คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : มนุษย์หมาป่า
หลังจากวันที่พบแซนดร้าที่ร้านอาหารเล็กๆในลอนดอน เธอก็ไม่มาที่บ้านเขาหลายวัน เอลันดาคิดว่าก็ดีเหมือนกัน พฤติกรรมของแซนดร้าไม่ได้สมกับหน้าตาของเธอเลย ที่สำคัญเอลันดายังนึกหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้กับเซลิลีน ทั้งที่ทั้งสองไม่เคยพูดคุยกันเลยสักนิด เช้าของวันเสาร์ เอลันดาตื่นแต่เช้าตรู่หลังจากจัดการรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เขาหยิบจอบในเรือนเก็บอุปกรณ์ มุ่งหน้าไปที่สวนหลังบ้านซึ่งเป็นพื้นที่กว้างรูปสี่เหลี่ยมคั่นระหว่างไร่กาแฟกับตัวบ้าน สวนนี้ปลูกต้นไม้ยืนต้นไว้หลายสิบต้น จึงเย็นร่มรื่น แปลงดอกกุหลาบ ออกดอกสีแดงสดบานสะพรั่ง วัชพืชต่างชนิดเริ่มเลื้อยมาแซมรวมกับแปลงดอกไม้ที่เอลันดาปลูกไว้ ดังนั้นเขาจึงมักใช้เวลาว่างๆ มาถางมันทิ้งออกให้หมด เขาค่อยๆใช้จอบแซะมันไปรวมกองที่เดียวกัน
“ เอลันดา มีคนมาหา “ ลุงเคริกซึ่งเป็นผู้ดูแลไร่กาแฟและคนงาน ตะโกนบอกเขาจากอีกฟากของสวน เอลันดาเงยหน้า รถยนต์สีดำวับ จอดสนิทอยู่ที่ถนนข้ามทางไปไร่ เขาเห็นแซนดร้ายืนมองมาทางสวนที่เขากำลังยืนอยู่
“เอ่อ แซนดร้า มีธุระอะไรหรือเปล่า” เอลันดาถามไปพลางๆ ขณะกำลังเดินออกจากสวนไปที่รถยนต์ของเธอ แดดยามสายเริ่มร้อนเขาจึงต้องสวมหมวกปีกกว้างคลุมหน้า แซนดร้าทำหน้างอก่อนจะฝืนยิ้มตอบออกมา
“ไปหาพี่ที่บ้าน คุณนายเมอร์รี่ บอกว่าพี่อยู่ที่นี่ แซนดร้าอยากคุยอะไรกับพี่หน่อยคะ ”
“งั้นเราไปคุยที่สวนหลังบ้านพี่แล้วกันนะ เดี๋ยวพี่จะบอกให้คนงานเอาของว่างและเครื่องดื่มไปให้ ” เอลันดาพูดชวนเธอไป แต่ดูเหมือนแซนดร้าอิดออดไม่อยากตามไป
“เราไปคุยข้างนอกได้ไหมคะ ไปรถกับแซนดร้าก็ได้คะ ที่นี่ร้อนจังเลย”
“ที่สวนไม่ร้อนเท่าไรหรอก และพี่มีงานต้องทำ ไม่มีเวลาว่างมากนัก ถ้าแซนดร้าไม่สะดวก งั้นวันหลังดีกว่า” เอลันดาทำท่าจะเดินกลับที่สวน ที่จริงยังเหลือหญ้าที่ถอนไม่หมดเล็กน้อยเท่านั้น แต่เขาอยากหาข้ออ้างที่ไม่ต้องไปกับเธอ
“งั้นตกลงคะ เราไปที่สวนกัน” แซนดร้ายอมตามเอลันดาไปที่สวนทั้งที่ไม่ชอบใจนัก เขาพาเธอมานั่งเล่นที่ชิงช้าไม้ที่ปู่ซื้อมาประดับสวน
“มีอะไรจะบอกกับพี่ ก็บอกเลยจ๊ะ ” เอลันดาบอกเธอ ขณะที่มือทั้งสองข้างจับจอบขุดเซาะกวาดเศษวัชพืชออกมา
“เรื่องเมื่อวันก่อน แซนดร้าต้องขอโทษจริง ๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะคะ มันเป็นเหตุสุดวิสัย”
“อืม
แล้วไง ก็ไม่มีอะไรนี่ เซลิลีนก็ไม่ติดใจอะไร ทำไมละ ”
“ฉันกลัวเธอจะเข้าใจผิดไป ฉัน
. ไม่ได้แกล้งเขานะ” แซนดร้าทำเสียงออดอ้อน เอลันดา ยังคงตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับพวกเศษหญ้า หูก็ฟังคำแก้ตัวของสาวน้อย เขาไม่อยากคุยเรื่องนี้อีกแล้ว แต่ไม่อยากเสียมารยาทกับเธอ
“คือ ฉันคิดว่า ถ้าเพื่อนสาวของพี่คิดว่าฉันแกล้งเธอ ฉันกลัวว่า เธออาจกลับมาแก้แค้นฉัน เธอน่ากลัวกว่าที่พี่คิดไว้นะ”
