ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โพยมยอดรัก

    ลำดับตอนที่ #11 : ชิงเนื้อก่อนถึงปากเสือ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 121
      0
      29 ส.ค. 56

                    “มีอะไรหรือรอส ถึงได้เข้ามาโดยพละการไม่เห็นหรือว่าฉันมีแขกอยู่”  เซเลโน่ไม่พอใจที่ลูกน้องคนสนิทพรวดพราดเข้ามาในห้องรับแขกโดยไม่ขออนุญาตก่อน


                    “ขอโทษครับทุกท่าน พอดีเรื่องที่ผมจะรายงานเจ้านายเป็นเรื่องสำคัญมาก ผมขอตัวก่อนนะครับ”

                    เซเลโน่อดแปลกใจไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมา รอสไม่เคยผลีผลามเข้ามาแทรกกลางวงสนทนาของเขากับคนอื่น แสดงว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญมากทีเดียว

                    “ทุกท่านครับ ผมขอตัวสักครู่นะครับ” เซเลโน่ลากตัวคนสนิทออกไปคุยด้านนอก รอสรายงานทุกอย่างที่ได้รับมาจากคนของตนที่โรงแรม

                    “เรื่องเป็นแบบนี้ได้ไงกัน แล้วโซเฟียจะไปที่นั่นทำไม”

                    “ผมไม่รู้เหมือนกันครับ ไอ้เจ้าลูกน้องผมไม่รู้จักคุณโซเฟียเสียด้วย เข้าใจว่าเป็นเพื่อนคุณฟริกกา แต่มาผิดสังเกตตอนเห็นทั้งสองรีบร้อนขึ้นรถไปด้วยกัน จะวิ่งกันท่าก็ไม่ทันแล้ว เลยใช้การขับรถสะกดรอยแทน”

                    “นับว่าลูกน้องนายยังมีไหวพริบดีอยู่ โทรบอกให้ตามไปอย่าได้คลาดสายตา คอยรายงานตำแหน่งฉันตลอดทาง รอสเดี๋ยวนายพาคนตามฉันมาทีหลังนะ ฉันจะใช้ฮาร์เล่ย์ขี่ล่วงหน้าไปก่อน น่าจะสะดวกและเร็วกว่ารถสปอร์ต”

                    “ได้ครับนาย” รอสขอตัวไปทำตามคำสั่ง เซเลโน่ย้อนกลับเข้าไปในห้องรับแขกอีกครั้ง ขอโทษทุกคนว่าเขามีความจำเป็นต้องไปทำภารกิจสำคัญ ที่เดิมพันด้วยชีวิตผู้หญิงหนึ่งคน

                    ฟริกการู้สึกเอะใจเมื่อเห็นว่าออกมาจากคอนโดมิเนียนตั้งไกลแล้ว แต่ทำไมยังไม่ถึงปลายทางเสียที

                    “อีกไกลไหมคะ กว่าเราจะถึง ไหนคุณบอกว่าไม่ไกลจากที่พักฉันไงคะ”

                    “ไม่ไกลหรอก อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว”

                    หล่อนหรี่ตาลงพร้อมย่นคิ้วด้วยความสงสัย  ท่าทางของโซเฟียดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจเหมือนตอนแรก

                    “บอกฉันได้ไหมคะว่าเรากำลังจะไปที่ไหนกัน”

                    “เดี๋ยวถึงก็รู้เอง” โซเฟียตอบห้วนๆ ทำสีหน้าเบื่อหน่าย ทำไมแม่คนนี้ช่างซักช่างถามเหมือนเด็กจริง

                    “ถ้างั้นฉันขอโทรไปหารอสก่อนนะคะ เผื่อจะได้ถามอาการคุณเซเลโน่” ฟริกกากำลังจะกดโทรศัพท์ ยังไม่ทันครบหมายเลขก็ถูกดึงกระชากออกจากมือ

                    “ไม่ต้องโทร ! โซเฟียเปิดกระจกรถโยนเครื่องมือสื่อสารซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญทิ้งออกไปนอกรถ

