ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกมนตรา..โรงเรียนมหาเวท

    ลำดับตอนที่ #4 : สนามประลองมังกรเพลิง2(RW)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.57K
      9
      21 มี.ค. 54

      


        ปีกสีชาดของเปลวเพลิงกระพือบินแต่งแต้มประกายแสงอันเจิดจ้าให้กับความมืดมิด
    ใต้นั้นคือซากสรรพชีพที่ถูกกลืนกินอย่างตระกรุมตระกราม
    ดวงตาไร้แววสะท้อนความทรมาณที่มิอาจเปล่งเสียงกรีดร้อง
    เหนือนั้นคือกลุ่มควันสีราตรี ล่องลอยขึ้นสู่นภาเบื้องบนราวกับสาส์นร้องขอความเมตตาจากผู้วายชมน์

         อ้อนวอน...ร่ำไห้...ขอร้อง


        ทว่าผู้ที่มีชีวิตกลับส่งเสียงก่นด่าราวสาปแช่ง...

           



             "โธ่เว้ย!!"
     
       เคช เซเบเรีย พรานป่าแห่งฟลอเรนส์สบถออกมาอย่างเหลืออด เมื่อภาพที่สะท้อนผ่านนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มนั้นช่างดูคล้ายกับคมเคียวมัจจุราชที่กำลังจะมาพรากชีวิตเสียเหลือเกิน


        มังกรตัวใหญ่สีแดงสดราวกับสีโลหิตนั้นโลดแล่นด้วยความคลั่ง คำรามลั่นอย่างกราดเกรี้ยว เปลวไฟสีแดงพ่นออกมา
    จากปากกว้างแสยะเห็นเขี้ยวคม ละเลงเชื้อไฟซ้ำลงบนผืนทะเลเพลิงที่กำลังลุกไหม้ กรงเล็บแหลมกวาดตะกุยเอายอดภูเขาล้มครืนราวกับลูกแมวเขี่ยม้วนไหมพรมเล่น ปีกกว้างกระพือขึ้นลงฉวัดเฉวียนพาร่างอันอุดมไปด้วยเกล็ดหนากระแทกเข้าเนินสูง กระชากเอาเศษหินทลายให้ปลิวว่อน ตกลงมาเช่นห่าฝน

        หากศิลาใหญ่เมื่อกระทบเข้ากับกำแพงล่องหนซึ่งคลุมเป็นรูปโดมอยู่เหนือเขตอาคม ก็พลันกระดอนออกเหมือนลูกบอลตกกระทบแผ่นยางที่ขึงจนตึง


         
             "ไอ้โรงเรียนบ้านี่ กะจะฆ่ากันให้ตายจริงๆหรือไงวะ"

        พรานป่าขยับตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย อึดอัดที่ตนต้องตกเป็นฝ่ายรอดูเชิงมิใช่ผู้คุมสถานการณ์อย่างเคย


         การเฝ้ารอเพื่อไล่ล่าเป็นเรื่องน่าสนุก...ทว่าการเฝ้ารอเพื่อหนีรอดนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยเลยแม้แต่นิดเดียว

    โดยเฉพาะการหนีเอาชีวิตรอดที่เขาต้องเป็นฝ่ายพึ่งพิงร่างบางข้างกาย...นักเวทจอมหยิ่งยโสจากไรอัส!



         

                "น่ารำคาญชะมัด"

         เจ้าชายดีอัส เรเฟรัส  กล่าวขึ้นลอยๆ ไม่เจาะจงว่าด่าใครระหว่างมังกรสีแดงเพลิงที่กำลังอาละวาดหรือองค์ชายลูกครึ่งเทพมังกรที่กำลังทำหน้ามุ่ย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีเสียงโวยวายจากเจ้าตัวดีอย่างเคย เด็กหนุ่มผมเงินดูอ่อนแรงลงไปมาก ร่างเพรียวบางสั่นระริกเนื่องมาจากการใช้พลังมนต์ชั้นสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน มือทั้งคู่ที่ถือคทามั่นไม่ยอมปล่อยเริ่มมีโลหิตไหลซึมเนื่องจากการสะท้อนของพลังที่เริ่มจะมิอาจควบคุม แต่ถึงกระนั้นนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มก็ยังคงเจิดจ้า ไม่ยอมให้ความอ่อนแอมาช่วงชิงกายไปได้โดยง่าย


          "มังกรตัวนั้น เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง" 

       เคชมองตามการเคลื่อนที่เป็นรูปวงกลมรอบภุเขาไฟของมังกรแดงด้วยสายตาครุ่นคิด


            "หาชีวิตละมั้ง ชีวิตของนายกับฉันที่จะไปต่อชีวิตของมัน!"
       
        นักเวทกล่าวเสียงติดประชดประชัน ถึงจะเป็นเจ้าชายจากไรอัสที่ได้ชื่อว่าแสนจะเย็นเป็นน้ำแข็ง แถมยังไร้อารมณ์เหมือนตุ๊กตากล แต่พอเจอเปลวไฟทั้งจากในและนอกมาหลอมบ่อยๆเข้า ความอดทนของดีอัสก็มีจุดสิ้นสุด
    เหมือนกัน


             "ถ้าอย่างนั้น สุภาษิตพรานเขาว่าไว้ว่า'จงล่าก่อนที่จะถูกล่า และจงล่าก่อนที่จะถูกกลืนกิน'"

         ดวงตาคู่สีน้ำตาลละสายตาจากมังกรเพลิงเบือนมาสบนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่งามอย่างจริงจัง
    ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้แววล้อเล่น


              "นายจัดการดับไอ้ไฟบ้าพวกนี้ซะ ส่วนไอ้เจ้ามังกรงี่เง่า เดี๋ยวฉันจัดการเอง!!"   

          
         เสียงขึ้นนกดังแกรกของปืนไรเฟิลเก่าคร่ำช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับคำพูดนั้นอย่างน่าประหลาด

      ไม่ใช่ปืนที่สวยงามถูกประดับอย่างวิจิตร...ไม่ใช่ปืนที่มีราคาค่างวดอันใด...ไม่ใช่ปืนคุณภาพชั้นเลิศแสนวิเศษ

          แต่เป็นปืนในมือพราน...มือของพรานที่เกิดมาเพื่อฆ่าและล่า ประกาศิตสั่งตายแด่ทุกสรรพชีวิต

      มือของเคช เซเบเรีย!


        เงียบไปนาน ดวงตาต่างสีทั้งคู่ประสานกันราวกับจะหยั่งให้ถึงเบื้องลึกในจิตใจของอีกฝ่าย ก่อนเด็กหนุ่มผมเงินเจ้าของตำแหน่งนักเวทและรัชทายาทจากไรอัสจะเป็นฝ่ายเบือนสายตา สั่งสั้นๆตามนิสัย


          "เอาพลังเวทของนายมา "


          "ตามพระประสงค์ ฝ่าพระบาท"     สีหน้าเคร่งขรึมของพรานป่าเปลี่ยนเป็นยิ้มล้อเลียนยามเย้าวาจาล้อเล่นเหมือนหน้ากากได้ถูกถอดออกไปแล้ว ทว่ายังไม่ทันที่ดีอัสจะประเคนอะไรหนักๆเข้าที่หัวของเจ้าตัวแสบเข้าสักป้าบให้สมกับท่าทีกวนอารมณ์แบบไม่เลือกสถานการณ์ คทากระดำกระด่างก็พลันปรากฏขึ้นในมือเคชพร้อมเปล่งแสงจ้า แล้วร่างของรัชทายาทแห่งไรอัสก็พลันกระตุกวูบเมื่อไอมนตราจำนวนมหาศาลก็พุ่งโถมเข้ามาในร่าง รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกอันเปี่ยมด้วยพลังอำนาจที่กำลังไหลเชี่ยวอยู่ในกระแสเลือด โลดแล่นอยู่แทบทุกอณูของร่างกาย



         อีกครั้งที่ความสงสัยผุดเข้ามาในห้วงความคิด...

