ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : สุดทางหนี
ห้องเล็กแคบที่ขังหญิงสาวร่างบางเอาไว้นานเกือบจะทั้งวันทำให้นาตุลยารู้สึกถึงความอึดอัดจนแทบระเบิด ไม่ใช่เพียงแค่ไม่สะดวกสบายเหมือนบ้านเธอเท่านั้น แต่หากความร้อนรนในใจเพราะเป็นห่วงบิดาต่างหาก
"โอ้ย ทำไงจะออกไปได้นี่'
เสียงประตูเปิดออกมา พร้อมหญิงกลางคนในชุดพื้นเมือง ยกอาหารเข้ามาในห้อง แล้วนาตุลยาก็คิดอะไรออกมาได้ชั่วแวบหนึ่ง เธอปราดเข้ามาหาผู้หญิงคนนั้นทันที "คุณป้าคะ ช่วยหนูหน่อยได้ไหมคะ"
ป้าคนที่นำอาหารเข้ามาให้เธอทำหน้านิ่ว นาตุลยาจำต้องใช้ภาษาท่าทางอยู่นานกว่าจะรู้ว่าเธอต้องการให้ช่วยอะไร ทีแรกทำท่าจะไม่ยอมฟังเอาแต่ส่ายหน้าอย่างเดียว แต่พอหญิงสาวบีบน้ำตาเท่านั้นก็เริ่มใจอ่อน แต่เธอถือว่ารับเงินผู้จ้างมาแล้วจึงควรจะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ นาตุลยาเกือบจะท้อถอยแล้ว หากไม่ได้คิดถึงวิธีสุดท้ายออกมาจนได้
"คุณป้าหนูต้องขอโทษด้วยนะคะ"
ร่างบอบบางในชุดเก่าซีดซ่อมซ่อคลุมหน้าตามิดชิด เดินโก้งโค้งถือถาดเงินออกมาจากบ้านหลังนั้นได้สำเร็จ แต่ก็หวุดหวิดไป นาตุลยาเกือบทำพิรุธให้พวกที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจับเธอได้เมื่อรีบก้าวเร็วมากจนสะดุดพรมทำถาดหล่น หญิงสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาไกลพอสมควร และเธอเพิ่งรู้ว่าตนเองน่าจะอยู่ในหมู่บ้านที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เพราะรอบตัวมีแต่ตึกเก่าเรียงรายติดกัน เป็นทิวแถวยาว ระหว่างทางที่เดินโชคดีที่ผู้คนซึ่งผ่านไปมาไม่ได้สนใจอะไรในตัวหญิงสาวนัก นาตุลยาโล่งอก อย่างน้อยก็ไม่ได้ไกลจากแหล่งชุมชนคงพอจะหาโทรศัพท์ติดต่อกลับไปหานลนี่ได้
"ว่าไงนะคะ เช็คเอาท์ออกไปหมดแล้วหรือคะ"
นาตุลยาวางสายลง สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที นึกโมโหเพื่อนรักที่ไม่ห่วงเธอสักนิด อุตส่าห์หาโทรศัพท์จนได้แล้ว กลับปิดมือถือหนีกลับไปคนเดียวอีก
"คอยดูนะกลับเมืองไทยเมื่อไรจะงอนให้ดูทีเดียว" เธอกำลังจะหมุนเบอร์จะโทรกลับเมืองไทยแต่พอเห็นใบหน้ามอมแมมของเด็กหญิงร่างเล็กก็ชะงัก นึกได้แล้วว่าตนเองมีเงินติดตัวก็แค่ค่าโทรศัพท์เมื่อสักครู่
"หนูจ๊ะ น้าขอละนะ ไปบอกแม่ของหนูทีได้ไหม ขอน้าโทรศัพท์หน่อยนะอีกรอบ สุดสวย "
เด็กน้อยมองเธอกระพริบตาปริบๆ นาตุลยาอยากจะตบหน้าตนเองเสียจริง แค่ชาวบ้านที่เป็นผู้ใหญ่ในเมืองนี้ยังหาจะเข้าใจภาษาอังกฤษได้ยากเลย แล้วนับประสาอะไรกับเด็กเล็ก
