ตอนที่ 5 : ความลับที่ 4
ความลับที่ 4
By Shining Aun
[ทวิตเตอร์@Shining_Aun]
[Facebook Fanpage @ShiningAun]
แทฮยองลืมตาตื่นขึ้นมาได้พักใหญ่แล้ว
นัยน์ตาคมเหลือบมองนาฬิกาติดผนังที่บอกเวลาหกโมงกว่า ปกติแล้วเขาจะตื่นนอนเวลานี้เป็นประจำโดยที่ไม่ต้องมีใครมาปลุก ถ้าเป็นตอนอยู่กับจีฮุนก็คงต่างคนต่างลุกจากเตียงไปรอต่อแถวอาบน้ำแต่งตัวกันแล้ว
แต่พออยู่ที่นี่เขากลับขยับลุกไปไหนไม่ได้เพราะน้องชายคนกลางมันยังไม่ตื่น
จริงๆ แล้วไอ้ไม่ตื่นน่ะไม่มีปัญหาหรอก
เพราะว่าปัญหามันอยู่ที่แขนของเขาที่กำลังถูกหนุนด้วยศีรษะกลม กับลำตัวที่ถูกทาบทับด้วยเรียวแขนอุ่นนั่นต่างหาก
พี่คนโตลอบมองใบหน้าของคนที่ผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ แขนข้างที่ไม่ถูกทับเอื้อมไปปัดเส้นผมสีดำขลับที่ปรกหน้าปรกตาน้องอยู่ให้ขยับออก ไล่สายตาไปสำรวจทั่วกรอบหน้าน่ารักอย่างที่ไม่มีโอกาสได้เคยทำ
ตอนหมดฤทธิ์ก็น่ารักดีออก ถ้าเป็นเด็กดีเหมือนจีฮุนหน่อยล่ะก็นะ ต่อให้เป็นมนุษย์ต่างดาวยังหลงมันเลยมั้ง
แล้วไอ้จองกุกอะไรนั่นน่ะกล้าดียังไงจะมาทิ้งน้องเขาไป
แววตาแข็งกร้าวสะท้อนภาพใบหน้าในรูปโปรไฟล์ของเด็กมหาลัยโดยไม่รู้ตัว ความร้อนรุ่มเริ่มก่อตัวขึ้นในอกพร้อมกับความคิดที่ว่าน่าจะแก้เผ็ดไอ้เลวนั่นซะบ้าง
‘เอาไว้วันหลังได้ไหม วันศุกร์ก็ได้ พี่ไม่มีเรียนนี่ ผมจะไปหาเอง…’
มุมปากบางของคนเจ้าแผนการขยับยิ้ม เหลือบมองปาร์ค จีมินเล็กน้อยก่อนจะชะงักไปเมื่อน้องเริ่มขยับตัว เปลือกตาสีระเรื่อค่อยๆ ปรือเปิด สายตาดูงัวเงียก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นเขา
“ถ้าตื่นแล้วก็ลุกไปได้แล้ว” คนเป็นพี่ว่าเสียงเรียบ พอเด็กอายุสิบเก้านั่นขยับลุกออกไปแขนของเขาก็ชาวาบ กายหนาขยับตัวลุกขึ้น ใช้มืออีกข้างบีบแขนที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างสะดวกมาไม่รู้กี่ชั่วโมงแล้ว
จีมินมองตามมือใหญ่นั่นอย่างอึกอัก หัวใจเต้นโครมครามราวกับอยากจะทะลุออกจากอกเต็มที่ขณะที่มองแขนคนโตกว่า
ตอนเขาตื่นมาอีกคนก็กำลังตื่นอยู่นี่นา
แล้วทำไมถึงปล่อยให้เขานอนต่อโดยไม่ว่าอะไรเลยล่ะ
ความเห่อร้อนแผ่ซ่านไปทั่วกายเล็ก เลือดสูบฉีดจนแทบไม่หลงเหลือความง่วงหรืออาการปวดตุบที่หัวเหมือนกับตอนที่เพิ่งรู้สึกตัวตื่น
“จะอาบน้ำก่อนหรือจะให้กูอาบก่อน”
“ด...เดี๋ยวอาบทีหลัง”
เอ่ยตอบกลับไปเบาๆ ขณะที่ร่างกายยังร้อนรุ่มอยู่ เหมือนว่าเส้นเลือดที่แขนจะเต้นตุบๆ ขึ้นมาเพราะนึกได้ว่าก่อนหน้านี้เขาใช้มันกอดอีกคนเอาไว้ด้วย
“มองอะไร” ฝืนถามเสียงนิ่งเมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้อง ตวัดสายตาไปมองอีกคนเล็กน้อยก่อนจะหลุบต่ำลงอีกครั้ง
“จะไปหามันอีกไหม”
“....”