       หมอนี่ เคช เซเบเรีย ใช่พรานป่าธรรมดาๆจากประเทศด้อยพัฒนาอย่างฟลอเรนส์แน่หรือ

       ทำไมคนเป็นพรานถึงได้มีพลังเวทมนต์ที่ทรงอานุภาพยิ่งกว่าจอมมนตราคนไหนๆที่เขาเคยเจอ?


          ถ้อยคำภาษาโบราณพรั่งพรูออกจากริมฝีปากของเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินยวงอย่างไหลลื่น สงบ กราดเกรี้ยว เฉยชา หลากไปด้วยอารมณ์ที่ยามปกติถูกซุกซ่อนไว้อยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ฟังดูคล้ายกับท่วงทำนองเพลงที่ถูกบรรเลงโดยศิลปินชั้นเลิศ ความไพเราะอันน่าเกรงขามนั้นแหวกหมู่ควันทึบให้แยกออก สลายเปลวเพลิงด้วยสายฝนที่โหมกระหน่ำ กลบเสียงคำรามลึกของมังกรแดงด้วยเสียงฟ้าคำรณลั่น ดับภูเขาไฟอันแสนอหังการ์ด้วยบัญชาของมนตรา


    ยัง...ยังหรอก ต้องมากกว่านี้ ต้องมากกว่านี้...


    ถ้วงทำนองทวีความเร่งเร้าและดุดันไม่ต่างจากประกายในนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม หยาดพิรุณอัดแน่นด้วยความกราดเกรี้ยวจนกรรโชกเป็นพายุร้าย อัสนีบาตฟาดลงสู่ผืนปฐพีครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับมุ่งจะฉีกร่างสัตว์สีเพลิงออกเป็นชิ้นๆ พื้นพสุธาเริ่มสั่นสะเทือนเหมือนมีมือยักษ์มาจับเขย่า เหวี่ยงไปมา




    มากกว่านี้...ต้องมากกว่านี้







           เปรี๊ยะ...เปรี๊ยะ...ตึบ!


        เสียงสุดท้ายเป็นเสียงดังทึบของวัตถุที่ร่วงหล่นลงสู่พื้น และเสียงนี้เองที่กระชากรัชทายาทดีอัส เรเฟรัส ให้กลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง

        เศษลูกแก้วที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหัวคทาบัดนี้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆเกลื่อนผืนแผ่นดิน สะท้อนแสงระยิบระยับในเงามืดราวกับคำตัดพ้อของอัญมนีเลอค่าที่ถูกทอดทิ้ง สิ่งที่เหลือไว้ในมือนักมนตราแห่งไรอัสนั้นคือเศษไม้ลงอาคมหักครึ่งท่อนที่ไม่มีคุณค่าอะไรเลย

    โดยไม่ไยดีกับสภาพรอบกายที่ถูกทำลายจนราบ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเหม่อมองอาวุธคู่กายของตนซึ่งหักสะบั้นด้วยแววตาตกตะลึง


           เขา..เมื่อครู่นี้...เป็นอะไรไป?!




          "ดูเหมือนนายจะจัดการส่วนของนายเรียบร้อยแล้วนะ ดีอัส"

         เสียงทักเรียบๆเรียกเจ้าชายไร้อารมณ์ให้หันขวับ สิ่งแรกที่สะท้อนเข้ามาในจักษุภาพคือรอยยิ้มอันอ่อนระโหยของพรานป่าที่ยามนี้ถึงกับทรุดตัวลงนั่งกับพื้นที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม ไรผมสีน้ำตาลเข้มเปียกลู่พอๆกับใบหน้าชื้นเหงื่อ มือข้างซ้ายที่เคยใช้ถือคทาตกล้าลงข้างกายอย่างสิ้นแรง ลมหายใจหอบฮั่กจนน่ากลัวบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าที่จวนเจียนถึงขีดสุดอันเป็นผลมาจากการถูกดึงพลังเวทออกไปเป็นจำนวนมหาศาล แต่ถึงอย่างนั้น...หมอนี่ก็ยังส่งยิ้มให้เขา



           "ขอพักเดี๋ยว แล้วฉันจะรีบไปจัดการมังกรละกัน "

        กล่าวจบเคชก็เอนหลังล้มตัวลงนอนแผ่โดยไม่สนใจจะรอฟังคำตอบจากรัชทายาทจอมเย็นชา ไม่ใส่ใจแม้พื้นดินจะถูกเผาราบจนปรากฏเป็นรอยไหม้สีดำทะมึนน่ารังเกียจ นัยน์ตาสีอำพันค่อยๆปรือลงก่อนจะหลุบปิดสนิท แต่ก็ยังมิวายส่งเสียงงึมงำชวนคุย


           "ฉันเห็นนา ว่าตอนที่นายมาช่วยจัดการไอ้เจ้านักรบคลั่งริโดในวันรับสมัครนั่น นายใช้ดาบนี่ 
         
           แล้วทำไมตอนที่สู้กับเสือนั่นถึงได้ใช้เวทสู้ล่ะ อย่างนายก็น่าจะรู้นี่ว่าพวกมนตราน่ะแพ้การต่อสู้ระยะประชิด"


         สิ้นคำถาม ทุกสิ่งก็ถูกฉุดให้ตกอยู่ในเงื้อมือให้แห่งความสงัดเงียบเป็นเวลานาน กว่าเด็กหนุ่มผมเงินเจ้าของดวงตาสีไพลิน
    จะตอบสั้นๆ


              "ก็แค่รังเกียจที่จะใช้ " 

           
            ....มันไม่ได้เป็นคำตอบที่ดีเลย เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้ความกระจ่างแล้ว 
         ยังกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของคนฟังเข้าเต็มเปาเสียด้วย....



                

                "เล่าได้ไหม ดีอัส?" 
       
        เจ้าตัวดีที่ตอนนี้รีบผุดลุกจากท่านอนขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มระยับอย่างนึกสนใจ หากคนถูกถามกลับ
    แผ่รังสีเย็นยะเยือกออกมาเป็นการตัดบทสนทนาจนคนเป็นพรานไม่กล้าเซ้าซี้ต่อ ด้วยเกรงจะโดนพระอาญาสาปให้เป็น
    ตุ๊กตาหิมะยืนเป็นเป้าล่อมังกรเล่น

                

                "นายน่ะ ถ้ามีเวลายุ่งเรื่องของคนอื่นมากนักก็รีบๆไปจัดการมังกรซะเถอะ"
          
         พูดออกไปแล้ว ก็คนเอ่ยเองนั่นแหละที่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกเข็มนับพันเล่มที่ชื่อว่าความรู้สึกผิดเข้าทิ่มแทง ก็เพราะตัวเขาไม่ใช่หรือ เคชถึงได้ ถูกดึงพลังเวทจนสิ้นสภาพขนาดนี้ มนตรามหาศาลที่ถูกเขาใช้ด้วยความหลงระเริงชั่ววูบ ทั้งๆที่จวนเจียนจะหมดสติไปแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดถ่ายพลังเวทมาให้เขา  ส่วนตัวเขาผู้ใช้พลังนั้นกลับไม่คิดเป็นห่วงมันแม้แต่น้อย


            ความคำนึงที่ทำให้ดีอัสยิ่งรู้สึกผิดขึ้นซ้ำสอง ทว่าความถือดีของเจ้าชายก็ทำให้เด็กหนุ่มเลือกที่จะปิดปากเงียบเช่นเคย




                     "ขอโทษนะ ดีอัส" 
     
