คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : รอยรัก
เย็นย่ำใกล้ค่ำเต็มที…คลองฉะไกรน้อยระยิบระยับเป็นสีทองอร่ามท่ามกลางตะวันที่ใกล้จมลงผืนน้ำ แต่ทว่าผู้คนยังพายเรือไปมาเนืองๆ ถ้าเป็นทุกวันเพลานี้คงอยู่เรือน หุงหาข้าวปลากินกันแล้ว แต่เพราะวันนี้ไม่เหมือนเก่า ถึงเป็นเหตุให้ 'แก้ว’ มายืนอยู่หน้าเรือนไผ่ของคนจะไปทัพที่เธอห่วงจับใจถึงนำเสบียงมาให้ แต่ใจเจ้ากรรมไม่กล้าเรียก เธอถึงได้แต่ยืนกอดห่อผ้าที่มีข้าวตากกับปลาแห้งไว้
ลมปลายปีพัดดังหวีดหวิว หอบความหนาวมาจนขนแขนของเธอลุกตั้งจนได้ แสงตะวันกำลังจะจางหาย…
และแล้วเจ้าของเรือนก็ออกมาให้เธอได้สบตาด้วย
เขาอายุล่วงยี่สิบปีแล้ว ทั้งเนื้อตัวเลยกำยำล่ำสันสมกับที่เป็นนักมวยมือดีของค่ายขุนสรไกร ต้นแขนแน่นหนั่นมีผ้าประเจียดของหลวงตาม้วนรัดไว้ และมีดาบลงอาคมสะพายหลังจนรั้งเสื้อตึง ให้คนมองอย่างเธอได้นึกเห็นไปถึงกล้ามเนื้ออกแกร่ง
ครั้นรู้ตัวว่าเผลอจ้อง แก้วจึงเสก้มดูห่อเสบียงที่เธอตั้งใจนำมาให้เขาซึ่งได้ยื่นมือมารับอย่างขอบใจ
“ที่เรือนมีข้าวตากกับปลาแห้ง ฉันเจียดมาให้จ้ะ”
ตาคมมองห่อผ้าบรรจุเสบียง แล้วค่อยมองเธออย่างคิดจับผิด
“ขอบน้ำใจ ประเดี๋ยวย่ำกลอง* พี่ก็ไปแล้ว รอส่งด้วยหรือไม่”
*(การตีกลองบอกเวลาที่จะตีรัวตอนหกโมงเย็น หรือช่วงย่ำค่ำ)
“เอ่อ ฉัน…ฉันคงต้องกลับเรือนแล้วจ้ะ”
ดวงหน้าคร้ามที่นิ่งขรึมค่อยๆ มีรอยยิ้มเหมือนรู้ว่าเธอปากไม่ตรงกับใจ นัยน์ตาคมก็ยังมองราวจะบอกว่าโป้ปดมิแนบเนียนเสียเลย
“ไม่ได้บอกพ่อแม่รึว่ามาส่งพี่ รีบมารีบกลับ?”
