หลังพวงมาลัย(เลือด) - หลังพวงมาลัย(เลือด) นิยาย หลังพวงมาลัย(เลือด) : Dek-D.com - Writer

    หลังพวงมาลัย(เลือด)

    โดย itsara

    เห็นข่าวเด็กขายพวงมาลัยโดนรถทับจนตาย นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่สะท้อนชีวิตของหนูน้อยเหล่าบนภาวะของสังคมที่แก่งแย่งกัน

    ผู้เข้าชมรวม

    1,880

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    11

    ผู้เข้าชมรวม


    1.88K

    ความคิดเห็น


    18

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 ก.พ. 51 / 09:21 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เอี๊ยด ……..โครม…… กรี๊ด!..ว้าย!…… เสียงหวีดร้องของผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นร้องด้วยความตกใจ ร่างของเด็กน้อยลอยละลิ่วหล่นลงไปกระแทกฟุตบาทหน้าผับหรูแห่งหนึ่ง   เลือดไหลท่วมตัวเจิ่งนองต็มพื้น  ห่างไปประมาณ 3 เมตร จากร่างเด็กน้อย รถสปอร์ตคันหรู  จอดนิ่งสนิทอยู่หลังจากคนขับแตะเบรกไม่นาน  ผู้คนที่เห็นเหตุการร์ต่างวิ่งกรูมาดูที่เกิดเหตุ  ฉับพลัน รถคันนั้น ได้หักรถแล้วรีบขับบอกไปทันทีจากหน้าผับ ทิ้งร่างเด็กน้อยที่หายใจรวยระริน อย่างไม่แยแส ตามหลังด้วยเสียงด่าสบถของผู้คนที่มุงดูเหตุการณ์  

                                      ไอ้สารเลว ไอ้ตัวชิงอะไรมาเกิด ชนแล้วหนี !

                  -*******************************************************
                                
      เอ่อ…..  ผมขอโทษ ผมจะทำตามสัญญาของเรา เอ่อ….

                            
         คัท!  เสียงหนึ่งตะโกนออกมาท่ามกลางกองถ่ายทำหนัง  

                "
      ผมบอกคุณแล้วไง ทำการบ้านให้มันมากๆหน่อย  นี่มันปาไปหลายเทคแล้ว คนอื่นเขารอคุณอยู่นะ
      คร๊าบ  วันนี้ก็มาเรท ร่วม 4 ชม.   เฮ้อ! หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายสักที ขอร้องละคร๊าบ  ! เลิกถ่ายแล้วหมดรมณ์"


          
      สิ้นเสียงของผู้กำกับ ทีมงานกองถ่ายแยกย้ายกันไปเก็บข้าวของ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อ เข้ม คมคาย มาดพระเอก  แน่ละเขาเป็นพระเอกที่เพิ่งโดนผู้กำกับด่ามาเมื่อตะกี้  เดินผลักออกจากกองถ่าย มุ่งไปที่รถของเขา

          เสียงชายหนุ่มที่ดูมีอายุมากกว่า  ร้องเรียกตามหลังเขามา


          "
      ไอ้คุณกฤตย์ อย่างเพิ่งไป เราต้องคุยกันหน่อย "  กฤตย์ หันมาตามเสียงเรียก

          "วันนี้นายเป็น ไร ถ่ายก็หลายเทค แล้วยังมาสายตั้ง 4 ชม."

          "ฉันเอ่อ เมื่อคืนหนักไปหน่อยวะ ขอโทษสันต์ จะไม่ให้เป็นแบบนี้อีก " กฤตย์ตอบอย่างราบเรียบ

      "เมื่อคืนนายไปเที่ยวอีกแล้วใช่ไหม  ฉันเตือนนายแล้วว่าวันนี้มีงาน ทำไม นายไม่เพลาลงบ้าง "สันตอกกลับ ด้วยสีหน้าเอือมระอา

          "
      เฮ้ย!  นายเป็นผู้จัดการส่วนตัวของฉัน ไม่ใช่พ่อ จะมาสั่งนู่น สั่งนี่"  กฤตย์ ตอกกลับไปบ้าง

          "
      ฉันรักษาผลประโยชน์ของฉันต่างหาก !" สัน ตะคอกกลับไป

          "
      โอเค โอเค  ผมขอโทษละกัน แล้วจะไม่เป็นแบบนี้อีก  ว่าแต่วันนี้ขอตัวก่อนละกัน ไม่ไหวแล้ว เมื่อคืนดื่มมากไป บายละ " พูดจบชายหนุ่มเปิดประตูรถแล้วขับออกไป สันต์ได้แต่มองเพื่อนร่วมธุรกิจของเขา  แล้วส่ายหัวไปมาด้วยความอ่อนใจ

