ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกมนตรา..โรงเรียนมหาเวท

    ลำดับตอนที่ #3 : สนามประลองมังกรเพลิง(RW2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.06K
      9
      21 มี.ค. 54







    ท้องฟ้ากว้างใหญ่สีครามค่อยๆโรยตัวลงจนเหลือเพียงความมืดที่โอบอุ้มรอบกาย
     
    แสงตะวันอันอบอุ่นค่อยๆหรี่ลับลงจนเหลือเพียงลมหนาวที่พัดบาดผิว
     
    ทว่าใต้ผืนฟ้าแห่งราตรี ก็ยังคงมีประกายระยับเลื่อมของหมูดาว
     
    ในอ้อมปีกของรัตติกาลที่เร้นลับ ก็ยังคงมีแสงจันทร์บางลูบไล้
     
    เหลือเพียงเสียงก่นด่าของมนุษย์ผู้โหยหาสิ่งที่มิอาจจับต้อง
     
    โดยลืมเลือน...มือของตนที่กำลังกอดไว้แน่น
     
     
     
    "โว้ยยยย!!!นะ...หนาวชะมัด"
     
    เคช เซเบเรีย นั่งห่อตัวด้วยเสื้อกันหนาวเนื้อหนาที่เอาติดเป้มาด้วย ฟันสั่นกระทบกันกึกๆอย่างมิอาจควบคุมพอๆกับปลายมือและเท้าที่เริ่มชาจนแทบไร้ความรู้สึกทั้งๆที่ยังคงนั่งผิงกองไฟเล็กๆอยู่ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองจันทร์คืนข้างแรมราวกับต้องการจะเร่งเวลาให้ผ่านพ้นไปเสียเร็วๆ พลางกระชิดตัวให้นั่งเถิบเข้าไปให้ใกล้กองไฟมากที่สุด แม้จะทั้งง่วงทั้งเหนื่อยใจแทบขาดแต่กลับมิอาจหลับตาลงได้ ด้วยเกรงว่ากองฟืนที่เป็นดั่งเชือกเส้นสุดท้ายของตนจะมอดดับไป
     
    ข้างกายเด็กหนุ่มคือกองกิ่งไม้แห้งขนาดย่อมที่เจ้าตัวเพียรใช้เวลาตลอดเย็นเก็บรวบรวมมาได้ เมื่อเห็นเปลวไฟใกล้ดับมอด เคชก็โยนกิ่งไม้นี้เข้าไปเป็นเชื้อไฟซักกำสองกำ ต่อเปลวเพลิงให้ลุกโชนขึ้นมาใหม่ ถือเป็นโชคดีที่เขาจับสัมผัสลมหนาวที่เริ่มพริ้วโชยมาอ่อนๆได้เมื่อตอนบ่ายแก่ๆ สายลมเย็นที่ดูไม่เข้ากับแสงแดดร้อนระอุเปรี้ยงเลยซักนิดเตือนสัญชาติญาณแห่งพรานไพรว่า...ชักจะเริ่มไม่ชอบมาพากล
     
    ดังนั้น แทนที่เคชจะฝืนเดินฝ่าทุ่งหญ้าแห้งผากอันร้อนระอุนี่ต่อไปจนกว่าจะค่ำตามแผนเดิม เด็กหนุ่มกลับหยุดทันทีที่เห็นเดินดินเตี้ยๆ แต่ก็ดูแข็งแรงมากพอที่จะช่วยต้านลมหนาวได้ จากนั้นก็ใช้เวลาตลอดเย็นนั้นเก็บรวบรวมกิ่งไม้แห้งให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะใช้เป็นเชื้อฟืนต่อกรกับความเย็นเยียบ ตกค่ำก็รองท้องด้วยตัวตุ่นป่าย่างที่ล่ามาได้ระหว่างเดินทาง
     

              "
    เหลืออีกแค่สองวันแล้วสิ ยังไปได้ไม่ถึงไหนเลยแฮะ"
     
    เจ้าตัวพึมพำแผ่วเบา เป็นเสียงกระซิบเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางความเงียบงันแห่งผืนทุ่งกว้างใต้อ้อมกอดของราตรี ตัดสินใจหยิบแผนที่ซึ่งยับเยินจากการถูกใช้อย่างสมบุกสมบันขึ้นมาถือไว้ อาศัยแสงสลัวๆจากกองไฟกวาดสายตามองคร่าวๆอย่างคุ้นชิน
     

              แผนที่ใหม่เอี่ยมซึ่งเด็กหนุ่มเพิ่งได้รับมาเมื่อเช้า บัดนี้กลับเต็มไปด้วยรอยปากกาเขียนขูดเป็นวง ลากเส้นเชื่อมระโยงระยางไปเกือบทั่วทั้งแผ่น ขอบกระดาษยุ่ยจนเปื่อย ยับย่นไปหมดทั้งแผ่นจากการใช้งานที่ไม่เคยคิดถนอม หยิบเข้าหยิบออกมาดูเป็นว่าเล่น ซ้ำที่ว่างเพียงเล็กน้อยบริเวณมุมล่างซ้ายของกระดาษก็มีรอยจดขยุกขยิกด้วยลายมือที่ยิ่งกว่าไก่เขี่ยแน่นขนัด ทั้งหวัดและติดกันป็นพรืดจนมีแต่คนเขียนเท่านั้นที่อ่านออก
     
    อืม...พรุ่งนี้ก็น่าจะหลุดจากไอ้ทุ่งหญ้าร้อนนรกนี่แล้ว จากนั้นก็ค่อยๆไต่เลียบริมริมขอบทะเลทรายขึ้นเฉียงไปทางตะวันออกราวๆหกสิบองศา ตกค่ำก็คงจะไปถึงชายป่าดิบล่ะน่า
     
    เด็กหนุ่มคิดพลางเอนตัวลงนอน ยืดแขนบิดขี้เกียจอย่างเมื่อยขบ สัมผัสสากๆของหญ้าแห้งให้ความรู้สึกแตกต่างจากกลิ่นดินดิบชื้นของผืนป่าฟลอเรนส์ นัยน์ตาสีอำพันสะท้อนแสงระยิบระยับสีจากเหล่ามวลดาราที่กำลังพร่างพรายอยู่บนผืนนภาอันมืดมิด ทว่าความสว่างไสวของหมู่ดาวกลับทำให้ประกายตาร่าเริงนั้นหม่นแสงลงไปวูบหนึ่ง รอยยิ้มฝืนปรากฏปร่าขึ้นบนมุมปากราวกับหยันต่อชีวิต
     

              บ้าชะมัด!นี่เขา...กำลังมาทำอะไรอยู่ที่นี่นะ
    ?
     
     
     
     



     
    สวบ...สวบ
     
     
    "หือ?"
     
    เคชผุดลุกขึ้นนั่งพลางเหลียวมองไปยังทิศต้นเสียงอย่างแปลกใจ หากกลับเห็นเพียงสีเหลืองจางของต้นหญ้าแห้งที่กำลังลู่พยาบตามแรงลมภายใต้สีดำทะมึนของนภากว้าง ไร้ซึ่งวี่แววของสิ่งมีชีวิต
     
     
    "หายไปแล้ว..." เคชกระซิบกับตนเองอย่างประหลาดใจ ความเงียบงันของผืนราตรีกางปีกเข้าปกคลุมอีกครั้งเสมือนเสียงแว่วเมื่อครู่เป็นเพียงฝันที่ถูกกระชากปลุกให้ตื่น
     
     
    แกร๊ก!
     