                    “คุณทำแบบทำไม นั่นมันของของฉันนะ ! ” ฟริกกาตะลึงงุนงง ไม่พอใจอย่างมากที่โซเฟียขว้างของส่วนตัวเธอทิ้งราวกับเศษขยะ

                    “ฉันไม่อนุญาตให้เธอติดต่อกับใครทั้งนั้น อย่าทำตัววุ่นวายนักเลย”  โดนตวาดกลับเสียงดังใส่ยิ่งทำให้เห็นว่ามีพิรุธ

                    “คุณห้ามไม่ให้ฉันโทรไปหารอส เพราะอะไร หรือคุณเซเลโน่ไม่ได้เป็นอะไร คุณโกหก”

                    โซเฟียหัวเราะเสียงแหลมบาดแก้วหูราวกับแม่มดผู้ชั่วร้ายในนิยาย “เก่งนี่ที่รู้ทัน แต่ก็สายไปแล้วนะ เพราะฉันจะพาเธอไปหาคนที่ปรารถนาในตัวเธอที่สุด แหมฉันล่ะอิจฉาเธอจริ๊ง”

                    “พาฉันไปพบคนที่ปรารถนาตัวฉันมากที่สุด คงไม่ได้หมายความถึง..” ฟริกกาอ้ำอึง ไม่อยากเอ่ยชื่อนี้เลย ภาวนาขอให้เป็นคนอื่น

                    “ถ้าเธอหมายถึงโอมาร์ ฉันขอบอกว่าถูกต้อง รู้ไหมว่าเขาอยากได้เธอไปร่วมเตียงใจจะขาดแล้ว เธอนี่ก็โง่แสนโง่นะ จะได้ไปอยู่ในหอคอยนางฟ้า ไม่ต้องทำอะไรก็มีอันจะกินไปทั้งชาติ ดันปฏิเสธท่านได้ลงคอ ไม่โง่จะเรียกว่าอะไร”

                    “ถึงฉันโง่แต่มีศักดิ์ศรี ไม่คิดจะขายตัวแลกกับเงิน จอดรถเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ไปกับคุณ”

                    “เสียใจ เพราะเธอคือลาภปากก้อนใหญ่ของฉัน เรื่องอะไรจะปล่อยให้หลุดลอย รออีกไม่นาน เธอจะถูกส่งถึงมือโอมาร์ แล้วฉันจะได้ใช้เงินก้อนโต มีชีวิตเลิศหรูอยู่ในยุโรป”

                    “ฉันไม่ยอมให้เธอได้สมหวังแน่”  ฟริกกาทำท่าจะเปิดประตูรถออกไป ยอมเสี่ยงตายดีกว่าถูกขายให้ใครไปอีกทอดเหมือนสินค้า

                    “หยุดทำเรื่องไร้สาระเสียทีฟริกกา”

                    ฟริกกาสะดุ้งตัวเมื่อมีวัตถุแข็งๆ บางอย่างดุนอยู่ที่เอวเธอ พอหันไปเห็นว่าเป็นอาวุธปืนถึงกับสีหน้าซีดเผือด เกือบจะเป็นลม

                    “เธอไม่คิดจะฆ่าฉันใช่ไหม เพราะถ้าฉันตายเธอจะไม่เหลืออะไรสักอย่าง กระทั่งชีวิต เซเลโน่กับโอมาร์ไม่ปล่อยให้เธอมีลมหายใจต่อแน่ถ้าเธอฆ่าฉัน”

                    “คิดหรือว่าฉันไม่กล้า คิดหรือว่าฉันกลัว ก็ลองเสี่ยงกระโดดออกนอกรถดูสิ ถ้าเธอยังไม่ตาย ฉันจะช่วยสังเคราะห์เธอเอง” โซเฟียดันปากกระบอกปืนเข้าไปอีก ฟริกกาเริ่มกลัวๆ นึกถึงหน้าผู้ให้กำเนิด จึงไม่กล้าทำอะไรวู่วาม

