ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทาสหัวใจเชลยทราย

    ลำดับตอนที่ #8 : เชลยที่รัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 478
      2
      16 พ.ย. 53

    "นี่ช่วยไปตามคุณนาตุลยาให้หน่อยได้ไหม อาหารจะเย็นหมดแล้ว"
     
     ดาเลียสนั่งทำหน้าเบื่อโลกเมื่อเขาจำต้องมานั่งคอยอีกคนหนึ่งในห้องรับประทานอาหารร่วมจะครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาก็อุตส่าห์ให้สาวใช้ขึ้นไปบอกให้เตรียมตัวมารับประทานอาหารล่วงหน้าก่อนเวลาเสียอีก แต่หล่อนก็ยังทำตัวราวกับไม่เกรงใจเขาเลย
     
                    "ได้ค่ะ' ยังไม่ทันจะเดินขึ้นไปตาม ร่างระหงในชุดบางเบาแนบเนื้อก็เดินเฉิดฉายลงมาจากบันไดเวียน สีหน้าดูสดชื่นไม่อิดโรยเหมือนตอนมาถึงใหม่ๆ
     
                    "นี่คุณ ผมให้คุณมาอยู่ที่นี่ในฐานะตัวประกัน ไม่ใช่มาเป็นแขก กรุณาตรงเวลา ผมให้เกียรติแค่ไหนแล้วที่ยอมให้ร่วมโต๊ะด้วยเพราะเห็นคุณเป็นถึงลูกคุณหนู"
     
    น้ำเสียงของชายหนุ่มกึ่งค่อนขอดกึ่งประชด ทำให้นาตุลยาถึงกับมองค้อนขวับ แน่ล่ะในเมื่อราคาค่าตัวของเธอมันระดับเพชรพันล้านทีเดียวเรื่องอะไรจะต้องเป็นฝ่ายไปตามใจเขาเสมอไปด้วย เล่นตัวเพิ่มราคาอีกหน่อยก็คงดี    นาตุลยากระเถิบเก้าอี้ถอยออกมาเตรียมจะนั่ง แต่พอเห็นอาหารตรงหน้า   หน้าตาไม่ชวนน่ารับประทานเอาเสียเลย หล่อนก็น่านิ่ว
     
                    "นี่มันอะไรกัน" นาตุลยาหันไปถามสาวใช้ หล่อนก้มหน้าตอบคำถามตะกุกตะกัก
     
    "เฟตตูชิเน่ ค่ะ เอ่อ ฉันเพิ่งหัดทำค่ะ คือเอ่อ" ยังไม่ทันที่สาวใช้จะตอบว่าอย่างไรนาตุลยาก็ใช้ส้อมตักเจ้าเฟตตูชิเน่ใส่ปาก แค่คำแรก ก็ทำหน้าเหย รีบกลืนออกมาแทบไม่ทัน 
     
    "โอ้ย ทำไมเค็มแบบนี้ รสชาติไม่ได้เรื่องเลย"
     
    "ขอโทษค่ะ คือ ฉันยังทำไม่ค่อยเป็นค่ะ เอางี้ เดี๋ยวฉันไปทำอย่างอื่นให้นะคะ' เธอกำลังจะคว้าจานของนาตุลยาเอาไปเก็บ แต่ดาเลียสเข้ามาห้ามไว้
     
    "ไม่ต้องหรอก   นี่คุณอย่าเรื่องมากได้ไหม คุณไม่ได้มาท่องเที่ยวหาความสำราญนะ มีอะไรก็กินไปเถอะ' ชายหนุ่มยังไม่วายหันไปว่าแขวะใส่เธอที่เขาลงความเห็นว่าเรื่องมาก หญิงสาวทำหน้านิ่วใส่ด้วยความไม่พอใจ และไม่อยากจะเสวนาด้วย เธอหันไปทางสาวใช้
     
    "เธอชื่ออะไร"
     
    "อาฟร่าค่ะ'
     