    มือใหญ่กระชากลูกเลื่อนปืนไรเฟิลเก่าคร่ำคู่กาย กลไกโลหะสอดประสานรับกันอย่างไหลลื่นผิดสภาพยับเยินภายนอก พานท้ายที่ทำจากไม้เนื้อแข็งถูกหนีบไว้ใต้วงแขน ปลายกระบอกปืนยกขึ้นตั้งฉากกับลำตัวด้วยท่าพร้อมยิงทว่านิ่งค้างไม่ไหวติง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปรอบด้านอย่างระแวงภัย
     
     
     




    สวบ...สวบ
     
    เสียงฝีเท้า...
     
    ราวกับตกอยู่ในอุ้งมือแห่งรัตติกาล จักษุภาพมืดบอดมองเห็นได้พียงรางเลือน ความมืดมิดเข้ากลืนกินทุ่งหญ้าแห้งผากจนยากที่จะอาศัยเพียงแสงหมู่ดาวรำไร ทว่าโสตประสาทนั้นยังคงเฉียบคม จับได้ถึงเสียงย่ำเกรียบแกรบ บ้างก็ช้าลง บ้างก็เร่งขึ้น ทั้งยังเต็มไปด้วยอาการเหนื่อยอ่อนซึ่งรู้จากเสียงลากเท้าจางๆ
     


    ไม่สิ...
     
    เด็กหนุ่มมุ่นหัวคิ้วลง นิ่วหน้าอย่างครุ่นคิด สายตาฝ่ามองผ่านแสงสลัวๆของกองไฟไปยังความมืดมิดเบื้องหน้าราวกับต้องการจะค้นคำตอบให้พบ
     

    ...ไม่ใช่หนึ่ง แต่เป็นสอง!
     
     
     






     
     
    ราวกับพระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตา พลันคำถามก็ถูกเฉลยด้วยภาพเบื้องหน้า...
     


     
    โฮกกกกกก!!!!เปรี้ยงงงงง!!
     
    เสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยวดังขึ้นพร้อมๆกับอัสนีบาตที่ฟาดลั่นพื้นปฐพี เสี้ยววินาทีที่ฉายกลับความมืดมิดของรัตติกาลให้สว่างวาบราวกับกลางวัน สะท้อนเหตุการณ์เข้ามาในสายตาคู่สีอำพันเบิกกว้าง ห้วงราตรีพลันถูกทำลาย ประกายแสงของเวทมนต์เปล่งวูบวาบตัดกับท้องฟ้าสีดำทะมึนอยู่บนผืนดินกลบหมู่ดาราเสียจนสิ้น ลมหนาวทวีความรุนแรงพัดยอดหญ้าเอนลู่ราวกับจะปลิดปลิว ทุ่งหญ้าเปลี่ยวที่เคยเงียบงันจนน่าหวาดหวั่น บัดนี้ก้องไปด้วยเสียงอึกทึกของการต่อสู้อันดุเดือด
     
    เคชกัดฟันกรอด พุ่งตัวออกวิ่งไปยังแสงเวทย์หลากสีที่ยังคงถูกร่ายอย่างต่อเนื่อง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเต็มไปด้วยความร้อนใจ ด้วยรู้ดีจากเสียงฝีเท้าว่า นักเวทย์คนนั้น...กำลังจะสิ้นแรง
     
     


                   เด็กสาว??
     
    ....เด็กสาวผมสีน้ำเงินเข้ม ร่างบางนั้นอาบย้อมไปด้วยเลือดด้วยกำลังกรำศึกกับพยัคฆ์ร้าย ทว่ากลับสวยยิ่งกว่าสาวใดที่เขาเคยเห็นมา...
     
    ทว่าเพียงพริบตา พรานป่าก็ต้องสะบัดหน้า ก่นด่าตัวเองในใจว่าเห็นทีจะเหนื่อยจนเห็นภาพหลอนเสียแล้ว เพราะเบื้องหน้าเขานั้นมิใช่สาวงามอื่นใด แต่เป็นคนคุ้นหน้าที่เขาจำได้ดีไม่มีวันลืมเลยทีเดียว...
     

     
    "อั่ก..."
     
    เสียงครางเบาๆดังลอดผ่านริมฝีปากที่เปรอะไปด้วยของเหลวสีชาด เมื่อกรงเล็บของสัตว์ร้ายคว้ากระชากเฉี่ยวดวงหน้าขาวไปเพียงเส้นยาแดง ปลายอุ้งเท้าแหลมขูดเฉือนเนื้ออ่อนบริเวณแก้มใสไปเพียงถากๆ ทว่าก็ลึกพอที่จะเรียกโลหิตสีแดงสดให้กระเซ็นขึ้นเปรอะเรือนผมสีเงินยวงจนเปื้อน
     
    เบื้องหน้าคือสัตว์ร้ายสีเหลืองเหลือบทองยืนแยกเขี้ยวขู่คำราม คมเขี้ยวคู่ขนาดใหญ่ห้อยลงมาจากปากกว้างที่แสยะจนเห็นเหงือกสีแดงก่ำ ปีกคู่งามที่แผ่สยายกว้างขาดรุ่งริ่งจนมิอาจใช้การ ขาหน้าซ้ายเป็นรอยถูกฟันเหวอะ กระเผลกอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นเนื้อไหม้ปนคละคลุ้งอยู่ในอากาศจากแผลเกรียมลึกสีดำคล้ำหลายแห่งบนลำตัวซึ่งอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ
     
    เซเบอร์...เสือเขี้ยวดาบ!
     
    เสือร้ายคำรามลั่นอย่างเกรี้ยวกราดภายหลังจากโจมตีพลาด ตวัดกายปราดเปรียวเข้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อีกครั้ง ดวงตาสีเหลือบทองจ้องเหยื่อผู้ไม่ยอมสยบให้แก่มันยิ่งทวีความคั่งแค้นมากยิ่งขึ้น เมื่อรับรู้ด้วยร่างกายว่า บาดแผลเล็กๆเพียงรอยถากที่มันฝากไว้บนใบหน้าของเด็กหนุ่มถูกแลกมาด้วยแผลบาดจากคมเคียวสายลมซึ่งจมลึกลงไปใต้แผงคอปุย 
     
    โดยไม่ยอมเปิดโอกาศให้ศัตรูร่างบางที่กำลังหอบหายใจหนักหน่วงได้พักแรง ร่างหนาโถมน้ำหนักกว่าแปดสิบกิโลกรัมพุ่งเข้าชนอย่างไม่เกรงกลัวลูกไฟเวทที่พุ่งสวนออกมาจากลูกแก้วบนหัวไม้คทาแทบจะทันที คมเขี้ยวแสยะกว้างหมายฉีกกระชากเด็กหนุ่มเบื้องหน้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ
     
     


     
    เปรี๊ยะ...เปรี๊ยะ...เปรี๊ยะ
     
    กรงเล็บของพยัคฆ์ร้ายหยุดชะงักอยู่เบื้องหน้าเด็กหนุ่มราวกับถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นฉุดกระชากไว้ เม็ดเหงื่อเล็กๆผุดพรายขึ้นบนดวงหน้าขาวย้อมไรผมสีเงินจนเปียกลู่ แขนทั้งสองข้างซึ่งสั่นระริกจับคทาคู่กายมั่นออกแรงยันต้านพลังกระแทกของเสือเซเบอร์อย่างเต็มความสามารถ นัยน์ตาสีไพลินสบประสานกับดวงตาดิบเถื่อนสีเหลือบทองอย่างเย็นเยียบราวกับสมเพชในความพิโรธของสัตว์เดรัจฉาน ทว่าเสี้ยววินาทีที่ความอ่อนเพลียเข้ามาเป็นนายเหนือกายอันอ่อนล้า พลังเวทที่ฝืนดำรงไว้สูญกำลังลง แม้เพียงเล็กน้อย..หากเปิดโอกาศให้กรงเล็กแหลมทะลวงเขตอาคมจนแตกสะบั้น!
     