คราวนี้ตากลมเคลื่อนไปสบกับคนโตกว่าตรงๆ ความเคอะเขินก่อนหน้านี้จางหายไปทันใด จีมินเม้มปากเล็กน้อยเมื่อไม่มีคำตอบให้ เคลื่อนสายตาไปมองรอบห้องที่มีเพียงแสงสว่างอ่อนๆ ลอดผ่านม่านสีนวลเข้ามา
“...ไม่รู้…” ในที่สุดก็ยอมตอบออกไปเสียงแผ่ว ขอบตาร้อนจี๋ขึ้นมาอีกแล้ว
ทำไมเขาถึงได้เห็นภาพที่จองกุกจูบอยู่กับใครไม่รู้ได้ชัดเจนมากขนาดนี้กันนะ
ทำไมถึงได้เจ็บปวดราวกับว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น ตรงที่ทั้งสองคนจูบกัน โดยที่หนึ่งในนั้นเคยเป็นเขากันนะ
“แล้วเมื่อคืนร้องไห้ทำไม”
คนที่ร้องไห้เมื่อคืนเม้มปากแน่น จู่ๆ น้ำเสียงของควานลินที่เอ่ยบอกเขาว่าเจ้าตัวเห็นอะไรก็ดังแว่วเข้ามาในหู
“จะถามทำไมนักหนา” เอ่ยถามกลับไปอย่างประชดประชันเล็กน้อย หลุบตาลงต่ำมามองสองมือของตัวเองที่จิกรั้งผ้าห่มเอาไว้แน่น
“เป็นห่วงมั้ง”
คนถูกเป็นห่วงหันขวับไปมองพี่ชาย เพราะอีกคนมีสีหน้าจริงจังผิดกับคำที่เอ่ยออกมาขอบตาของเขาก็ถึงได้เริ่มชื้นแฉะ ใจดวงน้อยที่กำลังเต้นแผ่วๆ เริ่มสั่นไหว
มือบางกำลังจะยกขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อคลอออกอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าฝ่ามือของคนตรงหน้าเอื้อมมาแตะศีรษะของเขาเบาๆ เสียก่อน
“เลิกร้องไห้เป็นเด็กสักที มึงอายุสามขวบหรือไง”
“อ...ไปอาบน้ำสักทีได้ไหม รำคาญ” จีมินปาดน้ำตาที่คลออยู่ออก ปัดมือใหญ่ที่กำลังลูบหัวเขาออกไปด้วย ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของอีกฝ่ายก่อนที่กายหนาจะขยับลงจากเตียงไป
มุมปากอิ่มฉีกยิ้มกว้างขึ้นทว่าน้ำตากลับไหลออกมาไม่หยุด
เป็นห่วงมั้งเหรอ
ลูบหัวเหรอ
เมื่อวานยังด่าเขาอยู่เลย เป็นบ้าหรือไงคิม แทฮยอง
ไม่นานนักหลังจากที่แทฮยองออกไปเขาก็ได้อาบน้ำแต่งตัวบ้าง เดินออกมาจากห้องเตรียมจะลงไปชั้นล่างเพื่อรอทานอาหารเช้าตอนแปดโมง ทว่าเสียงพูดคุยแผ่วเบาที่ดังมาจากห้องนั่งเล่นก็ทำเอาชะงักไปเสียก่อน
คนตัวเล็กพยายามจะเดินย่องให้เบาที่สุด เพราะฟังจากเสียงซุบซิบนั่นแล้ว ดูท่าคนพูดจะไม่ค่อยอยากให้ใครได้ยินนัก ปาร์ค จีมินหยุดลงที่มุมกำแพงเพื่อจะเงี่ยหูฟังให้แน่ใจก่อนว่าเขาจะไม่ถูกจับได้
“...จีมินอาบน้ำอยู่”
คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อเสียงซุบซิบนั้นเอ่ยถึงตัวเอง เสี้ยวหน้าหวานชะโงกไปมองในห้องนั่งเล่นเล็กน้อย ก่อนจะต้องเบิกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นคนสองคนกำลังคร่อมกันอยู่บนโซฟา
“...พี่ซูบินก็ยังไม่ตื่นเหมือนกันครับ”
...แทฮยองกับจีฮุน
มือบางยกขึ้นมาแตะริมฝีปากตัวเอง รีบขยับกลับมาหันหลังพิงกำแพงด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก ตากลมกวาดมองไปรอบโถงทางเดินเปลี่ยวบนชั้นสอง ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวานก่อนจะเม้มปาก
งั้นแสดงว่าที่ขู่เขาตรงบันไดก็ไม่ใช่แค่ประชดกันใช่ไหม