    "อาฟร่าหรือ ชื่อทะแม่งๆ ดีนะ เอางี้ ตามฉันไปในครัว เอาสองจานที่รสชาติเหมือนกินเกลือไปด้วย เดี๋ยวฉันจะสอนวิธีทำเฟตตูชิเน่ที่อร่อยที่สุดให้ดู  แล้ววันหลังก็กรุณาทำอาหารอิตาเลียนขนานแท้มาให้ฉันนะ ฉันไม่อยากให้เสียชื่ออาหารชั้นดีของบ้านเขา"  
     
    ว่าแล้วหล่อนก็เดินนำหน้าสาวใช้ไปทางครัว โดยมีอาฟร่าเดินตามไปอย่างว่าง่าย ดาเลียสยกมือกุมศีรษะ สงสัยงานนี้อาหารเย็นของเขาคงจะต้องรอไปอีกนาน
     
    "เวลาจะต้มเฟตตูชิเน่ อย่าให้มันนานไปมันจะเละ กุ้งนี่สดหรือเปล่า ถ้าไม่สดจะคาวมากทีเดียว"
     
    เสียงเจื้อยแจ้วของนาตุลยาที่กำลังสอนสาวใช้ประกอบอาหารอิตาเลียนอยู่ในครัวดังแว่วออกมาข้างนอก ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินตามเข้าไปถึง  ดาเลียสยืนพิงกรอบประตู ลอบมองหล่อนที่กำลังทำหน้าที่เชฟมือฉมังอย่างคล่องแคล่ว  ชายหนุ่มแอบอมยิ้ม 
     
    "นึกว่าจะเอาแต่เดินโชว์ตัวไปโชว์ตัวมาเป็นอย่างเดียว มีดีกับเขาเหมือนกันนี่"
     
    เฟตตูชิเน่ที่ถูกปรุงเสียใหม่ด้วยฝีมือของนาตุลยา หมดเกลี้ยงจานในพริบตาเดียว ดาเลียสยังงงว่าเพราะตนเองหิวจัดหรืออาหารถูกปากกัน แต่ที่แน่ๆสองสาวก็ทานจนหมดไม่มีเหลือเช่นกัน นาตุลยาให้อาฟร่า สาวใช้ประจำบ้านมาร่วมโต๊ะ แม้เธอจะปฏิเสธ แต่หล่อนก็คะยั้นคะยอจนได้ หลังจากที่อาฟร่าจัดแจงเก็บจานจากบนโต๊ะ เดินเข้าไปในครัว ดาเลียสก็เอนหลังพักอิริยาบถ สายตาก็แอบมองหน้าหญิงสาวที่กำลังยกน้ำดื่ม
     
    "มองฉันมีอะไร ทำไมล่ะ รสชาติไม่ได้ความอีกหรือ'
     
    "เปล่า ไม่ใช่สักหน่อย อร่อยมากทีเดียว ขอบคุณนะครับ ผมไม่ได้ทานอาหารอิตาเลียนมานานแล้ว ตั้งแต่ออกมาทำงานไกลบ้าน"
     
    "คุณมันตำรวจอังกฤษไม่ใช่หรือคะ แต่เอ๊ะ หน้าตาไม่ค่อยเหมือนคนลอนดอนเท่าไร"
     
    "ผมถือสัญชาติอังกฤษก็จริง แต่ครอบครัวผม อาศัยอยู่ทางตอนใต้ฝรั่งเศส   ผมถืออภิสิทธิ์สองสัญชาติ ว่าแต่สงสัยจัง คุณไปเรียนทำอาหารมาจากไหน"
     
     ดาเลียสหาเรื่องชวนหล่อนคุย เขาพยายามจะสร้างความสนิทสนมลดบรรยากาศตึงเครียดก่อนหน้านี้ลงไป
     
    "ตอนฉันเรียนโท อยู่นิวยอร์ก ไปเข้าคอร์สเรียนหลักสูตรอาหารนานาชาติอยู่เกือบปี แค่นี้ถือว่าธรรมดามาก"  นาตุลยาไม่วายจะเยินยอตนเอง
    "งั้นแบบนี้ คงต้องให้คุณทำให้กินเป็นประจำแล้วมั้งครับ"
     