     
    เปรี้ยง!!!!
     
    อัสนีบาตฟาดลงอีกคราพร้อมๆกับร่างอันซวนเซของเด็กหนุ่มผมสีเงินพลิกตัวหลบวูบ ร่างบางกลิ้งกระแทกไปตามผิวพื้นหญ้าสากที่ถูกไฟเวทเผาจนไหม้เกรียม แว่วเสียงร้องครางเจ็บปวดของเสือเขี้ยวดาบ เด็กหนุ่มหอบหายใจหนักเหมือนต้องการรีดเอาออกซิเจนไปช่วยกระตุ้นการเผาพลาญพลังงานให้ร่างอันอ่อนล้า
    คทาเกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดถูกใช้ต่างไม้เท้า ฝืนพยุงร่างให้ลุกขึ้นอย่างโงนเงน
     

    "แกนี่มัน...น่ารำคาญ"
    เด็กหนุ่มผู้ทรงคทาพึมพำออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นป้ายของเหลวรสเค็มปร่าที่ไหลซึมอยู่มุมปาก นัยน์ตาสีไพลินจับจ้องร่างสีเหลืองฟางที่กำลังแสยกแยกเขี้ยวลู่ เวทถูกร่ายออกจากร่างที่คาวคลุ้งกลิ่นเลือดอย่างเชี่ยวชาญพร้อมๆกับร่างกำยำอันอุดมไปด้วยมัดกล้ามเนื้อกระโจนพรวดอย่างหมายชีพ คทาขาวคู่กายสะบัดวูบ ปรากฏหอกน้ำแข็งพุ่งพรวดจากผืนดินเข้าทิ่มแทง 
     
       
     
    โฮกกกกกก!!!
     
    เสือเซเบอร์ร้องคำรณอย่างเจ็บปวด ปลายคมของน้ำแข็งอันเย็นเยียบแทงทะลุหนังท้องอันอ่อนนุ่ม ทิ่มผ่านชั้นกล้ามเนื้อ ทะลวงอวัยวะภายในจนแหลกลาญ เลือดสีแดงสดไหลเปรอะกระเซ็นย้อมกายสีเหลือบทองให้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวคลุ้ง ร่างนั้นควรจะล้มลง ควรจะสิ้นชีพ ทว่าพยัคฆ์นั้นยังคงพุ่งคมเขี้ยวเข้าสู่ศัตรู
    ราวกับอนุสติสุดท้ายจะสั่งก่อนอำลาสังขาร
     
    เรา...ไม่เหลือแรงแล้ว ขยับ...ไม่ได้เลย
     
    นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเหม่อมองคมเขี้ยวพยัคฆ์ที่กระชั้นเข้ามาใกล้ด้วยสายตาเลื่อนลอย คทาสีขาวเลื่อนหลุดออกจากมือที่ไร้แรง หล่นกระแทกพื้นหญ้าส่งเสียงทึบเบาๆ ร่างของเด็กหนุ่มนิ่งไม่ไหวติง ราวกับเตรียมใจรับความตายที่กำลังจะมาเยือน 
     
     
    ขึ้นชื่อว่าเสือ ย่อมรักศักดิ์ศรียิ่งสิ่งใด
     
    ทรนงในตนเอง ล่าแต่เพียงลำพัง
     
    หยิ่งเกินกว่าที่จะรวมหมู่เป็นฝูง
     
    ทว่าบางที...
     
    ความหยิ่งทรนงนั้นกลับเป็นภัยแก่ตนเอง 
     
    เมื่อพ่ายแพ้จึงมิอาจหันหลังหนี
     
    ด้วยกายเพียงโดดเดี่ยวจึงมิอาจล้ม
     
    สุดท้าย...จึงทำได้เพียงแยกเขี้ยวข่มขู่
     
    รอเสียงปืนของนายพรานที่จะดังกังวานเพื่อปลิดชีพตน
     
     
     

     
    ปัง!!!!
     
    ร่างโชกเลือดของเสือเขี้ยวดาบที่กำลังกระโจนเข้าใส่ร่างบางผู้ไร้คทาพลันสะดุ้งเฮือก ศีรษะโตอันอุดมไปด้วยขนปุยสะบัดหันตามแรงกระแทกของคมกระสุนซึ่งทะลวงเข้าตัดก้านสมองอย่างแม่นยำ ร่างกำยำหล่นพลั่กลงเบื้องหน้าเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินทั้งๆที่ดวงตายังคงเบิกคว้าง
     
    ความประหลาดใจสะท้อนชัดในนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่งาม เด้กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น มองสัตวร้ายที่บัดนี้นอนทอดร่างนิ่งอยู่เบื้องหน้าตนราวกับยอมศิโรราบด้วยความแปลกใจ แต่ก่อนที่จะทันคิดอะไร ขีดความจำกัดของร่างกายมนุษย์ก็เริ่มแสดงผล ความเจ็บปวดเริ่มเข้าครอบคลุมเซลล์จำนวนนับล้านๆเซลล์จนมิอาจซ่อนความอ่อนล้าที่แสนอ่อนแอไว้ได้ แล้วร่างโชกเลือดที่ฝืนพยุงให้ยืนไว้ก็พลันทรุดลง...เช่นเดียวกับตุ๊กตาที่หมดลาน
     
     
    หมับ!!
     
    แทนที่จะเป็นพื้นหญ้าแห้งสากไหม้เกรียมอย่างที่เคยคิด สัมผัสที่ได้รับกลับกลายเป็นอ้อมแขนแกร่งที่รวบร่างของตนไว้ ลมหายใจอุ่นๆคลอเคลียข้างหูปลุกนัยน์ตาสีอควอมารีนให้ปรือขึ้นเล็กน้อย เห็นเพียงเงารูปใบหน้าพร่าเลือน หากแต่คุ้นเคยในความรู้สึก
     
    เส้นผมสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีอำพัน แล้วก็...รอยยิ้มนั่น!   
     