เอลันดากระแทกจอบไปที่พื้นดินดังพลั่ก ก่อนที่จะหันไปคุยกับแซนดร้า
“พี่ไม่เข้าใจที่เธอพูด เธออยากจะบอกอะไร พี่ ก็บอกมาเลยดีกว่า อย่าอ้อมค้อม” เอลันดาชักเริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมาตะหงิดๆ
“งั้นพี่ดูอะไรนี่ ” แซนดร้าหยิบรูปภาพใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างส่งให้เอลันดา เขารับมาดู เป็นภาพของผู้ชายในชุดคลุม สีเขียวมะนาว ใส่หมวกทรงประหลาด ถือม้วนกระดาษและหม้อประหลาดๆใบใหญ่ อยู่หน้าบ้านไม้หลังเบี้ยวและสูงหลายชั้น
“เธอเอาให้ให้พี่ดูทำไม” เอลันดาถามอย่างแปลกใจ
“ฉันคิดว่านี่เป็นภาพของพ่อของเซลิลีนเพื่อนพี่คะ วันนั้นหลังจากฉันออกจากร้านอาหารไปแล้ว ฉันไปเจอครอบครัวของเธอและเธอออกมาจากร้านเหล้าเก่าโทรมๆ ข้างถนน ฉันเห็นเขาถือของรูปร่างพิสดารหลายอย่าง แถมมีนกฮูกสีน้ำตาลอยู่ในกรงมาด้วย พวกเขามารถยนต์เก่าใกล้พังคันหนึ่ง หน้าแปลกที่มันใส่ทั้งคนทั้งของเข้าไปได้โดยไม่แออัดกันเลย ฉันสงสัยเลยให้คนไปสืบแล้วก็ถ่ายรูปนี่มาได้” แซนดร้าอธิบายยาวยืด แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังบอกอยู่ดี
“แล้วไง เธอไปถ่ายรูปพ่อเขามาให้พี่ดูทำไม”
“พี่ไม่เห็นหรือคะว่า พวกเขาไม่เหมือนคนธรรมดา แต่งตัวก็พิลึก บ้านก็ตลกแต่มันก็มีคนอาศัยอยู่ได้ ฉันคิดว่าพวกเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ พวกนั้นอาจจะเป็นพวกที่เราเรียกว่า
” เธอเว้นวรรคสักครู่ราวกับจะดูให้มันตื่นเต้น “พวกพ่อมด แม่มด หมอผี อะไรทำนองนี้”
เอลันดาถอนใจยาวราวกับเหนื่อยหน่าย เขาส่งรูปกลับให้เธอ
“พี่ว่าเธอกลับบ้านของเธอไปก่อนนะ พี่ต้องทำงานอย่างอื่นอีก ถ้าว่างมากก็ไปหาเรียนเต้นรำหรืออะไรก็ได้”
“พี่ไม่เชื่อที่ฉันพูดหรือ” แซนดร้าทำตาโต รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด อย่างน้อยเอลันดาน่าจะตกใจบ้าง
“พี่รู้จักกับเซลิลีนมาเกือบเจ็ดปี จะให้พี่เชื่อได้ไง เขาไม่มีทางเป็นอย่างที่เธอพยายามป้ายสีเขาหรอก”
“พี่เอลันดา
” แซนดร้าตะโกนเรียกจนหูแทบแตก
“พี่ไม่รู้นะว่า ทำไมเธอไปเกลียดชังเขามากมายถึงขนาดแต่งเรื่องเหลวไหลมาบอกพี่ แล้วเรื่องที่ไปแอบถ่ายรูปครอบครัวเขามานี่ก็เป็นเรื่องน่ารังเกียจที่สุดที่ตระกูลผู้ดีอย่างเธอจะทำนะ วันหลังอย่าทำอย่างนี้ ไม่ดีรู้ไหม” เอลันดาเริ่มสอนสั่งเด็กหญิงเอาแต่ใจคนนี้ เธอควรรู้จักขอบเขตของตนเองบ้าง
“พี่บอกพี่รู้จักเขามานานแล้ว แล้วพี่เคยไปบ้านเขาไหม รู้จักพ่อแม่เขาหรือเปล่า” เธอยังคงเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“ไม่ใช่เรื่องที่พี่จะถามเขา พี่ไม่ใช่พวกสอดรู้สอดเห็น พ่อของเธออาจเป็นนักมายากล หรือนักแสดงก็ได้ใครจะไปรู้ เอาละพี่จะกลับบ้านแล้ว เดี๋ยวไปส่งที่รถ เลิกคิดเรื่องนี้ไปเลยดีกว่า อีกอย่างเซลิลีนไม่ติดใจเรื่องที่แล้วมา เธอไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือน
.