    "เสียใจค่ะ' นาตุลยาลุกขึ้นยืน พร้อมเก็บแก้วน้ำของตนเองมาถือไว้ด้วย "  ฉันไม่ใช้คนใช้ของคุณ ถ้าอยากทานก็เชิญไปหาที่อื่นทานเองค่ะเห็นคุณทานง่ายออก รสชาติแย่ๆทีแรกยังบอกว่าอร่อยเฉย  ลิ้นจระเข้จังนะคะ ขอโทษนะ ฉันขอตัว ชักเบื่อจะพูดจากับคุณแล้วสิ พวกมีรสนิยมต่ำ คุยกันเข้าใจยาก" 
     
    ชายหนุ่มส่ายหน้าแอบหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เมื่อเห็นนาตุลยาเดินออกไปจากห้องอาหารกลับไปยังห้องนอนของเธอ เจ้าหล่อนยังไม่ลืมที่จะวางท่าหยิ่งเชิดหน้าใส่ให้เห็นอย่างเคย  จะพูดจาดีด้วยเสียหน่อยก็ไม่ได้ เล่นเอาคำพูดของเขามายอกย้อนอย่างเจ็บแสบคัน
     
    อีกฟากของโลกในขณะที่อเลสติเนียเป็นเวลาเข้านอน แต่ที่ไทยเพิ่งจะสิบโมงเช้า รองวิชาญนั่งกุมขมับอยู่ตรงโต๊ะทำงานในห้องส่วนตัว กับชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่นั่งกอดอกสีหน้าขรึมอยู่ที่โซฟารับแขก ตฤณถูกตามตัวให้มาปรึกษาเรื่องสำคัญมาก และเมื่อฟังจบต่างก็นิ่งเงียบ ยังไม่มีใครเสนอความคิดดีๆ ออกมาได้
     
    "คุณลุงจะให้ผมไปเอาเพชรมาเช่นนั้นหรือ คุณลุงก็รู้นี่ว่า ลองเพชรอยู่ในมือเสธแล้ว ยากที่จะล้วงเอามันกลับคืน"
     
    "แต่ฉันต้องทำ นายต้องช่วยฉันตฤณ นายอยากให้ยัยนาต้องตายหรือ"
     
    เมื่อพูดถึงผู้หญิงคนที่ตนแอบหลงรัก ใบหน้าชายหนุ่มก็สลดลง เขาลอบถอนใจยาว "เป็นงานที่ยากที่สุดที่ผมทำมา ผมต้องหักหลังเจ้านายของผมเชียวนะครับ"
     
    "ฉันขอร้องนะ ตฤณ" รองวิชาญตัดสินใจลุกมาจากเก้าอี้ พอมาถึงตรงที่ชายหนุ่มนั่ง เขาก็ยอมทำในสิ่งที่ตฤณก็คาดไม่ถึง นั่นคือการคุกเข่าอ้อนวอน
     
     "นะ ตฤณ เห็นแก่ยัยนา ช่วยฉันได้ไหม เธอเป็นคนเดียวที่ช่วยนาตุลยาได้  เพราะเข้านอกออกในบ้านท่านเสธประจำ น่าจะรู้ว่าท่านเก็บเพชรไว้ที่ไหน "
     
    ตฤณรู้สึกลำบากใจ เสธที่ว่านั้นคนทั้งประเทศย่อมรู้จักดี ท่านเป็นถึงรองนายกและเป็นนักการเมืองเสาหลักของพรรคการเมืองใหญ่ มีลูกน้องนับร้อยนับพันคน และเขาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ที่สำคัญก็ยังเป็นเพื่อนรักกับลูกชายคนเดียวของท่านเสธ จึงรู้เรื่องเพชรของอเลสติเนียเป็นอย่างดีว่าที่มาที่ไปอย่างไร แล้วคนบงการเรื่องนี้ที่แท้จริงก็คนในของ
    อเลสติเนียด้วยกันเอง
     
    "ผมจะลองหาวิธีดู ผมเองก็ไม่อยากให้น้องนาเป็นอะไรไป"
     