    "นาย..." เด็กหนุ่มผมสีเงินอุทาน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงกัดฟันกรอดระงับความเจ็บปวด สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อบรรเทาแม้เพียงน้อยนิด
     
     
    "สวัสดี เจอกันอีกแล้วนะ คุณชาย" เคชยิ้มพลางก้มลงมองร่างบางในอ้อมแขน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายวาววับอยู่ในความมืด ยิ้มยั่วราวกับเห็นบาดแผลลึกที่เลือดยังไหลโทรมของเด็กหนุ่มผมเงินเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ทั้งยังถือวิสาสะก้มหน้าลงไปแนบกับหน้าผากมนของอีกฝ่ายอย่างถือไพ่เหนือกว่า
     
    นัยน์ตาสีไพลินเบิกคว้าง ขับสีแดงเรื่อบนแก้มนวลให้ปลั่งยิ่งขึ้น เตรียมจะเอ่ยคำผสุรวาทออกมาอย่างเหลืออด ถ้ามิใช่เพราะว่า...
     
     
    "ตัวร้อนจี๋เลยแฮะ นายน่ะ"
     
    พรานป่าแห่งฟลอเรนส์เอ่ยเสียงนุ่ม รั้งร่างบางเข้ามากระชับอ้อมแขนมากยิ่งขึ้น หากเจ้าของเรือนผมสีเงินกลับตัวแข็งทื่อ พยายามบิดตัวเองให้พ้นจากพันธนาการอันอบอุ่น ใบหน้าร้อนฉ่าอย่างที่ไม่เคยเป็น
     
     
    "อย่ามายุ่ง!!!"
     
    ตวาดลั่นในความนึกคิด ทว่ากลับเป็นเพียงเสียงกระซิบในความเป็นจริง
     
     
    เงียบ....มีเพียงลมหายใจอุ่นๆที่แสดงถึงสัญญาณชีวิตของเด็กหนุ่มทั้งสอง นิ่งไปนาน ก่อนพรานป่าแห่งฟลอเรนส์จะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
     
     
    "ก็เอาสิ"
     
    ว่าแล้วเคชก็ปล่อยมือเอาง่ายๆเหมือนกัน ส่งผลให้ร่างตรงหน้าทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ทั้งฝุ่นควันและฟางหญ้าแห้งเปรอะไปทั่วเนื้อตัวโชกเลือดจนมอมแมม
     
    เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยืนมองคนตรงหน้ายิ้มๆ ไม่เอ่ยว่าอะไร รอจนคนเจ็บตะเกียกตะกายพยุงตัวเองขึ้นมาได้จึงค่อยยื่นมือเข้าไปประคองอีกครั้ง
     
     
    ทว่าครั้งนี้...ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่เย็นเยียบราวทุ่งน้ำแข็งเท่านั้น และอีกไม่นานหรอก พรานป่าอย่างเคช เซเบเรีย ก็จะได้รู้ว่า ความหนาวเหน็บของพายุหิมะนั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด....
     
     
     
    "นาย..ติดหนี้ฉันอยู่"
     
    ร่างโทรมเลือดในอ้อมแขนระบายลมหายใจเฮือกราวกับการยอมรับความช่วยเหลือจากคนที่เคยช่วยนั้นเป็นเรื่องน่าอับอายยิ่งนัก เอนศีรษะพิงซบแผงอกของคนฉวยโอกาศอย่างเหนื่อยอ่อน เสียงนั้นพึมพำขึ้นเบาๆ ทว่าก็ดังพอที่จะทำให้เจ้าของแขนแกร่งคู่นั้นสะดุ้งเฮือก แทบจะปล่อยมือออกจากเจ้าของเรือนผมสีเงินนุ่มทั้งยังทวนซ้ำดังลั่นด้วยความตกใจ
     
    "เฮ้ย!!ฉันเนี่ยนะ ติดหนี้นาย?นั่นมันต้องเป็นคำพูดของฉันเซ่!!"
     
    "เรื่องในวันเปิดรับสมัคร นายคงยังไม่ลืมหรอกนะ" เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มกระซิบเสียงเย็น เอ่ยต่อไปโดยไม่สนใจอาการโวยวายของพรานป่าแห่งฟลอเรนส์
     
    "ส่วนนี่ มันก็แค่ดอกเบี้ย"
     
     
    "นาย!"  เคชประท้วงลั่น แต่ก็ต้องจำยอมเงียบเสียงลงเมื่อก้มลงมองคนในอ้อมแขน แล้วพบว่า...เด็กหนุ่มผมสีเงินนั้นเข้าสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว
     
    ในเมื่อโวยวายเอาอะไรกับคนเจ็บไม่ได้ แถมเขาก็ยังไม่ใจจืดใจดำพอที่จะทิ้งเจ้าคนเอาแต่ใจนี่ให้นอนหนาวอยู่ตรงนี้ เคชจีงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากหอบร่างบางนั้นกลับเนินดินข้างกองไฟ...ที่พักแรมข้างทางคืนนี้ของตนไปด้วย
     
    ...ว่าแต่ ทำไมชั่วพริบตานั้น พรานป่าอย่างเขาถึงเพ้อจนเห็นเจ้าหมอนี่เป็นเด็กสาวร่างบางผมสีน้ำเงินเข้มไปได้นะ?....
     
     
    .............
    ............
    ..........
    .........
    ........
    ......
    .....
    ...
    ..
    .
     
     
     
    "อือ.."
    นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มค่อยๆปรือขึ้นช้าๆ แสงอาทิตย์ยามเช้าไล่อาบทุ่งหญ้าแล้งให้เปลี่ยนเป็นสีทองประกาย ท้องฟ้าสีเจิดจ้าเข้ามาแทนที่นภาซึ่งเคยถูกโอบอุ้มด้วยปีกแห่งราตรี เด็กหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นจากท่านอน รู้สึกถึงความเหนียวเหนอะของเม็ดเหงื่อที่ชื้นไปทั่วกาย ดวงหน้าที่เคยเรียบเฉยฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อความเจ็บปวดทั้งหมดที่ควรมีกลับจางหายไปราวกับสลายไปพร้อมไอหมอกรุ่งอรุณ
     
     
    "ไง!อรุณสวัสดิ์ คุณชาย "
     
    เคชทักเสียงร่าเริงโดยไม่หันไปมอง มือกำลังสาละวนอยู่กับหม้อใบเล็กที่ถูกแขวนเข้ากับกิ่งไม้ใหญ่ห้อยอยู่เหนือเปลวไฟ หม้อนั้นทำจากเหล็กเลวๆราคาถูก ทั้งสภาพก็ยังบุบบูบี้ มีรอยไหม้กระดำกระด่างจนมองแทบไม่เห็นสีเดิม แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงได้กลิ่นหอมกรุ่นโชยออกมา
     
     
    "นั่งพักไปก่อนเถอะ ฝีมือเวทรักษาของฉันมันยิ่งย่ำแย่อยู่ด้วย"
     
    พรานป่าแห่งฟลอเรนส์เอ่ยต่อไปเมื่อเหลือบเห็นคนเจ็บที่เพิ่งหายกำลังจะลุกขึ้นยืน ก่อนจะผละจากหม้อที่กำลังมีเสียงของเหลวเดือดปุดๆไปคุ้ยๆค้นๆสัมภาระที่เป้ของตนเอง เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วจึงโยนเบาๆให้คนเจ็บซึ่งยกมือขึ้นรับตามสัญชาติญาณ
     
    "กินนี่ซะ เมื่อคืนนายไข้ขึ้นทั้งคืน เพิ่งจะเริ่มสร่างเมื่อตอนเช้ามืดนี่เอง"
     
    เด็กหนุ่มผมเงินพยักหน้ารับเบาๆ แม้จะไม่กล่าวออกมาเป็นคำพูดทว่าประกายดวงตาสีไพลินก็ทอประกายขอบคุณชัด ที่อยู่ในมือนั้นคือห่อผ้าสีมอซอ ซึ่งพอแก้ออกมาแล้วก็พบยาสีดำอมน้ำตาลเม็ดใหญ่อยู่หลายเม็ด หน้าตาแปลกๆทั้งกลิ่นยังประหลาดพิกล ทว่าเด็กหนุ่มก็ยอมส่งเข้าปากแต่โดยดี
     
     
    "ขม.."
     