"ขอโทษนะคะ โทรศัพท์เครื่องนี้ โทรออกไปต่างประเทศไม่ได้ค่ะ" หญิงสาวร่างบางในชุดกรอมยาวเดินตามลูกสาวตัวน้อยของเธอออกมา "มีเครื่องเดียวด้วยค่ะในหมู่บ้านนี้ " ในที่สุดก็มีคนฟังและพูดภาษาเดียวกับเธอได้
"งั้นฉันขอโทรหาตำรวจแล้วกันนะคะ อีกครั้งเดียวเอง" นาตุลยาลองขอเธออีกครั้ง คราวนี้เธอไม่มีอะไรให้นอกจากสร้อยคอที่สวมติดตัว นาตุลยาถามเบอร์สถานีตำรวจและกำลังจะหมุนเบอร์แต่นึกอะไรบางอย่างออกมาได้ก็ชะงักงัน
"อีตาบ้าบอกว่าเป็นตำรวจ หากเจอพวกเดียวกันแล้วไปบอกล่ะ จะต้องแย่แน่เลย แต่ว่าเผื่อเขาโกหกล่ะ" หล่อนลังเลที่จะเลือกว่าจะโทรหรือไม่โทรดี คงเสี่ยงมากทีเดียวหากเป็นอย่างที่เธอคิดไว้ในข้อแรก
"โอ้ย !ทำไงดี" ระหว่างกำลังสับสนกับตนเอง หญิงสาวคนที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์ก็มองเธอด้วยความสงสัย
"เออ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ"
ในขณะผู้เป็นลูกสาวกำลังตกที่นั่งลำบาก คนเป็นพ่อก็ดูย่ำแย่ไม่แพ้กัน รองวิชาญนั่งกุมขมับอยู่ในห้องทำงานคนเดียว สั่งคนรับใช้ว่าไม่ต้องการรับแขกและไม่อยากรับโทรศัพท์จากใคร นายตำรวจมากวัยเอื้อมมือไปหยิบกล่องกำมะหยี่ที่ใส่ต่างหูเพชรที่เป็นของนาตุลยา มาเพ่งพิศดูใกล้ๆ อยากจะไม่ให้ใช่ของเธอเลย แต่ก็เป็นไปแล้ว ต่างหูลายนี้ตนเองสั่งให้ช่างทำมากับมือทำไมถึงจะจำผิดไปได้
"นาตุลยาลูกพ่อ ป่านนี้หนูจะเป็นอย่างไรบ้าง" ยิ่งคิดถึงลูกสาวก็รู้สึกว่าตนเองนั้นผิดเหลือเกินที่เอาตัวเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ จนพลอยทำให้คนที่ตนรักมากที่สุดในชีวิตต้องมารับเคราะห์ไปด้วย รองวิชาญตัดสินใจต้องทำอะไรสักอย่าง ยกหูโทรศัพท์กดเบอร์ไปยังคนที่คิดว่าจะสามารถช่วยเขาได้
"ตฤณ นี่ฉันเองนะ มีเรื่องจะพูดกับเธอ สำคัญมากด้วย ช่วยมาหาหน่อยได้ไหม"
ยามกลางคืนในหมู่บ้านนอกเมืองหลวงของอเลสติเนีย หากเป็นตอนหัวค่ำก็จะมีผู้คนเดินกันเต็มท้องถนน เพราะเป็นช่วงเวลาที่พ่อค้าแม่ค้ามักมาตั้งร้านขายของกันแน่นขนัดสองข้างทาง พอตกดึกหน่อยคนก็จะเริ่มบางตาลงไป นาตุลยามองผ่านหน้าต่างชั้นสองของตึกทรงเก่าๆ ที่เธอได้พักอาศัยหลับนอนในคืนนี้ เมื่อเธอยอมไว้ใจเล่าเรื่องของเธอให้แม่ของหนูน้อยคนนั้นฟัง หล่อนก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือหาทางพานาตุลยาไปยังสถานทูตไทยกลางเมืองหลวง
"เป็นอิสระเสียที"