    บรรยากาศยามราตรีกาลของบ้านหรูหราหลังใหญ่โต ไม่น่าเชื่อว่าจะเงีบบสงัดจนบางคนที่ไม่คุ้นอาจจะรู้วังเวงหรือหลอนตนเอง แต่สำหรับนาตุลยาแล้ว เธอกลับรู้สึกสงบจิตใจดีที่ได้ห่างจากความวุ่นวายของแสงสีออกมาเสียบ้าง หญิงสาวยังไม่ง่วง จึงคว้าเสื้อคลุมออกมาเดินเล่นที่สวนตามลำพัง แหงนเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าสีกำมะหยี่ที่ดวงดาวทอประกายวิบวับเบื้องบน พลันคิดถึงผู้เป็นบิดาขึ้นมา
     
                    "พ่อคะ ป่านนี้พ่อจะเป็นอย่างไรบ้าง คงรู้แล้วใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับนา"
     
                    "แกร๊ก" เสียงคล้ายฝีเท้าคนเหยียบอะไรสักอย่างดังขึ้นมา หล่อนหลุดออกจากความคิด สะดุ้งตัวเล็กน้อย หันหลังกลับมาก็เห็นดาเลียสยืนอยู่ระยะห่างจากเธอไม่กี่เมตร   พอเห็นเขาหล่อนก็กอดอกเมินหน้าไปทางอื่น
     
                    "เห็นที่ระเบียงนึกแล้วเชียวว่ายังไม่นอน น้ำค้างแรงนะ ผมกลัวคุณจะไม่สบายเอา"
     
                    "ฉันมันหัวแข็ง ไม่ต้องมาทำเป็นห่วงหรอก ฉันยังไม่ตายง่ายๆ ยังอยู่ให้คุณทรมานได้อีกนาน"  น้ำเสียงเธอช่างประชดประชันเขาเสียจริง
     
                    "ถ้าอยากเดินเล่น ก็ไม่ว่าอะไรนะครับ แต่อย่านานกว่านี้เลยนะ อากาศในทะเลทราย ยิ่งดึกจะยิ่งหนาวจัด"
     
                    "ขอบคุณค่ะที่เตือน ฉันจะกลับพอดีตอนที่เห็นคุณนี่แหละ คงหมดอารมณ์แล้ว" ว่าแล้วเธอก็หมุนตัวจะเดินผละจากเขาไป แต่ดาเลียสเรียกหญิงสาวไว้ก่อน
     
                    "เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป นาตุลยา ผมมีอะไรให้คุณ"
     
                    "คะ อะไร" นาตุลยาหันกลับมาอีกครั้ง ทำหน้านิ่ว "มีอะไรก็ว่ามา"
     
                    "อะนี่"  ชายหนุ่มชูสายสร้อยที่มีจี้เพชรให้เธอดู นาตุลยาจำได้ว่ามันเป็นของตนเองที่ได้ให้กับสองแม่ลูกนั้นไป
     
                    "มันมาอยู่กับคุณได้ไง"
     
                    "ผมขอซื้อคืนมาจากผู้หญิงคนนั้น ที่ผมรู้ว่าคุณไปไหน ก็เพราะเธอเป็นลูกสาวป้าคนที่คุณทำร้ายแล้วหนีออกมา เธอเลยยอมเล่าออกมาหมด"
                    เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หญิงสาวก็รู้สึกกระดากละอายใจ เธอไม่น่าจะทำร้ายคนแก่เลย "แล้วป้าเขาเป็นอะไรมากไหม ฉันต้องขอโทษด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายรุนแรง"  น้ำเสียงหญิงสาวอ่อนลง 
     
                    "ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่คอเคล็ดเจ้าเฝือกนิดหน่อย แต่ตอนนี้คงน่าจะหายแล้ว ป้าเขาเข้าใจคุณดี ว่าแต่คุณมารับสร้อยไปสิครับ ดูเหมือนจะเป็นของสำคัญมาก พอๆกับต่างหูที่ผมเอาไปใช่ไหม"
     