         
           คนที่เอ่ยกลับเป็นพรานป่าแห่งฟลอเรนส์ ใบหน้ายังคงแย้มยิ้ม ทว่าประกายในนัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นเปลี่ยนไป มันจริงจังขึ้น แข็งกร้าว และเต็มไปด้วยความท้าทาย 

                 
                     "จะรีบไปเดี่ยวนี้แหละ"
       

        เคชเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน บิดตัวสองสามทีขับไล่ความเมื่อยขบ หยิบไรเฟิลเก่าคร่ำขึ้นมาถือไว้ในมือ ยกมือขึ้นป้องสายตา
    มองมังกรเพลิงซึ่งยังคงอาะวาดอยู่ไม่ไกลนัก หากก็ไม่มีทีท่าว่าจะสังเกตเห็นพวกเขาทั้งสองคนเลยสักนิดทั้งที่เมื่อครู่ดีอัสจะเพิ่งละเลงมหาเวทไปก็ตาม


       
          เจ้าชายรัชทายาทแห่งไรอัสไม่พูดอะไรซักคำเมื่อเห็นคนตรงหน้าดินดุ่มออกไปเผชิญหน้ากับมัจจุราช ยังคงเงียบแม้ว่าเจ้าตัวดีจะหันมาโบกมือให้เป็นเชิงอำลา จนเมื่อร่างสันทัดของพรานป่าไปไกลจนเกือบลับสายตาแล้วนั่นแหละ ดีอัสถึงได้ออกเดินตามไป


            เป็นความคิดที่ไม่ค่อยเข้าท่านักที่จะแอบย่องตามหลังพรานป่าอย่างเคช เซเบเรีย 
     
         แต่ดีอัสก็มีวิธีการขอโทษตามแบบของเขาเหมือนกัน..





        ร้อน...ไอระอุของผืนดินที่ไหม้เป็นเถ้าถ่านยังคงคุกรุ่นแม้เปลวเพลิงจะดับสิ้นไปแล้ว หมอกมืดของเปลวควันสีทึบถูกพลังเวทคลุ้มคลั่งปัดเป่า เปิดทางให้แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันแผดเผาเหล่าทุ่งหญ้าสีดำเกรียมที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสีน้ำตาลแห้งแห้ง กลิ่นเนื้อไหม้ของสรรพสิ่งที่เอาชีวิตมาทิ้งไว้ในทะเลเพลิงคละคลุ้งจนชวนให้รู้สึกหดหู่แม้เสียงกรีดร้องนั้นจะดับเงียบลงไปแล้ว


         ท่ามกลางกลิ่นไอแห่งความตาย ลมหายใจที่หอบฮั่ก และแผ่นหลังที่เห็นอยู่เพียงลิบๆนั่น เจ้าชายดีอัส เรเฟรัส รัชทายาทแห่งไรอัสก็เพิ่งตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่าง


       จะตามล่ามังกรเพลิงนั่นต่อไปทำไมกัน ในเมื่อจุดมุ่งหมายนั้นมีแค่สอบเข้าโรงเรียนมหาเวท ไม่ได้มาทำตัวเป็นอัศวินปราบมังกร

       สิ่งที่ต้องทำ ก็มีเพียงเดินทางไปให้ถึงจุดหมายเท่านั้นเอง!


              

               "นี่ นายพราน!!!"

         เจ้าชายตะโกนเรียก ทว่าร่างที่เห็นอยู่ปลายสุดของแนวสายตาก็หาได้สนใจไม่ พรานป่ายังคงเดินดุ่มไปข้างหน้า เหมือนหมาล่าเนื้อที่กำลังกระตือรือร้นจะแกะรอยเพื่อสังหารเหยื่อ แต่ละก้าวเหยียบย่ำลงไปบนเศษหน้าแห้งผากและซากศพที่ไหม้เกรียมอย่างมั่นใจ จนแผ่นหลังนั้น ค่อยๆลับสายตาออกไปเรื่อยๆ



            "เคช!!"

          ดีอัสป้องปากตะโกนออกไปจนสุดเสียงเป็นหนที่สองแล้วก็ต้องยกนิ้วขึ้นแตะลำคอแห้งผากซึ่งเจ็บแปลบ มันไม่ใช่เรื่องถนัดสำหรับเขาเอาเสียเลยที่จะต้องตะโกนเสียงดังๆราวกับนายหมู่สั่งกองทหารราบในสงครามเช่นนี้ ในเมื่อสิ่งที่เขาทำเป็นประจำก็มีแค่กระซิบเบาๆหรือเพียงปรายตามอง ทุกสิ่งที่ต้องการก็จะมาปรากฏอยู่ตรงหน้า อันที่จริง เพียงแค่วันนี้วันเดียวก็ดูเหมือนเจ้าชายแห่งไรอัสจะส่งเสียงดังมากกว่าที่เคยเอะอะมาทั้งปีเสียอีก

        ร่างที่กำลังจะเดินหายลับไปจากสายตานั้นหยุดกึกทันที จนน่าสงสัยว่า การที่เด็กหนุ่มแห่งฟลอเรนส์ยังคงเดินดุ่มต่อไปหลังจากที่ได้ยินเสียงตะโกนตรั้งแรกนั้น เป็นเพราะเขาไม่ได้ยินหรือจงใจเมินเฉยต่อคำว่านายพรานกันแน่ ซึ่งดีอัสมาตัดสินได้ในภายหลังว่าต้องเป็นการแกล้งทำหูทวนลมแน่นอน เพราะพรานป่าระดับอย่างเคช เซเบเรีย คงไม่ประสาทรับเสียงแย่เสียจนไม่ได้ยินใครตะโกน...แม้ใครคนนั้นจะเป็นเจ้าชายก็เถอะ



           "นายตามมาทำไม ดีอัส "

         เคชวิ่งเหยาะๆกลับมาหาร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มผมเงินที่กำลังยืนหอบหนักท่ามกลางเปลวแดด แม้จะตั้งคำถามขณะปลดกระติกน้ำออกจากเป้ส่งให้ ใบหน้าที่พราวไปด้วยเม็ดเหงื่อของพรานป่านั้นก็ไม่ได้มีวี่แววประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย แต่ประกายในนัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นคือความสงสัยอย่างแน่แท้


          "มาบอกให้นายเลิกไล่ตามไอ้มังกรบ้านั่นซะ เราเสียเวลาไปมากแล้ว ไม่อย่างนั้นจะไปถึงจุดหมายไม่ทัน"


            "ไม่ได้หรอก ดีอัส "    

        คำปฎิเสธทันควันของคนเป็นพรานเริ่มทำเอาเจ้าชายที่เคยชินกับการออกคำสั่งชักจะหงุดหงิด แต่ก่อนที่ดีอัสจะทันได้เข้าสู่โหมดแผ่รังสีเยือกแข็ง เจ้าตัวดีซึ่งกลัวว่าตนเองจะหนาวตายท่ามกลางเปลวแดดเสียก่อนก็ชิงขยายความขึ้น


            "ถ้าไม่ล่ามันตอนนี้ มันก็ล่าเราอยู่ดี เพราะแถบนี้น่ะถูกไฟเผาจนไม่เหลือเหยื่อให้มันอีกแล้ว "

          อธิบายเพียงเท่านี้รัชทายาทจากไรอัสก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ สัตว์ยิ่งอดก็ยิ่งคลั่ง ยิ่งหิวก็ยิ่งอาละวาด ถ้าเลือกเดินทางต่อคงไม่พ้นที่จะจะถูกดักโจมระหว่างทาง ในตอนนี้พวกเขาก็คงเหมือนกับเบคอนร้อนๆเดินได้สำหรับเจ้ามังกรนั่นแหละ สถาณการณ์ที่เสียเปรียบและโดนจำกัดด้วยเวลาเช่นนี้ เลือกรุกจะดีกว่าเป็นฝ่ายตั้งรับ


              "แต่มันจะเสียเวลาไปมาก " แม้จะเข้าใจแต่ก็อดแย้งไม่ได้ เคชพยักหน้ารับเป็นเชิงเห็นด้วย


             "ไม่นานหรอก  ต่อให้เป็นมังกรก็เถอะ ถ้าลองเจอลูกไรเฟิลตอกเข้าเบ้าตาไปก็เผ่นไปเหมือนกัน "


        ความมั่นใจในน้ำเสียงของผู้พูดชวนให้เชื่อว่าเขาสามารถใช้ปืนไรเฟิลแค่กระบอกเดียวขับไล่มังกรเพลิงได้จริงๆ




             "นายมันบ้า..."