หญิงสาวสบายใจเป็นที่สุด นึกๆแล้วก็สงสารป้าคนนั้นเหมือนที่ถูกเธอใช้ขวดตีที่ต้นคอเพื่อเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนปลอมตัวหนี ได้แต่ภาวนาอย่าให้เป็นอะไรมากเลย นาตุลยาจะต้องรอจนกว่าจะรุ่งเช้า เพื่อขออาศัยรถขนเนื้อเที่ยวแรกช่วยพาเธอกลับบ้าน แต่ก็ยังดีกว่าถูกขังอยู่กับไอ้คุณตำรวจบ้านั่น ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เธอยอมตายเสียดีกว่า แม้ว่าเขาไม่ได้อยากเอาเธอถึงตายก็ตาม
"นอนก่อนดีกว่า" นาตุลยาเอนหลังกับผ้าห่มที่เจ้าของบ้านอุตส่าห์หามาปูหลายชั้นเพื่อใช้เป็นที่นอน ถึงนอนไม่สบายตัวนักแต่หล่อนก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของชาวบ้าน หญิงสาวยิ้มขำคนเดียวในแสงสลัว เมื่อพาลไปนึกถึงใบหน้าขี้เก๊ก นี่ถ้ากลับมาแล้วรู้ว่าเธอหายตัวไปคงแทบคลั่ง แล้วความกังวลเรื่องพ่อก็ตามมาอีกระลอก
"กลับไทยจะต้องถามพ่อให้รู้ให้ได้ว่าความจริงมันเป็นอย่างไรกัน"
เสียงเอะอะของคนงานขนของด้านล่างของตัวบ้าน ทำให้หญิงสาวสะดุ้งตื่น หล่อนมองผ่านหน้าต่างออกไปก็เห็นผืนฟ้าสีส้มเรืองรองของยามเช้ามืด
"ได้เวลาจะไปจากอเลสติเนียแล้วสินะ" นาตุลยาลุกขึ้นมานั่ง พับผ้าห่มเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยก่อนจะลุกขึ้นไปจัดการกับร่างกายตนเอง
"ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างที่ได้ช่วยเหลือฉันไว้ ฉันไม่มีอะไรจะให้เลยค่ะ นอกจากของเล็กๆน้อยๆ" นาตุลยาพยายามจะยัดสร้อยคอมีจี้เพชรใส่มือหญิงสาวเจ้าของบ้าน แต่เธอก็ไม่ยอมจะรับท่าเดียว
"อย่าทำให้พวกเราไม่สบายใจเลยจ้ะ เก็บเอาไว้เถอะ ฉันไม่ได้หวังว่าการช่วยเหลือครั้งนี้จะได้อะไรตอบแทนกลับมา"
"แต่ถึงอย่างไรฉันก็ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใครนานไปค่ะ รับไว้เถอะนะคะ เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไรกัน"
"แต่ว่า
"
"รับไว้นะคะ ฉันขอร้อง" นาตุลยาพยายามคะยั้นคะยอให้เธอรับจนได้ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถขนเนื้อตรงด้านหน้าข้างคนขับ หญิงสาวโบกมืออำลาเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่แกว่งมืออยู่กับแม่ของเธอ หล่อนขอแลกที่อยู่กับเบอร์โทรเอาไว้ หากถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาอีก สัญญากับตนเองว่าจะไม่ลืมกลับมาเยี่ยมสองแม่ลูกคู่นี้