แทฮยองกับจีฮุนมีความสัมพันธ์แบบนั้นกันจริงๆ ใช่ไหม
เสียงหัวเราะคิกคักของน้องชายคนเล็กเรียกความสนใจจากคนที่กำลังครุ่นคิดอยู่อีกครั้ง แต่พอจีมินหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ควรจะถูกคร่อมอยู่อีกรอบ เด็กตัวเล็กนั่นก็กลับถูกปล่อยให้เป็นอิสระไปเสียแล้ว
“ทำไมต้องสร้างห้องตัวเองด้วยล่ะครับ พี่นอนกับผมก็ได้นี่”
เด็กมัธยมต้นทำตาแป๋วมองพี่ชาย กะพริบตาปริบๆ มองร่างหนาที่เผยยิ้มจางออกมาขณะที่ฝ่ามือใหญ่กำลังยีเส้นผมสีดำขลับของเจ้าตัวอยู่
“ก็พี่ซูบินของเรามันจะมานอนด้วยไม่ใช่หรือไง”
“ไม่เห็นเกี่ยวเลยครับ เดี๋ยวเขาก็ต้องกลับไทยอยู่ดี...”
ปากอิ่มของคนแอบฟังเม้มเข้าหากัน เช่นเดียวกับหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมอย่างครุ่นคิด เพราะทั้งที่แทฮยองเองก็ดูไม่พอใจซูบินถึงขนาดนั้น แต่ทำไมเมื่อคืนยังบังคับให้เด็กม.ปลายนั่นนอนกับน้องชายมันอีกล่ะ
“...อีกอย่างให้พี่ซูบินนอนกับพี่จีมินก็ได้นี่ครับ”
“ไม่ได้”
คิ้วสวยทั้งสองข้างแทบจะผูกติดกันอยู่แล้ว ใจดวงน้อยเองก็คงเต้นแรงขึ้นมากพอๆ กับเด็กที่ถูกเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงดุดัน และเพราะจีฮุนคงไม่เคยถูกแทฮยองพูดใส่ด้วยน้ำเสียงแบบนั้น เสี้ยวหน้าน่ารักนั่นถึงได้ดูซีดเซียวลงไปถนัดตา
“แล้วเมื่อคืนทำอะไรกัน”
เสียงทุ้มเปลี่ยนกลับไปนุ่มนวลเหมือนเดิมเมื่อนึกขึ้นมาได้ เด็กที่ถูกถามจึงมีท่าทีอึกอักเพราะปรับอารมณ์ตามพี่ชายไม่ทัน
“ก็...ผมให้พี่ซูบินวาดรูปให้ แต่ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้อะ”
จีฮุนหัวเราะแห้ง ก่อนที่เสียงหัวเราะแสนอบอุ่นของคนตัวสูงจะดังขึ้นบ้าง
ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ในใจของคนที่ได้แต่แอบฟังถึงได้ร้อนรุ่มขึ้นมา เสียงหัวเราะของแทฮยองเมื่อเช้านี้ดังแว่วอยู่ใกล้ใบหูราวกับเป็นเสียงกระซิบผ่านสายลม สัมผัสแผ่วเบาบนเส้นผมก็แทบไม่ได้ต่างอะไรจากการถูกมือล่องหนมาทำแบบเดียวกันกับที่พี่ชายคนโตทำเลยสักนิด
กรามขบกันแน่นขณะที่มองภาพตรงหน้าด้วยความปรารถนาที่พุ่งสูง
อยากได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นจากอีกคนเหมือนที่เด็กนั่นได้ยิน
อยากได้ทุกอย่างที่น้องชายคนเล็กมันได้จากพี่ชายคนโต
“อ้าวพี่จีมิน...ทำอะไรอยู่ตรงนั้นครับ”
เสียงนุ่มทุ้มของซูบินดังขึ้นเรียกสติของคนขี้อิจฉาให้กลับมาอีกครั้ง คนตัวเล็กยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากของตัวเองเป็นการบอกให้คนที่เพิ่งออกจากห้องมาเงียบเสียงลงซะ คิ้วหนาของเด็กม.ปลายเลิกขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็ยอมปิดปากลงตามที่ถูกห้าม
จีมินคว้าแขนซูบินให้เดินตามไปยังห้องของเขาด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
ไอ้พี่น้องคู่นั้นมันจะได้ยินไหมนะ
แหงล่ะ! ต้องได้ยินอยู่แล้ว ใกล้ซะขนาดนั้น!