          
      กฤตย์พงษ์ หนุ่มนักเรียกนอก ลูกชายคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดัง เป็นทั้งนายแบบ และดาราที่โด่งดังอยู่เวลานี้  เขาใช้ชีวิตเป็นหนุ่มเพลบอย  โฉบสาวคนนู้น ควงคนนี้ไม่ซ้ำหน้า ถึงกระนั้นเขาก็มีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตนอยู่ชื่อเจนนี่ แต่ดูเหมือนช่วงอาทิตย์นี้  หล่อนบินไปดูงานต่างประเทศ เขาจึงเป็นอิสระที่ไม่ต้องคอยรับส่งเธอไปไหนมาไหน  แต่วันนี้เขาอยากกลับไปนอนเต็มที่แล้ว จึงขับกลับไปคอนโดสุดหรูที่เขาซื้อไว้   หลังจากเสร็จสรรพภารกิจส่วนตัว       เขาเปิดเครื่องตอบรับโทรศัพท์อัติโนมัติ  

          "
      กฤตย์ พรุ่งนี้เจนจะลงเครื่อง หกโมงเย็น อย่าลืมมารับนะคะ"  เสียงเครื่องตอบรับจบลง เขาปิดเครื่องตอบรับ แล้วล้มตัวนอนบนเตียง  พลันได้กลิ่นหอมประหลาด เหมือนดอกมะลิที่แม่ของเขาชอบนำไปวางที่พานดอกไม้ในห้องพระ กลิ่นนี้มาจากไหน เขานึกในใจ  แต่เขานึกได้ว่าน่าจะติดมาจากกองถ่าย เพราะบริเวณนั้นเป็นสวนหย่อม เขาไม่ได้คิดอะไรต่อ แล้วม่อยหลับด้วยความอ่อนเพลีย

                หกโมงเย็นวันต่อมา หลังจากถ่ายหนังเสร็จ  กฤตย์รีบตะบึงรถไปรับเจนนี่ แฟนสาวที่สนามบิน  กฤตย์ได้พาเธอมาทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง  หลังจากมื้อค่ำ  เขาคิดจะไปส่งเจนนี่ที่บ้านของเธอ  ส่วนตัวเขาเองจะไปหาความสุขอย่างเคย แต่ดูเหมือนว่าเจนนี่รบเร้าเขาขอไปต่อ เขาจึงต้องตามใจเธอ  กฤตย์ขับรถพาแฟนสาวไปที่ผับหรูแห่งหนึ่งย่านชานเมือง  ขณะเลี้ยวรถเข้าไปทางเข้าของผับ เด็กชายคนหนึ่ง เดินตัดหน้ารถเขา เขาเหยียบเบรกทันทีด้วยความตกใจ ทั้งเขาและเจนนี่หน้า คะมำลงไป เมื่อกฤตย์เงยหน้าขึ้นมาจากพวงมาลัยรถ  เขาพบแต่ความว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลย กฤตย์งงมากๆ

              "
      กฤตย์คุณเป็นอะไรไปคะ ทำไมหยุดรถกระทันหันแบบนี้"  เจนนี่ถามอย่างแปลกใจ    
            
             
      "ผมเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินตัดหน้ารถเรา  คุณไม่เห็นหรือ"  กฤตย์ถาม    
              
                 "
      ไม่คะ เจนนี่ไม่เห็นใครเลย  กฤตย์ คุณสบายดีหรือปล่าวคะ "เจนนี้ถามด้วยความเป็นห่วง
              

            
      "แต่ผมตาไม่ฝาดนะ ผมว่าผมเห็น ……  ช่างเถอะผมคงตาฝาดไปจริงๆ " กฤตย์ตอบแฟนสาวเพื่อเรื่องจะได้จบ แต่เขารู้แน่นอนว่าเขาตาไม่ฝาด เขาเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อายุราว สิบสองปี ถือหาบขายพวงมาลัยเดินตัดหน้ารถเขาไป  แล้วจู่ๆเด็กนั่นหายไปไหน   ตกใจกลัววิ่งหนีไปหรือไง แล้วทำไมเจนนี่บอกว่าไม่เห็น เขาครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ

          กฤตย์และเจนนี่ฟังเพลง เต้นรำกันอย่างมีความสุข จนนาฬิกาบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน  กฤตย์คิดว่าสมควรแก่เวลาที่จะส่งเจนนี่กลับบ้าน พรุ่งนี้เขาติดงานสำคัญด้วย  ขณะที่เขากำลังจะติดเครื่องรถ