รถขนเนื้อคันนี้เป็นรถบรรทุกที่ออกแบบมาเพื่อวิ่งบนเส้นทางทรหดอย่างเขตร้อนจัดแบบทะเลทรายโดยเฉพาะ แม้มันจะเก่าเหมือนน่าจะพังเสียก่อนกลางทาง แต่ก็แปลกที่ยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างไม่เกเร กลิ่นในตัวรถไม่ชวนให้น่านั่งเอาเสียเลย หญิงสาวจำต้องข่มตาหลับใช้ปลายแขนเสื้อตัวยาวยกมาบังจมูก
"เมื่อไรจะถึงเสียทีนะ เมื่อยตัวหมดแล้ว" เธอบ่นในใจ คนขับรถที่มาด้วยกันซึ่งเป็นชายวัยกลางคนผิวเนื้อดำแดงก็กำลังขับรถหน้าตาเคร่งเครียดจัด จนหล่อนเองก็ไม่กล้าชวนคุยหรือแม้แต่มองหน้า บางทีเขาคงจะอึดอัดที่มีผู้หญิงแปลกหน้าโดยสารมาด้วย นาตุลยาได้แต่มองตรงไปข้างหน้าที่มีแต่พื้นที่โล่ง รถวิ่งมาได้สักพักก็มองเห็นด่านตรวจ
"ตายละสิ แล้วพวกเขาจะตรวจเราไหมนี่" นาตุลยาหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง เพราะตนเองไม่มีหลักฐานประจำตัวแสดงว่าตนเป็นใครอยู่เลยสักอย่าง แน่ล่ะถูกลักพาตัวมาแบบนี้ ใครเขาจะลักเอาเอกสารมาให้ด้วย เจ้าหน้าที่ร่างท้วมคน ร่างสูงผอมคน เดินตรวจรอบตัวรถ ก่อนจะเดินมาคุยกับคนขับ พวกเขาปรายตามองที่หญิงสาวแวบหนึ่ง นาตุลยาพยายามที่จะก้มหน้าหลบสายตาให้ได้มากที่สุด แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาคุยอะไรบางอย่างกับคนขับรถแล้วก็ปล่อยตัวไป
"เกือบไปแล้ว" นาตุลยาถอนใจโล่งที่รถสามารถผ่านไปได้แบบไร้คนสงสัย เธอคิดว่าคงรอดแล้วเชียวเพราะรถกำลังจะขับเคลื่อนออกไป แต่แล้วทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปเมื่อมีเสียงตะโกนจากเจ้าหน้าที่ร่างท้วม รถถูกสั่งให้หยุดเดินทางทันที
"นี่มันบ้าอะไรอีก" หญิงสาวสบถเบาๆ ยังไม่ทันตั้งตัว ประตูด้านที่เธอนั่งอยู่ถูกกระชากเปิดออกมา
"พวกคุณคะ มีปัญหาอะไรหรือคะ "
เธอพยายามจะพูดจาดีด้วย แต่แล้วพวกเขากลับดึงแขนเธอฉุดลงมาจากตัวรถโดยไม่พูดจาล่วงหน้า นาตุลยาจำต้องเดินตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ มือคนพวกนี้ยังกับคีมเหล็ก "บอกก่อนสิ มีเรื่องอะไร ไม่เห็นต้องดึงตัวมาแบบนี้เลย เดี๋ยวรถไม่ทันส่งของนะ"
เมื่อเสียงรถติดเครื่องยนต์ หญิงสาวตกใจรีบหันไปมอง
"แย่แล้วสิ เดี๋ยวก่อนคะ รอฉันด้วย พวกคุณลืมฉันไว้นะคะ' หล่อนวิ่งตาม แต่ไม่ทันแล้ว รถขนเนื้อที่เธอหวังจะพาไปให้ถึงที่หมายกลับทิ้งกันหน้าตาเฉย ปล่อยให้เธออยู่กับเจ้าหน้าที่ โดยที่ตนเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผิดข้อหาอะไร
"โอ้ย นี่มันอะไรกัน" นาตุลยาอยากจะบ้าตายท่ามกลางไอแดดร้อนจัด อุตส่าห์หนีออกมาได้แล้วเชียว แล้วเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน
"คุณไม่ต้องไปขอขึ้นรถใครเขาหรอก คนในประเทศนี้ ไม่มีใครกล้ารับคุณขึ้นรถนอกจากผม"
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นมาขณะนาตุลยากำลังคิดไม่ตกกับเหตุการณ์ตรงหน้า และก็เป็นคำตอบที่ไม่ต้องตามหาอีกแล้ว ที่แท้ก็เป็นฝีมือนายตำรวจหน้าเก๊กเจ้าเก่า หล่อนตกตะลึงไปชั่วครู่
"คุณมันเล่นแผนสกปรก ไม่ใช่ลูกผู้ชายเลย คิดจะใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือหรือ ฝันไปเถอะ"
นาตุลยาไม่คิดจะอยู่คอยให้เขาจับตัวเธอไปขังได้อีก เป็นเพราะโง่หรือบ้ากันแน่ หญิงสาวเริ่มก้าวขาวิ่งหนีไปตามถนน พยายามจะวิ่งให้เร็วเท่าที่ฝีเท้าเล็กๆ จะไปได้ ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะขอไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า เผื่อเจอรถพวกชาวบ้านบางทีจะได้ขออาศัยไปด้วย หล่อนได้ยินเสียงรถคันหนึ่งวิ่งไล่มาข้างหลังพอหันไปดูก็เกือบจะกรีดร้องออกมาเมื่อตัวรถกำลังพุ่งเข้าใส่ร่างเธอ
"กรี๊ด" นาตุลยาปิดหน้าร้องตกอกตกใจ รถจี๊บคันที่คิดว่าจะเข้ามาชนเธอ กลับหักออกด้านข้างจนล้อหลังของมันสะบัดเอาเศษฝุ่นกระจายฟุ้ง
"ขึ้นรถ" ดาเลียสตะโกนออกคำสั่ง แต่หญิงสาวทำท่าจะไม่ยอมทำตามที่เขาบอก แถมถอยหลังจะเดินหนีอีก
"โธ่โว้ย" ชายหนุ่มจำต้องกระโดดลงจากรถออกแรงวิ่งไล่ตามเธอ แม่สาวน้อยจอมดื้อด้านวิ่งไปได้ไม่ไกลก็ถูกรวบตัวจากด้านหลัง
"ปล่อยนะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้บอกให้ปล่อย' ร่างบางในเสื้อผ้าแบบพื้นเมืองที่นาตุลยาไปยืมคนอื่นมาใส่ถูกยกตัวลอยพาดไหล่พาเดินกลับไปที่รถ ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังอาละวาดไม่เลิก "ไอ้ตำรวจบ้า คนเลว ปล่อย'
"จะเลิกแหกปากและอยู่อย่างสงบได้ไหม!' ดาเลียสชักทนไม่ไหวแล้ว จนต้องใช้ไม่แข็งกับเธอ เขาวางตัวเธอลงกับเบาะด้านหน้าข้างคนขับ นาตุลยาเกือบจะปิดปากที่กำลังจะต่อว่าเขาแทบไม่ทัน เมื่อปลายกระบอกปืนถูกจี้ตรงท้อง หล่อนนั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้ากระดุกกระดิก
"เอาสิร้องอีกที ผมยิงคุณไส้ทะลุแน่'
ความกลัวตายเกิดขึ้นมาในสมองทันใด นาตุลยาชำเลืองมองมัจจุราชสีดำที่อยู่ในมือเขา หล่อนเองก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะกล้าทำอย่างปากว่าจริงหรือไม่ แต่เห็นแบบนี้ทำตัวนิ่งๆ รักษาชีวิตไว้จะดีกว่า
"พ่อจ๋า ช่วยนาด้วย นายังไม่อยากตาย'