“มีอะไรเหรอครับ” เด็กข้างบ้านคนเก่าถามเสียงนุ่มหลังจากที่ถูกดึงเข้ามาในห้องนอน
เจ้าของห้องขยับไปเอนหลังพิงกำแพงข้างประตู ผ่อนลมหายใจหนักออกมาขณะที่คิ้วขมวดกันเป็นปม เหลือบมองเด็กขี้สงสัยที่ขมวดคิ้วตอบกลับมาให้เขาบ้าง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ กับท่าทีน่ารักๆ นั่น
“หรือว่าผมต้องกระซิบ” เด็กม.ปลายแกล้งส่งเสียงกระซิบขณะที่ร่างหนาขยับเข้ามาใกล้
“ไม่ต้อง” จีมินหัวเราะเบาๆ กับท่าทีขี้เล่นของอีกฝ่าย ทว่าอีกฝ่ายที่ว่าก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดเล่นเลยสักนิด
“ก็เมื่อกี๊พี่บอกให้ผมเงียบแล้วก็ดึงผมเข้ามา ไม่ใช่ว่ากลัวใครได้ยินเหรอ” ซูบินยังคงกระซิบด้วยน้ำเสียงกวนๆ ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกายหนักแทบจะทาบทับเขาอยู่แล้ว
“พอแล้ว” คนโตกว่าเอ่ยสั่งอย่างไม่จริงจังนัก ยกมือขึ้นมาดันอกกว้างของน้องเอาไว้ด้วย
คนถูกดันเองก็ไม่มีท่าทีขัดขืนแต่ก็ไม่ได้ขยับออกไป แววตาจริงใจเป็นประกายใสขณะที่พยายามจ้องลึกเข้ามายังนัยน์ตาของอดีตพี่ข้างบ้าน
สะกดปาร์ค จีมินเอาไว้ด้วยความจริงใจแบบที่ไม่มีใครเคยให้มาก่อน
ปากอิ่มเม้มเข้าหากันเล็กน้อยขณะที่ใบหน้าของคนเด็กกว่าเคลื่อนใกล้เข้ามา
น่าแปลกว่าทั้งที่มือก็ยกอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่กล้าจะผลักอีกคนออก
จู่ๆ บานประตูด้านข้างก็เปิดออกพร้อมกับร่างของพี่ชายคนโต คราวนี้จีมินผลักเด็กตรงหน้าออกโดยอัตโนมัติ หลุบตาลงต่ำขณะที่ขยับตัวออกห่างจากทั้งกำแพงและชเว ซูบิน
ใจดวงน้อยสั่นไหวทั้งที่เต้นแรงขึ้น รู้สึกได้ถึงสายตาคมกริบที่กำลังมองมาทางเขาสลับกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกผลักออกไป ริมฝีปากสีสดถูกขบกัดด้วยฟันขาวของเจ้าตัว มือบีบกันแน่นขณะที่รอให้แทฮยองเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา
“คิดว่าเป็นแขกคนสำคัญแล้วจะเข้าๆ ออกๆ ห้องไหนก็ได้เหรอ”
เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อสายตาดุดันละออกจากน้องชายคนกลางแล้ว นัยน์ตาแข็งกร้าวจ้องมองเด็กมัธยมปลายตรงหน้าราวกับเป็นเครื่องขุดเจาะที่อยากจะเจาะคนตรงหน้าให้สลายหายกลับไปอยู่ไทยซะเดี๋ยวนี้
“แต่นี่ก็ไม่ใช่ห้องพี่ไม่ใช่เหรอครับ”
ยิ่งได้เสียงเยาะเย้ยเอ่ยตอบ คนโตสุดก็ยิ่งฉุนกึก สีหน้าแววตาของเด็กหนุ่มดูไม่ได้เกรงกลัวเขาสักนิด ออกจะติดท้าทายเขาหน่อยๆ ด้วยซ้ำไป
“อีกอย่างพี่จีมินก็เป็นคนจูงมือผมเข้ามา ผมไม่ได้บังคับให้เค้าพาผมเข้ามาสักหน่อยนี่ครับ”