                    “ระวังรถ” โซเฟียตะโกนเตือนเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซด์พุ่งมาด้วยความเร็วสูงแซงรถของโซเฟีย แล้วปาดหน้าหมุนคว้างขวางหน้ารถในระยะกระชั้นชิด

                    “ว้าย!”  โซเฟียร้องเสียงหลง เสียงเบรกครูดไปกับพื้นถนนดังลั่นท่ามกลางความเงียบสงบของยามราตรี ฟริกกาหลับตาแน่นไม่กล้าลืมตามองภาพหวาดเสียวตรงหน้า รู้สึกถึงร่างกายที่โยกไปตามแรงเบรก เคราะห์ดีที่คาดเข็มขัดนิรภัย

    ไม่เช่นนั้นศีรษะคงกระแทกกับส่วนใดส่วนหนึ่งของรถไปแล้ว

                     “ไอ้บ้า ขับรถประสาอะไรวะ” โซเฟียสบถคำหยาบคายออกมา กำลังจะปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อจะได้ไปเจรจาหรือจะให้ดีเรียกว่าต่อว่ามากกว่า แต่ยังไม่ทันไรผู้ชายที่ขับรถมอเตอร์ไซด์มาปาดหน้าเธอถอดหมวกกันน็อกออกแล้วเดินมาที่รถของสองสาว

                    “เซเลโน่”  ราวสวรรค์ส่งอัศวินม้าขาวมาช่วยพลิกสถานการณ์ในช่วงเวลาคับขันพอดี โซเฟียอ้าปากค้างตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา หันไปทำตาขวางใส่ผู้หญิงที่เธอลักพาตัวมา โชคเข้าข้างเธอมากไปแล้ว

                    “ฉันไม่ยอมแพ้แค่นี้หรอก” หล่อนขยับเกียร์รถเตรียมจะถอยหนี  แถมยกปืนขึ้นขู่

                    “ปัง” เสียงปืนนัดแรกดังกึกก้องแต่ไม่ใช่จากปากกระบอกปืนของโซเฟีย เพราะหล่อนดันตกใจเสียงปืนทำหล่นจากมือไปก่อน เซเลโน่ยิงปืนขู่อีกเป็นนัดที่สอง เธอถึงยอมปลดล็อกประตูปล่อยฟริกกาออกไป

                    “เราเคยรักกันมาก่อน แม้ตอนนี้คุณจะไม่รักฉันแล้ว แต่คงไม่ใจร้ายคิดฆ่าฉันลงคอใช่ไหม” โซเฟียประสานสายตาสู้ ทั้งที่ใจสั่นหวาดกลัวความตาย สีหน้าของเซเลโน่น่ากลัวกว่าที่เธอเคยเห็นมาก่อน ดุดันและเต็มไปด้วยแรงแค้น

                    “เธอรู้ว่าฉันไม่ฆ่าเธอแน่ แต่จงไปให้ไกลจากพวกเรา อย่ากลับมาให้ฉันเจอหน้าอีกเพราะฉันอาจไม่ใจดีเหมือนวันนี้”

                    โซเฟียเม้มริมฝีปากบางแน่น ค่อยๆหมุนพวงมาลัยรถหักออกไปด้านข้าง รถคันงามแล่นไปอย่างเชื่องช้าในตอนแรกคล้ายอาลัยอาวรณ์และเร่งความเร็วจากไปด้วยหัวใจปวดร้าว ลึกๆโซเฟียยังรักเซเลโน่อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่เธอรักตัวเองมากกว่า

                    “คุณเป็นอะไรไหมฟริกกา” เขาดึงร่างหญิงสาวเข้ามาสวมกอดก่อนจะผละออกมาเพื่อสำรวจมองไปทั่วร่างด้วยความเป็นห่วง

                    “ฉันไม่เป็นไรค่ะเซเลโน่ แต่เมื่อกี้คุณทำฉันตกใจแทบช็อก ทำไมถึงทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนี้คะ”

                    ฟริกกาเป็นฝ่ายสำรวจร่างกายชายหนุ่มกลับบ้าง “โชคดีที่รถไม่ล้ม”