" นี่มันที่ไหนกัน ไม่อยากเชื่อเลย ว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่กลางทะเลทรายด้วย "
นาตุลยาเงยหน้ามองตาค้าง ออกอาการตื่นเต้น จนลืมเรื่องที่ตนเองกลัว เมื่อได้มาเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่โต มีรั้วรอบขอบชิด และอาณาบริเวณเต็มไปด้วยสวนไม้นานาพันธุ์ ที่หายากในแถบทะเลทราย
"ทีนี่คือกัลป์ซาแคริออส เคยได้ยินไหม"
"กัลป์ซาแคริออส ที่เขาว่ากันว่าเป็นคฤหาสน์ใจกลางทะเลทรายแต่ติดทะเลด้วย ราคาแพงติดหนึ่งในสิบของโลก แถมทั้งหลังใช้แต่ระบบไฟฟ้าจากน้ำแทบทั้งสิ้น ฉันได้มีโอกาสมาเห็นราวกับฝันไปเลย ว่าแต่เดี๋ยวสิ เท่าที่ฉันรู้มา กัลป์ซาแคริออสเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ของกษัตริย์ราซีม แล้วคุณเข้ามาได้อย่างไรกัน
เขาไม่คิดว่าเธอคงจะอยากได้คำตอบจริงจัง จึงแสร้งทำเป็นเปลี่ยนเรื่องเสีย
"เชิญเข้าไปข้างในก่อนแล้วกันคุณ หวังว่าคงจะถูกใจนะ ผมไม่ได้พาคุณมาอยู่ในที่ที่ลำบากก็จริง แต่ว่าคุณต้องช่วยเหลือตนเองบ้าง เพราะเรามีแค่คนสวนกับคนรับใช้สองคนเท่านั้น อ่อ อย่าคิดหนีนะ นาตุลยา ที่นี่ไกลจากตัวเมืองโข เห็นใช่ไหม ลองหนีออกไปสิ ผมว่าไม่เกินสามวันคุณก็ต้องกลายเป็นผีเฝ้าทะเลทรายไปแล้ว ไม่ก็เป็นเมียของโจรทะเลทรายคนใดคนหนึ่ง แล้วอย่าคิดนะว่า ไปหมู่บ้านนั้นจะรอด ทั้งหมู่บ้านรู้ว่าผมเป็นใคร คุณเป็นใคร ลองคุณโผล่หน้าไป เขาก็จะแจ้งผมทันทีที่เห็นคุณเดินเพ่นพ่านอยู่"
ดาเลียสพูดขู่เธอเอาไว้ก่อนอย่างคนรู้เท่าทันความคิด นาตุลยาหน้าบึ้งบูด เธอไม่ชอบให้ใครมาทำเหมือนเธอเป็นนักโทษ แต่คิดดูอีกทีตอนนี้ตนเองก็ไม่ต่างอะไรกับเชลยเท่าไร ชายหนุ่มผลักร่างหญิงสาวเบาๆ ให้เดินเข้าไปในบ้าน นาตุลยาจำต้องก้าวตาม หล่อนมองรอบบริเวณอย่างคนขี้สงสัย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้อภิสิทธิ์มากขนาดนี้ หรือเพราะ แซนฮาร์ทไดมอล ทำให้สำนักราชวังยอมเปิดคฤหาสน์ให้เป็นสถานที่ซ่อนตัวเธอ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถึงเขาได้รับมอบหมายจากทางการของอเลสติเนียให้ทำงานสำคัญ แต่ไม่น่าที่จะยอมให้ใช้สถานที่หวงห้าม
"ช่วยพาคุณผู้หญิงคนนี้ไปห้องที่จัดไว้หน่อยได้ไหมครับ อ่อ ฉันลืมบอกว่า คุณเขาชื่อ นาตุลยานะ"