         ดีอัสพึมพำเบาๆ เบือนหน้าหนีไปเสียอีกทาง ชั่วขณะหนึ่งที่มุมปากนั้นกระตุกขึ้นเป็นรอยแย้มยิ้ม ไม่ใช่ยิ้มเหยียดที่ชอบทำจนเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นเพียงรอยยิ้มธรรมดา...แค่รอยยิ้มธรรมดาเท่านั้น

          โชคร้ายที่พรานป่าแห่งฟลอเรนส์มัวแต่จมลงไปในแผนการของตนเองจึงไม่ทันได้สนใจกิริยาของเพื่อนร่วมทางนัก ซ้ำแม้ได้ยินไม่ถนัดว่าเมื่อครู่มันกระซิบอะไรเบาๆ เด็กหนุ่มก็ไม่คิดจะใส่ใจ 


           "นายตามมานี่ก็ดีเหมือนกัน ยังพอใช้เวทไหวไหม ดีอัส?"


          "จะให้ทำอะไรก็บอกมา"      เจ้าชายผมเงินตอบห้วนๆ รู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอกใช้เป็นหมากในแผนการของเจ้าพรานป่ามากเล่ห์คนนี้ชอบกล ส่วน 'พรานป่ามากเล่ห์' เมื่อได้ยินคำตอบที่ถูกใจก็ดีดนิ้วเป๊าะ หันมายิ้มร่าให้ดีอัส


           "นายคิดว่า พลังเวทที่นายสาดโครมๆไปเมื่อครู่น่ะ จะส่งผลยังไงกับเจ้ามังกรไฟนั่น"

    เจอคำถามเหมือนลองเชิงเข้าแบบนี้ ดีอัสก็ได้แต่ส่งนัยน์ตาสีน้ำเงินเย็นเยียบไปให้


             "ฉันเป็นนักเวท ไม่ใช่นายพราน"

    เคชหัวเราะหึหึกับคำย้อนนั้น ก่อนเด็กหนุ่มผมน้ำตาลจะยอมเฉลยเสียเอง


            "รู้ไหม สัตว์น่ะ เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา มันจะมีวิธีตอบโต้สี่อย่าง..."


           "เผชิญหน้า หลีกถอย วิ่งหนี แล้วก็ ยอมจำนน "

    นักเวทผู้กำลังฟังบรรยายเรื่องสัตวศาสตร์อย่างตั้งใจพยักหน้าหงึกๆ เริ่มเข้าใจในสิ่งที่พรานป่าต้องการจะบอก



            "ปัญหาอยู่ที่ว่า มันจะเลือกทางไหนสินะ"

         เคชพยักหน้ารับ สีหน้าของเด็กหนุ่มทั้งคู่ดูเคร่งเครียดไม่แพ้กัน


         ใช่..ถ้ามันเลือกที่จะหนี พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องตามล่ามันให้เสียเวลาอีก

    แต่หากมันเลือกที่จะสู้ล่ะก็ งานนี้ไม่มนุษย์ก็มังกรที่คงจะต้องเละกันไปข้างหนึ่งแน่!




         "นายเป็นเจ้าชาย  งั้นฉันให้อำนาจนายตัดสินใจแล้วกัน"   เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลยุ่งเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ เนื้อความนั้นดูให้เกียรติและนอบน้อมดีอยู่ แต่รัชทายาทแห่งไรอัสกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกผลักภาระมาให้ชัดๆ


         "นายเป็นพราน การตัดสินในในเรื่องแบบนี้ควรเป็นของนาย"   

        เมื่อเห็นคนข้างกายไม่ยอมถูกมัดมือชกรับภาระไปเสียดีๆ เจ้าตัวแสบก็ยิ้มแยกเขี้ยวงุด ตั้งท่าจะชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมากล่อม แต่ไม่ทันจะได้เปิดปาก เจ้าชายผมเงินก็ชิงตัดบทขึ้นเสียก่อน


           "ตกลงนายจะให้ฉันใช้เวททำอะไร?"


          "ไม่มีอะไรมาก ขอแค่เขตอาคมเจ๋งๆแบบเดิมซักอันก็พอแล้ว"


           "งั้นหรือ ให้ใครกันล่ะ ฉัน นาย หรือเราทั้งคู่"

    เคชสะดุ้งเฮือก เมื่อหันไปมองคนถามก็พบนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่ฉายแววรู้เท่าทันกำลังจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว



            "ให้นาย เอ่อ...คนเดียว "

         เจ้าตัวดีกระซิบอุบอิบ ลิ้นที่เคยพูดคล่องแคล่วชักเริ่มติดอ่างเมื่อเห็นร่างสูงของเจ้าชายค่อยๆแผ่รังสีแห่งความเย็นยะเยือกออกมาทีละน้อย


              "อธิบายได้ไหม เคช เซเบเรีย?"

        แค่เห็นสีหน้าเข้าสู่ภาวะเย็นชาไร้อารมณ์นั่น ไม่ต้องให้ย้ำรอบสอง พรานป่าแห่งฟลอเรนส์ก็รีบผงกหัวหงึกๆอย่างรวดเร็ว


              "นี่ สัญญาก่อนนะ ว่าถ้าฟังแล้วนายจะไม่โกรธน่ะ" พรานป่าต่อรองเสียงละห้อย


    ไม่มีคำตอบจากองค์ชายรัชทายาท ดีอัส เรเฟรัส นอกจากสายตาคมสีน้ำเงินเข้มที่จ้องเขม็งกับดวงหน้าที่ไร้รอยยิ้ม


             "ก็ได้ๆ ฉันแค่สังหรณ์ใจเฉยๆ ว่าไอ้มังกรไฟบ้านั่นมันจะต้องย้อนกลับมาเล่นงานเราแน่...ก็เวทนายมันดึงดูดซะขนาดนั้น "

        ลงท้ายยังมิวายบ่นงึมงำ แต่คนฟังกลับแกล้งทำเป็นไม่สนใจ มีเพียงนัยน์ตาดุจัดที่ปรายมองราวกับบังคับให้เล่าต่อ อย่าได้คิดเม้มอุบอิบหรือปิดบังเชียว 


            "ทีนี้ ถ้ามันย้อนกลับไปหานายจริง ฉันก็แค่ไปซุ่มอยู่ที่ไหนซักแห่ง รอจัดการให้เรียบร้อยไงล่ะ"

           เมื่อเจ้าตัวดีหงายมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนบอกว่าจบคำอธิบาย ดวงหน้าขาวของเจ้าชายที่บัดนี้มอมแมมจนหมดมาดก็พยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบที่แสนจะเย็นเฉียบไม่แพ้แผ่นน้ำแข็งกลางหิมะ


             "ฟังๆดู เหมือนนายใช้ฉันเป็น 'เหยื่อล่อ'เลยนะ"

        พรานป่าแห่งฟลอเรนส์ยิ้มแหย ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย น้ำเสียงนั้นตะกุกตะกักอย่างสำนึกผิด


               "นาย..นายสัญญาแล้วนะว่าจะไม่โกรธน่ะ"


              "ฉันไปสัญญาอะไรไว้กับนายตอนไหนกัน นายพราน"