          "
      น้าครับ พวงมาลัยสักพวงไหมครับ น้ำเสียงที่เย็นๆมาจากข้างรถเขา  พร้อมมือหนึ่งยื่นพวงมาลัยเข้ามาให้เขาในรถ  กฤตย์หันไปมองเห็นเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ยืนอยู่ข้างรถเขา

          "ไม่ละขอบใจ" กฤตย์ตอบ


          
      มือน้อยๆค่อยชักมือกลับไป แล้วเดินจากไปข้างหลังรถ  เขาจำได้ว่าเด็กผู้ชายที่ยื่นมาลัยมาให้เขา เหมือนเด็กผู้ชายที่เดินตัดหน้ารถเขาเมื่อตอนหัวค่ำ กฤตย์เปิดประตูรถออกไปทันที

          "หนูเดี๋ยวก่อน…."  เด็กคนนั้นหันมามองเขาพร้อมแสยะยิ้มให้  ก่อนที่เขาจะอ้าปากพูดไรต่อ  เสียงเจนนี่ก็แทรกขึ้นมา

          "
      กฤตย์ทำไรอยู่  เจนนี่ง่วงแล้วคะ เรารีบกลับกันเถอะ" กฤตย์ไม่พูดไรต่อ เขามองเด็กคนนั้นเดินจากไป
          
          
      เขาขับรถรถไปส่งเจนนี่ส่งที่บ้าน แล้วขับรถกลับมาที่ คอนโดส่วนตัวของเขา ระหว่างติดสัญญาณไฟจราจร  กฤตย์มองไปที่กระจกรถส่องหลัง เขาไม่เคยแขวนอะไรในตัวรถเขาเลยเพราะไม่ชอบ แต่เมื่อกี้เขาคิดว่าน่าจะซื้อพวงมาลัยมาแขวนดูบ้าง  แล้วความคิดเรื่องเด็กคนนั้นก็แวบเข้ามาในสมอง    เมื่อสักครู่ใหญ่ๆที่เด็กคนนั้นยื่นพวงมาลัยเข้ามาถึงหน้าเขา เขาจำได้แล้ว   เขายังไม่ได้เปิดกระจกรถเลย  แล้ว เด็กคนนั้นยื่นพวงมาลัยมาให้เขาได้ไง แถมเสียงเด็กคนนั้นที่เรียกให้เขาซื้อพวงมาลัยมันชัดเจนมาก เสียจนคิดได้ว่าเด็กคนนั้นมาอยู่ข้างเขา  กฤตย์เอามือกุมขมับทั้งสองข้าง  เขาสับสน มึนงงไปหมด ตกลงเขาได้เปิดกระจกรถลงหรือเปล่า หรือเขาดื่มมากไป

          "
      ปริ๊น ปริ๊น "เสียงแตรรถคันหลัง ดังขึ้น  เขารู้สึกตัว สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขารีบขับออกไป

          
      สองคืนต่อมา เขาไปที่ผับนั่นอีกครั้ง  เพื่อพบปะสังสรรค์เพื่อนร่วมก๊วนของเขา  เกือบเที่ยงคืนเช่นเดิม ต่างคนแยกย้ายกันกลับบ้าน  ขณะที่กฤตย์กำลังไขกุญแจรถอยู่

          "
      น้า พวงมาลัยสักพวงไหมคร๊าบ..............." เด็กคนนั้นอีกแล้วหรือ กฤตย์หันกลับไปมอง เด็กชายขายพวงมาลัย เนื้อตัวมอมแมม  มองเขาอยู่เช่นกัน  

          "
      น้ามาหลายทีแล้ว ช่วยซื้อหน่อยน้า"  น้ำเสียงเด็กน้อยดู แหลม ๆ เย็น ๆ พิกล

         "
      ไม่เอา " กฤตย์ ตอบกลับไป เขาอยากกลับเต็มทีแล้ว เนื่องจากดื่มไปพอสมควร
         
       "
      น้าไม่ซื้อจริงเหลอ"  เด็กชายพูดพลางแล้วเดินไปหน้ารถเขา

          
      กฤตย์เห็นเด็กนั่น ควักเหรียญจากกระเป๋ากางเกง ทำท่าจะขูดกระโปรงรถ
          
          "
      เฮ้ย ! ทำไรอย่านะไอ้เด็กบ้า"  

          
      ยังไม่ทันไร เด็กชายยิ้มเยาะใส่เขา ก่อนที่จะวิ่งหนีจากเขาไป กฤตย์วิ่งไล่ตาม เด็กชายเลี้ยวไปทางขวาของทางออก กฤตย์วิ่งตามไปติดๆ เขาวิ่งไม่ทันไรก็เหนื่อยหอบ เขาวิ่งไม่ทันเด็กสิบสองขวบ
          