                    “ขอบคุณครับที่เป็นห่วงผม”

                    หล่อนรู้สึกเก้อเขินไปกับสายตาอ่อนโยนที่มองมา ไม่เหลือเค้าความเย็นชาก่อนหน้านี้

                    “เราจะกลับกันได้ยังคะ” ฟริกกาก้มหน้าหลบตาชายหนุ่ม

                    “กลับสิ แต่ผมไม่มีรถยนต์นะ” เขาหันหลังกลับไปมองพาหนะคู่ใจที่พามาด้วย  “ผมไม่รู้คุณจะนั่งได้ไหม”

                    “อ๋อ ! แค่นี้เองสบายมาก” ฟริกกาลงทุนฉีกกระโปรงยาวตัวเอง แล้วมัดทำคล้ายกางเกง “โชคดีที่กระโปรงตัวนี้ซื้อตอนลดราคาและใส่มานานแล้วด้วย เลยไม่เสียดาย เราไปกันเถอะ”

                    เซเลโน่อมยิ้มขำเธอ มองหญิงสาวด้วยความพิศวงงงงวย นางฟ้าเดินดินเป็นแบบนี้นี่เอง
                   

    สองแขนบอบบางโอบรอบเอวอย่างหลวมๆ เซโลโน่ดึงมือเธอมาอีก “ผมจะรีบพาคุณกลับบ้าน เกาะผมแน่นๆหน่อยนะ เดี๋ยวหล่นไม่รู้ด้วย”

    เธอมองค้อน ดูจากแววตาแพรวพราวของเขาสิ จงใจจะให้เธอถูกเนื้อต้องตัวชัดๆ
                   

    คืนนี้พระจันทร์กลางท้องฟ้าเต็มดวง สาดส่องแสงสีนวลจางๆไปทั่วผืนน้ำสีกำมะหยี่ ในขณะที่ฮาร์เล่ย์คันงามได้แล่นผ่านกลางสะพาน ฟริกกาเผลอซบแผ่นหลังหนาของชายหนุ่ม รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ส่วนเซเลโน่ยิ้มกับตัวเองอย่างมีความสุข  เอียงหน้าไปเล็กน้อยก็พบกับใบหน้าเรียวเนียนนุ่มมาอยู่ใกล้ๆ เธอหอมกรุ่นไปทั้งกายและหัวใจ กลิ่นความรักละมุนละไมเหลือเกิน
                   

    ถึงจะมีความสุขแค่ไหนแต่เขาก็ยังระวังตัว เซเลโน่สังเกตเห็นแสงไฟจากรถคันหลังที่ส่องกระทบกระจกมองข้าง รถคันนั้นพุ่งมาด้วยความเร็วสูง แต่ยังไม่ยอมแซงหรือเปิดไฟขอทาง เหมือนพยายามจะไล่ตามพวกเขามากกว่า
                   

    “มีอะไรหรือคะ เซเลโน่” ฟริกกาเองก็รู้สึกถึงความผิดปกตินี้เช่นกัน
                   

    “มีคนตามเรามา คุณเกาะผมให้แน่นกว่านี้นะ ผมจะเร่งความเร็ว”
                   

    ฟริกกากระชับมือที่โอบรอบกายเขา เหลียวมองไปข้างหลังด้วยความหวั่นใจ เห็นไฟหน้ารถกำลังใกล้เข้ามาพร้อมเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม รถมอเตอร์ไซด์แล่นหนีห่างด้วยความเร็วสูงไม่แพ้กัน ฟริกกาก้มหน้าหลบแรงลมที่ปะทะเข้ามา ถึงจะมีอันตรายหนักหนาสาหัสแค่ไหนเธอก็ยังเชื่อมั่นผู้ชายคนนี้ว่าจะปกป้องดูแลเธอได้
                   

    “ปัง ปัง” เสียงปืนดังตามหลังมาติดๆ ฟริกกาสะดุ้งตัวตกใจแต่พยายามคุมสติตัวเองให้มั่น ไม่ให้ความกลัวมาทำให้ทุกอย่างพังซึ่งหมายถึงชีวิตของเธอและเขา
                   

