผมก็เดินตามแรงลากของเขาอยู่นะ แต่พอนึกขึ้นได้ ว่าถ้าไปทางนั้น เขาอาจจะเจอกับเซฮุนและลู่ฮานได้
ผมยื้อข้อมือของตัวเองเอาไว้ จนชานยอลหันมามองหน้า ผมเลยชี้นิ้วไปในทิศตรงกันข้าม เพื่อชวนให้คนตัวสูงเดินไปอีกทาง นึกขอบคุณที่ตัวเองพูดไม่ได้ขึ้นมาตงิดๆ เพราะไม่งั้น คงได้ตอบคำถามกันยาวเลยทีเดียว
“อะไรของนายนะ ไปทางนั้นใช่มั้ย? ก็ได้ ว่าแต่...กินข้าวรึยัง?” ชานยอลยอมผ่อนแรงที่ข้อมือผม ก่อนจะยอมเป็นฝ่ายให้ผมลากเขาเดินไปอีกทาง
ผมพยักหน้าว่ากินแล้ว หลังจากนั้นตลอดทางเราสองคนก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย
แต่จู่ๆชานยอลที่ตอนแรกไม่ได้แสดงสีหน้าหงุดหงิด กลับคิ้วขมวดขึ้นมาดื้อๆ
ผมจึงถามเขาด้วยภาษามือ เพื่อถามว่า เป็นอะไรรึเปล่า? ผมแบฝ่ามือทั้งสองข้าง จากนั้นให้ปลายนิ้วมือทั้งสองข้างทำมุมเป็นรูปตัววีโดยหันฝ่ามือเข้าหาลำตัว บริเวณหน้าอก แล้วลากมือในแนวเฉียงขึ้นเป็นรูปตัววีจนถึงระดับไหล่ จากนั้นกำนิ้วมือทั้ง 4 โดยชูนิ้วโป้งหันเข้าหากัน
*สำหรับท่านี้ไรท์ลองทำแล้วค่อนข้างงงเหมือนกันนะคะ ถ้าใครอ่านแล้วไม่เข้าใจก็ขออภัยด้วย
“ความจริงแล้ว วันนี้เราไม่ได้มาเดินคนเดียวหรอกนะ เรามากินข้าวเย็นกับลู่ฮานน่ะ แต่อยู่ดีๆลู่ฮานก็ขอตัวกลับก่อน บอกว่ามีธุระกับที่บ้าน แล้วก็ทิ้งเราดื้อๆเลย” ชานยอลตอบพลางทำสีหน้าน้อยใจแฟนคนสวยของตัวเอง
งั้นก็หมายความว่า ลู่ฮานทิ้งชานยอลไปกับเซฮุน หมายความว่าลู่ฮานเลือกที่จะทิ้งชานยอลไว้ข้างหลังแล้วไปกับเซฮุนงั้นหรอ?
คงยากแล้วนะ ที่จะให้ฉันมองพวกนายสองคนด้วยความรู้สึกดี......
ผมตบบ่าชานยอลสองสามที ก่อนจะชวนคนตัวสูงไปดูวิวแม่น้ำฮัน บางที...มันอาจช่วยให้จิตใจชานยอลที่กำลังรู้สึกแย่ ดีขึ้นมาบ้าง
ถึงแม้เวลานี้มันจะทำได้แค่ยืดเวลาออกไป แต่อย่างน้อย ขอให้คนตัวสูงตรงหน้ายังคงหลงเหลือรอยยิ้มที่แสนสดใสนั้นเอาไว้บนใบหน้าก็ยังดี
หากว่าเวลาแห่งความเสียใจใกล้เข้ามา ผมเองก็อยากจะเป็นบ่าให้คนๆนี้ได้พึ่งพิง ถึงแม้จะไม่ใช่ไหล่กว้างที่อบอุ่น แต่อย่างน้อย คนที่ทั้งชีวิตเจอแต่ความลำบากอย่างผม คงพออยู่เป็นเพื่อนคลายเศร้าให้เขาได้บ้าง...
-You may only be one person to the world but you may also be the world to one person-
-คุณอาจเป็นแค่ “คนๆหนึ่ง” ในโลกใบนี้ แต่คุณอาจจะเป็น “โลกทั้งใบ” ของคนอีกคนก็ได้-
--------100%-------
[คุยกับไรท์เตอร์]
อัพให้ครบแล้วนะคะ ^^
มาอีกทีเย็นวันพุธนะ รอกันหน่อยดีมั้ย?
เห็นคอมเม้นท์บอกอ่านแล้วร้องไห้สงสารแบค
ขอบคุณนะคะ ที่เข้าถึงปมของแบคได้
ซึ่งบอกไว้ล่วงหน้าว่าแบคจะน่าสงสารได้อีก อ่านตอนนี้แล้วก็อย่าพึ่งด่าพี่ลู่นะ
ต้องติดตามกันด้วยว่า เอ๊ะ!ฮุนฮานนี่ยังไง
ตอนแรกตั้งใจจะให้จงอินเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของชานยอล
แต่เพราะไรท์เองกำลังติด วนสต.อยู่
ซึ่งหมั่นไส้จงอินมาก เลยริบบทมันซะเลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
ซึงจะโผล่มามั้ย? ก็ต้องติดตามนะคะ
เม้นท์ติชม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะ ^^
ส่วนเรื่องของฮุนฮาน อย่าพึ่งตัดสินอะไรไปก่อนนะคะ ปย๊ง!!!!
สำหรับใครที่เล่นทวิต รบกวนติดแท็ก #ฟิคเงียบ ให้ไรท์ทีนะคะ จะได้เช็คง่ายหน่อย
ความคิดเห็น