          "
      เด็กผีไรวะ วิ่งเร็วฉิบ"  กฤตย์เหนื่อยหอบแฮก

          
      กฤตย์ตื่นขึ้นมาของเช้าอีกวัน  เมื่อคืนเขาฝันถึงเด็กชายขายพวงมาลัยตลอดคืน  เดี๋ยวก็ฝันว่ามาขายพวงมาลัยให้เขา เดี๋ยวก็ฝันว่า เดินตัดหน้ารถเขา  ครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะสะดุ้งตื่น เด็กคนนั้น เลือดท่วมตัวมานั่งข้างเขาในรถ

          วันนี้ทั้งวันเขาทำงานอย่างไม่มีสมาธิ เขานึกถึงแต่เรื่องเด็กคนนั้น กฤตย์ส่ายหัวไปมา  เขาเป็นไรไป เขาคิดในใจ  เขาและเด็กคนนั้น ไม่มีอะไรจะเกี่ยวข้องกันเลย ทำไมต้องเก็บมานึกถึงด้วย

          
      กฤตย์ไม่ได้กลับไปที่ผับนั่นเป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์  เพราะเขาต้องไปถ่ายหนังที่ต่างจังหวัด ความคิดเรื่องเด็กชายขายพวงมาลัย ค่อยๆจางหายไป  และคืนนี้ เขาผ่านไปผับนั้น แค่ผ่านเท่านั้น เพราะเขาต้องไปทำธุระอีกที่หนึ่ง

             ไม่มีวี่แววเด็กชายอยู่หน้าผับ กฤตย์ขับรถผ่านไปได้ประมาณร้อยเมตร และก็ต้องหยุดรถกะทันหันอีก ใช่แล้ว เด็กผู้ชายขายพวงมาลัยคนนั้นเอง แต่คราวนี้ไม่ได้มาเดินตัดหน้ารถเขาเหมือนครั้งก่อน แต่มายืนดักหน้ารถเขาเลย กฤตย์เปิดประตูรถไปด้วยความโมโห  เสียงแตรรถอีกหลายคันดังลั่น เด็กผู้ชายวิ่งหนีเขาไป อีกครั้งที่เขาต้องไล่ตาม เขาขับรถไล่ตามไปจนถึงซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง เขาจอดรถไปปากซอย แล้ววิ่งไล่ตามเด็กที่วิ่งเข้าไปในซอยเล็กนั้น กฤตย์วิ่งไล่ตามไปเรื่อยๆ  ทีนี้เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นเป็นใคร มีอะไรกับเขานักหนาถึงได้ตามหลอกหลอนทั้งในโลกความเป็นจริงและความฝัน ภายในซอยเล็กๆ มีห้องแถวมุงสังกะสีหลายหลังเรียงรายกันอย่างแออัด เขาเห็นเด็กผู้ชายเปิดประตูห้องหนึ่งแล้ววิ่งเข้าไป ประตูถูกปิดลง
          

         
      "ปึง ปึง ใครอยู่ข้างใน เปิดประตูให้หน่อยได้ไหม"  กฤตย์เคาะประตูเสียงดังประตูห้องถูกเปิด เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเดินออกมาจากห้อง

          "
      น้ามาหาให้ใครคะ"  เสียงเล็กถามเขาอย่างเรียบๆ
          
            "
      เมื่อ กี้มีเด็กผู้ชายวิ่งเข้ามาในห้องนี้ ไหน  อยู่ไหน ไอ้เด็กเวรนั่น"

          
      เด็กผู้หญิงทำหน้าเหลอๆ แล้วเสียงแหบแห้งเหมือนคนหมดแรงก็ดังมาจากข้างในห้องแคบ

          "
      พลอยใครมาหาลูก "               

          "แม่คะเขาบอกว่ามาหาเด็กผู้ชายคนหนึ่ง  เขาบอกมีเด็กผู้ชายวิ่งเข้ามาในห้องเรา"  เด็กน้อยตอบแม่ของเขาไป
          "
      ไม่มีใคร วิ่งเข้ามาดอกคะ มีแค่เราสองคนแม่ลูก "

          
      กฤตย์ ชะโงกมองตามเสียงนั้น  เขาเห็นหญิงวัยกลางคน สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ นั่งอยู่บนเตียงไม้ที่ใกล้พัง