เอลันดาเว้นคำพูดแค่นั้น เผื่อให้อีกคนได้คิด
“ไม่ต้องหรอกคะ พี่ไม่เชื่อฉัน คอยดูฉันจะพิสูจน์ให้ดู พี่บอกให้เธอระวังตัวให้ดีแล้วกัน” เธอยกคำขู่ออกมาก่อนจะสะบัดเปียหางยาวหันกลับไปที่รถ เอลันดาเห็นเธอขึ้นรถออกไป เขาเริ่มเดินออกจากสวนไปบ้าง ไม่มีกะใจจะทำมันต่อเพราะรู้สึกหงุดหงิดเรื่องเมื่อสักครู่
ในตอนหัวค่ำ เอลันดานัดกับเซลิลีนและฟรอนท์ว่าจะไปดูดาวที่หลังโรงเรียนอีกครั้ง ระหว่างทางเขาแวะไปบ้านมันดังกัสเพื่อไปชวนอารอน มันดังกัสเปิดประตูต้อนรับเขาอย่างยิ้มแย้มเช่นเคย
“อารอนเขาป่วยเป็นโรคผิวหนังขั้นรุนแรง มีตุ่มฝีหนองขึ้นตามหน้าตาเนื้อตัวเต็มไปหมด นี่ก็ปวดแผลมากเลยอักเสบเป็นไข้หลายวัน เพิ่งค่อยยังชั่ว” มันดังกัสบอกเขา พร้อมรินน้ำชาให้
‘งั้นหรือครับ แย่จัง เขาเป็นไรมากไหมครับ ผมเยี่ยมเขาได้ไหม”
“ฉันเสียใจนะที่จะบอกว่า อารอนไม่กล้าให้ใครเห็นหน้าเขาเลย แม้แต่ฉัน คงต้องรออีกสักอาทิตย์หนึ่งให้แผลยุบดีแล้ว ถึงจะออกไปไหนมาไหนได้”
เอลันดารู้สึกเสียดายและเป็นห่วงเพื่อน แต่อีกอาทิตย์หนึ่งน่าจะค่อยยังชั่วตามที่ลุงมันดังกัสบอกไว้ เขาขอลากลับ พอดีกับที่เพิ่งเลนนอลกลับมาจากข้างนอก
“อ้อจะแนะนำให้รู้จัก นี่คือเลนนอล ญาติผู้พี่ของฉันเอง และเด็กนี่เป็นเพื่อนกับอารอน เขามาเยี่ยมอารอนที่ไม่สบายมาก”
“ป่วยหรือ เอ่อๆ ใช่.. อารอนไม่สบายมาก” เลนนอลพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เพื่อนเขาเล่นละคร ”ว่าแต่จะอยู่ดินเนอร์กับพวกเราไหม”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ขอขอบคุณมากครับ แต่ผมขอตัวไปทำธุระครับ แล้ว เราคงเจอกันอีก ราตรีสวัสดิ์ครับ” เอลันดาเปิดประตูออกจากบ้านมันดังกัสไป เลนนอลมองตาม ความรู้สึกคุ้นๆเหมือนใครสักคนแวบเข้ามาในสมอง
เด็กทั้งสามตั้งกล้องดูดาวที่เนินเขาหลังโรงเรียน วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสพอมองเห็นกลุ่มดาวได้อย่างชัดเจน เซลิลีนเขียนกลุ่มดาวที่เหลือลงบนแผนที่ดาวแผ่นสุดท้ายสำหรับการบ้านปิดเทอมพอดี เอลันดากำลังเพลินกับการดูดาวดวงนั้นดวงนี้
“วันนี้ฉันเห็นเด็กคนนั้นด้วย เอ่อคนที่เจอที่ร้านอาหาร เขานั่งรถผ่านไป เขาไปหาเธอหรือ” เซลิลีนถามโพล่งขึ้นมา เอลันดาละสายตาจากกล้องดูดาว “เธอหมายถึงแซนดร้าใช่ไหม เขามาหาฉันตามปกติ พอดีวันนี้ฉันมีเวลาว่างน้อย เธอก็เลยกลับเร็วกว่าเคย”