    “ไอ้สารเลวเอ้ย มันไม่รู้หรือไงว่า หากผู้หญิงที่โอมาร์ต้องการเป็นอะไรไปจะได้รับโทษอย่างไร แล้วไอ้พวกนั้นไปไหนหมดวะ” เซเลโน่นึกถึงรอส ป่านนี้ทำไมไม่พาคนมาช่วยเขาเสียที ขืนปล่อยให้พวกนั้นไล่เขาอยู่แบบนี้ ฟริกกาอาจมีอันตรายได้ เขาต้องพาเธอไปยังสถานที่ปลอดภัยที่สุดก่อน
                   

    “ฟริกกา ปล่อยมือออกจากเอวผม ไม่ก็จับหลวมๆ”
                   

    “ว่าไงนะคะ”
                   

    “คลายมือเร็ว”
                   

    กว่าฟริกกาจะเข้าใจก็ต่อเมื่อรถมอเตอร์ไซด์พุ่งทะยานออกนอกเส้นทาง มุ่งสู่แผ่นน้ำสีดำสนิทเบื้องหน้า เขาตั้งใจจะขับรถลงแม่น้ำแทนการวิ่งไปตามท้องถนนซึ่งอาจเพลี่ยงพล้ำได้
                   

     ร่างของคนทั้งสองผลักออกจากตัวรถไปคนละทาง ชั่วเสี้ยวนาทีฟริกการู้สึกวูบคล้ายจะเป็นลม ก่อนจะตั้งสติใหม่อีกครั้งเมื่อสัมผัสความเย็นฉ่ำของสายน้ำที่โอบล้อมรอบตัว หล่อนกลั้นใจได้ทันจึงไม่ทันสำลักน้ำ ตะเกียกตะกายว่ายทะยานขึ้นหาแสงสว่างเบื้องบน แต่ทว่ามีมือของใครสักคนหนึ่งมาจับเธอไว้ก่อน แล้วพาลากลงไปสู่ความดำมืดอีกครั้ง ก่อนจะโผล่ขึ้นมาอีกทีใต้สะพานไม้เก่าๆ
                   

    “ฟริกกาไม่เป็นอะไรใช่ไหม ฟริกกา”
                   

    หล่อนหายใจหายคอแทบไม่ทัน เหนื่อยแทบขาดใจ ใช้เวลาสองสามนาทีกว่าจะพูดคำแรกออกมาได้
                   

    “ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
                   

    “ค่อยยังชั่วหน่อย อย่าทำเสียงดังนะ พวกนั้นยังไม่ไปไหน เราต้องหลบอยู่ตรงนี้ก่อนจนกว่าจะพวกนั้นจะไป” เซเลโน่โล่งอกที่เธอปลอดภัยดี เขาดึงตัวเธอไปไว้ข้างหลัง จับตามองไปบนฝั่ง เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งพล่านตามหาพวกเขาสองคนอยู่
                   

    กว่าหนึ่งชั่วโมงที่ฟริกกาต้องทนแช่อยู่ในน้ำ รู้สึกหนาวเหน็บปากคอสั่นแต่ต้องอดทนให้ได้ ส่วนเซเลโน่รอจนแน่ใจคนพวกนั้นไปหมดแล้วจึงขึ้นไปตรวจสอบก่อนส่งสัญญาณเรียกให้หญิงสาวขึ้นตามมา
                   

    “หมดกันโทรศัพท์มือถือดันเปียกน้ำอีกแล้วเราจะติดต่อรอสวิธีไหน”
                   

    เซเลโน่หันรีหันขวาง เพิ่งมารู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ท่าเรือ บริเวณนั้นเงียบสนิท ปราศจากผู้คน หรือถ้ามีใครสักคนก็คงหลับสนิทอยู่บนเรือหมดแล้ว
                   

     

    “เราจะทำอย่างไรต่อไปดีคะ”
                   