           "
      เมื่อกี้ผมเห็นมันวิ่งเข้ามาในนี้  วันก่อนมันจะขูดหน้ารถผม วันนี้มันมายืนดักหน้ารถผมอีก ผมจะเอามันส่งตำรวจ "  กฤตย์ พูดด้วยอารมณ์โมโหสุดๆ
          "
      ไม่มีใครวิ่งเข้ามาจริงๆคะ  น้าจะเข้ามาดูข้างในก็ได้ คะ"

          กฤตย์เดินเข้ามาในห้องสองถึงสามก้าว  สายตาส่อดส่ายมองหาร่างเด็กผู้ชายคนนั้น  เขาชะงักไปทันทีเมื่อมองไปบนตู้เสื้อผ้าพลาสติกที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง
              
                                       
      ด.ช. องอาจอาจ  เพียรภักดี
                                     
      ชาตะ 10 มกราคม  พ.ศ. 2536
                                     
      มรณะ  1 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

          
      ข้อความนี้ปรากฏอยู่ใต้รูปๆหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง  กฤตย์แทบช๊อก เพราะเด็กในรูปคือคนเดียวกับที่เขากำลังมองหาอยู่  เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ดูเหมือนเนิ่นนาน

          "
      น้าๆ มีอะไรหรือปล่าวคะ " เสียงเด็กน้อยถามขึ้นมาระหว่างความเงียบงัน    กฤตย์ ค่อยรู้สึกตัว เขาตอบไปอย่างตะกุกตะกัก

          "
      มะ…. ไม่มีอะไร ขอ....โทษที  ฉันกลับละ "

                    กฤตย์รีบเดินจ้ำอ้าวกลับที่รถที่จอดปากซอย  เสียงเล็กเรียกตามหลังเขามา แต่ดูเหมือนเขาหูอื้ออึงไป  เขาขับรถกลับบ้านทันที
          
          
      กฤตย์ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ตลอดคืน เขาพลิกตัวไปมา ที่ผ่านคืออะไร   เขาเจอผี หรือว่าบังเอิญมีคนที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ แล้วเด็กนั่นละ  วิ่งหายไปไหน ใครจะอธิบายให้เขาเข้าใจได้บ้าง

          ราวประมาณตีสอง  บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที ลมเย็นๆผ่านมาวูบหนึ่งราวกับพัดผ่านน้ำแข็ง กฤตย์คิดว่าเขาคงเปิดแอร์ต่ำไปหรือเปล่า แต่เขาก็เปิดแบบนี้ทุกคืน  เหตุใดวันนี้หนาวเย็นผิดปกติ สักครู่เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมประหลาดๆ มันคือกลิ่นดอกมะลินอีกแล้ว คราวนี้มันมีอีกกลิ่นผสมมาด้วยกันและทวีความรุนแรงขึ้น กลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวลของซากศพ   กฤตย์ถึงกับโก่งคอจะอาเจียนออกมา    ขนที่หลังคอลุกชันขึ้นมา เขารู้สึกว่ามีอะไรน่ากลัวบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น แล้วเสียงแหลมๆ เย็นๆก็โหยหวนขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่วังเวงในห้อง
                    
                                                "
      น้า---------พวงมาลัยสักพวงไหมคร้าบ -----

                
      กฤตย์มองหาต้นตอของเสียงที่เยือกเย็น  เขาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจสุดขีด ภาพที่ปรากฏตรงปลายเตียงของเขาคือเด็กชายขายพวงมาลัยคนนั้น  ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด   ใบหน้าขาวซีดราวกับศพ ตากลวงลึกเห็นเป็นเส้นเลือดเขียวรอบดวงตา  เลือดไหลออกเป็นทางจากมุมปากด้านหนึ่ง ตาแดงกล่ำมองมาที่เขาด้วยความเคียดแค้น  แล้วมือที่เต็มไปด้วยเลือดนั่นก็ยื่นพวงมาลัยที่เต็มไปด้วยเลือดมาให้เขา พวงมาลัยเลือดค่อยๆเข้าใกล้หน้าเขาเรื่อยๆ ตามมือที่ยืดยาวขึ้น ยืดยาวขึ้น

                                 "
      อย่า อย่า ! โอ้ยอย่า กลัวแล้ว ช่วยด้วย กลัวแล้ว" กฤตย์ร้องเสียงหลง ด้วยความกลัวจนแทบขาดสติ มือสองข้างปัดไปปัดไป อยู่ข้างหน้า

                                 "
      ตื๊ด ๆ"  เสียงโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียงดังขึ้น  เขาสะดุ้งตื่น ใบหน้าขาวซีด เหงื่อเปียกโชกเต็มตัว  นาฬิกาข้างๆบอกเวลาประมาณเก้าโมงเช้า กฤตย์เอามือไปคว้าโทรศัพท์