          เงียบสนิท...เมื่อเจ้าตัวแสบนึกย้อนทวนเหตุการณ์แล้วก็เห็นจริงอย่างที่มันว่า




         ถึงจะเคยรับมือกับสัตว์ร้ายมานับร้อยนับพัน ทว่าเมื่อต้องมารับมือกับเจ้าชายหนุ่มแสนเย็นชา เคชก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ลงท้ายเมื่อเห็นคนผมเงินตรงหน้ายังเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร พรานป่าก็เอามือหัวศีรษะแกรกๆจนเรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่ยุ่งอยู่แล้วยิ่งไม่เป็นทรงเข้าไปใหญ่


            "ว่าแล้วเชียวว่าไม่ควรบอก"    บ่นกับตัวเองด้วยเสียงกระซิบเบาหวิว แต่พอจบประโยคอุณหภูมิรอบข้างกลับพร้อมใจกันลดฮวบลงอย่างน่าประหลาด เมื่อหันไปมองตัวต้นเหตุก็พบนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่งามที่ปรายมองมาอย่างดุจัด ชวนให้ร้อนๆหนาวๆอย่างไรชอบกล


             "หึ...ถึงนายไม่ขอ ฉันก็ไม่มีสิทธิโกรธอยู่แล้วนี่ "ดีอัสยิ้มหยัน วาดมือเป็นรูปสัญลักษณ์ในอากาศอย่างคล่องแคล่ว มนต์ตราโบราณแผ่วเบาพรั่งพรูออกจากริมฝีปาก ปรากฏเป็นแสงสีเหลือบทองไล่ตามนิ้วมือที่เขยื้อนพรมราวกับนักดนตรีเอกกำลังบรรเลง  เพียงเสี้ยววินาทีก็ปรากฎปราการใสล้อมรอบตัวเด็กหนุ่มผมเงินไว้


            "จะทำอะไรก็ตามสบายเถอะ จะให้ฉันเป็นเหยื่อล่อก็ย่อมได้ แต่ถ้านายปล่อยให้เหยื่อตัวนี้'เจ็บ'ล่ะก็

            เรื่องมันคงไม่จบง่ายๆแค่คำว่าขอโทษแน่ "


          บางที นี่อาจจะเป็นประโยคที่ยาวที่สุดนับตั้งแต่ดีอัสเอ่ยปากพูดกับเขา แต่เนื้อความของมันไม่ชวนให้เคชดีใจเลยสักนิด


          "ฮ่ะๆๆ รู้ไหม นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะที่ฉันต้องล่าโดยมีเหยื่อเดิมพันสูงอย่างเจ้าชายรัชทายาทแห่งไรอัสเนี่ย"

            เด็กหนุ่มกระชับไรเฟิลเก่าคร่ำให้ถนัดมือ  ส่งยิ้มแยกเขี้ยวงุดให้เจ้าชายไร้อารมณ์เป็นหนสุดท้าย ก่อนจะวิ่งเหยาะๆมุ่งหน้าไปยังซอกผาหินที่เห็นเพียงลิบๆ







           มันไม่ใช่แผนการที่ซับซ้อนอะไรเลย  หากคงมีน้อยคนนักในโลกที่จะเลือกทำ

       ไม่ใช่แผนการเสี่ยงอันตรายบ้าระห่ำ หรือแผนการบ้าบิ่นล้อโชคชะตา

       ทว่าเป็นแผนการที่อาศัยฝีมือ...ฝีมือและประสบการณ์

       ผสมกับสัญชาติญาณที่กู่ร้องอย่างตื่นเต้น

       และความเชื่อมั่น..มั่นใจในทักษะของตนอย่างเต็มเปี่ยม

       สุดท้ายคือความโลภ อยากที่จะครอบครองชัยชนะไว้แต่เพียงผู้เดียว




             "พ่อนะพ่อ...หาเรื่องให้ผมจริงๆ "

        เคชบ่นกับตัวเองหลังจากพาตัวเองหลบเปลวแดดเข้ามาในถ้ำที่หมายตาได้สำเร็จ ดวงหน้าขาวที่เปื้อนชื้นไปด้วยไคลเหงื่อกระตุกยิ้มเมื่อนึกถึงภาพใบหน้าของผู้เป็นพ่อที่เจ้ากี้เจ้าการทำทุกวิถีทางให้เขายอมมาสอบเข้าโรงเรียนมหาเวทโดยหวังให้เขามีอนาคตที่ดีกว่าการเป็นพรานล่าสัตว์ไปวันๆ แต่นายเฮลกันคงไม่รู้หรอกว่า ตอนนี้ลูกชายตัวดีของเขานอกจากหนีการล่าไปไม่พ้นแล้ว...ยังต้องหมายตาเหยื่อที่ชื่อว่ามังกรอีกด้วย!

        ถ้ำที่เคชหมายตาไว้สำหรับซุ่มยิงนั้น เป็นเพียงช่องแคบๆซึ่งคงเกิดจากการถล่มของภูผาหินเมื่อหลายพันปีก่อน แรงถล่มนั้นได้กระแทกผนังจนปริแตกออก แม้ว่าจะทั้งเล็กและแคบ อีกทั้งยังตื้นเขินเกินกว่าจะมีสัตว์ใดเข้าอาศัย แต่มันก็นับว่าพอเหมาะสำหรับมนุษย์กับปืนไรเฟิลอีกหนึ่งกระบอก
    และเรียกได้ว่าเป็นชัยภูมิที่ดีไม่น้อย เพราะด้วยความเล็กของมันนั่นเองทำให้กลมกลืนไปกับภูมิทัศน์รอบด้าน

        จากที่นี่ มองเห็นร่างของรัชทายาทแห่งไรอัสเป็นเพียงจุดเล็กๆจุดหนึ่ง เหมือนเอาปลายดินสอกดแต้มลงบนกระดาษขาวแผ่นใหญ่ แม้แต่แสงของเขตอาคมเวทก็ถูกเปลวอาทิตย์แผดกลบเสียหมดสิ้น เคชจัดท่าตัวเองให้เหมาะแก่การซุ่มยิง จากนั้น พรานป่าก็ทำได้แต่เพียงรอ...




          มันไม่ใช่แผนการที่ซับซ้อนอะไรเลย หากคงมีน้อยคนนักในโลกที่จะเลือกทำ

       คนหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับมังกร โดยมีเพียงเขตเวทอาคมคุ้มกาย

       อีกคนหนึ่ง แบกรับโชคชะตาของเพื่อนไว้ในกำมือข้างซ้าย

       ส่วนข้างขวานั้นกำค้อนชื่อคำพิพากษา ตัดสินด้วยกฏหมายที่เรียกว่าฝีมือ

       ฝีมือที่จะวัดใจกันระหว่างมนุษย์และมังกร




              "..............."

         เดิมที รัชทายาทแห่งไรอัสก็ไม่ใช่คนชอบพูด ยิ่งต้องตกอยู่ในสถานการณ์เคร่งเครียดก็ยิ่งปิดปากเงียบ ดังนั้น ท่ามกลางทุ่งหญ้าแล้งและเปลวแดดที่ร้อนจัดราวกับจะหลอมละลายทุกสรรพสิ่ง จึงมีสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าดีอัส เรเฟรัส ยืนตัวตรงนิ่งอยู่ในเขตอาคม มองผ่านๆเหมือนมีใครเอารูปสลักหินไปตั้งทิ้งไว้เป็นอนุสาวรีย์

        เปล่าหรอก ดีอัสไม่ได้ยืนหลับใน หรือยืนทำมาดสง่าให้สมกับเป็นเจ้าชาย  ภายใต้ใบหน้าที่แสนจะเย็นชาไร้ความรู้สึก เจ้าชายแห่งไรอัสกำลังพยายามอย่างหนักหน่วงที่จะรีดเค้นพลังเวทที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในกายให้แปรมาเป็นมนตราเพื่อรักษาเขตอาคมเอาไว้ และตอนนี้องค์รัชทายาทเองก็ดูเหมือนจะกำลังหนักใจกับปัญหาใหญ่นี้อยู่ไม่น้อย



        ฉัน...จะทนได้อีกนานซักเท่าไหร่กันนะ

       ก่อนที่ร่างกายอันแสนอ่อนแอนี้จะสิ้นแรง?


         นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่งามทอประกายไหววูบอยู่ครู่หนึ่ง แววลังเลยังคงฉายชัดแม้ยามที่เอื้อมมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม เมื่อดึงออกมา สิ่งที่กำแน่นนั้นคือขวดใสใส่น้ำยาสีส้มสด แบบเดียวกับที่เขาเพิ่งลิ้มรสไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน ดีอัสกัดริมฝีปาก มองหลอดแก้วในมือตนเนิ่นนาน ก่อนจะตัดสินใจกระชากจุกออก แล้วกรอกของเหลวรสเฝื่อนเข้าปากอย่างรวดเร็วราวกับกลัวตนเองเปลี่ยนใจ

         ทันทีที่น้ำยาล่วงผ่านลำคอ เด็กหนุ่มผมเงินก็รู้สึกเหมือนถูกโหมด้วยคลื่น ราวกับสิ่งที่กระแทกออกมาจากหัวใจนั้นไม่ใช่เลือด แต่เป็นน้ำ...สายน้ำเย็นเยียบที่อัดฉีดเข้าไปทุกส่วนของร่างกาย ปลอบประโลมเซลล์เนื้อที่อ่อนแรงให้ชุ่มชื่น กระตุ้นพลังมนตราที่อ่อนแรงให้กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เพียงไม่กี่วินาที ดีอัสก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังของพลังเวทจำนวนมหาศาบที่กำลังไหลเวียนอยู่ในร่างของตน

         สีหน้าของเจ้าชายรัชทายาทไม่ได้มีความยินดีในพลังที่ตนได้รับมาแม้แต่น้อย ความไร้อารมณ์ยังคงฉาบทับใบหน้าเนียนนั้นได้แนบสนิท จะมีเพียงสายตาคู่สีน้ำเงินเข้มเท่านั้น...ที่มองหลอดแก้วซึ่งบัดนี้ว่างเปล่าอย่างเป็นกังวล


          หลอดแก้วใสนั้นบรรจุน้ำยาเวทมนต์สีส้ม

       แต่ตอนนี้ สีส้มนั้นหายไปแล้ว

       เหลือเพียงขวดแก้วใสที่ว่างเปล่า

       ถึงจะบอกว่าเป็นขวดแก้ว แต่ก็ไม่ได้ทำมาจากแก้วหรอก

       มันทำมาจากวัสดุที่มีความคงทนกว่าแก้วนับสิบนับร้อยเท่า

       ปัญหาที่น่ากังวล ไม่ได้อยู่ที่ขวดแก้ว

       แต่อยู่ที่ตัวน้ำยาสีส้มซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ในหลอดแก้วนั้นต่างหาก

       น้ำยาสีส้มที่เพิ่งดื่มมันเข้าไป

       น้ำยาสีส้มที่เพิ่งดื่มมันเข้าไปเป็นหนที่สองของวัน

       น้ำยาสีส้มซึ่งมีฤทธิ์สร้างพลังเวทมนต์อันยิ่งใหญ่

       แต่ผลกระทบที่สะท้อนกลับของมันนั้นก็รุนแรงด้วยเช่นกัน

       โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดจากน้ำยาเวทมนต์สองขวด


       ท่าทางวันรุ่งขึ้นต้องรับศึกหนักแน่ๆ...ถ้าผ่านวันนี้ไปได้ล่ะก็นะ



              วูบ...

         สายลมสะบัดพัดพลิกละอองเศษซากไหม้เกรียมของแผ่นดินที่เคยเป็นผืนหญ้า ลมนั้นแผ่วเบาราวกับสัมผัสอันอบอุ่นของฤดูใบไม่ผลิ นุ่มนวลเสียจนตัดกับแสงตะวันที่แผดจ้า ทว่าก็รุนแรงพอที่จะทำให้เจ้าชายนักมนตราแห่งไรอัสขยับนิ้วกำคทาแน่นขึ้น


         มาแล้วสินะ...มังกรเพลิง!!!




          แรกเริ่มเดิมทีก็เห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆห่างไกลสุดสายตา หากเพียงแค่ชั่วหนึ่งลมหายใจ เงาดำตรงหน้าก็ดูเหมือนจะชัดขึ้น ใหญ่ขึ้นจนเห็นเป็น โครงร่างของสิ่งมีชีวิตกระพือปีกอยู่เหนือยอดภูเขาไฟ เข้ามาใกล้...พุ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆด้วยความเร็วอันน่าตื่นตระหนก สีดำของเงาค่อยๆจางหายไป เผยให้เห็นเกล็ดหนาสีแดงอิ่มประกายราวกับทับทิมเนื้อดีที่ถูกย้อมด้วยโลหิต ความมหึมาของร่างกายเมื่อทาทาบลงบนดวงตะวันก็เกิดเงาบดบังแสงอาทิตย์เสียสิ้น เสียงคำรามคุ้มคลั่งดังก้องไปทั่วผืนนภาราวกับคำท้าสุดอหังการ์


         มันกำลังคลั่ง...เด็กหนุ่มผมเงินคิด มองดูร่างสีเพลิงขนาดยักษ์ที่กำลังฟาดปีกสะบัดหางด้วยสายตากังวล มือของดีอัสถึงกับสั่นเมื่อเห็นหินก้อนยักษ์ถูกปลายหางปัดจนร่วงหล่นราวกับเป็นเพียงของเด็กเล่น




          "ไปยุ่งกับภูเขาไฟแบบนั้นก็น่าเบื่อแย่สิ ฉันอยู่นี่ "

         นักมนตราแห่งไรอัสพึมพำ ปลายคทาส่องแสงสีเขียววูบ แม้จะเป็นเพียงเวทชั้นต่ำที่ให้เพียงประกายอันริบหรี่ แต่ก็เป็นพลังเวท...และแม้จะเป็นพลังเวทที่แผ่วเบาเพียงใด ทว่าท่ามกลางสรรพสิ่งอันไร้ซึ่งพลังมนตราเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นได้ที่มังกรซึ่งมีสัมผัสอันละเอียดอ่อนจะไม่สัมผัสถึงมัน



       ได้ผล...มังกรเพลิงหยุดชะงักอากการฟาดปีกฟาดหาง มันเงยหน้าขึ้น สูดกลิ่นในอากาศพลางหันซ้ายหันขวาเหมือนสงสัยในสัมผัสตัวเอง  มันคำรามเสียงต่ำในลำคอ ดวงตาขนาดใหญ่เท่าม้านั่งตัวย่อมๆหรี่เพ่งมองไปยังร่างเล็กๆซึ่งแม้อยู่ห่างไกล ทว่าก็ใกล้เสียเหลือเกินสำหรับมังกรอย่างมันอย่างไม่แน่ใจ


           "เข้ามาสิ บินเข้ามาเลย"     ดีอัสกระซิบ เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นมาย้อมไรผมสีเงินจนชุ่ม เขาเร้าพลังมนตราให้เร่งขึ้น ประกายสีเขียวอ่อนที่เคยริบหรี่พลันโชนแสงจ้าราวตะเกียง



          วินาทีถัดมา เจ้ามังกรเพลิงที่เมื่อครู่ยังคงหันรีหันขวางก็คำรามกู่ร้องลั่น มันสยายปีก กระพือพุ่งเข้าสู่แหล่งกำเนิดพลังแห่งมนตราอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นกระแสลมพัดฝุ่นขี้เถ้าให้ปลิวคลุ้ง  ดวงตาของมันจับจ้องอยู่ที่ร่างเล็กจ้อยของมนุษย์ผมเงินท่าทางยโสอย่างมุ่งร้าย แล้วชีวิตของดีอัสเรเฟรัส ก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายที่ชื่อว่าฝีมือ ของพรานป่านามเคช เซเบเรีย!