“เขามองเห็นฉันด้วย ฉันพยายามยิ้มทักเธอ แต่ดูเหมือนเธอบึ้งตึงใส่ ฉันรู้สึกว่าเธอไม่ชอบหน้าฉันเลย ”
“เธอก็เป็นแบบนี้ ไม่ค่อยเจอผู้คนเลยทำตัวไม่ถูก” เอลันดาพยายามแก้ตัวแทน
“ไม่นะ ฉันว่า ฉันรู้สึกแบบนั้นจริง ฉันว่าเธอต้องไม่ชอบใจเรื่องที่เอลันดามาอยู่ใกล้ฉัน ฉันคิดว่า
เอ่อ เธอชอบเอลันดาละ”
“บ้าดิ ฉันคิดกับเขาเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น” เอลันดาเถียงกลับทันควัน
“แต่เธอไม่ได้คิดแบบนั้นนี่ เธอชอบนาย เลยหึงฉันนะ ฉันดูออก เราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน” เซลิลีนโต้กลับอย่างรวดเร็ว
เอลันดาถึงกับอึ้งเงียบไป
“เราเลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า ฉันขอร้อง ไม่อยากทะเลาะกับเธอ มาดูดาวกันดีกว่า เดี๋ยวการบ้านเธอไม่เสร็จนะ” เอลันดาตัดบทสนทนานี้ออกไป เซลิลีนยักไหล่เป็นเชิงตกลง ฟรอนท์มองพี่สาวกับกับรุ่นพี่โต้เถียงกันไปมาจนเวียนหัว แล้วทั้งหมดก็มุ่งสนใจกล้องดูดาวข้างหน้าจนเกือบครึ่งคืนจึงรวบรวมเก็บกล้องกลับบ้าน
“นี่ดึกมากแล้วให้ฉันไปเดินส่งไป” เอลันดาขอไปส่งเธอ จริงๆอยากรู้จักบ้านเซลิลีน
“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ พวกเรากลับกันเองได้ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ บายๆ” เซลิลีนไม่ยอมให้เขาไปส่ง สองพี่น้องล่วงหน้าลงเขาไปก่อน ขณะที่เอลันดากำลังเก็บกล้องของเขาเองกลับบ้าน พลันเขาคิดถึงเรื่องเมื่อกลางวัน เป็นจริงที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าบ้านของเซลิลีน
อยู่ไหน ฟรอนท์ก็ไม่เคยเล่าให้ฟังถึงครอบครัวของตนเองทั้งที่รู้จักกันมานานและเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันด้วยซ้ำ เอลันดานึกถึงเรื่องความทรงจำของเซลิลีนที่เขาเคยมองเห็น หรือพวกเขาจะเป็นพ่อมดแม่มดจริงๆ เอลันดานึกอยากเข้าไปอ่านความทรงจำของเซลิลีนอีกครั้ง แล้วเขาก็พยายามสลัดความคิดทั้งหมดออกไป คิดอะไรบ้าๆเหมือนแซนดร้าไปอีกคนแล้วหรือไง เราควรจะไว้ใจเพื่อนที่สนิทที่สุด
เอลันดาเดินกลับบ้านมาเรื่อยๆ ท่ามกลางความเงียบสงัดยามที่ผู้คนพากันหลับนอน เขาเดินเกือบถึงบ้านของมันดังกัส
เอลันดาเงยหน้ามองไปที่หน้าต่างห้องนอนด้านบน ไฟปิดมืดสนิท ป่านนี้อารอนกำลังหลับอยู่ ขอพระเจ้าคุ้มครองให้เขาหายโดยเร็ว เขานึกภาวนาอยู่ในใจ