                    แววตาของเขาเวลานี้ผิดจากเมื่อกลางวันราวกับคนละคน อ่อนโยนและอบอุ่น นาตุลยาเดินเข้ามาแบมือ และชายหนุ่มก็วางจี้เพชรพร้อมสายสร้อยใส่มือคืนให้เธอ 
     
                    "ขอบคุณมาก ที่อุตส่าห์ซื้อคืนให้ ฉันคงเหลือสมบัติที่พ่อให้ฉันก็ชิ้นสุดท้าย' ว่าแล้วหญิงสาวก็คลี่สายสร้อยออกมาเอามา คล้องคอ พยายามจะใส่ตะขอแต่ไม่ถนัดเพราะค่อนข้างมืด  
     
                    "มาผมใส่ให้ดีกว่า"  ดาเลียสเห็นท่าทางเก้ๆกังๆ ของเธอ ก็อดรำคาญไม่ได้ คว้าสายสร้อยที่อยู่ที่คอเธอมาสวมใส่ตะขอให้จนเสร็จ 
     
                    "ขอบคุณค่ะ"  นาตุลยาขอบคุณอีกครั้ง เป็นจังหวะที่หล่อนเงยหน้าสบตาเขาพอดี ตอนนี้ทั้งสองคนยืนหันหน้าเข้าหากันและห่างกันก็แค่คืบเท่านั้น   หญิงสาวรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวยามมองใบหน้าเขา
     
    "เอ่อ ฉันขอตัวไปนอนก่อนนะ" เธอก้มหน้าหลบ ดูเขินอย่างไรไม่รู้ ขณะกำลังจะก้าวเท้าออกไป ตัวอะไรสักอย่างวิ่งพรวดผ่านหน้า หญิงสาวตกใจกรีดร้อง หันหลังวิ่งกลับไปชนร่างชายหนุ่ม เผลอตัวไปอยู่ในวงแขนกำยำของเขา
     
    "ไม่มีอะไร ก็แค่หนูทะเลทรายเอง"  เขาว่า แต่มือก็ยังไม่คลายออกจากตัวเธอเสียที
     
    "อ่อ ค่ะ" นาตุลยาเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองอยู่ในท่าไหน หล่อนรีบผละออกจากเขาทันที 
     
    "คนฉวยโอกาส" น้ำเสียงหญิงสาวค่อนข้างโมโห ดาเลียสหัวเราะเบาๆ
     
    "อะไรกัน คุณเข้ามาหาผมเองนะ"
     
                    "อ่ะ…."  นาตุลยาพูดไม่ออก ก็ใช่จริง เธอตกใจดันวิ่งมาหาอ้อมกอดของเขาเอง แต่หล่อนก็ไม่ยอมรับ สะบัดหน้าหนีก่อนจะเดินจากเขาไปอย่างรวดเร็ว หน้าแดงอายจนบอกไม่ถูก "ตาบ้า คนผีทะเลทราย"
     
                                                                                    ***********************
     เสียงหัวเราะต่อกระซิกที่มาจากห้องรับรองภายในตำหนักของตน ทำให้พระอนุชาปาสคาที่เพิ่งกลับออกมาจากงานเลี้ยงที่สถานทูต ถึงกับหน้านิ่ว สงสัยว่าธิดาบุญธรรมของตนกำลังคุยอยู่กับใคร
     
    "เสด็จพ่อ'  ชากีน่าลุกขึ้นยืน ย่อตัวลงทักทายพระบิดาพอเป็นพิธี ส่วนดาเลียสก็รู้หน้าที่ดีว่าต้องทำอย่างไร ชายหนุ่มโค้งกายให้อย่างนอบน้อม
     
    "มีแขกมาแต่เช้าเลยหรือ " เจ้าชายปาสคาหันมาส่งสายตาตำหนิชากีน่า หญิงสาวรู้ตัวดีว่าทำอะไรผิด แต่ก็แสร้งทำเป็นมองไม่ออก
     
    "เสด็จพ่อ คนนี้เพื่อนลูกเองเพคะ เพิ่งมาจากฝรั่งเศสชื่อดาเลียส"
     