แทฮยองกัดฟันกรอด มุมปากที่ถูกมือบางตบเมื่อคืนเกิดเต้นตุบๆ ขึ้นมาเสียดื้อๆ เหลือบมองคนตัวเล็กที่เลิ่กลั่กมองเด็กตัวสูงกว่าเล็กน้อย ตากลมโตนั่นเหลือบมองเขานิดหน่อยก่อนจะหลบสายตาไปอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก
ก็นั่นสินะ จะเถียงออกได้ยังไงในเมื่อมันเป็นความจริง
ถ้าเขาไม่เข้ามาก็คงได้อีกคลิปแล้วมั้ง
“ซูบินจ๊ะ โทรศัพท์จากคุณพ่อจ้ะ”
เสียงของฮยอนอาที่ดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนทั้งสามในห้องได้เป็นอย่างดี ปาร์ค จีมินแอบโล่งใจไม่น้อยที่แม่ของเขาเดินเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์ ซูบินเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะมองแทฮยอง สองสายตาฟาดฟันกันสองสามวิสุดท้ายก่อนที่สงครามประสาทจะหยุดลงเพียงเท่านี้
เมื่อความอึดอัดในชั้นบรรยากาศคลายตัวลงจากการที่คุณนายคิมและชเว
ซูบินเดินจากไปแล้วคนตัวเล็กก็ผ่อนลมหายใจออกมา ทว่าหัวใจยังคงเต้นตึกตักไม่ยอมเลิกราเมื่ออดคิดไม่ได้ว่าทำไมเด็กม.ปลายถึงพูดแบบนั้น
แถมก่อนหน้านี้ก็ยัง…
“อย่าลืมนะว่ากูยังติดกล้องไว้ในห้องมึงอยู่ จีมิน”
“อ...” เสี้ยวหน้าหวานละสายตาจากพื้นพรมอุ่นไปมองเจ้าของเสียงเย็น-
ยะเยือก แทฮยองคนเมื่อเช้าหายไป แต่กลับกลายเป็นแทฮยองคนเก่าที่น่ากลัวและเอาแต่เย็นชาใส่เขาอีกแล้ว
“จะจูงใครขึ้นเตียงก็ระวังไว้หน่อยล่ะ”
ไม่รู้ทำไมคราวนี้ความโกรธถึงได้ให้ความร่วมมือกับอาการปวดตุบๆ ในอกมากขนาดนี้ ไม่ได้โกรธที่ถูกทำร้ายด้วยคำพูดพวกนั้นอีกแล้ว แต่กลับโกรธที่รู้สึกว่าเรื่องเมื่อเช้านี้มันไม่ควรเกิดขึ้นเลย
ถ้าจะใจร้ายกับเขาขนาดนี้ก็ไม่ควรทำให้เขารู้สึกดีด้วยความอบอุ่นพวกนั้นไม่ใช่เหรอ
“...จะมาเตือนกูทำไม ถ้ากูพาใครขึ้นเตียงบ่อยๆ มึงก็จะได้มีหลายๆ คลิปไว้แบล็คเมล์กูไม่ใช่หรือไง” ปากอิ่มฝืนขยับยกยิ้มทั้งที่แววตาสั่นไหวดุจสายน้ำ
“หึ...ร่านดี”
สิ้นเสียงทุ้มและแววตาสมเพช ร่างสูงตรงหน้าก็หันหลังให้เขาแล้วเดินจากไป ทิ้งคนร่านที่ว่าให้ถูกเกาะกินด้วยคำด่านั้นขณะที่หยาดน้ำตาเอ่อคลอ ยิ่งแก้วหูได้ยินเสียงแว่วๆ ของจีฮุนความร้อนรุ่มในอกก็ยิ่งทวีคูณ
มือบางกำแน่นอยู่ข้างกาย นึกสงสัยว่าทำไมกับจีฮุนมันถึงพูดดีด้วยได้ตลอด
หรือว่าเขาต้องยอมให้มันขึ้นคร่อมเหมือนเด็กตัวเล็กนั่นกันล่ะ
ไม่นานนักเวลาอาหารเช้าก็เยือนมา คนที่ถูกด่าจนน้ำตาคลอแต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าปาดน้ำตาออกเงียบๆ ก็ลงไปด้านล่าง เห็นซูบินนั่งพูดคุยกับแม่และพ่อเลี้ยงของเขาอยู่ก่อนแล้ว แทฮยองและจีฮุนเองก็นั่งประจำที่ตัวเองแล้วด้วย