      "คุณกฤตย์มีเด็กผู้หญิงต้องการมาพบคุณ  ผมให้เขารอข้างล่างครับ "   เสียงปลายสายซึ่งกฤตย์จำได้ว่าเป็น ร.ป.ภ. ของคอนโด  เด็กที่ไหนนะมาพบเขาแต่เช้า  เขาไม่รู้จักเด็กผู้หญิงที่ไหนเลยนี่   กฤตย์พึมพำกกับตัวเอง

      "เดี๋ยวฉันจะลงไป ขอบใจมาก"  เขาวางหูโทรศัพท์ลง คว้าเสื้อคลุมมาใส่แล้วเดินออกจากห้องลงลิฟไปชั้นล่าง
      เมื่อมาถึงชั้นล่าง เขาเห็นเด็กผู้หญิงที่เขาไปเจอมาเมื่อคืนนี้  และหญิงวัยกลางคนที่คาดว่าจะเป็นแม่ของเธอ ทั้งสองนั่งอยู่ที่ที่รับแขกของคอนโด  เด็กน้อยเดินมาหาเขา

      "
      น้าคะ เมื่อคืนน้าทำกระเป๋าเงินหล่นคะ"  เด็กหญิงยื่นกระเป๋าเงินของกฤตย์คืนให้เขา กฤตย์รับมาเปิดมาดู เป็นของเขาจริงๆด้วย  เมื่อคืนเขาคงทำหล่นโดยไม่รู้ตัว สิ่งของในกระเป๋าและเงินอยู่ครบถ้วน

              "
      ขอบใจมากหนู" กฤตย์หยิบเงินที่อยู่ในกระเป๋าทั้งหมด ยื่นให้เด็กน้อย

                 "
      รับไปนะ มันคือสิ่งตอบแทนที่หนูอุตส่าห์มาคืนเจ้าของ"เด็กน้อยมองหน้าเขา  ทำตาปริบๆ แล้วส่ายหัว ปฎิเสธ

                   "
      แม่หนูบอกว่าถ้าน้าให้เงินไม่ให้รับ แม่บอกว่า คนเราถ้าคิดจะทำดีอย่าหวังสิ่งตอบแทน"
       
      กฤตย์นิ่งไปชั่วขณะ เกิดความประทับใจเด็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก   เด็กหญิงตัวเล็กๆช่างมีจิตใจดีแท้เชียว

                    "
      แต่น้าว่าหนูควรรับมันนะ"  
              
            "
      ขอบคุณมากคะ"   เด็กน้อยยกมือไหว้เขา   "แต่หนูรับไม่ได้จริงๆ หนูต้องรีบไปแล้วคะ"  เด็กหญิงหันหลังเดินกลับไปที่แม่ของเขา  สองมือพยุงร่างของแม่     กฤตย์มองดูว่าเธอน่าจะกำลังป่วยหนัก

                    "
      เดี๋ยวก่อนหนู รอฉันอยู่นี่  อย่าเพิ่งไปไหนนะ "  กฤตย์กำชับเด็กหญิง แล้วรีบขึ้นลิฟเพื่อไปห้องเขา เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วล้างหน้า แปรงฟัน กฤตย์กลับลงมาข้างล่างอีกครั้ง โชคดีเด็กน้อยยังอยู่ไม่หนีไปไหนก่อน
                    

                  "เดี๋ยวฉันไปส่งนะ  มันคงจะดีกว่าเธอนั่งรถไปสองคน ในสภาพแบบนี้ "
                  

              "
      แต่หนูกลับได้คะ หนูนั่ง…. "
            

              "
      ไม่เป็นไร "  กฤตย์สวนกลับก่อนที่เด็กน้อยจะพูดจบ  "ยังไงฉันก็ต้องไปส่งหนูกับแม่ น้าว่าแม่หนูไม่ไหวแล้วนะ"  เด็กน้อยมองไปที่แม่ของเธอ  ซึ่งทำท่าหายใจเหนื่อยหอบ เหมือนใกล้จะเป็นลมกฤตย์ขับรถพาสองแม่ลูก ออกกมาจากคอนโด

                  "
      หนูจะพากันไปไหน บอกทางมานะ  เอ่อ แล้ว มาที่นี่ถูกได้ไง"

                  "
      หนูดูตามนามบัตรในกระเป๋าน้าคะ  หนูกำลังจะพาแม่ไปโรงพยาบาลกลาง แล้วนี่เป็นทางผ่านพอดีคะ หนูเลยแวะเอาประเป๋ามาคืน"

                  "
      ขอโทษนะ แม่หนูป่วยเป็นไร"  