    คำแรกที่พูดขึ้นในวันนี้ของเด็กหนุ่มร่างบางตาสีน้ำเงินคือคำบ่นเบาๆเชิงปรารภแก่ตนเอง หากแต่กลับมีเสียงกระเซ้ามาจากเจ้าคนหูไวที่ยังคงคนหม้อดังกุกๆ
     
     
    "ก็ยาสมุนไพรพื้นบ้านนี่ แต่สรรพคุณไม่แพ้ยาแพงๆหรอกน่า"
     
     
    "อือ" คนเจ็บส่งเสียงตอบรับงึมงำในลำคอ เอนตัวพิงลงกับเนินดินชื้นเย็น ปิดเปลือกตาลงราวกับเหนื่อยอ่อนทั้งๆที่เพิ่งลุกจากการพักผ่อนมาทั้งคืน
     
    มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงกระซิบปลุก พร้อมกันนั้นถ้วยโลหะบุบบู้บี้ สภาพอนาถไม่แพ้หม้อ ทว่ามีควันไอสีขาวลอยหอมกรุ่นก็ถูกยื่นมาตรงหน้า 
     
     
    "ดื่มซะหน่อย วันนี้จะต้องลุยอีกทั้งวัน"
     
    น้ำเสียงของพรานป่านั้นแสดงความเป็นห่วงชัด เช่นเคยที่คนเจ็บจะไม่กล่าวอะไร นอกจากรับไปดื่มอย่างว่าง่าย
     
     
    ของเหลวร้อนๆกลิ่นหอมกรุ่นนั้นไม่ได้เป็นอะไรประหลาดอย่างที่คาดคิด ตรงกันข้าม สีน้ำตาลเข้มเกือบอมดำนั้นกลับเป็นเครื่องดื่มที่เด็กหนุ่มรู้จักเป็นอย่างดี หากไม่คาดคิดว่าจะได้มีโอกาศมาลิ้มรสกลางทุ่งหญ้าแล้งสุดลุกหูลูกตาเช่นนี้
     
     
    "กาแฟ?"
     
     
    "อร่อยใช่ไหมล่ะ" คนตรงหน้ายิ้มเผล่ ทำหน้าตื่นเต้นราวกับเด็กเล็กๆที่กำลังรอคำชมจากผู้ใหญ่ นึกขำจนเด็กหนุ่มผมเงินเผลอเผยกระตุกยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
     
    "ก็ใช้ได้" ว่าพลางยื่นถ้วยเปล่าในมือคืนให้เจ้าของที่ยิ้มรับไปอย่างถูกใจ เคชหัวเราะ เอื้อมมือไปตบไหล่อีกฝ่ายป้าบๆ ก่อนจะลุกเดินไปรินกาแฟที่ยังคงเหลืออยู่ก้นหม้อใส่แก้วใบเดิมให้ตนเองเป็นอาหารมื้อแรกของวัน
     
     
     
    ….ครืนนนน....
     
    เสียงลั่นเหมือนฟ้าคำรามดังมาจากภูเขาสูงเบื้องหน้า ปุยเมฆขาวใสเริ่มถูกแทนที่ด้วยก้อนอากาศสีเทาทึบอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เงามืดคลืบคลานเข้ามาบดบังแสงอาทิตย์จนดวงตะวันถูกกลืนลับ ปลายยอดหญ้าแห้งปลิวไสวลู่เอนไปเป็นทางด้วยลมที่เริ่มกรรโชกมาเป็นระยะ
     
    เคชเงยหน้าขึ้นมองปรากฎการณ์ผิดธรรมชาตินี้อย่างประหลาดใจ ใบหน้าที่เคยแย้มรอยยิ้มของพรานป่าเริ่มเคร่งเครียด เด็กหนุ่มกระแทกแก้วกาแฟที่ดื่มค้างไว้ลงข้างกาย ก้มตัวลงใช้หลังมือแตะแนบพื้นดินเบาๆ พลันก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอ่อนๆที่แล่นมาตามเนื้อดิน
     
    "นายรอตรงนี้แป๊บนะ ฉันมีธุระนิดหน่อย"
     
    พรานป่าจากฟลอเรนส์ตะโกนบอกคนเจ็บผมสีเงินที่ยังคงนั่งพิงเนินดินโดยไม่เสียเวลาหันไปมอง กระชับไรเฟิลที่สะพายบ่าให้แนบกับลำตัวพลางออกวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานแผ่นหลังชุ่มเหงื่อนั้นก็ถูกสีเหลืองของทุ่งหญ้าแห้งกลืนจนลับสายตา แต่ถึงกระนั้นก็ไม่วายลงท้ายประโยคกำชับไว้อย่างเป็นห่วง
     
    "ถ้าทำได้ก็ร่ายเขตอาคมคุ้มกันตัวเองไว้ซะ!"
     
     
     
    "ถ้าทำได้งั้นหรือ?"
     
    เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่งามพึมพำทวนคำถามเสียงนุ่ม แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลของอีกฝ่ายเท่าใดนักที่อยู่ดีๆก็ผลุนผลันอออกไป ทว่าเขาก็ไม่โง่พอที่จะสังเกตความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบกายไม่ออก มือเรียวเอื้อมลงไปหยิบของในกระเป๋าเสื้อคลุมของตน มันเป็นหลอดหน้าตาเหมือนหลอดทดลองขนาดย่อส่วนที่ทำจากแก้ว ทว่าแท้จริงแล้ววัสดุที่ใช้สร้างมันนั้นมีความทนทานกว่าหลายเท่า ภายในบรรจุของเหลวสีส้มอยู่ เด็กหนุ่มเปิดจุกขวด ออก ก่อนจะยกหลอดขึ้นกรอกของเหลวนั้นลงคอจนหมดภายในอึกเดียว สีหน้านั้นเรียบเฉยเสียจนมิอาจทำนายรสชาติของมันได้ ทว่าเพียงชั่วครู่เขาก็เรียกคทาคู่กายออกมาร่ายมนต์อย่างคล่องแคล่ว คำกระซิบภาษารูนโบราณถูกกลืนไปกับเสียงกระแสลมหวีดหวิวที่เริ่มจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลูกแก้วเหนือหัวคทาส่องแสงวาบ เปล่งประกายหนึ่งเดียวท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันไร้ซึ่งสีสัน เมื่อประโยคสุดท้ายล่วงผ่านจากริมฝีปากนุ่ม แสงที่จ้าอยู่แล้วของหัวลูกแก้วก็สว่างยิ่งขึ้น สว่างเสียจนกลบร่างเด็กหนุ่มจนมิด...
     