คนตัวเล็กเดินไปนั่งลงยังที่นั่งข้ามแม่ ที่ๆ สามารถมองเห็นความเจ็บปวดได้อย่างถนัดตาว่าแม่กำลังยิ้มให้น้องและลูกติดของสามีใหม่ของเธอกว้างแค่ไหน
หล่อนไม่หันมายิ้มให้เขาด้วยซ้ำ
คงเพราะสิ่งที่เขาพูดว่าลูกชายคนโตคนโปรดของท่านนั่นแหละ
“ทานเยอะๆ นะจ๊ะซูบิน”
“ครับ”
เด็กที่สูงกว่าเขานิดหน่อยยิ้มกว้างรับคำของคุณนายเจ้าของบ้าน เสี้ยวหน้าหล่อนั่นหันมายิ้มให้เขาบ้างก่อนจะคีบทั้งกิมจิปลาหมึกและรากบัวมาให้ ถ้าไม่ติดว่าเขาคีบเนื้อมาไว้อยู่แล้วเด็กนั่นก็คงคีบมาให้เขาเหมือนกัน
“กินเองบ้างเหอะ” จีมินบ่นอุบ คีบกิมจิให้เด็กข้างๆ บ้าง
ซูบินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปสนใจข้าวเช้าของตัวเองต่อ ตอนนั้นเองที่เขาพยายามลอบมองเสี้ยวหน้าของอีกคนเพราะยังรู้สึกแคลงใจในสิ่งที่เด็กนี่พูดกับแทฮยองเมื่อเช้า แต่แล้วสายตาก็ดันหันไปเห็นรอยยิ้มที่คนตัวสูงนั่นมอบให้กับน้องชายของมันบ้าง
ใจดวงน้อยกระตุกวูบก่อนที่อาการชาวาบจะทำให้เขารู้สึกเหมือนมันกำลังจะสิ้นใจ ลอบมองแววตาเป็นประกายใสที่อีกคนมองจีฮุนก็ได้แต่เม้มปาก และยิ่งเม้มปากแน่นขึ้นเมื่อทั้งที่ตาคู่นั้นหันมาสบกันทว่ากลับไม่หลงเหลือประกายใดๆ ไว้ให้เขาสักนิด
ทำไมกันนะ ทั้งที่อีกคนก็ไม่เคยดีกับเขาอยู่แล้ว แล้วทำไมแค่สัมผัสไม่กี่วินาทีพวกนั้นมันถึงได้ทำให้เขาร้อนรุ่มขนาดนี้กัน
เสียงโทรศัพท์ของคนที่กำลังสับสนดังขึ้นเรียกสติจากคนที่เป็นเจ้าของมันได้เป็นอย่างดี จีมินคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะมากุมไว้เมื่อหน้าจอแสดงว่าคนที่โทรเข้ามาคือ จอน จองกุก
ไม่รู้ทำไมตากลมถึงต้องรีบเคลื่อนไปมองแทฮยองอย่างประหม่าด้วย
แต่แล้วสุดท้ายก็ขอตัวลุกออกไปจากโต๊ะอาหารเพื่อมารับสายหน้าบ้านอยู่ดี
“ฮัลโหลครับ”
‘วันนี้พี่ว่าง จะไปรับนะครับ’
ปากอิ่มเม้มเข้าหากันเล็กน้อยขณะที่ทั่วทั้งอกจุกแน่นขึ้นกว่าเดิม
เขาไม่ได้เตรียมใจรับการจากลาของอีกคนเร็วขนาดนี้
“...คือ...แต่ผม—”
‘เที่ยงแล้วกัน เพราะตอนเย็นพี่มีนัด’
“พี่จองกุกคือผม…” ขอบตาของคนที่พยายามหาข้อแก้ตัวร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อท้ายประโยคเลือนหายไปเพราะมันสั่นคลอนจนกลัวว่าอีกคนจะรับรู้ถึงความกลัวของเขาได้ก็กัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น
มือบางอีกข้างยกขึ้นปาดน้ำตาขณะที่เหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้าเพื่อกล้ำกลืนหยดน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาตามแรงโน้มถ่วง คนในสายเองก็เงียบตามไปด้วยเหมือนกำลังรอฟังว่าข้อเสนอของเขาจะน่าสนใจมากแค่ไหน
“ผมรักพี่มากนะครับ…”
‘....’