                  "
      แม่หนูป่วยเป็นโรคหัวใจคะ หมอที่เคยรักษาอยู่บอกว่าให้พาไปรักษาโรงพยาบาลกลางจะดีกว่า"

                 "
      แล้วนี่มากันสองคนหรือ ทำไม่ไม่ให้คนอื่นมาเป็นเพื่อนด้วยอีกคน"กฤตย์ถามอย่างอดแปลกใจไม่ได้   เด็กน้อยทำหน้าสลด แล้วตอบว่า
            
           "
      พ่อหนูทิ้งหนูกับแม่ไปตั้งแต่หนูยังเล็ก  ส่วนพี่ชายหนูถูกรถชนตายไปเมื่อสองเดือนก่อน ที่หน้าผับใกล้บ้านหนูคะ"

                  "
      ที่หน้าผับ ใกล้บ้านหนู "  เมื่อสองเดือนก่อน

                  "
      ใช่คะ"   เด็กหญิงตอบ
       
                 "
      พี่ชายหนูใช่คนที่น้าเห็นในรูปเมื่อเมื่อคืนนี้หรือเปล่า"  กฤตย์ถามด้วยความสนใจอย่างยิ่ง เขาคิดว่าเขากำลังจะได้คำตอบอะไรบางอย่าง

                  "ใช่คะ พี่ชายหนูโดนรถชน แล้วรถคันนั้นก็ขับหนีไป เพื่อนบ้านเห็นเหตุการณ์ต่อหน้าต่อตา บอกว่าถ้ารถคันที่ชนพี่หนูพาพี่หนูไปส่ง โรงพยาบาลเขาคงไม่ตาย เพราะรถโรงพยาบาลมาช้ามาก"เด็กน้อยเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ กฤตย์หันไปมองหน้าเด็กน้อย เขาสงสารอย่างจับใจ

                    กฤตย์นิ่งไปเหมือนโดนมนต์สะกด ความทรงจำเมื่อสองเดือนก่อนค่อยๆผุดขึ้นมาจากสมองของเขา  สองเดือนก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเกิดของเจนนี่  เขาเมามาก ขอตัวกลับบ้าน ส่วนเจนนี่กลับกับเพื่อนของเขา   กฤตย์กระชากรถออกจากหน้าผับด้วยความเร็วสูง บวกกับความเมา  เขาขับรถชนใครสักคนหนึ่งกระเด็นออกไป ด้วยความตกใจ เมื่อรู้ได้ว่าเขาขับรถชนคน สิ่งที่กลัวมากที่สุดคือการเป็นข่าวหน้าหนึ่งในวันรุ่งขึ้นในฐานะดาราดัง เขาเลยตัดสินใจอย่างคนขี้ขลาดด้วยการขับรถหนี  เขาคิดว่าคนที่เขาชนคงไม่ตาย คงมีคนนำไปส่งโรงพยาบาลได้ทัน  แต่จริงแล้วไม่ใช่เลย  คนที่เขาขับชนแค่เป็นเด็กแค่สิบสองขวบ เด็กคนนั้นตายด้วยความเมาจนขาดสติของเขา  และบัดนี้ น้องสาวกับแม่ของเขาก็อยู่ในรถ กฤตย์ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาเองเป็นคนขับรถชนเด็กขายพวงมาลัยตาย  เมื่อเขาลำดับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขาช่วงที่ผ่านมา   เขาทำอะไรลงไป สองชีวิตที่อยู่ข้างเขาต้องมาลำบากยากเข็ญ เพราะเขาเองได้ฆ่าคนพี่ชายของเธอและลูกชายของเธอ     พี่ที่ทำมาหากินเลี้ยงแม่และน้อง  กฤตย์ไม่ได้แค่ทำลายชีวิตคนๆหนึ่ง แต่เขาได้ทำให้สองชีวิตเหมือนตายทั้งเป็น  กฤตย์ตัดสินใจไม่พาสองแม่ลูกไปโรงพยาบาลที่เด็กน้อยบอก เขาพาทั้งคู่ไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่เป็นของเพื่อนเขา
                

               "น้าว่า มา โรงพยาบาลนี้ดีกว่านะ   ที่นี่มีหมอที่ชำนาญโรคหัวใจที่เก่งมาก แม่น้ามารักษาที่นี่จนหายดี "
                "
      น้าคะ มันแพงมาก หนูไม่มีเงินจ่ายหรอกคะ"  เด็กน้อยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
               
               "
      ค่ารักษษตัวแม่หนูน้าจะออกให้เอง  ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกนะ "  
              
