ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วาสิตา (2480)

    ลำดับตอนที่ #2 : เขาลือกันให้ทั่วพระนคร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.46K
      117
      5 ก.พ. 67

    วาสิตา...บรรจงพับแผ่นกระดาษเก็บคืนซองประทับตราจากประเทศฟิลิปปินส์ แล้วมองบ้านหลังใหญ่ของผู้เป็นบิดาเจ้าของจดหมายที่เป็นตึกขาวทรงยุโรป ใครผ่านไปมาล้วนชมว่าสวย เธอกับบุตรชายคนเล็กของเจ้าของบ้านรู้จักกันดีเพราะเจ้าคุณพิทักษ์ฯ เป็นสหายรักของเจ้าคุณปู่ แม่เองก็สนิทชิดเชื้อกับอนุภริยาคนสุดท้ายท่านเจ้าคุณเพราะรุ่นราวคราวเดียว ฉะนั้นหากจะพูดว่าตระกูลของเธอและประพันธ์ มีความสัมพันธ์อันดีกันมาตลอดก็คงไม่ผิดไปจากความจริง…

    “มาดูฝักต้อยติ่งแตกเปาะแปะๆ ในน้ำด้วยกันไหมคะพี่สิตา” เด็กหญิงคนหนึ่งหันมาชี้ชวน พอแดดร่มลมตกก็ออกมาเดินเล่นชมนกชมไม้ยังริมคลองที่มีต้นมะฮอกกานีขึ้นเป็นแนวตลอดสองฝั่ง

    ‘พี่สิตา’ ยิ้มให้น้องๆ ที่ล้วนเป็นลูกหลานข้าราชการที่อาศัยอยู่ในละแวก ทั้งชาวจีน ชาวยุโรป ปะปนกันไปจนเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มก๊วนเล็กๆ กลุ่มหนึ่งก็ยังได้

    “ว้า หมดแล้ว รู้แบบนี้เก็บมาเยอะๆ ดีกว่า”

    “เราไปหาเดินเก็บใหม่กันใหม่ก็ได้หนิ ไปกันเถอะ” เด็กหญิงผมเปียบอก

    “ระวังรถกันด้วยนะคะ” วาสิตาบอกเด็กๆ หลังยืนฟังมาสักพัก ถนนตรงนี้มีเลนเดียว เธอจึงดูว่ามีรถผ่านไปมาหรือไม่ที่เมื่อไม่มีก็ค่อยบอกเด็กๆ ให้พากันเดินไป ส่วนเธอหันมามองบ้านซึ่งอยู่อีกฝั่งของถนน มีรั้วรอบขอบชิด ปลูกทั้งไม้ดอกไม้ประดับด้านหน้าแสดงอาณาเขต มีไม้ใหญ่ให้ร่มเงาอยู่หนึ่งต้น กับสนามหญ้าเขียวขจี ที่ประตูก็มีป้ายไม้สักแกะสลักตัวอักษรวิจิตรบรรจงที่เขียนไว้ว่า ‘บ้านศรุดาวงศ์’ บ้านหลังใหญ่สองชั้นที่พอสิ้นร่มโพธิ์ร่มไทรของเจ้าคุณปู่ ลูกๆ หลานๆ ก็แยกย้ายคนละทิศละทาง บ้างมีครอบครัว บ้างโยกย้ายไปอาศัยบ้านหลังอื่นที่ได้จากมรดก

    ในที่สุดบ้านสายสัมพันธ์พี่น้องก็เริ่มเจือจาง เงียบหายไปพร้อมคำพูดที่ทุกคนทิ้งไว้ว่าคุณปู่รักลูกไม่เท่ากันถึงยกบ้านหลังนี้ให้พ่อทั้งที่ทุกคนได้ทรัยพ์สมบัติไปไม่น้อย ที่มีค่ากว่าสิ่งของนอกกายใดคือได้การศึกษาที่พ่อไม่ได้ ความเป็นลูกคนโตจึงเสียสละโดยไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งพี่น้องจะพูดจาดูถูกให้เจ็บช้ำน้ำใจ เป็นเหตุให้พ่อจ้ำจี้จ้ำไชวาสิตากับน้องชายเป็นพิเศษว่าตั้งใจศึกษาเล่าเรียนไว้เถิด โดยเฉพาะเธอที่เป็นลูกคนโตและถึงเป็นหญิง

    แต่พ่อก็ส่งเสียจนจบจากโรงเรียนสตรี ไม่ให้ใครมาพูดดูถูกได้ง่ายๆ

    เธอเรียนจบแล้วเลยอยากเป็นครู อยากมอบความรู้ให้เด็กๆ แต่สมัครที่ไหนก็ไม่มีใครรับ ไม่รู้ว่าครูเต็ม หรือเพราะเธอเด็กเกินไปที่จะสอนใครได้เสียก็ไม่รู้ เพิ่งอายุยี่สิบปีบริบูรณ์...