    สีหน้าชายหนุ่มแลดูยุ่งยากใจ เขาจับมือเธอมาตบหลังมือเบาๆ
                   

     “คืนนี้เราน่าจะหาที่พักเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่” เขาจูงมือเธอพาเดินไปด้วยกัน มองหาเรือสักลำที่น่าจะมีคนอยู่และยังไม่หลับนอน แต่จนแล้วจนรอดก็พบแต่ความเงียบ
                   

    “นี่พวกเธอสองคนจะไปไหนกัน” เสียงแตกพร่าคล้ายคนแก่ตะโกนมาจากข้างหลังอยู่ไม่ไกลพวกเขา ทั้งสองหันหลังกลับไปมองหาต้นเสียง เห็นเป็นชายสูงวัยร่างท้วม โผล่ศรีษะออกมาจากหน้าต่างเรือลำหนึ่ง
                   

    “เรามีปัญหานิดหน่อยครับ  ถ้าคุณลุงจะกรุณาให้พวกผมได้เข้าไปพักและขอยืมโทรศัพท์ติดต่อกับทางบ้านได้ไหมครับ”
                   

    “อย่างแรกฉันพอให้เธอได้เพราะฉันมีเรือสองลำ ส่วนเรื่องที่สองต้องบอกว่าเสียใจด้วยนะ พอดีฉันไม่ได้พกโทรศัพท์ มาแล้ววิทยุสื่อสารเสียพอดี รอจนเช้าได้ไหม บ้านฉันอยู่ไม่ไกลแถวนี้หรอกแต่การเดินทางกลางคืนไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก”
                   

    เซเลโน่หันไปสบตาฟริกกา หล่อนพยักหน้าเห็นด้วย อย่างน้อยน่าจะดีกว่ายืนตัวเปียกอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น
                   

    ลุงเจ้าของเรือพาพวกเขาไปยังเรืออีกลำซึ่งอยู่ใกล้กัน ด้านในมีเตียงนอนเล็กๆ สองเตียงอยู่คนละฝั่ง และเสื้อผ้าผู้ชายสองสามชุดวางอยู่บนเตียง
                   

    “เสื้อผ้าพวกนี้เป็นของหลานฉันเอง นานๆจะมาพักที แล้วต้องการอะไรอีกไหม”
                   

    “ผมขอน้ำดื่มก็พอครับ”
                   

    “น้ำอยู่ในถังใหญ่หน้าเรือ เลือกเครื่องดื่มตามสบายเลยนะ ฉันขอตัวก่อน อยากจะนอนเต็มแก่” คุณลุงใจดีทิ้งรอยยิ้มให้ก่อนจะขอตัวกลับไปยังเรืออีกลำ ในเรือลำนี้จึงเหลือเพียงเขาและเธอแค่สองคน
                   

    “คุณเปลี่ยนชุดก่อนนะ” เซเลโน่หยิบเสื้อผ้าให้หญิงสาว แล้วออกไปรอด้านหน้า ชายหนุ่มถอดเสื้อเปียกชื้นออก เปิดฝาถังข้างตัวเลือกหยิบเอาเครื่องดื่มมาดื่ม“มีเบียร์ด้วยนี่ ดีเหมือนกันร่างกายจะได้อบอุ่น”


                    ชายหนุ่มเปิดฝากระป๋องเบียร์ยกมาดื่ม รสเบียร์ขมปร่าแต่นุ่มคอกำลังพอดี  พอฟริกกาเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็ออกมาข้างนอก หล่อนชะงักเมื่อเห็นร่างเปลือยท่อนบนยืนตระหง่านชมวิวทิวทัศน์อยู่


                    ”คุณเซเลโน่ เข้าไปข้างในได้แล้วค่ะ” ฟริกการู้สึกร้อนวูบไปทั้งใบหน้า เบนสายตาไปทางอื่นขณะส่งเสียงเรียก