“...แล้วผมก็คิดถึงพี่มากด้วย…” เขาสาบานจริงๆ ว่าพยายามอย่างดีที่สุดแล้วเพื่อจะให้เสียงที่เปล่งออกไปนั้นไม่สั่นคลอน
ไม่ได้อยากจะเรียกร้องให้สงสารหรือเห็นใจ
แค่อยากบอกให้รู้ไว้ว่าทั้งชีวิตก็มีแค่อีกคนเท่านั้น
‘...เที่ยงตรงพี่จะไปรับ แต่งตัวน่ารักๆ ล่ะ’
“ครับ…” มือบางลดโทรศัพท์ลงเมื่อสายถูกตัด ปาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ออกอีกรอบขณะที่หัวคิ้วม้วนเข้าหากัน
นี่เป็นการให้โอกาสกันหรือเปล่านะ
“แฟนเหรอครับ”
คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันขวับไปมองเจ้าของเสียง เด็กม.ปลายเลิกคิ้วอย่างสงสัยขณะที่เดินมาใกล้เขามากขึ้น
“เห็นว่าออกมานานก็เลยมาตามน่ะครับ”
“อ๋อ...อื้อ เดี๋ยวจะเข้าไปแล้ว”
“ร้องไห้เหรอครับ”
คนร้องไห้อ้ำอึ้ง สายตาเลิ่กลั่กมองไปรอบกายเพื่อหาข้อแก้ตัว
“ป...เปล่านี่ แดดมันแยงตาน่ะ” จีมินว่า ใช้มือที่ถือโทรศัพท์ชี้ไปยังท้องฟ้ายามเจ็ดโมงกว่าๆ ที่มีแดดออกแล้วพอดี
“ทะเลาะกับแฟนเหรอ”
“เปล่า” คนถูกถามปฏิเสธ เลิกคิ้วเด็กตรงหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์นักอย่างสงสัย
“โกหกผมเหรอครับ”
“บอกว่าเปล่าไง!” คนถูกต้อนขึ้นเสียงเล็กน้อย ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วนะ เขาเจอแทฮยองบ้าใส่ไปทีนึงแล้ว แล้วทำไมเด็กนี่ต้องมาบ้าใส่เขาอีกคนด้วย
“เปล่าก็เปล่าครับ ไปทานข้าวกันต่อเถอะ”
จู่ๆ เด็กที่ตัวสูงกว่านิดหน่อยก็เอื้อมมาคว้าข้อมือบางไปจับ ออกแรงดึงให้เขาเดินตามกลับไปในบ้าน พอเข้าไปในห้องทานอาหารได้ใจดวงน้อยก็เต้นตึกตักอีกครั้ง ทำไมสายตาของเขาถึงต้องมองเห็นแทฮยองตลอดเวลาเลยนะ!
ทำไมต้องสนใจด้วยว่ามันจะหงุดหงิดหรือเปล่า
เขาไม่เห็นจะเข้าใจตัวเองเลย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เชียซูบินจีมินได้มั้ยนะะเ>_<
จีมินอ่าาาาาา
ปล.มาอัพต่อเร็วๆนะคะ
เบื่อพวกคนปากแข็ง หวงเขา เป็นห่วงเขา-พี่มันก็อ้อมค้อมอยู่นั่นแหละ คนน้องก็ไม่รู้ใจตัวเองว่ากำลังเริ่มชอบพี่เขา มีแอบหึงพี่เขาอีก แต่แทฮยองกับจีฮุนคือ มันยังไงนะนี่นะะะะ