    เจ้าชายปาสคาผินพระพักตร์หันไปพิจารณาชายหนุ่มตรงหน้าที่ตอนนี้ โค้งตัวแสดงความเคารพเขาอีกครั้ง พระขนงของเจ้าชายขมวดมุ่น ทอดพระเนตรชายหนุ่มที่พระธิดาของตนแนะนำตัวให้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ผู้ชายคนนี้ท่าทางนิ่งขรึมบุคลิกไม่วอกแวก ดูสุภาพ และใบหน้ายังคมเข้มหล่อเหลาเอาการ คงจะเป็นนักธุรกิจมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ทว่าเจ้าชายปาสคาเคยตั้งกฎให้กับเจ้าหญิงชากีน่าไปแล้ว แต่เหมือนหล่อนจะลืมไป
     
    "ชากีน่า ตามพ่อมา พ่ออยากจะคุยอะไรกับลูกตามลำพัง"
     
    ดาเลียสมองตามเชื้อพระวงศ์สองพ่อลูกเดินหายออกไปจากห้อง ลอบถอนใจอีกครั้ง การจะเข้าถึงตัวผู้ที่มีอำนาจมากขนาดนี้เป็นไปอย่างยากเย็น แม้ดาเลียสสามารถเข้าออกวังเป็นคนพิเศษของเจ้าหญิงชากีน่าได้แล้วก็ตาม
     
    "พ่อบอกแล้วใช่ไหม ชากีน่า ที่นี่เป็นวัง ไม่ใช่สถานพักตากอากาศในฮาวาย ห้ามไม่ให้เพื่อนชายของลูกหน้าไหนเข้ามาทั้งนั้น ก่อนที่พ่อจะอนุญาต" พระสุรเสียงห้าวดุดันทำเอาเจ้าหญิงชากีน่า พระธิดาบุญธรรม หน้าเสียเล็กน้อย แต่ก็ยังมีข้ออ้างมาแก้ตัว
     
    "เสด็จพ่อไม่ค่อยอยู่พระราชวัง เอาแต่ออกไปข้างนอกแล้วลูกจะพบเสด็จพ่อเวลาไหนเล่าเพคะ อีกอย่างลูกมั่นใจว่าดาเลียสพอไว้ใจได้ ไหนๆ เสด็จพ่อก็มาแล้ว ลูกขอประทานอนุญาตเลยแล้วกัน"
     
    เจ้าชายพระอนุชาสั่นพระพักตร์อย่างระอาใจ มองหน้าพระธิดาบุญธรรมของตน ชากีน่าเป็นลูกสาวของข้ารับใช้ของตนที่จงรักภักดีมากที่สุด เรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนทรงยังจำได้ไม่มีวันลืม พ่อของชากีน่า เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องพระอนุชาจากการถูกลอบปลงพระชนม์เพราะไปขัดแย้งกับเจ้าชายอีกเมืองเรื่องแย่งสตรีงาม  ทรงจึงต้องรับชากีน่าไว้เป็นลูกสาวบุญธรรมและเลี้ยงดูมาอย่างดี
     
    "ตามใจ แล้วลูกรู้จักเขาดีพอแล้วหรือ ทำไมพ่อไม่เห็นลูกเล่าถึงเพื่อนคนนี้ให้พ่อฟัง"
    "ลูกเพิ่งพบเขาไม่นานเพคะ เป็นตำรวจสากล คงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเพคะ ไม่เช่นนั้นองค์ราซีมคงไม่โปรดเรียกเขามาใช้งานบางอย่าง เลยทำให้ลูกได้เจอเขาในวังของเรา"
     
    เมื่อได้ยินว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครมาจากไหน พระพักตร์ของพระอนุชาก็ขรึมขึ้น พระขนงชนเข้าหากันก่อนจะคลายตัวออกมา พึมพำกับตนเองเบาๆ  "องค์ราซีมเรียกใช้งานหรือ เจ้าหนุ่มนั่นเป็นใครกันแน่"
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×