                    ชายหนุ่มยิ้มๆจ้องร่างหญิงสาวตาไม่กระพริบ เสื้อเชิ้ตตัวยาวที่เธอสวมใส่คลุมไปถึงหน้าขาพอดี เขาจึงเห็นขาเรียวขาวเนียน ยิ่งปล่อยผมยาวสยายออกมาปะบ่าด้วยแล้ว ดูน่ามองไปหมด

                    “คุณจะเอาเครื่องดื่มไหม มีน้ำกับเบียร์ อ้าว เพิ่งเห็นว่ามีน้ำขวดเดียว” เขาหยิบน้ำกับเบียร์หนึ่งกระป๋องมายื่นให้หญิงสาว

                    “ขอบคุณค่ะ” ฟริกกายื่นมือออกไปรับ แล้วรีบเดินกลับเข้าไปข้างใน

                    ต่างคนต่างนอนอยู่คนละด้านของเรือ เซเลโน่ยังไม่ง่วงเสียทีเดียว ลุกขึ้นมานั่งมองออกนอกหน้าต่าง ซึ่งมีแต่ความมืดของคุ้งน้ำ เหนือขึ้นไปคือหมู่ดาวที่เกาะกลุ่มกระจายเต็มผืนฟ้า พอหันกลับมาอีกทางก็เห็นดวงตากลมโตมองเขาอยู่ แววตาไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

                    “คุณยังไม่ง่วงหรือฟริกกา”

                    หล่อนส่ายหน้าน้อยๆ แล้วถามกลับบ้าง “แล้วคุณล่ะ”

                    “ผมนอนไม่หลับ รู้สึกกลัวไปหมด จนไม่กล้าข่มตาหลับ”

                    “กลัวอะไรในเมื่อเราอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว”

                    “ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก ผมไม่ได้กลัวตายนะ ชีวิตผมผ่านความตายมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว ความตายก็แค่พริบตาเดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่ผมกลัวก็คือคุณ”

                    “ฉันหรือคะน่ากลัว สงสัยจะจริง เพื่อนฉันก็บอกแบบนั้น ฉันเหมือนแม่มดมากหรือคะ”

                    “ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย”  เซเลโน่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา ร่างสูงลุกออกจากเตียงตัวเองไปนั่งอยู่บนเตียงเดียวกับหญิงสาว “ผมกลัวคุณเป็นอะไรไปต่างหากละครับ ผมไม่อยากเห็นคุณเจ็บปวด ถูกทำร้ายไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจ”

                    “เพราะเป็นหน้าที่ใช่ไหมคะ ถ้าฉันเป็นอะไรไปเท่ากับคุณบกพร่องต่อหน้าที่ด้วย”

                    “ใช่ครับฟริกกา” แวบหนึ่งที่เขาเห็นแววตาผิดหวังของเธอ “หน้าที่ของหัวใจสั่งมาแบบนั้น”

                    หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตามองเขา  ดวงตาคมเข้มที่มองเธอมาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างทั้งสนิทเสน่หาและอาทร

                    “แค่นั้นเองหรือคะ” ฟริกกาถามต่อ ก้มหน้าเขินอาย

                    “แล้วอยากได้อะไรล่ะฟริกกา อยากให้ผมตอบคุณอย่างไรดี”

                    “ไม่รู้ไม่ชี้ อยากตอบอย่างไรก็ตอบมา ไม่เอาแล้ว นอนดีกว่า” ฟริกกาพลิกตัวไปอีกทาง แอบยิ้มอย่างมีความสุข

                    “หน้าที่หัวใจสั่งให้ผมทำแบบนั้น”

                    คำพูดของเขามีความหมายอย่างที่บอกเธอจริงหรือไม แล้วทำไมตัวเองต้องหวั่นไหวไปกับคำพูดชายหนุ่มด้วยนะ

                    เช้าวันใหม่มาเยือนในอีกไม่กี่ชั่วโมง คนที่ตื่นก่อนคนแรกเป็นเซเลโน่ ส่วนฟริกกามารู้สึกตัวเมื่อได้กลิ่นกาแฟหอมฉุยลอยเข้าจมูก