“เหมียว เหมียว” เสียงแมวร้องใกล้เหนือหัวเขา เอลันดาขึ้นไปมองเห็นตาเงาวาวของแมวสีเหลืองตัวหนึ่ง มันไปอยู่บนกิ่งไม้สูง
“ฮ่ะ ฮ่ะ นี่แกคงขึ้นไปแล้วหมดปัญญาจะลงมาสิท่า มาเดี๋ยวฉันช่วย” เอลันดาปีนกิ่งไม้ขึ้นไปด้านบนต้นไม้สูง เจ้าแมวเหมียวขู่ฟ่อ ตั้งขนชันราวกับกำลังมีศัตรูเข้ามาใกล้ เขาค่อยเอื้อมไปจับหลังมันอย่างนิ่มนวล ตาไปเหลือบเห็นเงาตะคุ่มของคนกำลังเดินเข้ามาช้าที่ถนน
นั่นอารอนนี่ เขาออกไปทำอะไรกลางดึก เขาป่วยอยู่ไม่ใช่หรือ “โอ้ย เจ้าแมวบ้า “ เจ้าเหมียวข่วนหลังมือเขาจนเลือดซิปแล้วก็กระโดดผลุนไปจากต้นไม้
“กรี๊ดๆๆ ช่วยด้วย” เสียงร้องของเด็กผู้หญิงดังลั่น เอลันดาตกใจหายวาบ มีอะไรเกิดขึ้นกับเซลิลีนและน้องชายเขาแน่นอน เขารีบโดดลงไปจากต้นไม้ วิ่งอย่างเร็วไปตามทางที่ได้ยินเสียง เมื่อเลี้ยวมุมถนนออกไป สิ่งที่เห็นทำให้เขาเกือบหยุดหายใจ
เซลิลีนกอดร่างน้องเธอที่มีแผลเหวอะตรงไหล่ขวาเลือดท่วมตัว แต่นั่นมันไม่เท่ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอ เอลันดายืนอยู่ข้างหลังของมัน แผ่นหลังที่กว้างเป็นสองเท่าของคนธรรมดาปกคลุมด้วยขนรุงรัง แขนขาใหญ่สามารถรัดคอคนตายได้ไม่ถึงนาที เล็บมือแหลมคมเหมือนมีดปอกผลไม้
“ออกไปนะ เจ้าสัตว์ประหลาด ออกไปนะ” เอลันดาหยิบกรวดขว้างใส่หลังมัน มันหันหลังกลับมาอย่างเนิบๆ เขาเกือบร้องออกมา สัตว์ประหลาดยืนสองขาจังก้าสูงใหญ่เป็นสามเท่าของเขา อุ้งมือสัตว์ร้ายสามารถตบหัวเขากระเด็นออกไป มันแยกเขี้ยวที่ยาวน่ากลัว ร้องโหยหวนน่าสยดสยองออกมา
“เอลันดาหนีไป เธอสู้มนุษย์หมาป่าไม่ได้หรอก” เซลิลีนร้องเตือน แต่สายไปแล้ว มนุษย์หมาป่าโถมเข้ามาใส่เขา เอลันดากระโดดหลบพ้นอย่างเฉียดฉิว ร่างมันไปกระแทกกับเสาไฟฟ้าจนหักโค่นลงมา สายไฟที่เชื่อมกับเสาอีกต้นถูกลากลงมาด้วยกันและขาดออก ประกายไฟรั่วพุ่งออกมาเป็นสายจากสายไฟแรงสูง เอลันดาหัวใจหล่นวูบ ถ้าหลบไม่ทันอาจไหม้เกรียมทั้งร่าง มนุษย์หมาป่าหันกลับมาเล่นงานเขาอีก เขาแทบจะหมดแรงหนีแล้ว
“อินคาเซอรัส” เชือกหลายเส้นพุ่งออกมาจากเงามืดด้านหนึ่งพันรอบตัวมนุษย์หมาป่า มันพยายามดิ้นไปมาให้หลุดจากพันธนาการ เอลันดาเห็นอารอนกำลังยื้อยึดเชือกอีกด้านหนึ่งไว้
“ช่วยฉันด้วย เอลันดา