    “เอานี่ แม่เราทำแกงไตปลา ฝากมาให้” อัมพรกำลังจะเอากับข้าวมาปัน แต่ครั้นเห็นเธอเดินเล่นเลยขอเดินด้วยคน เป็นทั้งเพื่อนบ้านและเพื่อนที่โรงเรียน ยังหางานไม่ได้เหมือนกัน “สงสัยเราลายมือก็ไก่เขี่ย สมัครเสมียนถึงไม่ได้ ไปพระนครหนนี้ถ้าไม่ได้อีกเราจะไปหัดตัดเสื้อกับพี่ที่รู้จักแล้ว ขี้คร้านอยู่บ้านให้แม่บ่น ขี้เกียจทะเลาะกับพี่อดุลย์ด้วย”

    นั่นสินะ ถ้าไปพระนครคราวนี้เธอเองก็ไม่ได้งานจะทำอย่างไรดี วาสิตาคิดในใจ

    “ลืมเลย พี่ประพันธ์เขียนจดหมายมาถามถึงอัมพรด้วยนะว่าสบายดีไหม ถามถึงพี่อดุลย์ด้วยว่าเรียนหนักรึเปล่า”

    พอได้ยินชื่อพี่ชาย คนเป็นน้องสาวเลยทำหน้าเบื่อๆ หน่ายๆ

    “อย่าไปถามถึงเลย ท่องตำราจนเพี้ยนไปหมดแล้ว” อัมพรไม่ค่อยลงรอยพี่ชายที่ตอนนี้เรียสถาปัตย์ทั้งที่เคยเปรยว่าอยากเรียนวิศวะ ไม่รู้เกี่ยวกับการที่ประพันธ์ได้ทุนเรียนต่อวิศวกรรมศาสตร์ที่ฟิลิปปินส์หรือเปล่า

    เพราะสองหนุ่มชิงดีชิงเด่นกันมาตลอด

    “พี่ประพันธ์ออกจะนิสัยดี พี่อดุลย์ต่างหากนิสัยแย่!” อัมพรบ่นพี่ชายแท้ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ไปพระนครหนนี้เราไปเตร่แถววังจันทร์จรัสกันดีไหมสิตา เผื่อจะเจอท่านชาย เขาว่าท่านหญิงถอนหมั้นท่านชายเพราะไปรักกับพ่อค้า ท่านชายคงเสียทัยมากถึงเก็บองค์อยู่แต่วัง คนเขาลือกันให้ทั่วเลยนะ”

    หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อห้าหกปีก่อน ก็มีเจ้านายผู้หญิงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ ไปสมรสกับชายรักสามัญชนกันหลายพระองค์แต่กรณี ‘ท่านหญิง’ ไม่มีใครคาดคิดเพราะรักกับท่านชายนานปี ผู้คนเลยพูดถึงยังไม่เลิก

    วาสิตาไม่ขอออกความเห็นเรื่องเจ้าๆ นายๆ ที่ห่างไกลชีวิตเธอมาก ไม่จำเป็นต้องรู้

    “เห็นว่าองค์น้องก็เสด็จกลับเดือนก่อน คงงามไม่ต่างจากท่านภัทร เผลอๆ โก้กว่า ประทับอยู่อังกฤษแต่ยังทรงเยาว์”

    คราวนี้เธอยิ้มและส่ายหน้าให้เพื่อนรักที่สนสนอกสนใจเรื่องราชนิกุลถึงขั้นชวนไปเตร่แถววัง เผื่อจะพบท่านชายสองพี่น้องที่กำลังเนื้อหอม สุดท้ายวาสิตาเลยต้องตกปากรับคำไปก่อน ขืนไม่ทำอัมพรคงไม่หยุดพูด

    “สิตาล่ะมีชายในดวงใจรึยัง เอ...ใช่คนที่เขียนจดหมายมาหารึเปล่าน๊า”

    “พี่ประพันธ์นับถือพ่อแม่เราเลยเขียนมา ท่านจะได้อ่านด้วย” วาสิตาใช้น้ำเสียงจริงจังว่าเป็นอย่างนั้นจริง เธอไม่เคยคิดกับประพันธ์เกินเลยไปกว่าพี่ ประพันธ์ก็คิดกับเธอเพียงน้องสาว ที่หมั่นเขียนมาหาก็เพราะว่าสนิท

    “งั้นก็…คนที่เมื่อเช้ามาสั่งขนม?” อัมพรยังถามต่อ แต่ไม่ทันได้คำตอบก็เผอิญมีรถหรูคันหนึ่งแล่นผ่านให้วาสิตาเสียหลักเกือบเซลงคลอง เลยได้แต่พากันมองรถเปิดประทุนคันสีขาวที่คนขับใส่แว่นดำ สวมหมวกแฟลตแค๊ปสีเดียวกันกับรถและเสื้อแขนยาวสีเหลืองอ่อนทรงทันสมัย “โอย คิดว่ารวยแล้วเป็นเจ้าของถนนรึไงคุ๊ณ”

    เป็นอัมพรที่ส่งเสียงดังหวังให้เจ้าของรถได้ยิน ถ้าไม่ติดว่านุ่งผ้าถุงคงจะวิ่งตามไปต่อว่าแล้ว

    “คอยดูเถอะ ถ้ารู้ว่าผู้รากมากดีมาจากไหนจะไปด่าให้กลับบ้านไม่ถูกเลย!”

    นั่นสิใครกัน รถไม่คุ้น ไม่น่าจะใช่คนแถวนี้ วาสิตาคิดขณะยังมองตามอย่างจับจ้องและจดจำสีและลักษณะรถเอาไว้ คนขับเหม่อใจลอยอยู่หรือไงถึงไม่เห็นเธอกับอัมพรที่เดินอยู่ข้างถนน

    ขอให้ไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยแล้วกันนะพ่อคนรวย แต่ขับรถ…!

    “เจ็บตรงไหนไหมสิตา ไหนดูสิเนี่ย รถหรูๆ แบบนี้มีไม่กี่คันในพระนครหรอก เดี๋ยวเราก็เห็นอีกถ้าเป็นคนแถวนี้นะ!”

    “…!” คนเกือบถูกรถเฉี่ยวยังใจหายจึงไม่ตอบอะไร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×