              กฤตย์ช่วยพยุงร่างหญิงวัยกลางคน เขารอตรวจรักษา จนเรียบร้อย กฤตย์รับเป็นเจ้าของใคร หมอได้ขอให้ อยู่ที่โรงพยาบาลต่อเพื่อดู อาการ สักพักหนึ่ง เด็กหญิงขออยู่กับเป็นเพื่อนแม่เธอสักพัก กฤตย์ไม่พูดไรมาก เขาหยิบเงิบในกระเป๋ามาอีกครั้ง คราวนี้แม้เด็กหญิงจะปฎิเสธไม่รับ เขาก็ไม่มีวันรับคืนเด็ดขาด

                 "
      น้าคะ หนูไม่รู้จะขอบคุณน้าอย่างไง  หนูขอบคุณมาก" เด็กน้อยทำท่าจะกราบเขา กฤตย์ ตกใจรีบห้ามปราม

      ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้มันน้อยลงไปเมื่อเทียบกับ…..เอ่อ" กฤตย์หยุดไปสักครู่ "ความดีที่หนูเก็บกระเป๋ามาคืนน้า"

      กฤตย์ ขับรถออกจากโรงพยาบาล เขามีเงินติดตัวเล็กน้อย เขาแวะซื้อ ชุดสังฆทานที่ห้างสรรพสินค้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง   กฤตย์ขับรถออกจากตัวเมือง ไปยังวัดเล็กๆแห่งหนึ่งที่เขาเคยมาส่งแม่ของเขาเป็นประจำ กฤตย์จึงรู้จักหลวงพ่อที่วัดนี้เป็นอย่างดี  หลวงพ่อ รับสังฆทานจากกฤตย์ พร้อมทั้งสวดอวยพรให้
         
            "โยมเขารับบุญของโยมแล้ว  แต่เขายังคงวนเวียนอยู่ใกล้โยม  เขาอยากให้โยมทำอะไรให้เขานอกจากบุญกุศลที่โยมอุทิศให้ "  หลวงพ่อกล่าวขึ้นมาอย่างสงบ

            "
      หลวงพ่อทราบด้วยหรือครับ "
          

         
      "มันเป็นเรื่องของกรรมเวรนะโยม"
          
           "
      เขาต้องการชีวิตผม เพราะผมทำลายเขา มันสาสมกับที่ผมได้ทำลงไป"   กฤตย์กล่าวขึ้นมาด้วยความหดหู่และเศร้าใจ

          "
      ไม่มีใครเอาชีวิตใครไปได้หรอกโยม นอกจากกรรมเวรของแต่ละคน เขาไม่อยากไปไหน เพราะเขาถูกผูกมัดด้วยความรักความผูกพันกับคนที่เขารัก ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์"

      "ผูกพันกับเขาคนที่เขารัก แม่และน้องสาว"  กฤตย์พึมพำเบาๆ หลวงพ่อไม่ตอบสิ่งใด แล้วเดินออกจากไปเพื่อไปทำกิจของสงฆ์

          
      กฤตย์ ขับรถออกจากวัดไปเรื่อยๆ แล้วมาหยุดที่ริมคลองเล็กๆ เขานั่งคิดอะไรมากมาย  คืนนั้น ถ้าเขาไม่ขับรถออกไปทั้งที่เมามาก เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น  คงไม่มีใครต้องมาเศร้าโศกเสียใจ  กว่าเขาจะคิดได้ ต้องแลกด้วยชีวิตหนึ่งชีวิต   กฤตย์ไม่รู้ว่าเด็กชายคนนั้นยังวนเวียนข้างๆเขาหรือเปล่า เขาสัญญาต่อตัวเอง และสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ว่าเขาจะดูแลสองคนแม่ลูกนั้นตลอดชีวิต ไม่ใช่เพราะกลัวผีเด็กขายพวงมาลัยนั่น แต่เขาคิดว่าเขาน่าจะชดใช้สิ่งที่เขาได้กระทำลงไปบ้าง แม้ว่าไม่สามารถชดใช้กับความผิดที่เขาทำได้เลย
      กฤตย์เดินกลับไปที่รถ เขาหยิบอะไรบางอย่างออกมา เป็นขวดที่บรรจุของเหลวสีทอง มันคือสุราหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าเหล้านั่นเอง  กฤตย์ใช้กำลังของเขาที่มีอยู่   ขว้างเจ้าขวดนั่นลงไปกลางคลอง  และมองมันลอยจากไป เขาจะไม่แตะมันอีกต่อไป
                  *****************************

                  
      เอี๊ยด……… โครม ………. กรี๊ด!!!    เอาละใครจะมาซื้อพวงมาลัยหนูบ้าง

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×