    หากเพียงแค่ชั่วกระพริบตา แสงอันเจิดจ้าราวกับกลางวันนั้นก็ดับวูบไป ทิ้งไว้เพียงรอยคล้ายภาพวาดรูปวงเวทย์ดาวหกแฉกที่สลักเหนือมุมทั้งหกไว้ด้วยอักษรโบราณ กำกับด้วยลูกศรแสดงทิศทั้งแปด ไว้ใต้ร่างของนักเวทย์ผมเงินผู้ซึ่งบัดนี้เหงื่อโทรมกาย มือข้างที่กำคทาแน่นสั่นระริก ทว่ากลับมีความยินดีกลับฉายชัดในนัยน์ตาสีท้องทะเลคู่งาม   
     
    เวทย์เขตอาคมระดับสูง "ปราการทองคำไร้พ่ายแห่งอวาร์เกเดีย"...
     
     
     
     
    "นายยังไม่รู้จักฉันสินะ นายพราน" นักเวทย์กระซิบขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ก้มลงมองดูแฉกดาวสีทองฝีมือตนอย่างพึงพอใจ แม้จะต้องใช้เวลาร่ายนานแถมยังกินพลังมนตราสูงเอาเรื่อง แต่เวทบทนี้ก็นับว่าโดดเด่นในด้านของพลังป้องกันที่สูงลิ่วเลยทีเดียว
     
     
    ทว่าเด็กหนุ่มผมเงินยังไม่ทันได้พักให้หายเหนื่อย โสตประสาทก็พลันแว่วเสียงโหวกเหวกเบาๆที่ดูรีบรนจนฟังไม่ได้ศัพท์ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มกวาดตามองไปมาหาต้นเสียงอย่างแปลกใจ ก่อนจะไปหยุดจับอยู่ที่ไกลสุดของริมชายขอบซึ่งบัดนี้ปรากฏเงาร่างตะคุ่มของมนุษย์คนหนึ่งที่กำลังวิ่งตรงมาสุดฝีเท้าพร้อมทั้งตะโกนโวยวายอะไรที่เขาได้ยินไม่ชัด
     
    ยิ่งร่างนั้นเข้ามาใกล้ จากที่เห็นเป็นเพียงจุดเงาก็เริ่มปรากฏเรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่ยุ่งไม่เป็นทรง ต่อด้วยนัยน์ตาสีเดียวกันกับดวงหน้าที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อหากนั่นไม่สำคัญเท่ากับสีหน้าตื่นตระหนกของพรานป่าแห่งฟลอเรนส์
     
     
    "ไอ้คุณชาย สลายเขตอาคมแล้วรีบเผ่นเดี๋ยวนี้เลย!!" เคชตะโกนบอกสุดเสียง ลมหายใจกระชั้นไปด้วยความเหนื่อยหอบ ทว่าร่างโปร่งของเด็กหนุ่มผมเงินใต้อารักษ์ของเขตอาคมสีทองยังคงยืนนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน
     
    "ไอ้คุณชายว้อยยย!!!"
     
    ตวาดสำทับไปอีกทีก็ยังคงเฉย เงียบงันเหมือนรูปสลัก มีเพียงสายตาคู่สีไพลินซึ่งเบือนมามองเท่านั้นที่บอกให้ทราบว่าอีกฝ่ายได้ยิน...แต่ไม่คิดที่จะปฎิบัติตาม
     
    "บ้าเอ๊ย.." เคชเร่งฝีเท้าให้ไวยิ่งขึ้น ไม่นานก็มาถึงตัวนักเวทย์ที่ยังคงยืนรออย่างสบายอารมณ์ในสภายเหงื่อท่วมกาย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววกร้าว ไม่มีท่าทีล้อเล่นอารมณ์ดีอย่างเคย
     
     
    วาบ...
     
    ทันใดนั้น เขตอาคมรูปดาวหกแฉกก็พลันเปล่งแสงสีทอง เปิดเป็นช่องทางต่อหน้าพรานป่าราวกับจะเชื้อเชิญ หากเด็กหนุ่มกลับไม่แม้จะขยับ
     
    "ฟังนะ.." เคชเริ่มประโยคด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มไว้ไม่ให้สั่นไปด้วยโทสะ
     
    "ภูเขาข้างหน้านั่นเป็นภูเขาไฟ และมันก็กำลังจะระเบิดในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้วด้วย!"
     
     
    แทนที่เด็กหนุ่มผมเงินจะแสดงทีท่าหวาดหวั่น เขากลับกระตุกรอยยิ้มเย็นที่มุมปาก พร้อมกับฉุดแขนคนที่กำลังเดือดปุดๆไม่แพ้ภูเขาไฟให้เข้ามาในเขตอาคม และทันทีที่เคชเดินเข้ามาอยู่ในวงเวทย์ ดาวหกแฉกก็พลันเปล่งแสงวาบอีกครั้งและปิดตัวลงตามเดิม
     
     
    "นายคิดจะทำอะไรกันแน่ เขตอาคมแค่นี้กันเถ้าลาวาร้อนๆไม่อยู่หรอกนะ" เคชถามเสียงเครียด ทว่าก็ไม่ได้คิดจะบอกให้อีกฝ่านสลายเขตอาคมสีทองหกแฉกอีกแล้ว..คงเป็นเพราะความมั่นใจที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาสีไพลินคู่งามนั่นล่ะมั้ง
     
    "ถ้าอย่างนั้นก็ลองบอกมาสิ นายพราน ว่าเวทย์บทนี้มีชื่อว่าอะไร?" คนถูกถามไม่ตอบ ทั้งยังเป็นฝ่ายย้อนเสียเอง เล่นเอาพรานป่าผู้เก่งกาจแห่งฟลอเรนส์ที่ตกวิชาเวทมนต์เป็นประจำถึงกับเกาหัวแกร่กๆ
     
              " 'เกราะหกคีรีพิทักษ์กาย' ละมั้ง " เจ้าตัวดีที่บัดนี้อารมณ์เย็นลงแล้วตัดสินใจเดามั่วเอาง่ายๆ หันไปยิ้มให้อีกฝ่ายพลางหัวเราะแหะๆ
     
    "ช่างเถอะ ไม่มีอะไรมากนักหรอก" นักเวทย์ผมเงินตัดบทเอาดื้อๆ ตัดสินใจได้ทันทีว่าคนอย่างเคชนั้นถึงอธิบายความซับซ้อนของเวทมนต์ไปก็ไม่มีทางเข้าใจ
     
    "งั้นก็ดี" เคชพยักหน้ารับคำหงึกๆ ไม่ได้คิดอยากรู้นามเวทย์ของเขตอาคมจริงจังนักจนต้องซักไซร้ต่อ ความสนใจของเขาในยามนี้มุ่งไปที่การใช้ปลายนิ้วแตะพื้นดินรับสัมผัสแรงสั่นสะเทือนมากกว่า  สีหน้าของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเริ่มทวีความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อสัมผัสจากปลายนิ้วนั้นยิ่งเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
     