          อีกฟากหนึ่ง ภายในถ้ำอันคับแคบที่แสนจะอึดอัดไม่สบายตัว เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มกำลังนอนราบไปบนพื้นหินกรวด ร่างนั้นแข็งนิ่งไม่ไหวติงราวกับจะกลมกลืนไปกับก้อนศิลาโดยรอบ นิ้วมือชุ่มเหงื่อแตะค้างบริเวณไกปืน มีเพียงนัยน์ตาสีอำพันเท่านั้นที่เพ่งมองไปข้างหน้า กวาดมองไปรอบๆเป็นระยะด้วความรอบครอบตามวิสัยพราน



           ช้าจริง...ไอ้มังกรบ้านั่นทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้



         พลันลมเย็นวูบหนึ่งก็โชยเข้าปะทะ สายลมพริ้วเบาอันแสนอ่อนโยนที่ไม่ควรมีในฤดูร้อนกระตุกให้มุมปากของเด็กหนุ่มขยัยขึ้นเป็นรอยแย้มยิ้ม และรอยยิ้มนั่นก็ยิ่งแย้มกว้างขึ้น เมื่อได้ยินเสียงคำรามลั่นราวกับโกรธแค้นโลกทั้งใบ


          เอาล่ะ...หวังว่าใช้เหยื่อล่อชั้นดีขนาดนี้แล้วจะตกได้ปลาตัวโตนะ





         เจ็ดร้อยเมตร...ห้าร้อยเมตร....สองร้อยเมตร...หนึ่งร้อยเมตร...

        เคชคำนวนระยะทางในใจอย่างตื่นตระหนก ความเร็วของมังกรเพลิงนั้นเกินความคาดหมายของเขาไปมาก ทุกวินาทีที่ผ่านไปย่อมหมายถึงระยะทางระหว่างอสุรกายไฟและเจ้าชายแห่งไรอัสจะย่นเข้ามาใกล้กันไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเมตร มันเร็วเสียจนเพียงแค่ชั่วกระพริบตา ร่างอันใหญ่โตของมังกรเพลิงก็มาแสยะคมเขี้ยวอยู่เบื้องหน้าดีอัส

        ไม่มีแม้การจับตำแหน่งหรือเล็งอย่างปราณีต เพราะหากชักช้าไปแม้เพียงชั่วหนึ่งลมหายใจ ร่างของนักเวทย์น้ำแข็งคงถูกพระเพลิงพลาญจนเหลือเพียงเถ้าเป็นแน่  ปลายนิ้วที่แข็งค้างมานานนั้นกระดิกเข้าสับไกในเสี้ยววินาที ปลุกไรเฟิลเก่าคร่ำคู่มือให้กู่ร้องคำราม แรงขับดันลูกกระสุนหัวตัดให้พุ่งหมุนเป็นเกลียวตามความยาวของลำกล้อง แรงเสียดทานนั้นรีดเนื้อเหล็กจนร้อนฉ่า เมื่อหลุดจากปลายปืน ลูกกระสุนก็พุ่งทะลวงแหวกฝ่าอากาศไปอย่างลิงโลด 



        ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เคชไม่เคยคิดจะสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้า
      เพราะเชื่อเสมอว่าฝีมือและตนเองเท่านั้นที่จะลิขิตโชคชะตา
      ทว่า ณ ที่นี่ ตอนนี้ เมื่อกระสุนถูกลั่นออกไป...เด็กหนุ่มกลับนึกอยากจะขอร้องเสียเหลือเกิน



       ได้โปรดล่ะ...ขอให้มันโดนทีเถอะ!


         เปลวไฟขนาดใหญ่ราวกับท่อนซุงถูกพ่นออกมาจากปากมังกรเพลิงที่กำลังพิโรธ แม้ยังมิทันโดนกาย เพียงแค่ไอร้อนนั้นก็ทำให้รู้สึกแสบเสียจนราวกับผิวหนังจะหลุดลอกออกมาเป็นชิ้นๆ ทว่าเมื่อมันกระทบกับกำแพงน้ำแข็งที่เขาสร้างขึ้นมาก็พลันระเหยกลายเป็นไอเสียจนสิ้น

         ระยะห่างระหว่างเจ้าชายแห่งไรอัสและมังกรเพลิงย่นใกล้เข้ามาทุกที ปีกสีชาดแผ่สะบัดกว้างราวกับจะโอบอุ้มท้องนภา เงาดำโถมทับทาบดวงตะวันจนมืดมิด กลุ่มหมอกมิอาจพรางเกล็ดเลื้อมระยับสีเพลิงที่แดงก่ำราวกับเลือด แม้ภูสูงก็ดูเล็กไปถนัดใจ คมเขี้ยวขาวแสยะโง้ง ดวงตาของสัตว์ร้ายเป็นสีทับทิมเปล่งประกายดิบเถื่อนราวกับกระหายต่อชีวิต 


          ในสภาพที่เหมือนไม่มีทางรอดเช่นนี้ เด็กหนุ่มรัชทายาทเพียงยิ้มหยันให้กับภาพเบื้องหน้า...
     



           ในสภาพที่คทาคู่กายหักสะบั้น พลังเวทก็แทบไม่เหลือ

        แค่รับไฟจำนวนมหาศาลขนาดนั้นเขาก็เต็มกลืนแล้ว

       กำแพงน้ำแข็งนี่ไม่สามารถทนรับแรงปะทะจากการโจมตีได้แน่

       ทำอะไรไม่ได้เลย เกลียดตัวเองที่อ่อนแออยู่แบบนี้เสียจริงๆ


          จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงยอมตกปากรับคำมาเป็นเหยื่อล่อ

       ก็การที่เจ้าชายรัชทายาทจะมาเป็นเหยื่อล่อมังกร...มันน่าขำสิ้นดีมิใช่หรือ

       ถึงขนาดยอมฝากชีวิตตัวเองไว้ในมือพรานป่าที่เพิ่งรู้จัก คิดไปแล้วเขานี่ก็งี่เง่าชะมัด


       นี่ถ้าเขาต้องตายเพราะไอ้เรื่องงี่เง่าพรรคนี้ล่ะก็ เขาจะตามไปคิดบัญชีทีหลังแน่!!


        เปลวไฟสิ้นไปแล้ว เหลือเพียงคมเขี้ยวที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา กำแพงน้ำแข็งที่เพียรสร้างขึ้นแตกกระจายเมื่อถูกร่างอันมหึมาของมังกรเพลิงพุ่งเข้าปะทะอย่างมิอาจต้าน เศษน้ำแข็งถูกลมจากการสะบัดปีกพัดปลิวว่อนราวกลับเสี้ยวกระจกที่แหลกสลายเปล่งประกายระยิบระยับ เขตอาคมดับสิ้น ไม่เหลือสิ่งใดขวางกั้นระหว่างเด็กหนุ่มผมเงินกับมังกรไฟผู้บ้าคลั่งอีกต่อไป


       ดีอัสเม้มริมฝีปาก นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเพียงเฝ้ามองมัจจุราชอย่างเฉยชา ปล่อยเวลาให้ไหลผ่านจนสัมผัสได้ถึงเสียงลมหายใจของเจ้าอสุรกาย นักเวทย์แห่งไรอัสจึงเริ่มต้นแผลงฤทธิ์ ...มนตราบทสุดท้าย 



          ปัง!!!!

         เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างบางของเจ้าชายกระโดดพุ่งเข้าสวนกับมัจจุราชสีเพลิง หัวกระสุนโลหะพุ่งเข้าใส่ดวงตาสีเพลิงของสัตว์ร้ายอย่างถนัดถนี่ แรงส่งขับกระสุนให้พุ่งทะลวงเข้าไปในเนื้อเยื่ออันอ่อนนิ่ม ตัดเลือดฝอยนับหลายร้อยเส้นให้ขาดสะบั้นส่งผลให้ดวงตาข้างขวาของมันมืดบอดลงทันที พร้อมกันนั้นในมืมือของดีอัสก็พลันปรากฎดาบเล่มยาวสีเงินยวง ฟาดลงไปเพียงครั้งเดียว เกล็ดมังกรที่ถือว่าแข็งแกร่งจนสามารถสะท้อนพลังเวทได้ก็ถึงกับฉีกกระจุยไปตามแรงราวกับเป็นเพียงขนมปังอ่อนนุ่ม คมดาบกรีดแหวกส่วนท้องของมังกรเพลิง กดลึกลงไปถึงอวัยวะภายใน เรียกของเหลวอุ่นให้ไหลทะลักย้อมอาบร่างสีชาดจนแดงก่ำ

     
        มังกรไฟส่งเสียงกรีดร้องคำรามลั่น พยายามที่จะขับไล่ความเจ็บปวดที่มันแทบไม่เคยรู้จัก แต่เลือดที่ไหลโทรมกายนั้นยังไม่เพียงพอสำหรับโทษของการหันคมเขี้ยวเข้าใส่รัชทายาท ดีอัสหมุนตัววูบ สะบัดข้อมือ พลิกคมดาบตวัดเข้าใส่อีกครั้ง คราวนี้เนื้อเหล็กสีเงินเฉือนเข้าบริเวณโคนปีกซ้าย ทะลุชั้นกล้ามเนื้อบาดลึกลงไปตัดกระดูก โลหิตพุ่งซ่านกระเซ็น สะบั้นปีกใหญ่ให้ตกห้อยร่องแรงในทันที


        เมื่อไร้ซึ่งปีกคอยพยุงกาย ร่างอันใหญ่โตของมังกรเพลิงก็ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้ากระแทนผืนดินเสียงดังสนั่น มันยังไม่ตาย ทว่าลมหายใจนั้นก็รวยรินเต็มที ไร้ซึ่งพิษสงใดๆ ทำได้เพียงนอนรอคำพิพากษาจากผู้กำชัยอย่างสงบนิ่ง 


         ร่างของนักเวทผู้ทรงดาบแห่งไรอัสกลับลงมายืนอยู่บนพื้นดินอีกครั้ง ดวงหน้าขาวแต่งแต้มไปด้วยหยาดโลหิต นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเฉยชาปราดมองร่างสีชาดที่เต็มไปด้วยแผลฉกรรจ์ เด็กหนุ่มในยามนี้ดูราวกับเป็นคนละคนกับนักเวทที่แสนอ่อนล้าเมื่อครู่...ราวกับเทพแห่งสงครามที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการศึก



         แต่ในใจนั้นดีอัสไม่ได้นึกยินดีเลย...



         ดวงตาคู่สีน้ำเงินปรากฎร่องรอยเสียใจยามเห็นผู้ปราชัยกระตุกร่างด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เลือดไหลรินออกมาจากแผลลึกจนกลายเป็นแอ่งโลหิตท่วมกาย อย่าว่าแต่จะทำอันตรายใครเลย มันไม่มีแรงพอจะพยุงกายขึ้นด้วยซ้ำ และคงจะถึงแก่ความตายอย่างทรมานในเวลาอันใกล้นี้ 

         ทั้งๆที่อยากจะช่วยให้เจ้ามังกรพ้นทุกข์ไปโดยเร็ว แต่เมื่อสบกับดวงเนตรสีทับทิมใสกระจ่างที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวนั้นแล้ว เจ้าชายผมเงินผู้แสนเย็นชาก็เริ่มใจอ่อน ขยับดาบในมือแล้วก็นิ่งเสีย จากนั้นก็ขยับใหม่อีกครั้งซ้ำไปซ้ำมาเหมือนตัดใจไม่ได้ ครั้งจะร่ายเวทรักษาให้ก็กลัวเจ้าตัวโตนี่จะลุกขึ้นมาไล่อาละวาดอีกรอบ



          


            "ให้ฉันช่วยไหม?"

         เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ตามมาด้วยการปรากฎกายของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันแสนคุ้นตา ในมือของเขาชูไรเฟิลเก่าคร่ำขึ้นเป็นเชิงถาม


            "ไม่ต้อง!"    ดีอัสปฏิเสธทันทีโดยไม่ทันคิด พร้อมกับหันไปทำตาดุๆใส่พรานป่าที่กำลังส่งยิ้มมาให้อย่างล้อเลียน


            "ฉันหมายถึงจะให้นายยืมเวทช่วยรักษา ไม่ได้จะช่วยฆ่าให้ "  

        เจ้าตัวยุ่งเอ่ยพลางหัวเราะ หันไปมองเชลยที่นอนหายใจรวยริน แต่พอเห็นบาดแผลฉกรรจ์และปีกที่ห้อยร่องแร่งเท่านั้นเอง เสียงหัวเราะก็ชักจะเริ่มแผ่วลงตามด้วยสีหน้าตกตะลึง




         ดูเหมือนเขาต้องมองเพื่อนร่วมทางคนนี้ใหม่เสียแล้ว...

       เจ้าชายดีอัส เรเฟรัส เพิ่งได้เห็นฤทธิ์จริงๆก็วันนี้เอง

       ไม่ใช่นักเวทหรอก ทว่าเป็นนักดาบ...นักดาบที่เก่งจนน่ากลัว!


    ........................................................................................................................................................................


    ขอขอบคุณทุกท่านที่กำลังอ่านประโยคนี้อยู่ หากท่านเพิ่งอ่านเรื่องนี้เป็นหนแรก ข้าพเจ้าก็อยากกล่าวว่า"ยินดีต้อนรับ"
    แต่ถ้าหากนี่ไม่ใช่หนแรกของท่าน ข้าพเจ้าก็คงต้องกล่าวคำว่า "ขออภัยเป็นอย่างสูง" สำหรับการอัพที่แสนจะอืดอาด
    และตัวข้าพเจ้าที่ดูราวกับจะหนีหายไปกับสายลม ในกรณีนี้ ข้าพเจ้าไม่มีคำแก้ตัว แม้อยากจะแก้ต่างให้ตัวเองสักเล็กน้อยว่า
    หมาหนึ่ง กระต่ายสอง ปลามังกรสองตู้ ปารคาร์ฟหนึ่งบ่อเล็ก และหางนกยูงอีกสองอ่างนั้น ต่างแย่งกันใช้เวลาของข้าพเจ้าไปเสียสิ้น


     
    ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอเขียนReWrite ใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการเขียนใหม่ทั้งหมด
    เมื่อเสร็จแล้ว จึงจะแต่งต่อจากที่ค้างอยู่(ตอนที่64)  
    ทั้งนี้ เมื่อRW แล้ว ข้าพเจ้าจะเขียนวงเล็บ(RW)ไว้หลังชื่อตอนนั้นๆ 
    และหวังอย่างสุดหัวใจว่า ภาษาของข้าพเจ้า จะพัฒนาขึ้น สักนิดก็ยังดี

    ถึงอย่างไร ก็ขอบคุณทุกๆโพสทุกๆกำลังใจ แม้จะช้าไป แต่ก็จะพยายามแต่งๆปั่นๆ ไม่ทิ้งหายไปไหนแน่นอน 

    ขอบคุณอีกครั้ง ^ ^ 
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×