“ค่ำแล้ว ทางจะมืดจ้ะ” แก้วปดเต็มปากเลยทำให้ไม่กล้าจะสบตาชายหนุ่มผู้เป็นที่พึงใจของหญิง ตั้งแต่สาวชาวบ้านไปยันบุตรีขุนน้ำขุนนาง ท่าทางก่อนหน้าเธอจะมาก็คงมีคนเอาเสบียงมาให้เขาบ้างแล้วที่ไหล่อีกข้างถึงได้มีห่อผ้าสองห่อ
พ่อฟันขาวเอ๋ย ระหว่างเดินทัพคงไม่อดอยาก
ถึงรู้ว่าการมาหาครั้งนี้ เธอจะต้องช้ำใจ แต่แก้วก็อยากมาอยู่ดีเพราะรู้ว่าการไปรบแต่ละทีหมายถึงความเป็นความตาย อีกทั้งนึกหวั่นคำของผู้ใหญ่ด้วยว่าตะหารคนใดไปรบ ก็มักหอบลูกเมียกลับมาด้วยเพราะระหว่างทางย่่อมต้องเจอะเจอสาวชาวบ้าน…
ก่อนหน้านี้ที่งานบุญเดือนสิบ เขาเพิ่งเอ่ยคำหวานว่าไม่เคยตักบาตรกับหญิงใดนอกจากเธอ ฉะนั้น วันนี้ที่เธอมาส่งก็หวังว่าคงจะพอรู้ความนัยกันบ้างไม่มากก็น้อยซึ่งความเป็นหญิงทำให้แก้วพูดได้เพียง
“ขอให้พ้นจากคมหอกคมดาบ พ้นจากภยันตรายทั้งปวงจ้ะ”
“พี่ขอฝากพ่อได้หรือไม่”
“ฉันดูแลลุงมั่นได้ไม่ดี เท่าพี่ดูแลเองดอกนะจ๊ะ” เธอหมายจะบอกว่าให้เขารีบกลับมาดูแลบิดาด้วยตนเองที่เจ้าตัวรู้ดี หน้าคมคร้ามถึงมียิ้มเจือจาง ก่อนจะยื่นมือมารับผ้าที่เธอปลดให้
ลมปลายปีหนาวเหน็บยิ่งนัก แต่แก้วกลับร้อนเนื้อหน้า เมื่อตาคู่คมมองนิ่งเพราะบัดนี้ทั้งตัวเธอเหลือเพียงผ้าแถบแนบเนื้อจนทำให้หูคนเป็นหนุ่มมีสีแดงเรื่อ คงไม่ต่างจากแก้มเธอเท่าใด
นับแต่เติบใหญ่ก็ไม่เคยอยู่ใกล้กันเลย เพลานี้จึงกระดากเสียจนเธอต้องขอตัวกลับที่ไม่ใช่เพราะกลัวพ่อแม่จับได้เรื่องมาข้างนอกยามพลบ แต่เธอไม่กล้าอยู่มองหน้าสบตาต่อ เขาคงรู้แล้วว่าที่เธอให้ผ้าคลุมไหล่ไปห่มกายคลายหนาว หมายความว่าอย่างไร
แต่เดินไปมิทันไร แก้วก็ต้องใจเต้นแรงเมื่อชายผู้โตกว่าตามมาจับมือเอาไว้และมองรอบกายว่าไม่ต้องกลัว ไม่มีใครเห็นให้เอาไปฟ้องพ่อกับแม่เธอจนเป็นเรื่องใหญ่แน่
“กลับทัพเมื่อใด พี่จะมาขอแก้วเป็นแม่เรือน”
อารามตั้งตัวไม่ทัน แก้วจึงยืนนิ่ง ขาแข็ง ใจนึกหวั่นว่านี่อาจจะเป็นเพียงลมปากชายเพราะเขาต้องไปทัพไกล อาจได้เจอะเจอหญิงใดจนลืมถ้อยคำในวันนี้ก็เป็นได้ มิควรรีบพูดกับเธอเลย
“อย่าได้ปลดผ้าให้ชายใดอีก เว้นเสียแต่แก้วจะรัก…”
กระนั้นเธอคงทำถูกแล้วที่ให้เขา…
เสียงกลองที่แว่วมา เร่งให้คนจะไปฝังคมจมูกลงหน้าผากมนที่นับแต่เป็นหนุ่มสาวก็ไม่เคยใกล้กันเลย คนเป็นฝ่ายหญิงจึงเพิ่งรู้ซึ้งว่าอ้อมกอดจากชายก็อบอุ่นไม่ได้น้อยไปกว่าผ้าผืนใด จวนจะกลายเป็น ‘ร้อน’ เสียอีกเมื่อเขาขอหอมลามมาแก้มที่แสงตะวันเลือนรางแล้ว รอบกายจึงสลัวชวนให้หวั่นไหว น้ำตาพลันจะรินไหล