    "อีกไม่เกินสิบห้านาที ถ้าเขตอาคมของนายเอาไม่อยู่ เราได้ถูกฝังอยู่ใต้คลื่นลาวาทั้งคู่แน่"
     
     
     
    "ฉันไม่กระจอกขนาดนั้นหรอกน่ะ นายพราน" คนถือคทาตอบเสียงติดรำคาญโดยไม่ยอมเสียเวลาหันกลับมามอง นัยน์ตาสีไพลินเปล่งประกายวาววาบ มองกลุ่มเมฆสีดำทะมึนที่บัดนี้แผ่ปกคลุมไปทั่วฟ้าพร้อมกับกระตุกรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากเหมือนเห็นของเล่นถูกใจ
     
    คำตอบที่ได้รับทำเอาเคชเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ถึงจะเชื่อคำพูดของคนตรงหน้า เจ้าตัวดีก็อดจะบ่นกระปอดกระแปดไม่ได้
     
    "บอกซะก่อนว่าถึงตอนนี้มาคิดหนีก็ไม่ทันแล้วนะ"
     
    "เฮอะ..." อีกฝ่ายทำเสียงตอบรับหนักๆในลำคอ ยังไม่ยอมหันมามองหน้าเช่นเดิม แถมยังแผ่รังสีเย็นยะเยือกออกมาแช่แข็งบรรยากาศรอบกายอีกด้วย
     
    ทว่าในความตึงเครียดที่ร้อนระอุแบบนี้แล้ว ความหนาวเย็นนั้นก็...อุ่นดีแฮะ!
     
     
    แล้วทั้งคู่ก็จมความคิดของตนลงสู่ห้วงภวังค์แห่งความเงียบอีกครั้ง ปล่อยเวลาแต่ละวินาทีให้ไหลผ่านไปเรื่อยๆ นภากว้างยามนี้ถูกบดบังไปด้วยกลุ่มหมอกเมฆาสีทึบจนน่าหวาดหวั่น เสียงคำรณของกระแสลาวาที่กระหายจะพุ่งพ่นออกมาจากปล่องที่กักมันไว้นั้นทวีความกราดเกรี้ยวมากยิ่งขึ้น ฟังดูคล้ายเสียงเพลิงพิโรธที่ปราถนาความตายของสรรพชีพเป็นเครื่องบรรณาการแก่มัน พื้นดินไหวสะเทือนจนทิวหญ้าแห้งแล้งเอนลู่ สั่นสะท้านราวกับต้องพายุร้าย ภายนอกเขตอาคมนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นกำมะถันข้นหนักคละคลุ้ง พิษของมันมากพอที่จะทำให้ผู้สูดดมถึงแก่ความตายอย่างรวดเร็ว
     
    เพียงเสี้ยววินาทีที่ดูราวกับจะแช่แข็งทุกสรรพชีวิต ขุนเขาและสายน้ำ สายลมและอากาศ เมฆาและควันหมอก ไร้การเคลื่อนไหว สงบเงียบ นิ่งเฉย….
     
    ก่อนคีรีเพลิงจะกัมปนาถ!!!...
     
     
    ตูม!!!!
     
     
    แรงดันอัดสูงส่งกระแสลาวาสีแดงสดที่กำลังเดือดผลั่กให้พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า แตกแผ่กระจายเป็นวงราวกับดอกไม้สีเลือดตกลงมาเป็นบริเวณกว้าง เมื่อต้องสิ่งใด สิ่งนั้นก็พลันหลอมละลายราวกับเล่นกล ธารหินเดือดไหลทะลักแล่นรี่ลงมาตามขุนเขาอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่งราวกับสายน้ำป่า ทว่าครั้งนี้มันคือสายน้ำที่ย้อมทุกสิ่งให้กลายเป็นทะเลเพลิง แม้เขตอาคมชั้นสูงจะสามารถป้องกันไอความร้อนหรือไฟพิโรธได้ ทว่าเสียงกรีดร้องทุรนทุรายของหลายพันชีวิตที่กำลังถูกเผาทั้งเป็นก็กรีดลงบนหัวใจของเด็กหนุ่มทั้งสอง...แม้หนึ่งในนั้นจะเป็นพรานที่เคยฆ่ามาอย่างนับไม่ถ้วนก็ตาม
     
    และนี่ก็ไม่ใช่เวลาที่นักเวทหนุ่มควรจะไปสนใจชีวิตคนอื่นเสียด้วย...
     
     
    "ถ่ายพลังเวทของนายให้ฉัน เดี๋ยวนี้!!"
     
    สั่งการเสียงห้วนด้วยน้ำเสียงแห้งแหบซึ่งปกปิดความอ่อนล้าไว้ไม่มิด มือที่กำลังจับคทามั่นสั่นระริก เขตอาคมสีทองรูปดาวหกแฉกเริ่มเลือนเป็นรุปทรงบิดเบี้ยว ร่างกายเริ่มกระสาถึงไอร้อนอันแผดเผาและกลิ่นไหม้ของเปลวควันที่กลืนชีวิตอย่างละโมบ หน้ากากของสีหน้าไร้อารมณ์ถูกปลดออก นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มวาววาบอย่างเกรี้ยวกราดไม่แพ้เปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำ  
     
    เขาเกลียดร่างนี้ เกลียดที่มันแสนจะอ่อนแอ เกลียดที่ไม่เคยใช้มันได้ดังใจ และเกลียดที่มัน...ไม่เคยปกป้องใครได้ซักที ไม่แม้สักครั้งเดียว
     
     
    วาบ...
     
    พลังเวทของพรานป่าค่อยๆถ่ายเข้ามาในร่างจอมเวททีละน้อย มันเย็น...เย็นมากทีเดียว ทั้งยังเต็มไปด้วยอำนาจ เพียงแค่พริบตาเขตอาคมที่กำลังล่มสลายก็ฟื้นกลับมาอยู่ในสภาพเดิม ไม่สิ เป็นปราการที่แข็งแกร่งกว่าเดิมเสียด้วย
     
    นี่ไม่ใช่พลังที่ควรจะไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของพรานป่าในเมืองเล็กๆอย่างฟลอเรนส์เลย!
     
    หมอนี่...เป็นใครกันแน่?!
     
     
    "แค่นี้พอรึยัง?" เคชกัดฟันถามปนเสียงหอบฮั่ก เหงื่อเม็ดโป้งไหลซึมชื้นขึ้นมาจากขมับย้อมเรือนผมสีน้ำตาลเข้มให้เปียกลู่ มือที่เคยจับปืนเปลี่ยนมาเป็นถือไม้คทารูปร่างหน้าตาสมบุกสมบันกระดำกระด่างไม่แพ้หม้อต้มกาแฟจนน่าสงสัยว่าทนพลังเวทมหาศาลนี่ได้อย่างไรกัน ท่าทีการจับก็เก้ๆกังๆ เหมือนจวนจะถูกพลังของตนสะท้อนแหล่มิแหล่ สภาพน่าสังเวชเสียจนนักเวทผมเงินเผลอพยักหน้าหงึกๆอนุญาต
     
    "เฮ้อ..." ทันทีที่ได้รับอนุญาต คนเป็นพรานที่ริมาเป็นจอมมนตราก็ปล่อยคทาทิ้งลงพื้นทันทีราวกับต้องของร้อน พร้อมๆกับถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกมาอีกเฮือกใหญ่ ทั้งๆที่ตอนนี้รอบเขตอาคมนั้นกำลังลุกเป็นไฟจนเหมือนตกอยู่ในมหาสมุทรเพลิง
     
     
    หากพลัน นัยน์ตาสีตาลเข้มที่กำลังจับจ้องขอบฟ้าสีทะมึนที่กำลังลุกโชนก็เบิกกว้าง เช่นเดียวกับสายตาคู่สีน้ำเงินที่กำลังตกตะลึง...
     
    เหนือปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังพ่นเถ้าลาวา แม้ความห่างของระยะทางจะทำให้ปรากฏเพียงเงาร่างของสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังสยายปีกแผ่กว้างเต็มที่อย่างอวดอำนาจ ทว่าช่างแสนจะคุ้นตา ชวนให้จินตนาถึงคมเขี้ยวและกรงเล็บของมัจจุราช
     
    "มังกร.." เสียงใครซักคนกระซิบขึ้นเบาๆ ก่อนทุกอย่างจะตกอยู่ภายใต้เสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ทรงอำนาจที่สุดในบรรดาสัตว์ร้ายทั้งปวง!!!
     
     
     
     
    "ฮ่ะๆๆๆ" เคชหัวเราะเสียงแห้ง ทว่านัยน์ตากลับมิได้หัวเราะไปด้วย ก็มันน่าขำนักมิใช่หรือไง แม้จะเป็นตลกที่แสนจะฝืดเฝื่อนก็ตามที
     
    มีชีวิตอยู่มาจนสิบหกปี ไม่เจอมังกรป่าเลยแม้สักครั้งเดียว แต่พอรู้เรื่องวุ่นๆของคนเป็นแม่เข้า ยังไม่ทันได้เข้าเรียนก็เจอญาติตัวเป็นๆเสียแล้ว แถมดูเป็นญาติที่'ร้อนแรง'เสียด้วย...
     
     
    "นี่ คุณชาย เวทนายคงแน่พอที่จะสู้กับมันได้ใช่ไหม?"
     
    ถามเสียงเบาไม่เกินกระซิบ เปลวเพลิงที่ลุกท่วมเขตอาคมในยามนี้ดูหมดความหมายไปเสียแล้วเมื่อต้องเผชิญกับภัยที่ร้ายกาจยิ่งกว่า
     
    "คนเป็นพรานคือนายไม่ใช่หรือไง"อีกฝ่ายพึมพำย้อนเสียงเย็น ก่อนจะเงียบเสียงลงอย่างไม่คิดสนใจ
     
    "วะ!!!"
     
    "ดีอัส เรเฟรัส "
     
    นักเวทหนุ่มผู้กำลังจ้องมังกรไม่วางตาตอบเสียงเบาไม่แพ้กันอย่างตัดรำคาญโดยไม่ยอมเสียเวลาหันมามอง ไรผมสีเงินถูกเม็ดเหงื่อซึมชื้นจนแนบลู่ ชุดเสื้อมีราคาก็เปื้อนดินเปื้อนฝุ่น ขาดวิ่นขะมุกขะมอมจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ทว่ามือขวายังคงกำคทาเพื่อรักษาเขตดาวหกแฉกสีทองไว้มั่น
     
    พรานป่าพยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงให้ความหมายว่าเข้าใจ ถึงกระนั้นก็อดเปรยถามไม่ได้
     
    "ท่าทางจะเป็นเวทชั้นสูงนะนั่น เป็นเวทสายวารีหรือไง?"
     
    คราวนี้ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่งามที่กำลังเพ่งดูอสูรร้ายอยู่หันขวับมาหาพรานหนุ่มทันที ประกายตานั้นยะเยือก เย็นชาจนดูราวกับจะแช่แข็งพระเพลิงรอบกายให้ดับดิ้น
     
    "ทะ..ทำไมหรอ คุณชาย?" เสียงของเคชเริ่มตะกุกตะกัก เมื่อชักตระหนักได้ว่า บางทีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าไฟร้อนและมังกรเพลิงนั้นอาจจะอยู่ข้างกายเขานี่เอง
     
    "ชื่อของฉัน" เด็กหนุ่มผมเงินเอ่ยเสียงเรียบไม่แพ้แววตา ก่อนจะขยายความต่อเมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของพรานป่าผู้ชักจะเริ่มนึกอะไรขึ้นมาได้รางๆ
     
    "ดีอัส เรเฟรัส...เป็นชื่อของฉัน"
     
    "นะ..นาย นายคงไม่ใช่..."
     
    "ทำไมจะไม่ได้ล่ะ หืม นายพราน" รอยยิ้มยั่วน้อยๆแบบที่หาได้ยากยิ่งปรากฏขึ้นบนมุมปากของเด็กหนุ่มผมเงิน
     
    "ฉัน ดีอัส เรเฟรัส รัชทายาทแห่งไรอัส!!"
     
     
    คำยืนยันนั้นหนักแน่นเสียจนเล่นเอาเคชรู้สึกอยากจะกระโดดลุยพระเพลิงออกไปสู้กับมังกรจนตายไปข้างให้รู้แล้วรู้รอดเสียจริงๆ...
     

     

     ...............................................................................................................................


    สวัสดีจ้า!!!ทุกๆท่าน ข้าพเจ้าหายหน้าไปนานแสนนาน อย่าเพิ่งลืมกันเน้อ ^ ^ 
    มาถึงตอนนี้ ทุกท่านอาจสงสัยว่า ทำไมวรรคตอนมันถึงได้เปลี่ยนไปหวา 
    คืออย่างงี้ ข้าพเจ้าพยายามจะจัดแล้วนะ แต่ยังติดปัญหานิดหน่อย เลยจัดเอาแค่พออ่านได้ก่อน
    แล้วจะค่อยมาแก้ให้เป็นวรรคตอนบรรทัดเว้นบรรทัด อ่านง่ายๆแบบเดิมจ้า >w<


    ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามอ่านมาจนถึงตอนนี้(และคนที่มาอ่านRWรอบสองด้วย >///<)

    ขอบคุณที่ช่วยเม้นท์เป็นกำลังใจให้ แม้ว่าข้าพเจ้าจะหายหน้าไปนานแสนนานก็ตามที 

    ขอบคุณมากๆเน้อ >w< 


    ปล. ข้าพเจ้าซึ้งใจคุณChii_Elda หลายๆ ตอนแรกเปิดออกมาเห็นจำนวนเม้นท์แล้วตกใจ นึกว่าระบบรวนซะอีก 5555 ปลื้มใจสุดๆ ขอบคุณมากๆจ้า ไว้เราจะตามไปเม้นท์ให้น้า ชอบสุนัขเหมือนกันเลย อย่างนี้ต้องส่งไอ่เจ้าเคลไปเยี่ยม แมวข้าพเจ้าก็ชอบ แหะๆๆ แต่เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเปอร์เซียกับหิมาลายันมนคนละพันธุ์กัน ข้าพเจ้านึกว่าหิมาลายันป็นชื่อสีๆหนึ่งของแมวเปอร์เซียซะอีก >///< 


     
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×