ดาเลียสบอกกับสาวใช้ที่มาต้อนรับ หญิงสาววัยยี่สิบต้นๆที่ยืนอยู่หน้าเธอตอนนี้เป็นคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไปอีกสิบกิโลเมตรทางตะวันตก ผิวพรรณออกคล้ำ หน้าซื่อๆ ดูไม่น่ามีพิษภัยกับใคร เธอส่งยิ้มให้กับนายผู้หญิงที่นายผู้ชายของเธอแนะนำตัวให้ นาตุลยาตอบรับไมตรีแบบไม่ทันตั้งตัว ปกติหล่อนแทบจะไม่เคยทักทายคนอื่นด้วยการส่งยิ้มให้แบบนี้เลย
"เชิญค่ะ"
สาวใช้พานาตุลยาเดินขึ้นไปยังชั้นสองของตัวคฤหาสน์ บ้านใหญ่โตหลังนี้หากเอามาวัดกันกับบ้านเธอในกรุงเทพที่ว่าใหญ่แล้วก็ยังเกือบจะสิบเท่าตัวทั้งราคาและขนาดของบ้าน นาตุลยามาหยุดที่หน้าห้องหนึ่ง รอให้สาวใช้ไขประตูและเชิญเธอเข้าไป
"นี่ค่ะ ห้องของคุณนาตุลยา"
"เอ๊ะ แปลกจัง เธอพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยหรือ" นาตุลยาถามด้วยความแปลกใจ เห็นหน้าตาซื่อๆแบบนี้ พูดคล่องมาก
"ค่ะ ฉันเคยทำงานเป็นสาวใช้ให้กับเจ้านายที่มาจากอังกฤษ พอพูดได้นิดหน่อย"
"อ่อ แบบนี้นี่เอง ไม่นิดหน่อยแล้วล่ะ พูดเก่งเชียว'
หญิงสาวก้าวเท้าผ่านเข้าไปข้างในห้องที่สาวใช้เปิดประตูให้ หล่อนเดินสำรวจโดยรอบก็รู้สึกพึงใจ ห้องกว้างพอสมควร ตัวผนังเป็นสีฟ้าน้ำทะเลซึ่งเป็นสีโปรดปรานของเธอ เวลามองแล้วสบายตา โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เตียงและเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่น ก็เป็นเครื่องเรือนที่สั่งทำมาจากไม้และวัสดุอย่างดี
"เอ่อเสื้อผ้าของคุณอยู่ในตู้นะคะ'
"เสื้อผ้าฉันหรือ' นาตุลยาหน้านิ่วด้วยความแปลกใจ เสื้อผ้าเธอมีก็ไอ้ชุดที่ใส่ชุดเดียวเอง แล้วนี่มาจากไหน เธอเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าใบโต ข้างในมีชุดสุภาพสตรีหลากหลายแบบแขวนอยู่เต็ม ล้วนแต่ยังมีกลิ่นหอมใหม่ๆ อยู่ รวมไปถึงชุดชั้นในของเธอด้วย เหมือนเพิ่งไปถอยออกมา
"เสื้อผ้าพวกนี้ใครเอามาจ๊ะ"
"คุณผู้ชายค่ะ ใช้ให้ฉันกับพี่ชายช่วยกันไปขนเอามาจากร้านในเมืองหลวงที่คุณผู้ชายสั่งซื้อก่อนหน้านี้สองวันค่ะ "
"เขาน่ะหรือซื้อให้ฉัน อีตาบ้านี่นะ แล้วรู้ขนาดฉันได้ไงนี่" นาตุลลาถามโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ แต่สาวใช้ก็ไม่ได้ตอบ แอบก้มหน้าอมยิ้ม นาตุลยาทดลองเอาเสื้อผ้ามาทาบกับร่างเธอดู ไม่ว่าชุดแบบไหน จะเป็นชั้นในหรือชั้นนอกก็เป็นไซส์เธอพอดีเปี๊ยบแถมเป็นแบบที่เธอชอบสวมใส่เสียด้วย หญิงสาวหน้าแดงเรื่อเมื่อนึกถึงเวลาเขาเดินไปซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงแต่ตนเองเป็นผู้ชาย "ตาบ๊อง ทำเข้าไปได้"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น