. ฉันคนเดียวไม่ไหว” เอลันดารีบรุดไปช่วยดึงเชือกไว้ราวกับกำลังเล่นชักเย่อกันอยู่ แต่คราวนี้มีรางวัลกับผู้แพ้นั่นคือความตาย ดูเหมือนแรงของมันยิ่งดิ้นยิ่งมากทุกที ในขณะที่แรงของเด็กผู้ชายสองคนกำลังจะหมดไป ในที่สุดมันเบ่งกล้ามเนื้อตัวเองออกมาทำให้เชือกที่มัดอยู่ขาดออกจากร่างมัน เซลิลีนร้องกรี๊ดลั่น เด็กทั้งคู่หงายหลังกระเด็นไปที่พื้น มนุษย์หมาป่าเริ่มย่างก้าวเข้ามา แววตากระหายเลือด
“สตูเปฟาย” แสงสีแดงพุ่งออกจากไม้กายสิทธิ์ของอารอนไปปะทะร่างของมัน แต่ไม่ได้ผล มันสะดุ้งนิดหนึ่ง แต่ยังคงเดินใกล้เข้ามาต่อ คราวนี้ต้องตายแน่ๆ มันต้องฉีกร่างเขาเป็นชิ้นๆ เอลันดานึกหวาดกลัวจนหน้าซีดเผือดสั่นไปทั้งตัว เช่นเดียวกับเด็กผู้ชายอีกคนที่อยู่ข้างกาย
“สตูเปฟาย” แสงสีแดงเช่นเดียวกับเมื่อสักครู่แต่พุ่งออกมาจากสี่ทิศทางกระทบร่างมนุษย์หมาป่า มันหงายหลังดังตึงไปทับบนสายไปที่กำลังรั่ว และชักกระตุกๆ แล้วร่างมันก็ลอยสูงจากพื้นตามไม้กายสิทธิ์ด้านหนึ่ง
“รอนมาช่วยฉันหน่อย ฉันไม่อยากให้มันตายก่อนที่จะรู้ว่าใครปล่อยมันมา” แฮรี่เรียกรอนให้ช่วยกันยกร่างมหึมาที่สลบอยู่ออกไปจากสายไฟที่รั่ว แล้วมันก็ถูกวางลงที่พื้น แฮรี่เสกโซ่ตรวนขนาดใหญ่มัดร่างมัดไว้อย่างแน่นหนา
“เดี๋ยวพ่อกับดีนจะเอามันไปที่เซนมังโก เดี๋ยวมันตื่นมาจะลำบาก รอน ลูกจัดการทางนี้ด้วย โดยเฉพาะเด็กมักเกิ้ล”พ่อมดสองคนช่วยกันยกร่างที่ไม่ไหวติงของมนุษย์หมาป่าแล้วหายวับไป
“พวกเธอเป็นไรมากไหม” รอนและแฮรี่ช่วยกันฉุดมือเด็กทั้งสองขึ้นมา “ผมไม่เป็นไรครับแต่” เอลันดาชี้ไปทางเซลิลีนที่ทำท่าจะเป็นลม
“เคราเมอร์ลินเป็นพยาน ไม่นะฟรอนท์ “ รอนอุทานอย่างตกใจ ตรงรี่ไปเข้าไปอุ้มร่างฟรอนท์ที่หายใจรวยระริน ส่วนเซลิลีเสียขวัญมากจนถึงกับลุกไม่ชึ้น ทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดน้องชาย
“ลุงแฮรี่ ฮือๆๆๆ “ เซลิลีนเพิ่งรู้สึกตัว และผวากอดแฮรี่ “ไม่เป็นไรแล้ว สาวน้อยเธอปลอดภัยแล้ว แฮรี่ปลอบเธอก่อนจะพยุงเซลิลีนให้ลุกขึ้นยืน และหันไปพูดกับอารอนและเอลันดา
“พวกเธอสองคนไปบ้านโพรงกระต่ายกับฉันก่อน ฉันจะตรวจดูว่ามีบาดแผลตรงไหนหรือเปล่า แล้ว เรามีเรื่องต้องคุยกันมากทีเดียว” เด็กทั้งสองมองหน้ากัน อารอนพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ทำตาม ทั้งหมดเดินออกไปจากบริเวณนั้น แฮรี่เสกคาถาซ่อมเสาไฟฟ้าให้เหมือนเดิม
ความคิดเห็น