                    “ใครนะมาชงกาแฟแต่เช้า” หล่อนคิดในใจก่อนเปลือกตาบางจะเผยอลืมขึ้นมอง พลิกตัวไปอีกข้างก็พบกับใบหน้าหล่อเหลามาอยู่ตรงหน้า

                    “อุ้ย คุณเซเลโน่”  ฟริกกาตกใจที่ชายหนุ่มเข้ามาใกล้เธอเกินไป

                    “อะไรกันทำเป็นขวัญอ่อนไปได้ ผมหาอาหารเช้ามาให้ครับ”

                    ฟริกกาหันไปเห็นถาดอาหารเช้าของเธอ มีขนมปังปิ้ง ไข่ดาวและแฮม เสริฟพร้อมกาแฟและนมสด

                    “แหม คำพูดคุณนี่ โบราณจังนะคะ ขอบคุณมากค่ะ สำหรับอาหารเช้า น่าเกลียดจัง ฉันเป็นผู้หญิงแท้ๆ แถมเป็นเลขาของคุณด้วย ต้องให้คุณมาจัดหาอาหารเช้าให้”

                    “แต่ผมเป็นบอดี้การ์ดของคุณต่างหากล่ะครับ ฉะนั้นผมต้องดูแลคุณ แต่ว่าตอนนี้นะคุณน่าจะลุกไปจัดการตัวเองก่อนดีไหม ผมหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆมาวางไว้ในห้องน้ำของเรือแล้ว จากนั้นเรามาทานมื้อเช้ากันก่อนเดินทางกลับ เดี๋ยวรอสจะมารับพวกเราเอง”

                    “คุณติดต่อรอสได้แล้วหรือคะ”

                    “ใช่ครับ ผมตื่นมาก็หาโทรศัพท์ก่อนทันที”

                    “สวรรค์ช่วยเราไว้แท้ๆ โชคดีที่เรารอดมาได้”

                    “ใช่โชคดีที่เรารอดมาได้ แต่คงไม่ทุกครั้งแบบนี้เสมอไป ต่อไปเราต้องระวังตัวมากกว่านี้”

                    “เพราะฉันแท้ๆเลย” สีหน้าของฟริกกาสลดลง บางครั้งความงดงามของผู้หญิง ซึ่งเสมือนมาลีประดับโลกอาจนำภัยมาสู่ตัวเอง

                    “อย่าคิดมากเลยนะ ไม่ใช่ความผิดคุณหรอก ต้องโทษโอมาร์ต่างหากล่ะ เขาคือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด”

                    เขายิ้มให้เธอเพื่อเป็นกำลังใจ ฟริกกายิ้มรับน้ำใจนั้นมาไว้เต็มหัวใจเช่นกัน เขาทำให้เธอรู้สึกไว้ใจ             

                    อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา รถของบริษัท โทโรคอมมิวเคชั่นก็มาถึงท่าเรือ รอสเดินทางมาด้วยตัวเอง รู้สึกโล่งใจปลิดทิ้งเมื่อได้รับสายเจ้านายตอนเช้าตรู่หลังจากควานหาตัวกันทั้งคืน

                      เซเลโน่กล่าวขอบคุณเจ้าของเรือที่ให้ที่พักแก่พวกเขาได้หลบภัย พร้อมทั้งมอบสินน้ำใจให้จำนวนหนึ่ง ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปนั่งคู่กับฟริกกาในรถ รอสได้ส่งสัญญาณเป็นเชิงขอตัวแยกมาคุยต่างหาก

                    “ว่าไงนะ พ่อรู้เรื่องนี้แล้วหรือ”

                    “ใช่ครับเจ้านาย ผมไม่รู้ว่าใครปากโป้งไปบอก แต่นายใหญ่ไม่พอใจมาก และเรียกตัวเจ้านายไปพบทันทีที่ตามหาตัวเจอ”

                    เซเลโน่สีหน้าเคร่งเครียด ไม่สู้สบายใจนัก ลองเรื่องถึงหูบิดาบุญธรรมแล้ว สิ่งที่ว่าง่ายจะกลายเป็นยากไปทันที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×