ครั้นคลายห่างมาเห็นหยาดน้ำ เขาจึงใช้มือเกลี่ยเช็ดให้เบาๆ แล้วถึงค่อยเอาหน้าผากมาแตะไว้เพื่อมองตาใกล้ๆ
เอ่ยปลอบโยนเธอว่าอย่าร้องไห้
“ต่อให้ทางข้างหน้ามีดอกไม้ที่งามกว่านี้อีกเพียงใด พี่สัญญาว่าจะมิเด็ดกลับมาด้วยให้ดอกแก้วมันช้ำใจ…”
หมายถึงต้นไม้ที่ออกดอกขาวสะพรั่งอยู่ข้างเรือนใช่หรือไม่เล่า เธออยากถามเขา แต่รู้ว่าคงจะไม่งามสักปานใด
“ไปไกลครานี้ ฝากแก้วช่วยระแวดระไว อย่าให้ชายใดมาเด็ดดอกไม้ของพี่ไปเสียก่อนจะได้หรือไม่…”
เธอมองตาคมแล้วนิ่งไปครู่ ก่อนพยักหน้าเป็นการรับปากเขา
“รักษาเนื้อรักษาตัวด้วย มิตายเสียพี่จะรีบกลับ”
“อย่าพูดอย่างนี้เลยจ้ะ พี่ต้องกลับมา”
เขายิ้มบางๆ ให้หายห่วงและหอมอีกครา คราวนี้ทำเหมือนว่าเกรงแก้มเธอช้ำจึงใช้มือประคองก่อนค่อยกดสันจมูกลงแช่มช้า ตามต่อด้วยริมฝีปากที่เลื่อนมาจดจ่อกัน เมื่อนั้นแก้วถึงได้ค่อยดึงสติตนเองกลับมาอยู่กับตัวว่าไม่ควรไปไกลกันกว่านี้ เธอเลยเอามือดันอกแกร่งดั่งหินผาไว้พอให้คนเติบใหญ่จนเป็นหนุ่มรู้สึกตัวด้วย
คนลืมตัวพลันมองตาคล้ายจะว่า 'ยกโทษให้ทีที่พี่เผลอไผล…' สุดท้ายจึงมีเพียงอ้อมกอดที่เขามอบให้
“อย่าร้องเลยแก้วเอ๋ย ยิ้มให้พี่เถิดเจ้า”
เสียงเรียกรวมพลทำให้เขาพูดเท่านี้ ก็มองตาอย่างจะบอกว่าไม่อยากห่างไกลไปไหน แต่เกิดมาเป็นชายละทิ้งหน้าที่นี้มิได้ ในที่สุดจึงคลายมือที่จับกระชับกันอยู่ มองหน้าเธออย่างจะจดจำ ก่อนต่างคนต่างตัดอกตัดใจ โดยเขาเป็นฝ่ายหันหลัง
คงไม่อยากเห็นน้ำตาเธอ…
“รีบกลับเรือนเสีย อย่าให้พี่เป็นห่วง”
“ดูแลตนเองด้วยนะจ๊ะ ฉันจะรอพี่กลับมานะพี่สิง”
‘พี่สิง’ ผู้ถูกเกณฑ์ไปทัพครั้งแรกยืนนิ่งสักพักให้รู้ว่าได้ยินแล้ว
ครั้นมีเสียงรวมพลอีก ถึงค่อยก้าวขาออกเดินไปโดยไม่ได้หันกลับมาหาเธอ ไม่แม้แต่จะเหลียวจนแก้วได้แต่จับจ้องแผ่นหลังผึ่งผายของชายที่เธอรักอยู่ตรงนี้ยังไม่อาจไปไหน
บิดาของเขาคงไปรอประตูไชยแล้ว เรือนถึงมืด มิออกมาจุดไต้
เธออยากไปส่งถึงที่เช่นกัน แต่ไม่อาจทำได้ดั่งใจหมายทุกอย่าง
ลมวูบหนึ่งพัดผ่านมาให้ดอกไม้สีขาวปลิดปลิวตก ขณะที่เธอยกมือแตะหน้าเพราะลมหายใจคนไปยังติดตรึง รู้หรือไม่ว่าแก้มหญิงก็เหมือนกลีบดอกไม้ แม้หอมแผ่วเพียงใดก็เกิดเป็นรอยขึ้นมาได้ รอยประทับ รอยรัก รอยห่วง เกิดขึ้นแล้ว…หวังนักว่าความห่างไกลจะไม่ทำให้ลืมคำเพราะเธอเองจะไม่ลืมว่ารับปากเอาไว้อย่างไร
“ไม่มีชายใดมาเด็ดดอกไม้ดอกนี้ของพี่ได้ดอกจ้ะ ฉันจะดูแลมันไว้อย่างดีรอพี่กลับมา พี่ต้องกลับมา…”
ความคิดเห็น